การตรวจทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (Exercise Stress Test)
การทดสอบสมรรถภาพหัวใจ เป็นวิธีการค้นหาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอันเป็นผลจากเส้นเลือดแดงโคโรนารี่อุดตัน ในปัจจุบัน แพทย์ประจำศูนย์หัวใจต่างๆ จะใช้เป็นการทดสอบก่อนที่จะส่งผู้ป่วยไปฉีดสีเส้นเลือดหัวใจ แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง และ ความแม่นยำของการทดสอบจะเกี่ยวข้องผู้ทดสอบทั้งเพศ อายุ ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และลักษณะอาการเจ็บหน้าอก ข้อจำกัดของการทดสอบ 1.ไม่สามารถทำได้ทุกราย โดยมีข้อจำกัด 2 กรณี คือ - ในรายที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้ เช่น มีปัญหาเรื่องการเดิน,ข้อเข่า หรือมีโรคปอดซึ่งทำให้เหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกาย เนื่องจากถ้าไม่สามารถออกกำลังจนหัวใจเต้นเร็วตามเกณฑ์ที่กำหนด (=85%ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุดเทียบตามอายุ) จะถือว่า การทดสอบไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถบอกได้ว่าไม่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด - ในรายที่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติตั้งแต่ก่อนออกกำลังกาย ซึ่งรบกวนการแปลผลการทดสอบได้แก่ - มีโรคที่เราเรียกว่า preexcitation syndrome (WPW syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากมีทางนำไฟฟ้าลัดวงจรเชื่อมต่อระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง - ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ - คลื่นไฟฟ้าหัวใจส่วนที่เรียกว่า ST segment มีการลดต่ำลงกว่าเส้นมาตรฐานมากกว่า 1 มิลลิเมตรในขณะพัก - มึคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติแบบที่เรียกว่า complete left bundle branch block (=การนำไฟฟ้าผ่านเส้นนำไฟฟ้าในหัวใจด้านซ้ายถูกปิดกั้นทั้งหมด) - ผู้ที่ได้รับยาชื่อ digoxin - ผู้ที่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่บ่งว่ามีกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายโต ถ้าแพทย์ตรวจพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจลักษณะดังกล่าว แพทย์มักจะหลีกเลี่ยงการทดสอบด้วยวิธีนี้ ไปใช้วิธีอื่นแทน 2.ความแม่นยำในการทดสอบ มีไม่มาก กล่าวคือ ความไวในการทดสอบ (sensitivity) เท่ากับ 67% ความจำเพาะในการทดสอบ (specificity) เท่ากับ 72% *ศึกษาจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลางของการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด 3.จากการศึกษาพบว่า ความผิดปกติมากน้อยในระหว่างการทดสอบสมรรถภาพหัวใจ ไม่ได้บอกถึงความรุนแรงของ การตีบหรือจำนวน เส้นเลือดที่ตีบของเส้นเลือดหัวใจ ข้อบ่งชี้ในการทดสอบ (indications) -เพื่อวินิจฉัยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน(ตีบมากกว่า 70%)ในผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีโอกาสที่จะเป็นปานกลางโดยดูจากเพศ, อายุ, ปัจจัยเสี่ยง, ลักษณะอาการเจ็บหน้าอก -เพื่อตัดสินการพยากรณ์โรคและกำหนดแนวทางการรักษาในผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน -เพื่อคัดกรองในกลุ่มไม่มีอาการที่ความเสี่ยงสูงของการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน -เพื่อประเมินสมรรถภาพร่างกายและการตอบสนองต่อการรักษาในรายหัวใจล้มเหลวที่รอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ -เพื่อหาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่สัมพันธ์กับการออกกำลังกาย
ข้อห้ามในการทดสอบ ตามมาตรฐานสากล(2002 ACC/AHA guideline) กำหนดให้ภาวะต่อไปนี้ห้ามทำการทดสอบเด็ดขาด ได้แก่ - โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันที่เป็นไม่เกิน 2 วัน - โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดที่เรียกว่า unstable angina - หัวใจเต้นผิดจังหวะที่ควบคุมไม่ได้และทำให้เกิดอาการหรือความดันโลหิตต่ำ - โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติคตีบรุนแรงและมีอาการ - ภาวะหัวใจล้มเหลวที่การรักษายังไม่ได้ผล - ภาวะเส้นเลือดปอดอุดตันเฉียบพลัน - ลิ้นหัวใจอักเสบติดเชื้อ - ภาวะเส้นเลือดแดงเอออร์ตาฉีกขาดเฉียบพลัน - ภาวะการเจ็บป่วยเฉียบพลันที่มีผลต่อการทดสอบ เช่น การติดเชื้อ, โรคไตวาย, โรคไทรอยด์เป็นพิษ - การไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรให้ทำการทดสอบ นอกจากนี้ยังมีภาวะที่ไม่ควรทำการทดสอบ ยกเว้นเมื่อเห็นว่าได้ประโยชน์จากการทดสอบมากกว่าความเสี่ยงที่ได้รับ ภาวะเหล่านี้ได้แก่ - เส้นเลือดแดงโคโรนารี่ด้านซ้ายตีบตันบริเวณโคนเส้นเลือด - มีลิ้นหัวใจตีบปานกลาง - ภาวะเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ - ความดันโลหิตสูงมาก(ความดันตัวบนมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มม.ปรอทและ/หรือ ความดันตัวล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 110 มม.ปรอท) - มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะทั้งชนิดเร็วและชนิดเต้นช้าผิดจังหวะ - มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจโตชนิดที่เรียกว่า Hypertrophic cardiomyopathy หรือภาวะอื่นที่มีการอุดตันของช่องทางออกของหัวใจห้องล่างซ้าย - มีสภาพจิตใจหรือร่างกายผิดปกติที่เป็นอุปสรรคต่อการทดสอบ - มีการปิดกั้นทางนำไฟฟ้าในหัวใจ ชนิด high degree AV block ชนิดของเครื่องมือที่ใช้ทดสอบสมรรถภาพหัวใจ มี 2 แบบคือ 1.แบบสายพาน ไฟฟ้า(treadmill) สามารถปรับตั้งโปรแกรมการทดสอบได้หลากหลายกว่า โดยปรับตั้งทั้งความเร็วและความชันของสายพานที่วิ่ง 2.แบบจักรยาน (bicycle ergometer) เครื่องมือราคาถูกกว่าและกินเนื้อที่ในการติดตั้งน้อยกว่าแบบสายพาน และยังใช้ได้ดีในผู้สูงอายุที่ปัญหาเรื่องการเดิน การทรงตัว โปรแกรมการปรับความเร็วเครื่องที่ใช้ทดสอบ (เราเรียกว่า protocol การทดสอบ) มีหลายโปรแกรมการทดสอบ แต่ที่เป็นที่นิยมใช้บ่อย และใช้เวลาในการทดสอบน้อย คือ BRUCE protocol การเตรียมตัวก่อนการทดสอบ - งดน้ำอาหาร งดสูบบุหรี่ 2 ชม.ก่อนการทดสอบ - ควรสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายและเหมาะกับการออกกำลังกาย รวมทั้งสวมใส่รองเท้าที่สามารถเดินหรือวิ่งได้คล่องตัวโดยไม่หลุด - ก่อนการทดสอบควรงดยากลุ่มที่ทำให้หัวใจเต้นช้า เช่น ยากลุ่ม beta-blockers - ก่อนการทดสอบควรงดยากลุ่มที่รักษากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ยกเว้นกรณีทำการทดสอบเพื่อดูผลการรักษาและการพยากรณ์โรค - จะมีการให้ลงนามยินยอมให้แพทย์ทำการทดสอบทุกครั้ง ขั้นตอนการทดสอบ 1. แพทย์จะทำการตรวจประเมินหาข้อห้ามในการทำการทดสอบก่อน 2. เจ้าหน้าที่จะทำการติดเครื่องวัดความดันโลหิตและชีพจรแบบอัตโนมัติ และสายติดคลื่นไฟฟ้าหัวใจบริเวณหน้าอก และจัดหาเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน
3. แพทย์จะทำการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจก่อนการทดสอบทั้งท่านอนและท่ายืน และขณะกำลังออกกำลังตาม protocol ที่ตั้งไว้ โดยปกติถ้าใช้ BRUCE protocol จะใช้เวลาในการเดินสายพานประมาณ 6-7 นาที 4. ในขณะทำการทดสอบ จะมีการวัดความดันและชีพจรเป็นระยะๆ และแพทย์จะติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจจาก หน้าจอเครื่องทดสอบ การหยุดการทดสอบ ตามปกติจะหยุดทำการทดสอบเมื่อมีกรณีใดกรณีหนึ่ง ต่อไปนี้ ผลการทดสอบเป็นบวกตามเกณฑ์การแปลผลมาตรฐาน = มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นถึง 85% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจตามอายุ(อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ= 220- อายุ) (ในบางรายของผู้ป่วย โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ก่อนออกจากร.พ. แพทย์อาจเลือกทำการทดสอบให้หัวใจเต้น 70%ของอัตรา การเต้นสูงสุดของหัวใจ) ผู้เข้ารับการทดสอบไม่สามารถออกกำลังต่อได้ หรือมีภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ทดสอบ เช่น ความดันโลหิตตก มีหัวใจเต้นผิด จังหวะชนิดร้ายแรง เป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนของการทดสอบ การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย ในปัจจุบันถือว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้แก่ - การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย เกิดได้ 3.5 รายต่อการทดสอบ 10,000ราย - ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง เกิดได้ 4.8 รายต่อการทดสอบ 10,000ราย - การเสียชีวิต เกิดได้ 0.5 รายต่อการทดสอบ 10,000ราย ที่มา : //www.thaiheartclinic.com/data8.asp ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมครับ
Create Date : 29 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 29 กรกฎาคม 2555 13:50:00 น. |
|
0 comments
|
Counter : 12215 Pageviews. |
|
|