Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
15 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
‘มิโอะ ทสุขุฉิ’...ฉันจะเป็นเหมือนกับไม้หลักนำทางเรือให้กับเธอ




Love looks not with the eyes,
but with the mind,
and therefore is winged Cupid painted blind

A Midsummer Night's Dream
~William Shakespeare








ละครพีเรียด NHK เรื่อง คลื่นรักคลื่นชีวิต





คืนวันที่ 20 กรกฎาคม ปีโชวะที่ 20

...เครื่องบินB-29 ที่โจมตีโจชิมีมากกว่า 90 เครื่อง เริ่มจากการทิ้งระเบิดแสงเพื่อให้เมืองสว่างขึ้นแล้วตามด้วยระเบิดทำลายล้าง
ผู้คนที่หนีตายจากเมืองที่กลายเป็นทะเลเพลิงต่างได้รับบาดเจ็บจากการระดมยิงอย่างไม่ปราณี


คาโอรุนำพ่อและแม่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโดนสะเก็ดระเบิดขึ้นรถเข็นไปยังโรงพยาบาล ผู้ได้รับบาดเจ็บแน่นขนัดจนหมอและพยาบาลไม่สามารถดูแลรักษาได้ทั่วถึง

บันโดผู้เป็นพ่อเพ้อถึงเรื่องการจัดงานครบรอบสามร้อยปีของอิริโจ
“ทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ โชยุเป็นเหมือนชีวิตของชาวญี่ปุ่น ตราบใดที่จักรวรรดิญี่ปุ่นไม่ล่มสลาย โชยุก็จะไม่หายไป วันนี้อิริโจครบสามร้อยปี.....”
อาการของบันโดทรุดหนักลง เขาเพ้อเรียกหาริซึโกะลูกสาวสุดที่รักไม่ขาดปาก
มือยกไขว่คว้าหาลูกสาวที่จากไปไกลสุดเอื้อมมือ คาโอรุตัดสินใจคว้ามือพ่อมากุมไว้ ร้องบอกแทนไปว่า
“คุณพ่อคะ หนูอยู่นี่”
“ริซึโกะลูกกลับมาแล้ว” จิตใจของผู้เป็นพ่อสงบลง “กลับมาแล้วหรือลูก...ตอนนี้พ่ออยากสูบบุหรี่สักหน่อย ซื้อบุหรี่ให้หน่อยได้ไหม”
“รอแป็บนึงนะคะ”

คาโอรุวิ่งออกจากห้องไปขอบุหรี่จากทหาร
เมื่อกลับมา...


“คุณพ่อคะ บุหรี่ได้แล้วล่ะค่ะ”
บุหรี่ที่คาโอรุค่อยๆวางไว้จดริมฝีปากผู้เป็นพ่อกลับร่วงหล่น
...บันโด คิวเบ จากไปแล้ว~







คาโอรุรับศพของพ่อและแม่ มาเผาที่ซากของร้านอิริโจ





เช้าวันต่อมา...
โยชิทาเกะ โทเนะ เดินทางมาเคารพศพพร้อมเอาข้าวที่หุงเสร็จแล้วมาเยี่ยม
เมื่อเห็นบ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ เซนคิจิจึงชักชวนให้คาโอรุและครอบครัวไปอยู่ที่โทงาวะ
แต่คาโอรุกลับปฏิเศษความหวังดีด้วยความเกรงใจเพราะอยากสานต่อความตั้งใจของคุณพ่อที่สั่งเสียไว้ ให้สร้างอิริโจขึ้นมาใหม่ และว่าตราบใดที่ยังมีคนญี่ปุ่นอยู่ โชยุไม่มีทางหายไป
คาโอรุกล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า
“ฉันจะอยู่ทำโชยุที่นี่ต่อค่ะ”


โทเนะชมเชยความมุ่งมั่นของคาโอรุเป็นอย่างมาก แต่ขอเอาลูกชายฝาแฝดของคาโอรุไปดูแลจนกว่าบ้านจะซ่อมแซมเสร็จ



พอตึกดึกคาโอรุเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเสียพ่อและแม่ไปแล้วจริงๆ
พ่อที่ตัวเองรักตอนนี้ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ส่วนแม่ที่แสนใจดีและร่าเริงก็กลายเป็นเถ้ากระดูกแค่กองเดียว
แล้วสามีที่เป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวก็ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
คาโอรุต้องเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลแห่งความเศร้าโศกเหมือนกับเรือที่ขาดหางเสือ



ปีโชวะที่ 20 วันที่ 25 สิงหาคม



“ญี่ปุ่นแพ้แล้ว พระจักรพรรดิประกาศยอมแพ้แล้ว”
...ญี่ปุ่นยอมรับข้อเสนอและยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงยุติลง






คาโอรุเดินทางไปยังโทงาวะ
โทเนะกล่าวชมเชยลูกทั้งสองของคาโอรุว่าเป็นเด็กดีมากและทำเซนคิจิปวดหัวแทบทุกวันเพราะ...
“จะขอขึ้นเรือให้ได้เลยน่ะสิ”
เกนซังหัวหน้าคนงานชาวประมงเสริมว่า
“เพราะเราหันมาใช้เรือแจว...มันจึงอันตรายสำหรับเด็ก”

....อิ อิ อิ ลูกน่ารัก


คาโอรุเล่าให้ฟังว่าการซ่อมแซมโรงงานโชยุนั้นทำหลังคาโรงหมักเรียบร้อยแล้ว และว่าในเมืองกำลังเดือดร้อมมากเพราะขาดแคลนโชยุ
โทเนะจึงบอกให้เกนซังนำไม้เก่าที่รื้อจากซากเรือเก่าขนไปให้ร้านอิริโจไว้ใช้

เมื่อมีการถามไถ่ถึงข่าวคราวของอุเมกิ
คาโอรุกลับตอบมาว่า
“ฉันทำใจได้แล้วค่ะ เพราะฟิลิปปินส์มีการรบกันหนักมาก”
โทเนะดุกลับมาว่า
“โอกินาว่าเองก็รบกันหนัก แต่ฉันเองก็ยังไม่ถอดใจ” โทเนะกล่าวอย่างเชื่อมั่น “ฉันเชื่อว่าโซคิจิต้องกลับมาแน่”
ในฐานะแม่คนหนึ่งและชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง โทเนะเอ่ยอย่างคลั่งแค้นใจมาว่า
“หรือว่าไม่จริง ถ้ารู้ว่าจะแพ้ก็คงไม่มีใครไปหรอก ยอมแพ้! ยอมแพ้แบบนี้! ไม่มีเงื่อนไขได้ไง! แล้วคนที่ตายไปจะทำยังไง พวกเขายอมพลีชีพไปเพื่ออะไร ไม่เข้าใจเลยจริงๆ!!! ไม่ตลกเลย!”


คาโอรุเองก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน เพราะถ้าสงครามยุติเร็วกว่านี้หน่อย ทั้งพ่อและแม่ก็คงไม่ต้องมาจบชีวิตลง



ชาวประมงที่โทงาวะนอกจากนำไม้เก่ามาให้แล้ว ยังมาช่วยสร้างโรงงานให้อีกด้วย
ฟุนามูระหัวหน้าคนงานโชยุกล่าวขอบใจ
คนงานชาวประมงก็เลยเอ่ยขึ้นอย่างติดตลกว่าไม่นึกเลยว่าชาวเลจะได้ขึ้นมาสร้างโรงงานบนบก
เกนซังหัวหน้าคนงานชาวประมงจึงติงว่า
“อย่าพูดอย่างนี้สิ เพราะกองทัพบกกับทัพเรือเอาแต่ทะเลาะกัน เราถึงได้แพ้สงคราม”

เฮ้ออออ แค่ประโยคเดียวอธิบายกินความเป็นมาของกองทัพสมัยนั้นจนเกลี้ยง



ภาวะผู้แพ้สงครามเริ่มต้น
ผู้หญิงญี่ปุ่นต้องออกไปทำงาน(บางอย่าง)กับทหารอเมริกันสร้างความคับแค้นใจให้กับชาวญี่ปุ่นหัวเก่าบางคนเป็นอย่างมาก
เด็กๆชาวญี่ปุ่นต่างตื่นเต้นดีใจกับช็อคโกแลตและหมากฝรั่งที่ได้รับแจกจ่ายมา

...คงจำฉากแบบนี้กันได้ แม้ในประเทศไทยเองช่วงนั้น ภาพทหารจีไอนั่งรถจี๊ปโยนช็อคโกแล็ตและหมากฝรั่งจากรถให้เด็กๆวิ่งตามเก็บ



อาคิฮิโกะและคาซึฮิโกะก็ไปรับช็อคโกแลตและหมากฝรั่งนั้นเหมือนกัน
คาโอรุจึงว่ากล่าวไม่ให้รับเพราะพวกเขาไม่ใช่เด็กกำพร้าและต้องมีศักดิ์ศรีของชาวญี่ปุ่น




พอเข้าสู่ปีโชวะที่ 21
ก็มีทหารและประชานที่ไปร่วมรบจากที่ต่างๆเริ่มทยอยกลับมามากขึ้น
คาโอรุไปรอที่สถานีรถไฟโจชิแทบทุกวัน ด้วยความหวังที่มีเหลืออยู่น้อยนิด

วันหนึ่ง....
ริซึโกะโซซัดโซเซลงมาจากรถไฟ เธอเจ็บป่วยเนื่องด้วยอยู่ในค่ายกักกันในเฮอปิน

เดือนกุมภาพันธ์ ปีโชวะที่ 21
ริซึโกะที่กลับมาจากแมนจูก็ป่วยหนักด้วยวัณโรคปอด ถึงแม้อยากจะเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ถูกไฟไหม้จนเกือบหมด ส่วนที่เหลืออยู่ก็มีคนเต็มหมดแล้ว
เธอรู้ตัวดีว่าอาการหนักจนอยู่ได้อีกไม่นาน

สองพี่น้องที่นิสัยใจคอต่างกันสุดขั้ว
ริซึโกะสาวหัวยุคก้าวหน้าที่ใฝ่ในอยากเปลี่ยนแปลงสังคมแต่กลับถูกยุคสมัยทำร้ายเอา ได้แต่ไหลไปตามกระแสสังคมที่ตนเองต่อต้านมาตลอดโดยเฉพาะเรื่องการต่อต้านสงคราม แต่ตนเองกลับต้องแต่งงานกับทหาร มีส่วนร่วมในการก่อการนั่นเอง
ส่วนคาโอรุ สาวน้อยในขนบธรรมเนียมยุคเก่า แต่กล้าแหกยุคสมัยทำตามหัวใจตนเองด้วยการแต่งงานกับชายที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย แล้วจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของร้านอิริโจในที่สุด


ริซึโกะกล่าวอย่างเสียใจที่ไม่ได้กลับมาดูใจพ่อ และกล่าวอย่างโทษตัวเองว่าผู้เป็นพ่อคงโกรธแค้นตนเองเป็นแน่
คาโอรุจึงกล่าวลลอบใจให้รับรู้ว่า คุณพ่อก็ยังเป็นห่วงริซึโกะแม้วาระสุดท้ายของชีวิต จนก่อนที่จะสิ้นลมคุณพ่อจับมือเอาไว้แล้วบอกว่า ‘ริซึโกะ...ลูกกลับมาแล้วหรือ’
ลูกสาวที่ขัดแย้งกับผู้เป็นพ่อเสมอมาได้แต่สำนึกผิด



ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน
เอย์อิจิโร่ก็กลับมา เขาขาพิการเนื่องจากโดนกระสุนยิงทะลุขา

ผ่านไปไม่นาน ริซึโกะอาการทรุดหนัก ไอออกมาเป็นเลือด
ริซึ่โกะใช้กำลังใจสุดท้ายร้องบอกคาโอรุว่า



“เรียกฉันว่า ‘พี่’ สิ...เธอไม่เคยเรียกฉันว่าพี่เลยสักครั้ง”
“พี่คะ...พี่คะ”


คาโอรุแม้จะเป็นน้องสาวแต่เนื่องจากเป็นลูกเมียน้อยจึงถูกสั่งสอนปนห้ามเรียกริซึโกะว่า “พี่สาว” มาโดยตลอด

คำสั่งเสียสุดท้ายของริซึโกะนั้นค้างคาไว้ด้วย....
“ถ้าหาก โคฮามะกลับมาเมื่อไร....”
ลมหายใจเฮือกสุดท้ายผ่านจากไปแล้ว




ค่ำคืนหนึ่ง
คาโอรุเดินตัดผ่านกอหญ้าที่สูงจนท่วมศีรษะ เธอเดินตามเสียงกลองที่ดังแว่วมาไม่ไกล
ภาพที่เห็นตรงหน้า


พ่ออันเป็นที่รักกำลังร่ายรำอย่างเป็นท่ามกลางคุณนายใหญ่ แม่ และพี่สาวริซึโกะ
ส่วนด้านข้างนั้นอุเมกิเป็นคนตีกลองให้จังหวะอยู่




คาโอรุร้องเรียกอย่างดีใจ เธอร่ำร้องอยากเข้าไปหา แต่ทุกคนร้องห้ามไม่ให้เธอกลับไปเพราะว่ายังไม่ถึงเวลา
เสียงระเบิดดังกึกก้อง คาโอรุทรุดตัวก้มหลบลง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนที่เธอรักก็จากหายไป



คาโอรุตื่นมาอย่างตระหนกพร้อมเสียงตบประตูดังลั่น
ทุกคนคาดหวังว่าอาจเป็นอุเมกิ
แต่คนที่กลับมากลับเป็นเอย์จิ ลูกน้องที่เดินทางไปทำโรงงานโชยุที่ฟิลิปปินส์ด้วยกันกับอุเมกิ
เมื่อคาโอรุถามถึงสามี
คำตอบที่ได้รับคือ “นี่...ไม่ได้รับโทรเลขหรือครับ”


เอย์จินำกระดูกอุเมกิกลับมา
เขานำคำสั่งเสียของอุเมกิต่อลูกชายทั้งสองมาบอก
โรงงานที่เกาะเซบูปิดตัวลงเนื่องจากโดนทิ้งระเบิดและถูกระดมยิง พออเมริกายกพลขึ้นฝั่งเดือนเมษายน ปีโชวะที่ 20 ก็ต้องหนีขึ้นเขาไป
อุเมกิได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถหนีต่อไปได้อีก
เขาฝากฝังเอย์จิมาว่า
“ชื่ออาคิฮิโกะกับคาซึฮิโกะเป็นชื่อที่เอาคำว่า โชวะ มาแยกออกเป็นสองคำ ฉันอยากให้เขาเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสมัยโชวะ”

และในมือของอุเมกินั้นมีจดหมายกำไว้จนแน่น
ข้อความในนั้นมีเพียง…



“คาโอรุ...ฉัน”




ความเศร้าโศกและเจ็บช้ำจากการสูญเสียผ่านสงครามครั้งนี้ คาโอรุย้ำเตือนลูกชายทั้งสองต่อหน้าป้ายวิญญาณ
“โรงงานถูกเผา บ้านถูกไฟไหม้ ทั้งคุณตาคุณยาย คุณพ่อและคุณป้าริซึโกะต้องมาตายไป ตอนนี้ทุกคนต่างก็ลำบากกันทั้งนั้น ไม่อยากให้มีสงครามอีกแล้ว ถ้าหากว่า...ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก คนญี่ปุ่นก็คงบ้าไปแล้ว”
คาโอรุหันไปสั่งลูกชายอย่างจริงจังผ่านคราบน้ำตาว่า
“เมื่อถึงตอนนั้น พวกลูกๆต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหยุดสงครามให้ได้ นั่นล่ะคือการเซ่นไหว้คุณพ่อของลูกที่ดีที่สุดแล้ว”

...ไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่นคิดหรอก
คนทั้งโลกก็กลัวความบ้าคลั่งเรื่องนี้ของคนญี่ปุ่นไม่ต่างกันหรอก





เดือนมิถุนายน ปีโชวะที่ 21
คาโอรุก็เอากระดูกของอุเมกิไปฝัง

ในขณะเดียวกัน
ที่โทงาวะก็แตกตื่นด้วยความดีใจ



...โซคิจิรอดกลับมาอย่างปลอดภัย

...พ่อแมวเก้าชีวิต~!!






การกลับมาของโซคิจิทำให้คาโอรุรู้สึกสับสนไปหมด
ถึงแม้จะดีใจที่อดีตสามีรอดตายกลับมาแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้เขามาสางสารเรื่องอุเมกิตายจากไป
คาโอรุคิดว่า...บางทีอาจเป็นเพราะดวงจิตของอุเมกิเข้ามาสิงอยู่กับตัวเธอเองก็ได้

...จ้าแม่นางเอก
ขอประชดสักทีเฮ๊อะ~!!!




เมื่อถึงเดือนกรกฎาคมก็มีการจัดงานฉลองครบรอบสามร้อยปีของอิริโจอย่างที่คิวเบเคยฝันไว้


พิธีการนั้นเริ่มจากการไว้อาลัยให้กับผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม


เอย์อิจิโร่ก้าวขึ้นมารับช่วงเป็นผู้นำร้านอิริโจรุ่นที่ 12
เขากล่าวว่าจะทำโชยุให้เป็นที่รู้จักของชาวโลกให้ได้

ขณะที่ทุกคนต่างเฉลิมฉลองกันนั้น
โทเนะ เซนคิจิและชาวประมงนำสาเกและปลามาร่วมแสดงความยินดีด้วยอย่างกันเอง

โทเนะกล่าวออกตัวขอโทษที่จู่ๆก็มาร่วมงานกับคาโอรุ แต่ก็กระซิบบอกอย่างขบขันตามมาว่า
“นี่เป็นเรื่องที่เอย์อิจิโร่ซังและเซนคิจิเตี๊ยมกันมาก่อนล่วงหน้าแล้ว”
อดีตแม่สามีแอบแย็บชงบางอย่างให้ลูกชายคนโตว่า
“จริงๆแล้ว ฉันก็ชวนโซคิจิมาด้วย แต่...เขาปฏิเศษ”
คาโอรุทำตัวไม่ถูกได้แต่เลี่ยงไปแสดงความยินดีที่โซคิจิกลับมาอย่างปลอดภัย



อดีตแม่สามีเหลือบมองอดีตลูกสะใภ้อย่างชั่งใจปนมีความนัย
คาโอรุไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้ เธอไม่กล้าที่จะสบตาด้วยซ้ำไป
ความรู้สึกสับสนบางอย่างวิ่งวนในใจเธอจนยุ่งเหยิงไปหมด




ในเวลาเดียวกัน


โซคิจิพ่อหนุ่มปากแข็งได้แต่หมกตัวอยู่กับภาพวาดสีน้ำมันภายในห้องนอน
เขาจับจ้องสาวน้อยในภาพไม่วางตา
มือแข็งแกร่งคล้ำรอยแดดเอื้อมไปลูบไล้แก้มนวลของสายน้อยอย่างอ่อนโยน
ด้วยความโหยหาของความรู้สึกที่ฝังลึกในหัวใจมาเนิ่นนาน
...โซคิจิตัดสินใจบางอย่าง






ขณะที่การเฉลิมฉลองงานครบรอบร้านอิริโจกำลังดำเนินอย่างสนุกสนานอยู่นั้น
โคฮามะ สามีของริซึโกะก็กลับมา...
ความเศร้าเสียใจเมื่อได้รับข่าวการเสียชีวิตของริซึโกะนั้นได้รับการปลอบโยนจากทุกคน
ไม่ว่าใคร...ไม่มีใครไม่สูญเสียอันเนื่องมากจากการก่อสงครามครั้งนี้




คาโอรุนำลูกชายมาเยี่ยมหลุมฝังศพ
ขณะที่คาโอรุกล่าวเล่าความคืบหน้าของร้านอิริโจให้อุเมกิอยู่นั้น....



โซคิจิเดินมาอย่างเงียบๆและหยุด...รอ
ชายหนุ่มยืนจังก้า สีหน้าตั้งมั่นจริงจังบ่งบอกว่าจะไม่ถอยแม้สักก้าว
เมื่อคาโอรุลุกขึ้นยืนและหันกลับมา...หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นส่ำ
แม้เธออาจเคยนึกไว้ว่า...สักวัน วันเช่นนี้จะต้องมาถึง
แต่เมื่อมาถึงจริงๆเช่นนี้ เธอกลับทำอะไรไม่ถูก
ราวเวลาย้อนกลับคืนไปยังเมื่อแรกเจอชายหนุ่มซึ่งเธอตกหลุมรักตั้งแต่แว้บแรกที่ได้สบตากัน




“สวัสดี”
เสียงโซคิจิทักทายอย่างสุภาพทำให้คาโอรุรู้สึกตัว เธอก้มตัวโค้งรับ
พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามาหาอย่างไม่รอช้าพร้อมพูดว่า
“ฉันถามเอย์อิจิโร่คุงถึงได้รู้ว่าเธออยู่ที่นี่”
...พ่อสื่อคนเดิม



“ดีใจด้วยนะคะที่ได้กลับมา อย่างปลอดภัยน่ะค่ะ”
โซคิจิแสดงความเสียใจการสูญเสียคนในครอบครัวรวมทั้งอุเมกิต่อคาโอรุ
“ฉันต้องเสียใจด้วยนะ”
คาโอรุแทบจะทำตัวไม่ถูก เธอไม่กล้าแม้จะสบตาเขาด้วยซ้ำ
เมื่อนึกอะไรได้ เธอหันไปบอกลูกชายทั้งสองให้ทักทายแขก

เด็กทั้งสองกล่าวสวัสดีอย่างเด็กที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
โซคิจิตอบกลับมาเต็มยศว่า
“สวัสดี ฉันชื่อโยชิทาเกะ โซคิจิจากโทงาวะ...รู้จักหรือเปล่า”
“ครับ”
“ขอเอาดอกไม้ไปไหว้สุสานหน่อยจะได้ไหม”
“เชิญครับ”





โซคิจิก้าวเดินมาเคารพสุสาน เขานั่งเคารพสุสานอยู่นาน
คาโอรุกับโซคิจิรู้จักกันมานานถึง 21 ปีแล้ว
ถึงจะเป็นเพราะโชคชะตาเล่นตลกแต่เขาก็เป็นรักแรกและครั้งหนึ่งและทั้งคู่ก็เคยเป็นสามีภรรยาที่รักกันมาก
แต่ว่า...หลังจากที่อุเมกิตายไป
คาโอรุก็พยายามที่ไม่คิดถึงโซคิจิ เฝ้าบอกกับตัวเองว่า ‘จะต้องไม่คิดถึงเขา’

...ห้ามอะไรก็ห้ามได้ แต่ห้ามใจเรานั้นมันช่างยากช่างเย็น...จ้า~





โซคิจิเหยียดกายลุกขึ้นยืน สีหน้ามุ่งมั่น เขาสบตาคาโอรุ
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอต่อหน้าคุณอุเมกิ”

....อิฉันกรี๊ดขึ้นมาจนสุดเสียง


คาโอรุขาสั่น เธอรู้สึกราวกับกำลังถูกต้อนจนจนมุมจากถ้อยคำและความแรงกล้าของแววตาคมกริบคู่นั้น
คนรับใช้จึงขอตัวกลับพร้อมกับลูกชายทั้งสอง
คาโอรุรีบร้องยื้อให้อยู่ด้วยกัน
แต่โซคิจิกลับสวนอย่างเด็ดขาดเช่นเคยว่า



“ไม่ต้อง! ขอให้ ‘เรา’ อยู่กันสองต่อสองเถอะ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”

...กรี๊ดดดดดอีกรอบ นายน้อยเอาคำว่า ‘เรา’ มาใช้อ่ะ อุ อุ อุ




พระอาทิตย์ไล่ลงลับขอบฟ้า
สองหนุ่มสาวต่างเผชิญหน้ากันอีกครั้งตามลำพัง

“จริงๆแล้วฉันควรจะตาย แล้วให้คุณอุเมกิกลับมามากกว่า” พ่อพระเอกยังคงคอนเซ็บจนถึงที่สุด “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่เป็นปัญหาแล้ว”
คาโอรุได้แต่ก้มหน้ารับฟัง ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดใด
“แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันถึงได้กลับกันแบบนี้” โซคิจิกล่าวปนฉุนเฉียว
คาโอรุพยายามตั้งป้อมปราการป้องกันหัวใจตัวเองไว้จากโจรจอมขโมยหัวใจตรงหน้า
“อุเมกิยังอยู่ในใจฉันเสมอ”

....โห แม่นางเอกผู้แสนดี ขอประชดรอบสอง


ถ้อยคำนี้บาดลงหัวใจนายน้อย เขานิ่งขึงไปก่อนหันขวับจ้องมองมายังหญิงสาวเจ้าของหัวใจ เขารู้จักคาโอรุดีเกินกว่าจะยอมแพ้ ส่งเสียงดุกลับมา
“คำพูดแบบนี้ช่วยอะไรไม่ได้หรอก!”
ชายหนุ่มหยุด...ทิ้งเวลาไว้ชั่วครู่ เสียงอ่อนลงประกาศอย่างอหังการ์
“เมื่อกี้ฉันบอกต่อหน้าหลุมศพเขาไปแล้วว่า ฉันจะทำให้คาโอรุมีความสุขแทนอุเมกิเอง”

...ฮ่า ฮ่า ฮ่า กลับมาแล้วครับผม
นายน้อยผู้ดื้อดึงหยิ่งผยองไม่ยอมแพ้ใคร





คาโอรุที่ตลอดเวลาไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมาถึงกับสะดุ้งผวาขึ้นมาสบตาหนุ่มตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระทึกจากความรุนแรงของความรู้สึกผ่านวาจานั้น
“อะ...อะไรกัน”
โซคิจิเดินเข้ามาหาจนใกล้แค่เอื้อม นายน้อยไม่ยอมเก็บงำความรู้สึกในใจอีกต่อไปแล้ว
“ฉันรอมานาน ตั้งแต่ประสพภัยที่คาโงชิมะ ก็รอมาถึง 15 ปี”
“อย่าพูดอย่างงั้นเลย” คาโอรุพยายามห้ามปรามทั้งเขาและหัวใจเธอเช่นกัน
และเธอก็พยายามหลีกหนีให้พ้นด้วย...
“คิดถึงหัวอกของฉันบ้างสิ ฉันแต่งงานกับคุณแล้วแยกจากกันแบบนั้น แต่พออุเมกิตายก็จะให้กลับไปหาคุณอีกอย่างงั้นเหรอ”


...โอ๊ย! ขัดใจ ถ้านายน้อยไม่คิดถึงหักอกหร่อน เขาฉุดหนีไปอยู่ด้วยกันตั้งแต่หายความจำเสื่อมแล้วย่ะอีหนู นี่นายน้อยอุตส่าห์อดกลั้นความต้องการของตัวเองเพื่อเธอมาตั้งนานนะยะ ไม่งั้นคงไม่ปล่อยให้สาวคนรักไปอยู่ในอ้อมกอดชายอื่นอยู่ตั้งนานสองนานหรอกย่ะ
...อิฉันอินจัด แปลงร่างเป็นนางมารพราด้าในบัดดล



มาฟังกันต่อว่าลูกผู้ชายซึ่งไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆจะจัดการกับสาวหัวดื้อคนนี้ให้กลับคืนมาสู่อ้อมกอดอย่างไรดีกว่า



“คุณอุเมกิต้องเข้าใจความรู้สึกของฉันแน่”
“คุณโซคิจิ!”
ชายหนุ่มผู้แสนสง่าผ่าเผยและมีหัวใจเดียวตลอดมายืนยันหนักแน่น
“ฉันมีเมียแค่คนเดียวคือเธอ”
หัวใจของคาโอรุสั่นไหวจากความจริงใจนี้ เธอรู้สึกราวกับกำลังจะยอมแพ้
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ”
คาโอรุฮึดกลับขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้กับการ ‘ทำโชยุ’”




โซคิจิเหมือนถูกน็อคเข้าปลายคางกับถ้อยคำนี้
เขาเคยถอยเพื่อคืนความสุขให้กับครอบครัวสาวอันเป็นที่รัก
แล้วครั้งนี้...จะให้เขายอมถอยเพื่อ ‘โชยุ’ ...อย่างนั้นหรือ!??


คาโอรุพยายามอธิบายให้ชัดเจน
“ฉันทิ้งอิริโจที่เพิ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่ไปไม่ได้”
“ก็...มีเอย์อิจิโรคุงอยู่แล้วทั้งคน” นายน้อยพยายามสู้ต่อทั้งๆที่กำลังเมาหมัด
“น้องชายฉันขาพิการนะ ฉันต้องอยู่ข้างๆคอยช่วยเหลือเขาต่อไป น้องชายฉันมีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะส่งโชยุไปขายต่างประเทศ ฉันอยากช่วยทำให้ความใฝ่ฝันของเขาเป็นจริง
นายน้อยชักได้กลิ่นของความพ่ายแพ้โชยมา


“ถ้าอย่างงั้น...จะให้ฉันรอถึงเมื่อไร” เสียงตัดพ้อของนายน้อยนั้นแสนรวดร้าวปนกล่าวหา
ใจของคาโอรุแทบขาดรอน เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมา ตะกุกตะกักออกมาว่า
“อะ...ขอ...ขอร้องล่ะค่ะ” สาวน้อยตัดใจร้องขอ “ได้โปรดลืมฉันเสียเถอะ”

...จะใจร้ายไปถึงไหนวะเนี่ย~!!


โซคิจิจับจ้องหญิงสาวที่ไม่กล้าสบตาเขาถ้วยซ้ำเมื่อหลุดคำพูดที่บาดลึกลงจิตใจออกมา ทำไมเขาจะไม่เข้าใจเธอ
ลูกผุ้ชายที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองเสมอมาไม่เคยแปรเปลี่ยน ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีกแล้ว เขาและเธอต่างรู้จักหัวใจของกันและกันดี




“คาโอรุ...รู้จักไม้หลักนำทางใช่ไหม” สายตาของนายน้อยยังแน่วแน่มั่นคง
คาโอรุเหลือบขึ้นมาอย่างแปลกใจในคำพูดนี้
คำพูดซึ่งริซึโกะเคยอวยพรให้เธอเมื่อครั้งที่เธอตัดสินใจตกลงแต่งงานกับอุเมกิ
“ฉันจะเป็นเหมือนกับไม้หลักนำทางเรือที่คอยดูแลคาโอรุและพวกเด็กๆตลอดไป”
ดวงตาดำคมกริบนั้นราวกับดึงให้หญิงสาวน้อยตรงหน้าด่ำดิ่งลึกสู่ก้นมหาสมุทร
“จะดูแลพวกเธอด้วยชีวิต...นั่นเป็นความต้องการของฉัน”




ถ้อยคำนี้สั่นสะเทือนหัวใจของคาโอรุไม่น้อย น้ำตาหยดน้อยไหลรินด้วยความรู้สึกไม่ขาดสาย
เพียงแต่ว่า...
ความดื้อรั้นครั้งนี้ของโซคิจิยังต้องพ่ายแพ้หัวใจอันมุ่งมั่นของคาโอรุ
เธอว่า...
“อย่าโกรธกันเลยนะคะ ฉันได้ยินคำภาวนาของบรรพบุรุษ คุณพ่อและอุเมกิซัง ชีวิตของโชยุมันสิงอยู่ในตัวฉันแล้ว”




โซคิจิจนถ้อยคำจะต่อกร เขารับรู้ถึงภาระความรับผิดชอบที่คาโอรุต้องแบกรับไว้
เขาไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว และยิ่งกับคาโอรุ...
ชายหนุ่มที่แสนมุ่งมั่นดึงดัน ไม่เคยยอมแพ้ผู้ใดมาตลอดทั้งชีวิต แต่เขากลับต้องยอมจำนนหัวใจต่อหญิงสาวตัวเล็กบอบบางผู้นี้ทุกครั้งไป


เส้นทางความรักของหนุ่มสาวที่โชคชะตาเล่นตลกกับคนทั้งคู่มาโดยตลอดนั้นต้องแยกห่างออกจากกันอีกครั้งอย่างงั้นหรือ~




โซคิจิยอมถอยหนึ่งก้าว
“อย่างงั้นหรือ” เขารำพึงออกมาด้วยความเจ็บช้ำ “เข้าใจแล้วล่ะ”



นายน้อยยืนยันต่อหน้าสาวน้อย
“ฉันจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว”
การยอมแพ้ง่ายดายครั้งนี้ตามความต้องการของคาโอรุแต่กลับ...ทำให้หัวใจเธอปวดร้าวยิ่งกว่า
“คุณโซคิจิ”
“ไปนะ” เสียงอ่อนโยนกล่าวลาโดยไม่หลงเหลือคำกล่าวหาในนั้นแม้สักนิด



อีกครั้งที่คาโอรุได้แต่มองตามหลังโซคิจิไปอย่างเงียบงัน
และเป็นอีกครั้งที่เธอทำร้ายจิตใจของเขา เมื่อเธอเลือกครอบครัวแทนหัวใจตนเอง





ณ ตระกูลโยชิทาเกะ
เกนซังยืนฟังอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
โทเนะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขันเมื่อรับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากโซคิจิ
นายน้อยทำได้แต่เพียงยกชาขึ้นมาดื่มระงับความขัดเขิน



“ถูกเขาปฏิเศษมา...น่าขายหน้าจริงๆ” โทเนะเยาะลูกชายตัวเอง
“อย่าไปบอกใครเชียวล่ะ ถูกบอกมาว่า ‘หลงรักโชยุ’ มากกว่าโซคิจิซังแบบนี้ ไม่รู้จะเอาหน้าไปตั้งไว้ที่ไหน” เกนซังพูดด้วยอารมณ์ปลงปนกลุ้มใจแทน
“พี่คงหว่านล้อมไม่ดีพอล่ะมั๊ง” เซนจังเสนอตัวขึ้นมา “เอางี้...พรุ่งนี้ผมจะไปเกลี้ยกล่อมให้เอง”
พี่ชายอย่างโซคิจิรีบร้องห้ามขึ้นมา
“อย่าทำแบบนั้นเชียวนะ!”



โทเนะจึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“โซคิจิ...อย่าบอกนะว่าลูกตัดใจจากเขาได้แล้วน่ะ”
“พูดเป็นเล่นไปได้” ลูกชายโพล่งสวนความในใจออกมา “ใครจะยอมตัดใจให้โง่”

....กรี๊ดดดดดด ฮ่า ฮ่า ฮ่า...นี่ล่ะนายน้อยที่อิฉันรู้จัก
สุภาพบุรุษอะไรนั้น ยัดเก็บลงกะเป๋าไปซะ~




เซนจังยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจในพี่ชาย
โทเนะร้องออกมาอย่างถูกใจเต็มที่
“ก็นั่นน่ะสิ...มันต้องอย่างนั้นสิ” นายหญิงแห่งโทงาวะกำหมัดอย่างภูมิใจในลูกชาย “จะได้ไม่เสียชื่อชาวประมง”
รอยยิ้มในแววตานายน้อยส่งออกมาบ่งชัดว่าเขาจะไม่ยอมถอยง่ายๆ
เกนซังรีบเสนอวางแผนการบุกชิงหัวใจสาวออกมา
“ถ้าอย่างงั้นเอาอย่างงี้...หาจังหวะดีๆอีกครั้งแล้วค่อยไปใหม่ละกัน”
“พูดได้น่าฟังดีนี่” โทเนะตบบ่าเกนซังอย่างชอบอกชอบใจในความคิดนี้



ความมั่นคงของโซคิจินั้นไม่มีทางทลายโดยง่ายเพียงแค่คำปฏิเศษของคาโอรุครั้งนี้
เขาคงยืนหยัดมั่นคงไม่ต่างจากวันวารที่สามารถชิงเจ้าหญิงของวงการโชยุมาสู่อ้อมกอดหนุ่มชาวเลเป็นผลสำเร็จ
นายน้อยไม่มีวันยอมแพ้และยิ่งไม่มีวันถอดใจ




ในขณะเดียวกันที่ร้านอิริโจ
เอย์อิจิโร่พ่อสื่อตัวดีนั้นกล่าวอย่างขัดใจในการกระทำของพี่สาว
“พี่นี่โง่จังเลย ไม่เข้าใจหรือไงว่าคุณโซคิจิมาขอแต่งงานด้วยความรู้สึกอย่างไร”
“พี่น่ะจะมีชีวิตอยู่เพื่อโชยุ ขอให้พี่ได้ทำงานอย่างสงบเถอะนะ”
“ไม่เอาด้วยหรอก” น้องชายเข้าสวมบทบาทของคุณพ่อทันที “ในฐานะที่ผมเป็นทายาทรุ่นที่ 12 ขอสั่งให้พี่ออกจากงานและก็ออกไปจากอิริโจด้วย”
คาโอรุหลุดรอยยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ
“เธอทำคนเดียวไม่ได้หรอก”
“คิดว่าผมไร้ความสามารถหรือยังไง” น้องชายชักจะน้อยใจ
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก” พี่สาวต้องรีบปลอบใจ “จนกว่าเธอจะแต่งงานแล้วมีทายาท แล้วการผลิตโชยุเข้ารูปเข้ารอยจนมีคำสั่งซื้อมาจากต่างประเทศแล้ว...พี่ก็จะขออยู่ที่นี่”
เอย์อิจิโร่คุงจึงเย้าขึ้นมาว่า
“ขืนรอนานขนาดนั้น พี่ต้องแก่ก่อนแน่”
“เพราะฉะนั้น เธอก็ต้องพยายามนะ” คาโอรุผลักดันน้องชาย
เอย์อิจิโรซาบซึ้งใยความใจดีของพี่สาว เขาเปรยขึ้นมา
“แล้วถ้าหากคุณโซคิจิไปแต่งงานกับคนอื่นแล้วจะทำยังไง”

คำพูดนี้ทำให้หัวใจของคาโอรุหวั่นไหวไม่น้อย
เพียงแค่นึกว่ามันอาจเป็นไปในรูปแบบนั้น หัวใจเธอก็แทบขาดรอน




“ถ้าเป็นอย่างนั้น...มันก็ช่วยไม่ได้” คาโอรุพยายามหลอกใจตัวเอง
แต่...รอยยิ้มที่พยายามฝืนไว้นั้นเหี่ยวแห้งลงราวกับดอกไม้ที่โดนแดดแผดเผา


เอยจังผู้เป็นพยานในความรักของพี่สาวคนนี้มาตั้งแต่ต้นเข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างนี้ สวนกลับมาว่า
“พูดอย่างงี้แสดงว่ายังรักเขาอยู่นี่นา”

ราวกับว่าหัวใจตนเองถูกกระชากออกมาตีแผ่ให้เห็นตรงหน้ากับคำพูดตรงไปตรงมาของเอย์อิจิโร่
ความพยายามหลอกตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จแม้คนอื่นรอบข้างยังมองออก





คาโอรุเดินขึ้นไปยังเขาอิตาโกะ
ท้องทะเลสีครามตัดกับเส้นขอบฟ้าส่องแสงประกายระยิบระยับ




คาโอรุฝันว่าสักวันหนึ่งทั่วโลกจะได้รู้จักกับรสชาติและกลิ่นหอมของโชยุ และรับรู้ถึงจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่น
และเมื่อความฝันนั้นเป็นจริงเมื่อไร
เธอก็หวังอยากให้โซคิจิมาขอตนเองแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง





ภาพความหลังตั้งแต่ครั้งแรกที่สองหนุ่มสาวที่แตกต่างกันทางสังคมได้พบเจอกัน


หนุ่มน้อยเดินตรงมาหาอย่างทระนง ก้มลงใช้ปากกัดเอาเสี้ยนที่มือสาวน้อยออกโดยไม่ฟังเสียงร้องปฏิเศษ
....เพียงแค่วินาทีนั้น หัวใจของทั้งสองก็หลอมหลวมเข้าด้วยกัน มิอาจแยกจากกันได้แม้เพียงเศษเสี้ยว





สาวน้อยอิงแนบบนหลังอันแข็งแกร่งของชายหนุ่มท่ามกลางปุยหิมะสีขาวโปรยปรายครั้งที่พบกันโดยบังเอิญเมื่อเธอหกล้มจนขาแพลง
...หัวใจอันเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะของทั้งสอง ต่างดำเนินท่วงทำนองเดียวกันในครานั้นที่ต่างภาวนาให้หนทางทอดยาวไกลกว่าที่มันควรเป็น








จูบแรกของสาวน้อยที่มีพระจันทร์ทอแสงเป็นประจักษ์พยาน ณ ชายหาดโทงาวะ
...ที่ทำให้หัวใจของทั้งสองไม่ยอมรับความแตกต่างทางสังคมอีกต่อไป





เมื่ออุปสรรคที่ร่วมฝ่าฝันกันมาทลายลงไป
เจ้าสาวแสนสวย มีเจ้าบ่าวเคียงข้างอย่างภาคภูมิใจ
...ในที่สุดเส้นทางความรักของคนทั้งคู่ก็มาประจบเป็นเส้นเดียวกันจนได้








ความหลังครั้งอิตาเกะที่ผัวหนุ่มเมียสาวได้เดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกัน
...คือความทรงจำอันแสนสุขที่ฝังใจไม่รู้ลืม




จากนั้นโชคชะตาก็เริ่มเล่นตลกแยกทั้งสองห่างกันอย่างโหดร้ายกว่าจะได้กลับมาพบเจอกันแต่ก็ต้องพรากจากกัน
ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าที่จะก้าวเดินตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ
เส้นทางคนรักสองคนจึงห่างกันไกลไปทุกที


แต่แล้ว...ราวกับเทพเจ้าเบื้องบนเล่นตลกจนพอใจแล้ว
กระดาษเนื้อคู่ที่ฉีกแล้วโปรยลงมาตั้งแต่ครั้งแรก จึงสามารถกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง




ความรักคือผู้มาเยือนที่มีภัย




สายตาคาโอรุทอดไกลไปยังท้องทะเลเบื้องล่าง
ไม่ไกลนั้น....
เรือสีขาวลำน้อยแล่นออกมาราวกับนกนางนวลโบกบินท้าทายระลอกคลื่น
นายน้อยโยชิทาเกะแห่งโทงาวะยืนหยัดอย่างทระนง






แต่ทว่าเราทุกคนต่างก็รอคอยความรัก ชีวิตที่ไม่ได้พบกับความรักนั้นจะมีแต่ความว่างเปล่าและเงียบเหงา



เส้นทางความรักของสาวน้อยโรงโชยุและหนุ่มน้อยชาวประมง เริ่มออกเดินทางเคียงข้างจนมาบรรจบ...อีกครั้งในสักวัน









Love is not love which alters when it alteration finds.
~William Shakespeare








Create Date : 15 สิงหาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2552 15:44:38 น. 4 comments
Counter : 1257 Pageviews.

 
วันนี้นึกอย่างไรไม่รู้ ปิดเน็ท มาดูคาโอรุ กับนายน้อยทันที ดีใจ อยากจะกรี๊ดให้ดังๆๆ เค้ากับมาแล้ว นายน้อยต้องพูดว่า i will be back จ้า

ลุ้นตัวโกงเลย อะ ขอบคุณจขบ ที่นำเรื่องสนุกๆ มานำเสนอ ช๊อบชอบ รักนายน้อย อะ ชอบกลอนเปิดคะ


โดย: dolores วันที่: 15 สิงหาคม 2552 เวลา:20:27:50 น.  

 


ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ

ส่งกำลังใจให้ร้อยพันเท่าเช่นกันค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:2:20:47 น.  

 
หวัดดีจ๊ะ แหมแรงรักของนายน้อย ทำให้เราปลื้มสุดสุด ดีใจจังที่นำนายน้อยไปฝาก รักแท้ย่อมไม่แพ้สิ่งใด ไม่ต้องรีบนะ รอชมเรื่องใหม่คะ


โดย: dolores วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:19:45:23 น.  

 
หวัดดีวันเสาร์คะ


โดย: dolores วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:7:30:22 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.