ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [? ]
ปลาหมึกน้อย กับ นายโอเลี้ยง รายงานตัวครับ เนื่องด้วยเราสองคนเป็นคนชอบเที่ยว ชอบกิน ดังนั้นก็เลยจัดการหาที่เก็บสถานที่หรือร้านอาหารที่เคยแวะเยี่ยมมาแล้ว และเสมือนเป็น ไดอารี่ส่วนตัว ที่ทุกคนเข้าดูได้ อาจจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่ผ่านเข้ามาแล้วต้องการหาข้อมูลสำหรับสถานที่นั้นๆ ขอให้สนุกกับ Blog นี้นะ ตอนนี้ Eat and Travel Diary by ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง มี fan page เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อครับ ถ้าใคร "ถูกใจ" blog นี้ ฝากช่วยกด "Like" กันนะครับ จะได้ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ^_^ Click ข้างล่างได้เลยจ้า
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30
เยือนถิ่นเมืองเพชร เขตสามพระราชวัง ดินแดนทะเลงาม และแหล่งธรรมชาติสวย
จังหวัดเพชรบุรี ขึ้นหัวมาอย่างนี้ทุกๆ คนคงนึกถึง ชายหาดชะอำ ทะเลยอดนิยมรองลงมาจากหัวหิน และพัทยา ใช่ไหมครับ? หรือว่าจะเป็น เขาวัง และก็ มฤคทายวัน พระราชวังสีหวาน ที่เป็นที่รู้จักกันดีในห้อง Blue Planet แต่วันนี้ผมมีโอกาสได้พาแม่ไปเที่ยวที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งแม่เคยไปแต่ชะอำเหมือนกัน ดังนั้นผมเลยขออาสาเป็นไกด์พาแม่เที่ยวจังหวัดเพชรบุรีแบบเต็มๆ สักครั้ง หากจะพูดถึงชะอำแล้วผมก็เคยไปมาแล้วหลายครั้งมาก โดยเฉพาะ 3 ที่ที่ได้บอกไว้ข้างบน ดังนั้นครั้งนี้พาแม่ไปเที่ยวทั้งที เลยจัดทริปพิเศษ พาแม่เที่ยวเมืองเพชรบุรี ไปในหลายๆ ที่ที่ผมยังไม่เคยไปบ้างดีกว่า ก็เลยต้องหาข้อมูลค่อนข้างเยอะ กระทู้นี้เลยขอทำเป็นกระทู้ City Review ซะเลยนะครับ เลยขอแชร์ข้อมูลที่หามาได้ มาให้เพื่อนๆ ได้ไว้ดูเป็นความรู้เล่นๆ นะครับ "เขาวังคู่บ้าน ขนมหวาน เมืองพระ เลิศล้ำศิลปะ แดนธรรมะ ทะเลงาม" คือ คำขวัญคู่จังหวัดเพชรบุรีมาช้านาน ซึ่งจากคำขวัญนี้เป็นการรวมเอาแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดนี้มาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังที่สวยงามของ 3 ราชวงศ์จักรี หรือว่าเป็นเมืองเก่าที่มีวัดที่สวยงาม และมีประวัติความเป็นมายาวนาน รวมทั้งยังมีชายหาดที่สวยงามไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว นอกจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมากมายแล้วที่จังหวัดเพชรบุรียังเป็นที่รวมตัวของช่างศิลปะจำนวนมาก ที่มีมานานหลายยุคหลายสมัย ซึ่งได้สร้างสรรผลงานทางศิลวัฒนธรรมของเมืองเพชรไว้อย่างสวยงาม การเดินทางมาที่เพชรบุรีก็ง่ายมากครับ เพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ซึ่งสามารถขับรถไปเช้า - เย็นกลับ หรือจะเลือกค้างแรมซัก 1 คืน ก็จะเหมาะมากสำหรับการมาเยือนที่นี่ หากขับรถมาเองสามารถมาได้ 2 ทางคือ 1. เส้นทางนครปฐม - ราชบุรี - เพชรบุรี ใช้ ถ.บรมราชชนนี หรือถนนคู่ขนานลอยฟ้า จากเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ผ่านเขตตลิ่งชัน แยกพุทธมณฑลสาย 2 แยกพุทธมณฑลสาย 4 จนไปบรรจบกับ ถ.เพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ซึ่งตรงมาจากท่าพระ บางแค หนองแขม อ้อมน้อย จนถึง อ.นครชัยศรี จากนั้น มุ่งตรงผ่าน นครปฐม ราชบุรี และเข้าสู่ เพชรบุรี รวมระยะทาง จนถึงตัวเมืองเพชรบุรี ประมาณ 166 กม. หรือ จะเลือกอีกเส้นทาง ซึ่งผมใช้เส้นทางนี้เป็นประจำเนื่องจากเดินทางสะดวกที่สุดคือ 2. เส้นทางสมุทรสาคร - สมุทรสงคราม - เพชรบุรี ใช้ ถ.พระราม 2 (ทางหลวงหมายเลข 35) โดยขึ้นทางด่วนข้ามสะพานพระราม 9 มุ่งสู่ดาวคะนอง แล้วเลือกไปทาง สมุทรสาคร สมุทรสงคราม จนบรรจบกับ ถนนเพชรเกษม ที่บริเวณแยกวังมะนาว เข้าสู่ เพชรบุรี รวมระยะทาง จนถึงตัวเมืองเพชรบุรี ประมาณ 121 กม. หรือจะเดินทางโดยรถประจำทางเช่นรถไฟ จากหัวลำโพง หรือรถทัวร์ที่สายใต้ใหม่ (ถนนบรมราชชนนี) หรือที่สะดวกอย่างมากในปัจจุบันคือ รถตู้โดยสาร ที่วิ่งร่วมกับ บขส. โดยสามารถขึ้นได้ที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีหลายเจ้าให้เลือกใช้บริการ ตามลิงค์ด้านล่างเลยครับ ^^ //www.rottourthai.com/showthread.php?t=2491 ขอบคุณแผนที่จาก //www.thai-tour.com ด้วยครับ ครั้งนี้ตั้งใจพาแม่มาเที่ยวทั้งที เลยขอเน้นพาไปวัดไปวาเยอะหน่อยครับในทริปนี้ เพราะเท่าที่รู้มาจังหวัดเพชรบุรีมีวัดดังๆ มากมาย โดยที่ผมก็ยังไม่เคยไปสักครั้ง ครั้งนี้เลยถือโอกาสไปไหว้พระทำบุญด้วยเลยครับ โดยที่แรกที่จะพาไป อยู่ใน อ.เขาย้อย ซึ่งอยู่บนถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ได้ ซึ่งใน อ.เขาย้อย นี้มีวัดที่เคยได้ยินชื่อมานานแล้ว ก็คือ วัดกุฎิ ตั้งอยู่ที่ ต.บางเค็ม เลยจากแยกวังมะนาวมาไม่ไกลเท่าไร ประมาณ 4 กม. จะมีทางเข้าอยู่ริมถนนเพชรเกษม หรือก่อนถึงที่ว่าการอำเภอเขาย้อยประมาณ 6 กม. เข้าไปทางป้ายวัดประมาณ 1 กม. ก็จะเจอกับวัดกุฏิ ซึ่งหาได้ไม่ยาก ที่วัดแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอเขาย้อย นอกจากถ้ำเขาย้อยแล้ว เนื่องจากมีอุโบสถที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ฝาไม้สักแกะสลักโดยรอบโบสถ์แห่งนี้ประดับติดต่อกันโดยรอบ แกะสลักลวดลายไว้อย่างสวยงามมากๆ ลวดลายส่วนใหญ่จะป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกและทศชาติ แต่ว่ายังมีฝาหุ้มกลองด้านหลังโบสถ์เป็นนิยายจีนเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งมีรูปสลักพระถังซำจั๋ง เห้งเจีย ตือโป๊ยก่าย และ ซัวเจ๋ง ด้วย เนื่องจากว่าผู้ออกแบบและแกะสลักภาพนี้เป็นคนจีน และคงเห็นว่าการอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีปมีความสำคัญจึงให้การยกย่องไว้ร่วมกับชาดกอื่นๆ หลังจากผ่าน อ.เขาย้อย ก็มุ่งหน้าไปยังตัวเมืองเพชรบุรีกันครับ ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย เอาแผนที่ในเมืองเพชรบุรีมาแปะให้ดูครับ เผื่อใครสนใจ ขอบคุณแผนที่ จาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ครับ ^^ มาถึงเมืองเพชรบุรีทั้งที เลยพาแม่ไปศักการะ ศาลหลักเมือง ซึ่งแต่ก่อนผ่านไปผ่านมา ไม่เคยแวะไปซักที ครั้งนี้เลยขอแวะกราบเพื่อเป็นศิริมงคลซะหน่อย ศาลหลักเมืองเพชรบุรี ตั้งอยู่บริเวณสามแยกเชิงเขาวัง หรือ อยู่ตรงข้ามกับทางที่ใช้เดินขึ้นเขาวังครับ ศาลหลักเมืองแห่งนี้กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบและสร้างขึ้นเมื่อปี 2519 โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จมาทรงพระสุหร่ายและทรงเจิมยอดเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2520 หลังจากกราบขอพรศาลหลักเมืองเพื่อความเป็นศิริมงคลแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไปยังที่หมายต่อไปคือ ถ้ำเขาหลวง ซึ่งอยู่ในตำบลธงชัย ห่างจากเขาวังประมาณ 5 กม. ถ้ำแห่งนี้สร้างอยู่บนเนินเขาขนาดเล็ก มียอดสูงเพียง 92 เมตร ดังนั้นการเดินทางขึ้นไป จึงไม่ลำบากนัก ทางขึ้นนั้นลาดชันไม่มากนัก สามารถใช้รถหรือเดินขึ้นไปก็ได้ วัดถ้ำแห่งนี้มีอายุได้ราวร้อยปีเท่านั้น สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้บูชา และมีพระพุทธไสยาสน์ขนาด 6 ม. รวมทั้งพระพุทธรูปเก่าแก่มากมายประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ จุดเด่นที่สำคัญของถ้ำเขาหลวงก็คือ แสงที่ลอดผ่านช่องด้านบนถ้ำนั้น จะมีลำแสงที่สาดลงมาอย่างสวยงาม และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายรูปแนะนำให้ไปช่วงประมาณ 11 โมง แสงจะสาดเข้ามาสวยงามที่สุด นอกจากความสวยงามภายในถ้ำแล้ว เขาหลวงยังเป็นสถานที่ที่มีลิงอยู่มากมาย ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นจึงถือโอกาสใช้เป็นที่ให้อาหารลิงสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งมีอาหารขายถุงละ 20 บาท สามารถให้อาหารลิงที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ ซึ่งมีจำนวนมากมาย ลิงที่นี่ไม่ดุร้ายมากนัก หากนักท่องเที่ยวไม่ไปแกล้งเค้าก่อน แต่ผู้ที่กลัวลิงแนะนำให้อยู่ใกล้คนรู้ใจที่สุดครับ จะได้ช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย อิอิ ปล.ที่นี่มีเก็บค่าดูแลที่จอดรถคันละ 10 บาท ซึ่งจะมีคนดูแลไม่ให้ลิงเข้ามาวุ่นวายกับรถ หลังจากไปชมความสวยงามในถ้ำแล้ว ก็ชวนแม่ไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในตัวเมืองเพชรบุรี นั่นก็คือ "อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี" หรือ ที่ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆ ว่า "เขาวัง" การขึ้นไปยังด้านบนของเขาวังนั้นสามารถเดินขึ้นไปได้ ซึ่งทางเดินขึ้นจะอยู่ตรงฝั่งศาลหลักเมือง หรือ จะเลิอกขึ้นไปโดยรถรางไฟฟ้า ซึ่งทุกครั้งผมก็ขึ้นรถรางไฟฟ้าครับ เพราะสะดวกแล้วก็ไม่เมื่อยด้วย อิอิ ค่าบริการรถรางไฟฟ้านั้น ผู้ใหญ่ 40 บาท ส่วนเด็ก 15 บาท ราคารวมขึ้น - ลง เรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญราคาเดียวกันทั้งคนไทย และต่างชาติ เขาวัง เป็นโบราณสถานเก่าแก่คู่เมืองเพชรบุรีมานาน ตั้งอยู่บนยอดเขา 3 ยอด ยอดที่สูงที่สุดสูง 95 เมตร ซึ่งเดิมชาวบ้านเรียกภูเขาแห่งนี้ว่า "เขาสมน" ด้วยความสูงของยอดเขาแห่งนี้ จึงเหมาะสำหรับเป็นจุดชมวิวในตัวเมืองเพชรบุรีได้เป็นอย่างดี พระนครคีรีเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพอพระราชหฤทัยที่จะสร้างพระราชวังสำหรับเสด็จแปรพระราชฐานขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้ โดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นแม่กองก่อสร้าง จนแล้วเสร็จเมือปี 2403 จุดแรกที่ควรไปทำความรู้จักคือ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี" ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่ที่สุด ภายในจัดแสดงเครื่องราชูปโภค และ พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ เป็นที่ประดิษฐานพระแท่นบรรทมในรัชกาลที่ 4 และ 5 ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คนละ 20 บาท ซึ่งข้างในมีความสวยงามมาก แต่ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพนิ่ง และ ภาพเคลื่อนไหวด้านในพิพิธภัณฑ์ ปล. สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ //www.thailandmuseum.com/pranakhonkiri/collection.htm หลังจากนั้นก็เดินไปยัง พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท แล้วก็เดินต่อมายังพระที่นั่งราชธรรมสภา ซึ่งสร้างด้วยศิลปะแบบผสมระหว่าง ไทย จีน และตะวันตก คือมีรูปทรงอาคารคล้ายเก๋งจีน แต่ตกแต่งแบบไทยและตะวันตก ใกล้กันก็มี หอชัชวาลเวียงชัย เป็นหอทรงกลม สูงสองชั้น หลังคาโค้ง เป็นจุดชมวิวอย่างดีเลยครับ จากจุดนี้สามารถมองเห็น วัดพระแก้ว ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาทางทิศตะวันออก ได้อย่างชัดเจน สร้างขึ้นเป็นวัดในเขตพระราชฐานเช่นเดียวกับวัดพระแก้วในพระบรมมหาราชวัง ครับ สถานที่สวยงามแบบนี้ทำให้นักท่องเที่ยวมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเยือน ไม่เชื่อลองถาม 2 หนุ่ม นี้ดูสิครับ ที่เขาวังแห่งนี้ มีลิงมากเหมือนที่ถ้ำเขาหลวง แต่เห็นหน้าตาซื่อๆ แบบนี้ อย่าไว้ใจเชียวนะครับ ถ้ามีอาหารในมือ หรือของที่เค้าสามารถแย่งได้เนี่ย จะเป็นผลอย่างนี้ครับ คือผมเห็นน้องๆ 3 คนนั่งรอเจ้าลิงตัวนี้คืนเสื้อคลุมให้พวกเค้าอยู่ แต่ไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร อ่ะ แนะนำให้ระมัดระวังสักเล็กน้อยนะครับ หลังเดินเล่นชมความสวยงามบนเขาวังจนเหนื่อย ก็นั่งรถรางลงมาที่รถ โดยใช้ตั๋วที่ซื้อตอนขึ้นมาครับ แต่ถ้าใครเดินขึ้นมาก็สามารถซื้อตั๋วเฉพาะขาลงได้เช่นกันนะครับ จะได้ไม่เหนื่อยมาก อิอิ ลงมาแล้วก็ขับรถไปรอบๆ เขาวัง เพราะใกล้ๆ จะมีวัดดังๆ อยู่มากมาย วัดแรกที่จะพาไปคือ "วัดพุทธไสยาสน์" หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดพระนอน" วัดพระนอนตั้งอยู่เชิงเขาวังด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ บนถนนคีรีรัฐยา ไม่ไกลจากศาลหลักเมือง เป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยา ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่มีลักษณะงดงามและมีขนาดใหญ่ สร้างด้วยอิฐตลอดทั้งองค์และลงรักปิดทอง เป็นฝีมือของช่างสมัยอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ มีความยาวถึง 21 วา 3 ศอก หรือประมาณ 43 ม. ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสี่พระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ด้านข้างโบสถ์พระนอน ยังมีพระพุทธฉาย ที่สวยงามอยู่ นอกจากนี้ภายในโบสถ์ของวัดพระนอนยังประดิษฐาน พระพุทธรูปยิ้ม ซึ่งเป็นพระประธานของโบสถ์แห่งนี้ ไว้ให้สาธุชนได้กราบไหว้บูชา เสร็จแล้วก็ขับรถต่อมาอีกเล็กน้อย ก็จะพบกับ "วัดมหาธาตุวรวิหาร" หรือที่ชาวบ้านเรียกสั้นๆ ว่าวัดมหาธาตุ ตามที่โบราณเค้าถือว่า เมืองใดที่มีวัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน ของพระบรมสารีริกธาตุ ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญ วัดมหาธาตุจึงเป็นวัดที่สำคัญที่อยู่ใจกลางเมือง วัดนี้ก็เช่นกันอยู่กลางเมืองเพชรบุรี วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะสร้าง สมัยทวารวดี - สุโขทัย มีอายุราว 800 - 1,000 ปี โดยประมาณ เนื่องจากขุดพบซากอิฐสมัยทวารวดีอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีพระปรางค์ 5 ยอด เป็นสัญลักษณ์ สูงตระหง่านในเขตพุทธาวาส สามารถมองเห็นได้แต่ไกลทั้ง 4 ทิศ ซึ่งมีความสวยงามอย่างมาก รวมทั้งเป็นที่รวบรวมช่างฝีมือเมืองเพชรที่มาซ่อมแซมวัดแห่งนี้ ภายในโบสถ์ ประดิษฐานพระพุทธรปศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง เพชรบุรีถึงสามองค์ คือ หลวงพ่อมหาธาตุ หลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อเขาตะเครา นอกจากนี้ยังมีความสวยงามของลวดลายภายในโบสถ์ ของช่างฝีมือเก่าแก่ของเมืองเพชร เบื่อวัดกันหรือยังเอ่ย จะขอพาไปอีกวัดนึงครับ เป็นวัดที่มีความสวยงามเป็นอย่างยิ่งอีกแห่งหนึ่งของ จังหวัดเพชรบุรี นั่นก็คือ "วัดใหญ่สุวรรณาราม" หรือที่ชาวเมืองเพชร เรียกกันสั้นๆ ว่า "วัดใหญ่" วัดใหญ่สุวรรณาราม จัดเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร อยู่ที่ ต.ท่าราบ อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 1 กิโลเมตร วัดแห่งนี้สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระอาจารย์ท่านได้บอกว่า วัดแห่งนี้ใช้เป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "สุริโยทัย" ด้วยนะครับ เพราะเป็นวัดที่มีความสวยงาม และมีกลิ่นอายของอยุธยาเป็นอย่างยิ่ง ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานของะนธารราษฎร์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงอัญเชิญมาจาก กทม. นอกจากนี้ด้านหน้าพระประธานยังมีพระรูปหล่อพระสังฆราชแตงโมประดิษฐานอยู่และมีบาตร ที่ทรงเคยใช้เก็บอยู่ตู้ข้างๆ ด้วย ประวัติของพระสังฆราชแตงโม อ่านได้ตามลิ้งค์ข้างล่างนะครับ ^^ //www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-tangmo.htm ภายในโบสถ์ยังมีภาพจิตรกรรม ที่เขียนในสมัยอยุธยา ปัจจุบันยังอยู่ในสภาพดี ซึ่งยังไม่เคยได้รับการซ่อมแซมเลย ซึ่งเขียนเป็นรูปเทพชุมนุมเรียงซ้อนกัน 5 ชั้น ด้านหลังพระประธานคือ พระพุทธรูปขนาด 6 นิ้ว ซึ่งเป็นพระประธานองค์เดิม ของที่นี่ครับ ด้านนอกยังมีศาลาการเปรียญ ซึ่งเป็นไม้สักทั้งหลัง ที่พระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยา พระราชทานแด่พระสังฆราชแตงโมในคราวที่ถวายพระพรลาจาก กรุงศรีฯ กลับมาอยู่ที่วัดใหญ่แห่งนี้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านเอง รวมทั้งยังมีหอระฆังเก่าแก่ที่ยังคงมีความสวยงามอยู่เช่นกัน วัดสุดท้ายที่จะพาไปชม เป็นวัดที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าที่ เพชรบุรี จะมีวัดแห่งนี้ นั่นก็คือ "วัดกำแพงแลง" หรือ วัดเทพปราสาทศิลาแลง วัดกำแพงแลง อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 2 กม. วัดนี้เดิมเป็นเทวสถานในสมัยขอม สร้างตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ ต่อมาเมื่ออิทธิพลของศาสนาพุทธได้แผ่ขยายเข้ามาในบริเวณนั้น จึงได้ดัดแปลงเทวสถานแห่งนี้เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน และหินยาน ตามลำดับ เทวสถานที่สร้างขึ้น เดิมมีปรางค์ 5 หลัง ทำด้วยศิลาแลง ปัจจุบันเหลือเพียง 4 หลัง ปราสาทวัดกำแพงแลงมีผังพื้นล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายในกำแพงศิลาแลงเป็นที่ตั้งของปราสาทศิลาแลงแบบศิลปะเขมรทั้งหมด 4 องค์ ปราสาท 3 องค์ทางด้านหน้าวางตัวเรียงกันในแนวเหนือ-ใต้ โดยปราสาทประธานมีขนาดสูงใหญ่กว่าอีก 2 องค์ ส่วนปราสาทองค์ที่ 4 ตั้งอยู่ด้านหลังของปราสาทประธานด้านทิศตะวันออก และมีโคปุระ (ซุ้มประตูทางเข้า) 1 หลังที่มียอดเป็นปราสาท ภายในกำแพงศิลาแลงยังพบสระน้ำอยู่ชิดขอบกำแพงทางทิศตะวันออกด้วย ภายในปราสาทประดิษฐานพระพุทธโบราณไว้ทุกหลัง เช่นเดียวกับ หลวงพ่อเพชร องค์นี้ รวมทั้งหลวงพ่อนิล ด้วยครับ ขอพาออกจากวัด เพื่อไปยัง พระราชวังแห่งที่ 2 ของจังหวัดเพชรบุรีครับ ซึ่งยังคงอยู่ในตัวเมืองเพชรบุรี นั่นก็คือ พระรามราชนิเวศน์ หรือที่ชาวเมืองเพชรเรียกว่า พระราชวังบ้านปีน เนื่องจากตั้งอยู่ใน ต.บ้านปืน พระราชวังแห่งนี้อยู่ปลายถนนดำเนินเกษม ตัดกับ ถนนดำรงรักษ์ หากมาจากตัวเมืองจะมีป้ายบอกทางตลอดครับ พระราชวังแห่งนี้ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น. หากเข้าไปด้านในพระราชวัง มีค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ไม่แพงเลยครับ พระราชวังแห่งนี้ เป็นพระราชวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อเสด็จประพาสจังหวัดเพชรบุรี โดยมีพระประสงค์จะให้เป็นพระราชวังที่ใช้ประทับยามหน้าฝน และมีพระบัญชาให้ คาร์ล ซีกฟรีด เดอห์ริง (Karl Siegfried Dohring) ผู้เคยออกแบบ วังบางขุนพรหม วังวรดิศ และวังพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐมาแล้ว เป็นสถาปนิกออกแบบ พระตำหนักได้ใช้ลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบบาโรค (Baroque) และแบบอาร์ต นูโว (Art Nouveau) หรือที่เยอรมันเรียกว่าจุงเกนสติล(Jugendstil) ตัวพระตำหนักจะเน้นความทันสมัยโดยจะไม่มีลายปูนปั้นวิจิตรพิศดารเหมือนอาคารในสมัยเดียวกัน ปล. ภายในอาคารห้ามบันทึกภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวนะจ๊ะ มุมนี้ถ่ายจากระเบียงชั้น 2 ของพระราชวัง ลงมายังลานด้านหน้า การก่อสร้างพระที่นั่งแห่งนี้ มาสำเร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2461 และพระราชทานนามว่า พระที่นั่งศรเพ็ชรปราสาท และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนาม "พระราชวังบ้านปืน" โดยพระราชทานนามพระราชวังใหม่ว่า พระรามราชนิเวศน์ หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจภายในตัวเมืองเพชรบุรีแล้ว ก็ขอมุ่งหน้าไปยัง อ.ชะอำ ซึ่งเป็นจุดหมายที่จะไปพักค้างคืนที่นั่นครับ โดยสามารถขับรถออกมายัง ถนนเพชรเกษม เพื่อมุ่งหน้าไปยัง ชะอำ ได้ หรือเลือกที่จะขับรถเลียบไปตามชายหาด เพื่อชื่นชมธรรมชาติ 2 ข้างทาง ซึ่งผมก็เลือกขับรถเลียบทางชายหาดเจ้าสำราญ ไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ให้แม่ได้ชื่นชมธรรมชาติได้อย่างสบายตา ซึ่งหาดปึกเตียนจะอยู่ห่างจากหาดเจ้าสำราญประมาณ 8 กม. ซึ่งถนนแห่งนี้จะผ่านชายหาดที่สำคัญอีกแห่งคือ หาดปึกเตียน ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นพระอภัยมณี นางผีเสื้อสมุทร สุดสาครและม้ามังกร ศาลเจ้าแม่กวนอิมและเกาะเต่า นอกจากนั้นยังมีที่พัก ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกมากมายครับ หาดแห่งนี้สามารถลงเล่นน้ำได้เช่นกันครับ หลังจากแวะที่หาดปึกเตียน ก็ขับรถเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ โดยจะมีป้ายบอกทางไปยัง อ.ชะอำเป็นระยะๆ ซึ่งผมตั้งใจจะพาแม่ไปทานอาหารทะเลแถวสะพานปลาที่ชะอำกันครับ ขับมาได้ไม่นานก็ถึงชะอำ โดยร้านที่จะพาไป เป็นร้านที่พี่ที่ทำงานเค้าแนะนำ เพราะอยู่ติดทะเล วิวสวย และอาหารก็ไม่แพงมากนัก ร้านที่จะพาไปทานอาหารทะเลในครั้งนี้ ชื่อร้าน "ครัวเม็ดทราย" ครับ บรรยากาศในร้านชิลๆ มากครับ เพราะอยู่ริมทะเล และวันที่ไปอากาศเย็นกำลังดี ไม่มีแดดเลย (เซ็งตรงที่ไม่มีแดดนี่แหละครับ ถ่ายรูปมาฟ้าเน่าตลอด T_T) กว่าจะไปถึงร้านก็บ่าย 2 กว่าแล้วครับ คนในร้านจึงไม่เยอะเท่าไร เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบเลย มาทะเลเหนื่อยๆ ก็สั่งต้มยำทะเลน้ำข้น มาซดให้ชื่นใจครับ รสชาตจัดจ้านดี ใช้ได้เลยครับ ชามนี้ราคา 180 บาท ครับ ต่อด้วยกั้งทอดกระเทียม เมนูแนะนำของที่นี่ มากันแค่ 2 คน ขอสั่งแค่ครึ่งโล ก็พอนะครับ จานนี้ก็สนนราคา 240 บาท (กิโลละ 500 บาท ครับ) สุดท้าย ไม่พลาดสำหรับ ปูทะเลเผา สั่งมาครึ่งโล ได้มา 1 ตัวพอดีครับ ปูทะเลเผาร้านนี้ กิโลละ 700 บาท จานนี้ไม่น่าเชื่อว่าครึ่งโลพอดี เค้าคิด 350 บาท ครับ (แต่คิดในใจว่าไม่น่าจะถึงครึ่งโลนะเนี่ย) จากนั้นก็สั่งข้าวเปล่าร้อนๆ มาทานกัน 2 คนแม่ลูก ครับ อิ่มหนำสำราญกันไปเลย หลังจากจัดการกับมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเดินทางไปยังที่พักที่จองไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่พักที่ชายหาดชะอำ มีหลายราคา ตั้งแต่บังกะโล ราคาหลักร้อย ไปจนถึงโรงแรม 5 ดาว ราคาหลักพันถึงหลักหมื่น ก็มีให้เลือกตามความต้องการของแต่ละคน แต่ครั้งนี้นานๆ จะพาแม่มาเที่ยวทะเลสักที เลยขอพาแม่ไปพักที่ดีๆ หน่อยนะครับ โรงแรมนี้ผ่านมาตั้งหลายครั้ง และพี่ที่ทำงานเคยมาพัก เลยขอมาพักที่นี่บ้าง ภาพ Lobby ตอนกลางคืนครับ โรงแรมนี้อยู่บนชายหาดชะอำ เดินทางสะดวก และก็ติดหาดซึ่งมีเพียงถนนเส้นเล็กๆ กั้นเท่านั้นเองครับ ห้องที่เข้าพัก เป็นห้อง SUITE@POOL เป็นห้องขนาด 54 ตร.เมตร ที่ธารามันตราแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทีเดียว มีสระว่ายน้ำ 3 สระ แบ่งเป็นสระที่อยู่ที่ชั้น 1 ชั้น 2 และชั้นที่ 3 ครับ หลังจากเที่ยวกันมาทั้งวัน ก็ได้พาคุณแม่พักผ่อนในโรงแรมทั้งวัน และพาไปเดินเล่นที่ชายหาดชะอำด้วยครับ ดูท่าทางท่านมีความสุขมากๆ ในตอนเช้าตั้งใจมาเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นอย่างเต็มที่ แต่เสียดายมากๆ ที่ท้องฟ้าปิดหมดเลย ทำให้ไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวของไข่แดงเลยครับ ในยามเช้าแบบนี้ น้ำลงค่อนข้างมาก ทำให้สามารถเดินเล่นริมหาดได้อย่างเต็มที่ ต้นสนทะเล ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของหาดชะอำไปแล้ว ที่หาดแห่งนี้มีเตียงผ้าใบให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งหลาย แต่ก็ไม่เยอะเท่ากับที่บางแสน ซึ่งทำให้ดูสบายตากว่ามากๆ ชายหาดชะอำเป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของ เพชรบุรี เนื่องจากมีหาดทรายที่ขาวสะอาด และมีชายฝั่งที่ยาว สามารถเล่นน้ำได้อย่างเต็มที่ เรือกล้วย หรือ banana boat ยังเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีคนใช้บริการอยู่หลายรายเลยครับ นอกจากนี้ยังมีคนเลี้ยงม้า ไว้บริการให้นักท่องเที่ยวขี่เล่นริมหาด หรือเพื่อไว้ถ่ายรูป หลังจากพักผ่อนที่ชายหาดชะอำอย่างเต็มที่แล้ว วันที่ 2 ผมก็พาแม่ไปเที่ยวชมพระราชวังแห่งที่ 3 ของ เพชรบุรี ซึ่งเป็นพระราชวังที่มีคนนิยมไปเที่ยวชมมากที่สุด นั่นก็คือ "พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน" พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี เป็นพระราชวังสร้างในสมัยร.6 ตั้งอยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก ริมถนนเพชรเกษม เลยไปยังทางที่จะไปหัวหิน ก่อนเข้าเยี่ยมชมพระราชวัง คนที่พกกล้องใหญ่อย่างผม ต้องมีการลงทะเบียนกล้องก่อนจึงจะเข้าชมด้านในได้ครับ การเข้าชมในบริเวณ จะเสียค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท เด็ก 15 บาท โดยจะเดินเข้าไป หรือ เช่ารถจักรยาน ของทางค่ายพระรามหก ได้ โดยมีให้เลือกหลายแบบทั้งขี่คนเดียว ราคา 20 บาท/คัน หรือมีคนซ้อนท้าย 30 บาท/คัน และมีจักรยานที่สามารถขี่พร้อมกันได้ 2 - 3 คนไว้ให้บริการด้วยครับ ผมเคยมาที่นี่บ่อยมาก มาได้ทุกปี และก็มีการเปลี่ยนแปลงการให้บริการตลอด ล่าสุดนี้มีการแบ่งการเข้าชมสำหรับด้านบนพระราชวัง จะแบ่งเป็นรอบ เข้าชมได้รอบละ 30 นาที แต่ด้านล่างสามารถเข้าชมได้ตลอดเวลา โดยจะมีแผนผังของพระราชวังแห่งนี้ให้ไว้ศึกษาด้วย พระราชนิเวศน์มฤคทายวันเป็นหมู่อาคารที่วางเรียงกันตามความยาวของชายหาด แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ประทับทางทิศใต้ และส่วนที่อยู่ของข้าราชบริพารทางทิศเหนือ ส่วนที่ประทับนั้น มีรั้วล้อมสามด้าน ภายในมีพระที่นั่งสามหมู่ คือ พระที่นั่งสมุทรพิมาน เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งพิศาลสาคร เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรชายา และพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ เป็นท้องพระโรงและโรงละคร ที่สำคัญการเข้าชมที่นี่จะต้องแต่งกายอย่างสุภาพ ห้ามนุ่งสั้นเกินกว่าเข่า ซึ่งทางพระราชวังจะมีผ้านุ่งสำหรับผู้ที่แต่งกายไม่สุภาพให้สวมใส่ก่อนเข้าชมภายใน บรรยากาศภายในร่มรื่น เหมาะสำหรับการพักผ่อนเป็นที่สุด ในบริเวณเดียวกันนี้ บ้านเจ้าพระยารามราฆพ ซึ่งเป็นอาคารโครงสร้างคอนกรีตผสมไม้ อยู่นอกรั้วส่วนที่ประทับไปทางทิศเหนือ มีแนวถนนเลียบไปตามแนวชายหาด ความจริงแล้วในวันที่ 2 นี้ผมพาแม่ไปเที่ยววัดในเมือง ซึ่งได้พูดถึงไปแล้วข้างต้น เพราะผมจัดให้มันอยู่ในลำดับที่เป็นที่เที่ยวในตัวเมืองเพชรบุรี จึงดูเหมือนว่าวันที่ 2 นั้นเที่ยวไม่เยอะมากนัก แต่ทริปนี้เป็นทริปที่ทำให้ผมรู้จัก จังหวัดเพชรบุรีขึ้นอีกเยอะมากๆ ทริปนี้ทำให้ผมต้องหาข้อมูลค่อนข้างมาก เพราะอยากพาคุณแม่ไปเที่ยวให้ได้มากที่สุดครับ ซึ่งดูแล้วคุณแม่คงมีความสุขมากๆ ผมสัญญากับตัวเองว่าจะต้องพาท่านไปเที่ยวให้มากกว่าที่ผ่านมา เพราะว่าไม่รู้ท่านจะไปเที่ยวได้อีกนานแค่ไหน หากมีเวลาอยากพาท่านไปให้ได้มากที่สุดเลยครับ สุดท้ายต้องขอบคุณทุกๆ คนที่เข้ามาทักทายกันตลอด หวังว่ากระทู้นี้คงให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่เข้ามาดูบ้างนะครับ ซึ่งผมต้องขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย //thai.tourismthailand.org/where-to-go/cities-guide/destination/phetchaburi มูลนิธิวิกิมีเดีย สำหรับข้อมูลต่างๆ //th.wikipedia.org/ และหากคนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ ททท. สำนักงานเพชรบุรี โทร. 032-471005-6 ประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร. 032-428047
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2553 21:48:21 น.
2 comments
Counter : 10506 Pageviews.
โดย: penguin IP: 182.53.38.23 วันที่: 22 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:45:50 น.