โรคหอบหืด คืออะไร
พบคนไทยป่วยโรคหอบหืดกว่า 10-13% ชื่อโรคนี้เรียกตามอาการของคนไข้ อาการหอบหืดเกิดจากการหดตัวหรือตีบตันของช่องทางเดินหายใจส่วนหลอดลมทำให้อากาศเข้าสู่ปอดน้อยลง ปัจจัยที่ทำให้เกิดการตีบตันของหลอดลม คือ -การหดตัวของกล้ามเนื้อรอบ ๆ หลอดลม -การบวมอักเสบของเยื่อบุภายในหลอดลม -เสมหะจำนวนมากที่คั่งค้างอยู่ภายในหลอดลม การหดตัวของกล้ามเนื้อรอบ ๆ หลอดลมแท้จริงแล้วเป็นผลจากอักเสบของเยื่อบุหลอดลม การอักเสบส่วนใหญ่จะเป็นการอักเสบเรื้อรังเกิดจากภาวะที่มีการตอบสนองรุนแรง เกินเหตุ โรคนี้ต่างกับโรคอื่น ๆ คนไข้บางคนเป็นน้อยบางคนเป็นมากอาจเสียชีวิตได้ ภาวะที่กระตุ้นให้โรคกำเริบก็ต่างกันในแต่ละคนไข้ ตัวอย่างของภาวะหรือสิ่งที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ คือ การหายใจเอาสารที่แพ้เข้าไปในหลอดลม ภาวะติดเชื้อ โพรงจมูกักเสบ กลิ่นน้ำหอม ยาฆ่าแมลง กลิ่นอับ กลิ่นท่อไอเสีย กลิ่นบุหรี่ ภาวะอากาศเปลี่ยน การออกกำลังกาย โรคทางเดินอาหารบางโรค ภาวะแพ้ยา สารสี สารเคมีต่าง ๆ และภาวะเครียด ในเด็กที่เป็นโรคหอบหืดส่วนใหญ่สองในสามจะมีภาวะภูมิแพ้ด้วย แต่ในผู้ใหญ่ต่างกันที่ส่วนใหญ่จะไม่มีภาวะภูมิแพ้ ความเข้าใจผิดคือ ความเข้าในที่ว่าโรคหอบหืดเป็นผลจากภาวะภูมิแพ้เสมอไป โรคนี้คนเป็นกันมาก ตามสถิติแล้วประมาณ 10-13% ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในเด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงเล็กน้อย การวินิจฉัยโรคหอบหืดในเด็กทั่วไปแล้วจะยากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กจำนวนไม่น้อยมีอาการอื่นร่วมด้วย เด็กบางคนไม่มีอาการหอบเลยก็ได้ ส่วนใหญ่ประวัติการเจ็บป่วยของเด็กจะไม่ค่อยสมบูรณ์เพราะข้อมูลได้มาจากแม่ เด็ก พี่เลี้ยง ครูที่โรงเรียน หรือตัวเด็กเอง อาการสำคัญคือ ไอตอนเช้า กลางคืนตอนดึก ไอเวลาวิ่งเล่น หรือหลังวิ่งเล่น คัดจมูก น้ำมูกไหลร่วมด้วย ในเด็กเล็กที่หอบจากมีสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่โรคหอบหืด เช่น โรคหัวใจ โรคติดเชื้อในปอด สารแปลกปลอม ถั่ว ข้าวโพดคั่วติดในหลอดลม หรือโรคทางเดินอาหารบางชนิด การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้โรคหอบหืดกำเริบ ส่วนใหญ่ของเชื้อจะเป็นไวรัสที่ติดมาจากโรงเรียน หรือที่ชุมชนเด็กจำนวนมากที่แพ้สารต่าง ๆ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา แมลงสาบ และอื่น ๆ จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบให้แน่นอน การรักษาโรคหอบหืดจะต่างกันในคนไข้แต่ละคน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุคนไข้ และภาวะที่เกิดร่วมกับโรคหอบหืด เช่น ภาวะภูมิแพ้หรือโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง
โดยทั่ว ๆ ไป แนวทางรักษาที่ยอมรับโดยผู้เชี่ยวชาญมีอยู่ 4 ข้อดังนี้ -แนะนำให้ใช้การตรวจสอบสมรรถภาพของปอด เพื่อบ่งชี้ความรุนแรงของโรค และเพื่อติดตามวัดผลการรักษา -การใช้ยาเพื่อลดการอักเสบ หรือป้องกันการอักเสบอขงเยื่อบุหลอดลมร่วมกับการใช้ยา เพื่อคลายกล้ามเนื้อรอบหลอดลมที่หดตัว -การควบคุมภาวะแวดล้อมต่าง ๆ โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีภาวะภูมิแพ้ร่วมด้วย รวมถึงการรักษาเฉพาะเจาะจงในภาวะภูมิแพ้ -ต้องให้ความรู้คนไข้ และครอบครัวเกี่ยวกับโรคหอบหืด และการปฏิบัติตน เช่น เลิกสูบบุหรี่วิธีการออกกำลังกายและวิธีใช้ยาที่ถูกต้อง การรักษาอย่างต่อเนื่องสำคัญที่สุดในโรคหอบหืด คนไข้ส่วนใหญ่หรือแพทย์ส่วนใหญ่จะมองข้ามจุดสำคัญนี้ ทำให้ผลการรักษาไม่เป็นที่พึงพอใจของทั้งสองฝ่าย คนไข้ก็ว่าไม่หายซักที หมอก็ว่าคนไข้ไม่รู้เรื่องไม่ทำตามสั่ง ผลการรักษาที่ควรเกิดขึ้นมีดังนี้ สมรรถภาพปอดดีขึ้น คนไข้สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติหรือเกือบปกติรวมทั้งการออกกำลังกาย อาการเรื้อรังที่น่าเบื่อหน่วยสำหรับคนไข้สิ้นสลายไปอาการ เช่น ไอ หายใจขัดแน่นหน้าอก ป้องกันการกำเริบของโรคได้ ผลข้างเคียงจากยาควรจะไม่มีหรือมีน้อยที่สุด ความเข้าใจที่สำคัญมากคือ การอักเสบของเยื่อบุหลอดลมในโรคหอบหืดนี้เป็นการอักเสบอย่างเรื้อรัง ต่อเนื่องที่กำเริบได้เป็นระยะ แม้เวลาที่คนไข้รู้สึกดี ไม่มีอาการไอ หรือหอบ ภาวะการอักเสบนี้ยังคงอยู่ตลอดเวลา ยาหลักที่ใช้ในการรักษา ยาต้านการอักเสบ ยาสเตียรอยด์เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาโรคหอบหืดสำหรับผู้ป่วยเด็ก และผู้ใหญ่ยานี้มีทั้งรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน และรูปแบบพ่นเข้าสู่หลอดลมโดยตรง อย่างไรก็ตามยาในรูปแบบพ่นถือได้ว่าเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาของคนไข้หอบ หืดเรื้อรัง และมีความปลอดภัยสูง เพราะปริมาณยาที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงใด ๆ จากการใช้ยานี้ ส่วนยาในรูปแบบรับประทานจะใช้รับประทาน เมื่อมีอาการกำเริบอย่างรุนแรงหรือไม่สามารถจะพ่นยาได้ และจะใช้ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น คือ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่หากรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจพบผลข้างเคียงขึ้นได้เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันโลหิตสูง ตาเป็นต้อ กระดูกผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และบวมตามที่ต่าง ๆ โครโมลินและนิโดโครมิล เป็นยาพ่นที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน และลดการอักเสบที่จะเกิดขึ้นจากการออกกำลังกายหรืออากาศเปลี่ยน ยาขยายหลอดลม ยาประเภทนี้จะช่วยขยาย หรือคลายกล้ามเนื้อรอบ ๆ หลอดลมที่หดเกร็งตัว ยากลุ่มเบต้าอะโกนิส ที่ใช้แพร่หลายคือยาพ่นแบบน้ำ และแบบผง อีกทั้งยังมียาเม็ด และยาน้ำในรูปแบบรับประทาน รวมทั้งรูปแบบที่ใช้กับเครื่องปั๊ม ยากลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการขยายหลอดลมสูง นิยมใช้ในคนไข้ที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงในภายหลัง เพราะไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงของโรคหอบหืด ยากลุ่มแซนทีน ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และขยายหลอดลมสำหรับใช้ในคนไข้หอบหืดเรื้อรัง ในปัจจุบันจะพบได้ทั้งยาฉีดยาน้ำ และยาเม็ดทั้งรูปแบบธรรมดา และออกฤทธิ์เนิ่นเพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ผลข้างเคียงพบได้น้อย มีความปลอดภัยสูง
ที่มา : //www.thaihealth.or.th ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมครับ
Create Date : 12 สิงหาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 12 สิงหาคม 2555 10:32:08 น. |
Counter : 1244 Pageviews. |
|
|
|