"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ) จะวางแผงแล้ว~ ขอฝากงานเขียนของ "คีตภา" ไว้ด้วยนะคะ ^^

Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
21 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
(100%) === สองรักล้นใจ # 8 : ทางเลือก!? ===









- 8 -



รุจศยาเก็บข้าวของส่วนตัวในคอกทำงานที่กำลังจะกลายเป็นเพียง ‘อดีต’ เช่นเดียวกับบุคคลที่เพิ่งจากมา มือเธอขยับเหมือนหุ่นยนต์ไร้ชีวิตจิตใจ เลือกสิ่งของบางชิ้นที่ไม่อยากทิ้งไว้มากองรวมกันไว้บนโต๊ะ ฉับพลันเหลือบเห็นเงาดำๆ ทางหางตา หญิงสาวเหลียวหน้ามองเห็นปวันรัตน์ในชุดสวยเก๋ขยับมายืนบังทางเข้าออก ส่งยิ้มเยื้อนให้อย่างไม่น่าไว้วางใจ

ดูเหมือนสุภาษิต ‘ไม้ล้มจึงข้าม คนล้มอย่าข้าม’ ที่เคยเล่าเรียนมาจะไม่เหลืออยู่ในสมองคนโตๆ แล้วสักเท่าไหร่ คนล้มอย่างเธอถึงถูกเหยียบย่ำไม่หยุดหย่อน ปวันรัตน์เองก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่กระเหี้ยนกระหือรือทำสิ่งนั้น คำถามเสนอตัวหวานหยดย้อยเกินจริงส่อเจตนาชัดเจนทีเดียว

“อยากได้คนช่วยเก็บของไหมจ๋า”

“ออกไป!”

รุจศยาเค้นเสียงไล่ อารมณ์สับสนวุ่นวายที่ติดค้างมาจากน้าๆ ทำลายความเยือกเย็นของเธอจนไม่อาจรับมือกับอีกฝ่ายได้อย่างมีชั้นเชิงเหมือนเคย

ปวันรัตน์หัวเราะเบาๆ ค่อนข้างสะใจที่คู่อริเสียการควบคุม ปกติรุจศยามักวางท่าจองหองเป็นนางพญาหงส์ข่มกันเสมอ ไม่ว่าจะถูกก่อกวนอย่างไรก็แค่ปรายสายตาเย็นชามองเหมือนเห็นคนต่ำชั้นกว่า ไม่อยากข้องแวะด้วยให้แปดเปื้อน อย่างมากสุดก็ตำหนิตรงๆ แบบเชือดนิ่มๆ แต่ทิ่มทะลุอกคนฟังจนแทบจะกระอักเลือดตาย เพิ่งจะมีวันนี้ที่เธอรู้สึกว่าอยู่เหนือกว่า สามารถทำให้หงส์สะดุ้งสะเทือนเป็นเป็ดประสาทเสียได้เช่นกัน

คะเนจากสภาพที่รุจศยากลับมาแผนก แม้จะยังยืดไหล่ชูคอได้อย่างไม่ยี่หระ หากใบหน้าขาวเซียว ดวงตาแห้งผาก และริมฝีปากปิดสนิทก็แลคล้ายทหารที่ถูกบังคับให้วางอาวุธยอมแพ้สงคราม ยิ่งไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอะไรจากเจ้านายใหญ่ แถมมีข่าวซุบซิบเล็ดลอดมาไวว่าน้าหลานทะเลาะกันใหญ่โตถึงขั้นแตกหัก ขับไล่กันออกจากบริษัท ยิ่งบ่งบอกว่ารุจศยาไม่ได้สูงส่งมีคนคอยหนุนหลังเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งตัวเธอเพิ่งจะได้อำนาจใหม่มาอยู่ในมือ เรื่องที่จะให้ลนลานทำตามคำสั่งของคนสิ้นวาสนาย่อมเป็นไปไม่ได้

ปวันรัตน์ทาบสองมือตรงขอบโต๊ะพลางชะโงกหน้าไปถามยั่วๆ

“ตอบหน่อยสิจ๋า การพักงานไม่มีกำหนดของเธอนี่...อภิสิทธิ์พิเศษของเด็กเส้น...หรือว่าถูกไล่ออกแบบไม่ให้เสียหน้ามากกันแน่”

“เรื่องของฉัน! ไม่ใช่กงการของเธอ!”

“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ในเมื่อฉันต้องรับภาระของเธอตั้งเยอะแยะนี่นา”

แขกไม่ได้รับเชิญย้อนอย่างถือไพ่เหนือกว่า รุจศยาชะงักมือที่ลำเลียงของลงถุงกระดาษใบใหญ่ เม้มปากอย่างยอกแสยงใจ ในบรรดา เอ.อี. ทั้งหมด คู่แข่งของเธอมีผลงานโดดเด่นที่สุดก็สมควรถูกเลือกขึ้นมาเสียบแทนที่เธอ กระนั้นเธอก็ยังทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกรู้สมอะไรไม่ได้อยู่ดี

ปวันรัตน์เห็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีของคู่ปรับก็ลอบยิ้ม ทำทีกลอกลูกตาในกรอบขนตางอนเด้งด้วยมาสคาร่ามองรอบห้องแล้วเปรยหน้าซื่อว่า

“เอ...ที่ตรงนี้ดูทึมๆ ไปหน่อยนะจ๋า ฮวงจุ้ยดูไม่ดีเลย ฉันว่าจะบอกหลายหนแล้วก็ลืมทุกที แต่ไม่เป็นไร ช่วงที่เธอไม่อยู่ฉันจะช่วยจัดการให้เอง กลัวแต่ว่าเธอจะไปได้ดิบได้ดีจนไม่อยากกลับมานั่งที่นี่อีกน่ะสิ”

“พูดพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็ออกไปซะที อย่าสักแค่มีน้ำลายกับฟันให้ครบสามสิบสอง มารยาทขั้นพื้นฐานน่ะหัดมีไว้ในสมองและรู้จักใช้ให้เป็นบ้างเถอะ!”

รุจศยาสวนกลับไม่ไว้หน้า ผู้มาเยือนคอแข็ง หน้าบึ้ง แหวเสียงแหลมอย่างนึกฉุนขึ้นบ้าง

“เอ๊ะ! ยายจ๋า คนเขาอุตส่าห์พูดดีๆ ถามดีๆ แท้ๆ ทำไมต้องใช้อารมณ์ด้วย”

“พูดดีประสงค์ร้ายน่ะสิ!” เจ้าของห้องแก้ให้ถูกต้องตามจริง ก่อนเสริมต่ออย่างเผ็ดร้อน “อยากรู้มากขนาดนั้นทำไมไม่ถามเจ้านายเธอล่ะ หรือจำทางไปไม่ถูก จำเบอร์โทรไม่ได้เพราะเก็บขยะไว้ล้นสมองจนราขึ้นหมด งั้นฉันจะสงเคราะห์ให้สักหนจะได้ไม่ต้องมาส่งเสียงเป็นเปรตขอส่วนบุญอยู่แถวนี้อีก!”

“นังหมาบ้านี่!!!”

ปวันรัตน์อุทานลั่นและตกใจหูตาเหลือกเมื่อรุจศยาไม่ได้เสนอตัวช่วยแค่วาจา ยังเลื่อนโทรศัพท์พื้นฐานมากดหมายเลขติดต่อภายในอย่างคล่องแคล่ว ทำเอาเธอพุ่งเข้ากระชากทิ้งสุดชีวิตจนร่างเกยไปอยู่บนโต๊ะเกือบครึ่งค่อน ท้องแขนโดนอะไรแข็งๆ ครูดเสียแสบซิบๆ ถุงสัมภาระกับสิ่งของหลายชิ้นร่วงกราวกระทบพื้น

รุจศยาหัวเราะหยันๆ ในลำคอ...หลายคนดูจะมีความเห็นเกี่ยวกับเธอตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เริ่มจากอัมราภรณ์ ชานนท์ สองคุณน้า ล่าสุดก็ปวันรัตน์

...นังบ้า...ผู้หญิงบ้า...เด็กบ้า...นังหมาบ้า...

บางทีเธออาจจะเป็นเช่นนั้นไปแล้วจริงๆ...ความเจ็บปวด เสียใจ เกลียดชัง โกรธแค้น และอีกหลายอารมณ์ที่หาคำอธิบายไม่ถูกกำลังหมุนพล่านอยู่ในตัวเธอเหมือนพายุไอน้ำร้อนๆ ที่หาทางออกไม่ได้ มันอัดแน่นเต็มหัวใจปริเป่ง ฟาดฟันเนื้ออ่อนที่ห่อหุ้มไว้ให้บอบช้ำเจียนจะฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เข้าไปทุกที

เธอแค่นหัวเราะทั้งที่อยากจะร้องไห้...

เธอพูดเยาะหยันทั้งที่อยากจะคร่ำครวญฟูมฟาย...

เธอตั้งท่าสู้ทั้งที่อยากวิ่งหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก...ไปให้ไกลจากคนใจร้ายทั้งหลาย...ไปให้ไกลพอที่จะทรุดลงสิ้นท่าได้โดยไม่มีใครรู้เห็น

ความขัดแย้งในจิตใจแบ่งแยกตัวตนของเธอออกเป็นสองส่วนและต่อสู้กันเองอย่างหนักหน่วงจนเธอเหนื่อยล้าใกล้จะต้านรับไม่ไหว ไหนจะศึกภายนอกกับสิงสาราสัตว์ในคราบมนุษย์อีก ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน เธอจัดการกับอะไรไม่ได้เลยและกำลังถูกผลักดันให้เป็นบ้าเพราะมัน!

ปวันรัตน์ยืดตัวขึ้น ตาลุกวาวเหมือนงูเห่าถูกตีขนดหาง เธอตั้งใจเข้ามาคิดบัญชีส่งท้ายให้รุจศยาจุกอกจนลืมไม่ลง แต่อีกฝ่ายยังไม่สิ้นเขี้ยวเล็บ เล่นงานเธอให้เสียท่าอีกจนได้...เจ็บกายไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บใจที่ถูกศัตรูหัวเราะเยาะเอามันสุดทน!

โทสะพุ่งปรี๊ดขึ้นหน้า เอ.อี. สาว ต้องการทำให้นังตัวร้ายระคายเคืองบ้างจึงพ่นผรุสวาจาใส่ไม่ยั้ง

“นังหมาหัวเน่า ไม่มีแม่คุ้มหัวแล้วก็ตกกระป๋อง ขี้เรื้อน ทุเรศ!”

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้! อย่าลามไปถึงแม่ฉัน ไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือนนะ!!!”

รุจศยาสั่งเสียงกร้าว นัยน์ตาสาดแสงดุดัน กำหมัดแน่น พยายามเหนี่ยวรั้งฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้...เรื่องแย่ๆ ที่กระหน่ำใส่เธอมันชักจะมากเกินไป...มากเกินไป!

ปวันรัตน์ไม่นำพาสัญญาณอันตราย ลอยหน้าลอยตาเย้ยซ้ำอย่างเมามัน

“ไม่ถอน! ทนฟังความจริงไม่ได้รึไง แม่เธอสร้างภาพไฮโซให้เธอเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ตอนนี้ทองที่ชุบไว้มันลอกหมดแล้ว ใครๆ ก็รู้กันทั่วว่าพวกเธอสองแม่ลูกเป็นพวกลวงโลก หรูแต่เปลือก ข้างนอกสุกใสข้างในกลวงโบ๋ ไม่มีใครเขาอยากคบค้าสมาคมด้วยแล้ว ขนาดคุณวิกับคุณมัทยัง...ว้าย! โอ๊ย!! อ๊าย!!!”

พูดไม่ทันจบเจ้าตัวก็กรีดร้องเสียงหลงต่อเนื่องเพราะรุจศยาเกิดบันดาลโทสะ ไม่ต่อล้อต่อเถียงหรือข่มขู่เพิ่มให้เปลืองน้ำลาย ตวัดมือขวาขยุ้มผมดำยาวสลวยแถวขมับของคนปากเสียไว้เต็มกำมือแล้วจับโขกลงบนโต๊ะอย่างแรง เปลี่ยนเสียงพูดฉอดๆ ให้กลายเป็นเสียงโอดโอยในพริบตา และเธอก็ไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวติด จิกผมขึ้นมาพร้อมกับเงื้อมือซ้ายสูง กะฟาดให้หลาบจำ ถ้าต้องเสียค่าปรับฐานทำร้ายร่างกายหรือทะเลาะวิวาทก็ขอระบายอารมณ์ให้คุ้มที่สุดล่ะ

“หยาาา...”

ปวันรัตน์สำลักไม่เป็นภาษา หลับตาปี๋ กระเสือกกระสนหนีจนเจ็บหนังศีรษะ หากฝ่ามือนั้นก็ไม่ได้ปลิวมากระทบหน้าเธอฉาดใหญ่ ไม่ใช่เพราะรุจศยาเมตตาสงสาร แต่สุมนที่สังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่เห็นปวันรัตน์เดินนวยนาดไปยังที่ทำงานของหัวหน้า แป๊บเดียวก็แว่วเสียงหวีดร้องพร้อมเสียงโครมครามติดตามมาเลยรีบขอวางสายจากลูกค้า หยิบเอกสารชุดหนึ่งมาเป็นข้ออ้างบังหน้าแล้วรีบก้าวพรวดไปทันได้ยินบทสนทนาช่วงท้ายและเห็น เอ.เอ็ม. สาวลงมือยำคู่อริจึงโยนของทิ้งพุ่งไปเหนี่ยวแขนรุจศยาเอาไว้ ละล่ำละลักปรามอย่างตกใจ

“พี่จ๋าอย่าค่ะ...อย่า…”

ปวันรัตน์ฉวยโอกาสนั้นสลัดหัวออกได้สำเร็จ กระโจนเข้าใส่หมายจะเอาคืนสักฉาดสองฉาด แต่รุจศยาที่กำลังดิ้นฮึดฮัดไหวทัน ยกรองเท้าส้นสูงสามนิ้วยันผู้มุ่งร้ายเสียจนร้องกรี๊ดปลิวหวือไปกองกับพื้น ครั้นจะโถมเข้าหาใหม่ก็ติดเพื่อนร่วมงานอีกสามคนที่เพิ่งเข้ามาได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งก็รีบกรูมาช่วยแยกคู่กรณีออกจากกันอย่างฉับไว

“พี่จ๋าพอเถอะค่ะ...ใจเย็นๆ...อย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ”

สุมนพร่ำขอร้อง ยึดตัวหญิงสาวไว้มั่น แม้จะโดนปัดป่ายให้เจ็บหลายทีก็ตาม เวลาโกรธรุจศยาแรงเยอะมากจนเธอหวิดรั้งไม่อยู่ ยังดีที่ได้เพื่อนๆ โผล่มาเป็นกองหนุนอีกแรง ไม่งั้นก็ไม่อยากคิดเลยว่าเหตุการณ์จะดำเนินไปอย่างรุนแรงและเลวร้ายเพียงใด

คนที่ดูเยือกเย็นเป็นเอก บทจะร้อนแรงก็บ้าดีเดือดได้น่ากลัวนัก...

รุจศยาหายใจหอบ ค่อยๆ คลายความกราดเกรี้ยวและกลับสู่สมดุลในระดับหนึ่ง แกะมือที่จับกุมออกพลางบอกให้พวกสุมนเบาใจว่า

“ปล่อยเถอะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

“แต่ว่า...”

“ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ทำอะไรแม่คนนั้นอีกหรอก เท่าที่ทำไปก็เสียมือมากพอแล้ว”

สิ้นคำปวันรัตน์ก็กรีดร้องโหยหวนเหมือนผีโดนมีดหมอลงอาคมฟันแสกหน้า ตะกุยตะกายจะไปราวีกับศัตรูอีกสักยก ยิ่งเห็นรุจศยาหมุนตัวไปดึงกระดาษทิชชูจากกล่องมาเช็ดมือไม้ประกอบคำพูดก็ยิ่งโมโหเดือด แต่เพื่อนร่วมงานไม่ยอมคลายมือมิไยเธอจะสั่งแว้ดๆ

“ปล่อย! ปล่อยสิ โธ่เว้ย!!!”

ความสนใจส่วนใหญ่พุ่งไปยังรุจศยาที่รวบรวมของส่วนตัวขึ้นมา สุมนลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนกลั้นใจถามสิ่งที่ทุกคนอยากรู้

“พี่จ๋า แค่พักงานชั่วคราวไม่ใช่เหรอคะ ทำไมเก็บของเหมือน...”

“จะไปเลย…พี่คงไม่ได้มาทำงานที่นี่อีกแล้ว” รุจศยาต่อให้เมื่อเห็นสาวน้อยทำท่าอึกอัก ลังเลที่จะเอ่ยบางคำ...คนบางคนมีนิสัยละเอียดอ่อนมักยั้งคิดก่อนพูดหรือทำว่าจะกระทบต่อจิตใจใคร เพิ่มพูนความน่ารักน่าเอ็นดูแก่ตนเอง ผิดกับบางคนที่หลงลำพองว่าตนแน่ นึกจะข่มเหงน้ำใจผู้อื่นก็ทำตามอำเภอใจ หารู้ไม่ว่าได้ทอนค่าตนเองให้ต่ำลงเฉกเช่นปวันรัตน์ที่เปล่งเสียงหัวเราะหยาบคาย ถ้ารู้จักลดอัตตาลงมองรอบด้านบ้างก็คงเห็นว่ามีคนแอบนิ่วหน้าหรือเบ้ปากรังเกียจคนขี้อิจฉาตาร้อนสักแค่ไหน

“ที่แท้ก็ถูกเฉดหัวส่งจริงๆ...นี่ล่ะน้าพวกใช้เส้นสาย...จากเส้นใหญ่ตกอับเป็นเส้นหมี่แห้งค้างโกดังก็เป็นอย่างนี้แหละ”

รุจศยาข่มใจไม่แยแส ขืนเต้นตามคู่ปฏิปักษ์คงสมใจว่ารังควานเธอได้สำเร็จ วิธีรับมือคนประเภทนี้คือต้องเฉยไว้ อย่าตอบสนองอะไร ท้ายสุดแล้วผู้กระทำจะหงุดหงิดหัวเสียอย่างไม่ได้ดั่งใจเอง นอกจากนั้นคนที่มีไมตรีต่อกันดีอย่างสุมนกับเพื่อนๆ ก็น่าเสวนามากกว่าปวันรัตน์ด้วย

“ไหนคุณวิว่าพี่จ๋าแค่พักงานชั่วคราวไงคะ”

สุมนท้วงอย่างข้องใจ รุจศยายิ้มไม่สดใสนัก ตอบสั้นๆ ว่า

“ไม่ใช่แล้วล่ะ โชคดีนะ”

“พี่จ๋า...” สาวน้อยครางก่อนเสนอตัวช่วย ไม่อยากให้อีกฝ่ายจากไปในสภาพจิตใจย่ำแย่ตามลำพัง มันชวนใจคอไม่ดีชอบกล “ให้สุไปส่งนะคะ”

“พี่เอารถมา ของพี่ก็มีแค่นี้เอง ไปทำงานของเราเถอะ อย่าต้องเดือดร้อนเพราะพี่เลย”

“แต่ว่า...”

“พี่กลับคนเดียวได้ ขอบใจนะ”

รุจศยาฝืนยิ้มอีกหนแล้วก้าวออกไปเป็นการตัดบทไม่ให้ทักท้วงมากความ แต่ปวันรัตน์ที่ถูกละเลยก็ยังไม่ละความพยายามเรียกร้องความสนใจ ล้งเล้งตามมาตอแยอีก

“เดี๋ยว! ยายจ๋า เธอยังไปไหนไม่ได้ ต้องขอโทษฉันต่อหน้าทุกคนก่อน ไม่งั้นฉันจะแจ้งความว่าเธอทำร้ายร่างกายฉัน”

“เชิญเลย...ฉันจะรอ” รุจศยาผินหน้ามาท้าทายอย่างไม่ยี่หระ เหยียดปากหมิ่นๆ และใช้ดาบนั้นคืนสนองคนที่จ้องหาเรื่องกันให้แทบด่าวดิ้นตายว่า “แต่เธอพูดผิดและคิดเข้าข้างตัวเองไปมั้งแหวน...ฉันอยู่ในที่ของฉันดีๆ เธอเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องฉันเอง ตอนฉันถูกล็อกไว้เธอก็พยายามจะทำร้ายฉัน แต่ไม่มีปัญญาทำได้สำเร็จเอง ทุกคนเขาก็เห็นกันทั่ว ไปแจ้งความตำรวจคงตัดสินให้เป็นการทะเลาะวิวาทแล้วปรับทั้งคู่ ฉันพร้อมจะเสียค่าโง่อยู่หรอก เพียงแต่เสียดาย...เพราะเธอไม่ได้คุ้มกับเงินฉันเลยสักนิด”

“อ๊าย! นังบ้า นัง...นัง...”

ปวันรัตน์สบถเป็นไฟไล่หลังคนที่ลอยนวลพ้นประตูไป อยากจะทะยานเข้าห้ำหั่นให้ตายกันไปข้าง แต่เพื่อนร่วมงานช่วยกันจับตัวเธอไว้อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เฝ้าบอกเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าพอๆ หยุดๆ สร้างความขัดอกขัดใจให้เธอจนต้องระบายออกผ่านเสียงกรี๊ดๆๆ ชุดใหญ่

สุมนทำท่าละล้าละลัง ไม่รู้จะทำยังไง ใจอยากจะวิ่งตามไป แต่ก็กริ่งเกรงหญิงสาวผู้เคยเป็นหัวหน้า ถ้าอิสรีไม่ต้องไปจัดการงานในฝ่ายสร้างสรรค์ ปักหลักอยู่ที่นี่อีกคนก็คงดี ปวันรัตน์คงไม่กล้ากร่างและครีเอทีฟสาวก็คงดึงดันไปกับรุจศยาได้หรอก

...ใช่แล้ว...พี่อ้อย...ต้องรีบบอกพี่อ้อย!...

============================


รถยนต์ของรุจศยาแล่นจากบริษัทไม่ทันพ้นโค้งถนนแรก โทรศัพท์มือถือก็มีสายเรียกเข้า เห็นชื่อ ‘อิสรี’ ก็พอเดาได้ว่าติดต่อมาด้วยเหตุใด

สมองสั่งว่าเธอควรรับสาย...อย่างน้อยก็ควรบอกมิตรแท้ให้คลายกังวล แต่หัวใจอ่อนล้าของเธอไม่อยากรับฟัง...ไม่อยากปริปากพูดเรื่องที่เหมือนลิ่มแหลมๆ ตอกอกเธอให้เลือดไหลนองอีกแล้ว

ในที่สุดเสียงฝ่ายหลังก็มีอิทธิพลเหนือกว่า หญิงสาวกดปิดเครื่องมือสื่อสารและโยนไปวางบนเบาะข้างๆ...เอาไว้เธอรวบรวมความเข้มแข็งกลับมาได้มากพอจะโทรศัพท์ไปขอโทษทีหลังแล้วกัน

สำหรับตอนนี้ขอเธออยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก...

รุจศยาขับรถตรงกลับบ้าน...สถานที่พักพิง คุ้มภัย และช่วยเยียวยาบาดแผลเธอได้เสมอ

ช่วงสิบเอ็ดโมงกว่าการจราจรคล่องตัวมากขึ้น ไม่นานหญิงสาวก็ถึงเคหะสถาน ระหว่างที่เตรียมใช้รีโมตเปิดประตูอัลลอย เธอเหลือบเห็นบุรุษไปรษณีย์ยืนกดกริ่งซ้ำๆ พลางชะเง้อหาคนในบ้านจึงแตะเบรกหยุดรถและลดกระจกลงเพื่อรับของแทน ตอนที่ได้ยินพนักงานระบุชื่อผู้รับชัดๆ ก็ค่อนข้างประหลาดใจ

“จดหมายลงทะเบียนของคุณรุจศยา...อยู่บ้านนี้นะครับ”

“ค่ะ...ฉันเอง”

“งั้นเซ็นรับด้วยครับ”

หญิงสาวลงลายมือชื่อเสร็จก็ได้รับซองของทางราชการกับซองแจ้งค่าบริการต่างๆ มาจำนวนหนึ่ง พอกวาดดูชื่อที่อยู่ผู้ส่งบนซองจดหมายสำคัญก็ตะลึงงัน ใจหล่นลงไปกองแถวตาตุ่ม มือไม้เย็นเฉียบ รีบดึงเอกสารมาอ่าน ครู่เดียวก็ทิ้งหลังพิงพนักอย่างหมดแรง

หมายศาล!

เวลานี้ศาลได้รับคำร้องของนายสมภพแล้วจึงส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้เธอทราบว่าตกเป็นจำเลยคดีใด สิบห้าวันถัดจากนี้เธอจะต้องทำหนังสือให้การยอมรับหรือปฏิเสธยื่นส่งศาลให้เรียบร้อย

ตาแก่นั่นเชือดเธอตามที่ขู่จริงๆ!

รุจศยากล้ำกลืนความขมขื่น มองบ้านหลังใหญ่เบื้องหน้าด้วยดวงตาผ่าวร้อน ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอตีบตัน...ทั้งที่พอจะรู้ล่วงหน้าและหัดทำใจแล้วว่าอาจต้องสูญเสียมันไป แต่พอเหตุการณ์นี้เริ่มเป็นรูปร่างขึ้นจริงๆ เธอก็แทบทนรับไม่ได้อยู่ดี

สมองเธอกระเสือกกระสนหาหนทางรอดจนปวดหนึบ...หนี้ค่าผ่อนบ้านรายเดือนยังพอคุยกับธนาคารได้ แต่หนี้สินบุคคลที่เหลือรวมกันร่วมสิบล้านบาทจากสัญญากู้ยืมเงินของแม่เป็นจำนวนมากเกินกว่าคนที่ไร้หลักประกันอย่างเธอจะหันหน้าไปพึ่งใคร และคงไม่มีคนสติดีที่ไหนกล้าให้เธอหยิบยืม

ถ้าเพียงแต่แม่จะไม่จากไปปุบปับ...ป่านนี้เธอคงเตรียมตัวเข้าพิธีแต่งงานกับชานนท์ ค่าสินสอดทองหมั้นกว่าสิบล้านที่ผู้ใหญ่ตกลงกันไว้ให้สมฐานะทางสังคมคงแก้ปัญหานี้ให้ลุล่วงไป

ทว่าโชคชะตาบางอย่างก็อยู่เหนือการควบคุมของคนเรา...

เธอไม่สามารถเหนี่ยวรั้งชีวิตของมารดา ไม่อาจหยุดการหมั้นหมายของชานนท์กับอัมราภรณ์ และไม่มีสองคุณน้าเป็นที่ปรึกษาเกื้อกูลเหมือนแต่ก่อน

หนทางข้างหน้าช่างมืดมน...

รุจศยาจมดิ่งในภวังค์สิ้นหวัง มารู้ตัวว่ายังอยู่ที่เดิมตอนที่ไพลินเดินแกมวิ่งออกมาร้องถามเป็นชุดอย่างพิศวง

“อ้าว คุณจ๋า กลับบ้านหัววันเชียว ลืมของเหรอคะ แล้วมานั่งทำไมตรงนี้คะ”

“จ๋าจอดรถรับจดหมายน่ะค่ะ เดี๋ยวจะเข้าบ้านแล้ว”

หญิงสาวตอบเรียบๆ ทำทีเก็บจดหมายและจัดของใกล้มือเพื่อซ่อนสีหน้าแววตาไม่ให้เห็นถนัด กระนั้นหูยังแว่วเสียงรายงานต่อว่า

“คุณอ้อยโทรมาหาคุณจ๋าห้าหกรอบแล้วค่ะ บอกว่าโทรเข้ามือถือไม่ติดเลย เมื่อกี้ก็มีมาใหม่อีกสายชื่อวอๆ อะไรสักอย่าง เห็นว่าเป็นทนายความ มีธุระสำคัญอยากให้คุณจ๋าโทรกลับด่วนค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ พี่ไพลินทำอะไรค้างอยู่ก็ไปทำต่อเถอะค่ะ”

รุจศยาอนุญาตจบก็ปรับกระจกขึ้นขังตัวเองไว้ในห้องโดยสารเย็นฉ่ำตรงข้ามกับในอกที่เริ่มร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมขอน ทนรอไม่ไหวสักวินาที การที่ทนายความผู้นั้นติดต่อมาหาเธอมีธุระเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

รุจศรัณย์!

หญิงสาวฉวยอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมากดหาทนายความของเรืองรอง ใจเต้นไม่เป็นส่ำ กลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องร้ายอะไรอีก หลังจากทักทายกันตามมารยาทสองสามคำ ผู้อาวุโสกว่าก็นำเข้าเรื่องสำคัญทันที

“คุณจ๋า…คุณพิลาสลักษณ์มองหาทนายมาทำเรื่องคัดค้านการขอเป็นผู้ปกครองของคุณจ๋าแล้วนะ คุณพลวัตกับลูกชายก็เหมือนกัน”

“อะไรนะคะ!” รุจศยาอุทานหน้าตาตื่น ทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อ “พวกเขาจะขอเป็นผู้ปกครองจั๊มพ์เหรอคะ”

“ครับ ผมอยากให้คุณรู้ตัวไว้จะได้หาทนายความเก่งๆ มาสู้ได้ ถ้าคุณอยากติดต่อกับเพื่อนๆ ของคุณเรืองรองผมจะช่วยจัดการให้ หรือถ้าอยากได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ผมช่วยได้ก็จะช่วยเต็มที่”

“พวกลุงกับป้าของจั๊มพ์ทำแบบนี้ได้ยังไง”

หญิงสาวพึมพำอย่างมึนงง ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แรกเริ่มเดิมทีครอบครัวของพลวัตกับพิลาสลักษณ์ไม่อยากมีส่วนร่วมอุปการะหลานชายพิการถึงขนาดออกปากฝากฝังแกมยัดเยียดให้เธอรับไว้อย่างไม่ดูดำดูดี สองวันก่อนเจอกันก็หน้าดำคร่ำเครียด ไม่ปริปากถามสารทุกข์สุกดิบหลานสักคำ เมื่อทราบว่ารุจศรัณย์ได้รับมรดกเหนือพวกเขาหลายเท่าก็โวยวายเสียงขรม กระทั่งโดนผองเพื่อนผู้ทรงคุณวุฒิของเรืองรองกระหนาบหนักๆ ก็จำยอมรับส่วนแบ่งน้อยกว่าที่คาดหวังไว้อย่างอัดอั้นตันใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่น่าหาญกล้าเผยอขึ้นต่อกรด้วย

แล้วทำไมเรื่องราวถึงกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้...

“ตอนแรกพวกเขาก็ไม่คิดจะขอเป็นผู้ปกครองน้องจั๊มพ์หรอกครับ แต่พอรู้ว่าคุณกับคุณชานนท์ยกเลิกงานแต่งงาน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”

ทนายความใหญ่เรียบเรียงคำตอบอย่างระมัดระวังให้กระทบใจคนฟังน้อยที่สุด และแค่สามวรรคก็มากพอจะมอบความกระจ่างให้รุจศยาตกเป็นฝ่ายนิ่งงัน...อดีตเธอเคยจ่อตำแหน่งว่าที่ภรรยาเจ้าของกิจการอาหารแช่แข็งอย่างชานนท์ควบคู่กับเป็นว่าที่ลูกสะใภ้คุณนายนวลอร ย่อมมีความพร้อมทุกด้านในการเป็นผู้ปกครองทายาทกองมรดกมหาศาล คงไม่มีใครกล้าฟ้องร้องขอแย่งสิทธิ์ให้เสียเวลา หากสถานภาพปัจจุบันของเธอช่างแตกต่างจากวันวานลิบลับ ไหนจะตกพุ่มม่ายขันหมาก ขาดผู้ใหญ่เอื้อร่มใบบุญ มิหนำซ้ำกำลังจะไม่มีบ้านคุ้มหัว!

หญิงสาวรับรู้รสชาติขมจัดที่แผ่กระจายเต็มปาก น้ำลายเหนียวหนึบ ต้องรวมกำลังใจอึดใหญ่กว่าจะเค้นเสียงแห้งโหยถามต่อได้สำเร็จ

“พวกเขาจะค้านด้วยเหตุผลอะไรคะ”

“คุณจ๋าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว มีฐานะลำบาก ไม่เหมาะจะเลี้ยงน้อง”

ปลายสายแจกแจงอย่างนุ่มนวลดุจเดิม คนฟังอึ้งไปอีกระลอก โต้แย้งไม่ออก เห็นลางพ่ายแพ้ลอยมารำไร แต่ก็อดไขว่คว้าหาความหวังอันริบหรี่ไม่ได้

“ถ้าจ๋าไม่มีบ้าน ไม่มีงาน ไม่มีเงิน จะมีทางชนะบ้างไหมคะ”

“พูดอะไรน่ะคุณจ๋า!”

“ขอโทษค่ะ จ๋าถามไปเรื่อยเปื่อย ขอเวลาจ๋าคิดหน่อยนะคะ ขอบคุณที่โทรมาบอกค่ะ”

หญิงสาวพูดกลบเกลื่อนก่อนปิดโทรศัพท์อีกครั้ง หลังไหล่ที่เคยเชิดตรงอย่างทระนงกลับค้อมต่ำลง วางข้อศอกบนพวงมาลัยและซบหน้ากับฝ่ามือทั้งสองข้างอย่างท้อแท้ คลื่นความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนกำลังบดขยี้เธอ ผลักไสเธอไปจนสุดขอบของความทานทน

เธอแบกรับอะไรไม่ไหวแล้ว...ไม่อยากรับรู้เรื่องใดอีกแล้ว...

ทั้งที่โลกออกจะกว้างใหญ่ มีคนมากมายหลายพันล้านคน แต่เธอกลับต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ต้องทนพบความสูญเสียโดยที่ยื้อยุดอะไรไว้ไม่ได้เลยสักอย่าง…ทั้งมารดา...คนรัก...ฐานะทางสังคม...หน้าที่การงาน...บ้าน...และ...น้องชาย

ทรวงอกเธอเสียดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ยิ่งคิดถึงเจ้าตัวเล็กที่ช่างเจรจาขึ้นทุกวัน ยามคุยโทรศัพท์กันในระยะหลังจะได้ยินเสียงใสแจ๋วโต้ตอบอย่างกระตือรือร้น เริ่มมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาอวดให้เธออมยิ้มตามอย่างเผลอไผล พอเธอแวะไปหาคราใดก็จะเห็นดวงตาคู่โตเปล่งแสงดีใจเป็นการต้อนรับ แย้มริมฝีปากจิ้มลิ้มส่งยิ้มให้เธอผู้เดียว ทั้งหมดนั่นช่วยเติมเต็มชีวิตเธอไม่ให้อับเฉาเปล่าเปลี่ยวเกินไปนัก

ถึงแม้เธอจะจำใจรับเลี้ยงเด็กชายไว้เอาบุญ ไม่ได้รักใคร่เอ็นดูมากมาย แต่ชีวิตเล็กๆ นั่นขึ้นชื่อว่าเป็นน้องของเธอ...เป็นครอบครัวคนสุดท้ายบนโลกใบนี้...

แค่มีมโนภาพว่ารุจศรัณย์จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น...จะไม่ได้อยู่ในความดูแลของเธออีกแล้ว...หัวใจเธอก็คล้ายกับโดนกรงเล็บแหลมคมฉีกกระชากให้ขาดจากกัน

หมดแล้ว...

ไม่เหลืออะไรแล้วใช่ไหม...

แม้แต่เด็กคนนั้น...เด็กที่เธอแสนเกลียดชังก็กำลังจะถูกแย่งชิงไป…


============================


รุจศยาไม่รู้ตัวเลยว่าขับรถมาถึงโรงพยาบาลโดยสวัสดิภาพได้อย่างไร ทุกส่วนประสาทของเธอมึนชา สั่งการเชื่องช้า เกือบจะก่ออุบัติเหตุจนถูกรถยนต์คันอื่นบีบแตรไล่หลายหน

หญิงสาวโผเผไปยังห้องพักพิเศษของคนที่กำลังจะกลายเป็นอดีตเด็กในปกครอง พบภาพสองหนุ่มต่างวัยกำลังเล่นกันเอะอะเจี๊ยวจ๊าว โดยผู้เยาว์ตัวน้อยพยายามพาวีลแชร์เคลื่อนไปหาผู้ใหญ่ตัวโตที่หงายสองมือมาข้างหน้า ทำท่ากวักเข้าหาตัวยิกๆ พร้อมกับพูดกระตุ้นให้หนูน้อยเร่งมือมาหาเขาเร็วๆ

ครั้นตระหนักว่ามีบุคคลที่สามร่วมห้อง ทั้งคู่ก็ชะงัก หันขวับไปมองเป็นตาเดียว และรุจศรัณย์ก็ออกอาการเนื้อเต้นอย่างที่เธอเริ่มเจนตาเจนใจ

“พี่จ๋ามาแล้ว!”

ส่วนทวิพัทธ์ก็ทอดสายตามองเธอ มีแววห่วงใยและเห็นใจฉาบไล้ เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้เรื่องของเธอจากเจ้ากรมข่าวสารอย่างอิสรีแล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนเธอคงเก็บซ่อนท่าทีอ่อนแอไว้สุดความสามารถ แต่ชั่วโมงนี้...มันไม่สำคัญอีกต่อไป...เธอจะมีสภาพเป็นอย่างไรในสายตาใครก็ช่างประไร น้ำหนักความทุกข์กดทับร่างเธอจนปวดร้าวทุกอณู ไร้เรี่ยวแรงจะเล่นเกมชีวิตทุกรูปแบบ

เธอขอยอมแพ้...

ถ้าทวิพัทธ์จะมองเธออย่างสมเพชเวทนาหรือสบโอกาสยิ้มเยาะสาแก่ใจอีกคน เธอคงห้ามเขาไม่ได้ แค่ต้องทนผ่านไปให้ได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังทำสิ่งตรงข้ามกับการเป็นคู่ปรับตัวฉกาจ ขยับยิ้มน้อยๆ ทักทายเธอและก้าวไปช่วยหมุนเก้าอี้รถเข็นของเจ้าตัวเล็กที่ชะเง้อมองพี่สาวจนเกือบคอเคล็ดให้หันไปเผชิญหน้ากันตรงๆ ด้วยรู้ว่าหนูน้อยยังเป็นมือใหม่หัดขับ เพิ่งทำได้แค่เดินหน้ากับถอยหลัง ยังเลี้ยวโค้งไม่เป็น จากนั้นก็บอกกึ่งแนะให้เด็กชายรู้ว่าควรทำอะไรต่อไป

“เอ้า...อวดให้พี่จ๋าดูหน่อยเร้วว่าจั๊มพ์คนเก่งทำอะไรเป็นแล้ว”

“คับ”

รุจศรัณย์รับคำ ใช้สองมือน้อยบังคับวีลแชร์ให้คืบคลานอย่างเชื่องช้า ท่าทางตั้งอกตั้งใจเอามากๆ อันที่จริงเธอคิดจะซื้อวีลแชร์ไฟฟ้าให้น้องใช้สบายๆ แต่น้ำหนาวไม่ยอมอนุมัติ แยกเขี้ยวเอ็ดว่า

‘อย่าเว่อร์ค่ะคุณนาย แค่วีลแชร์ธรรมดาก็พอ น้องจั๊มพ์จะได้ออกกำลังกายบ้าง ได้ยกตัวขยับไม้ขยับมือนิดหน่อยก็ช่วยบริหารกล้ามเนื้อทั้งนั้น อย่าให้น้องสบายเกิน เดี๋ยวได้เป็นง่อยตายกันพอดี’

ในที่สุดเด็กชายก็พาตัวมาอยู่ตรงหน้าเธอ แหงนดวงหน้าเล็กๆ มองอย่างรอคอย รุจศยาฝืนยิ้มและเอ่ยชมเชยน้องให้หน้าบานเป็นจานเชิง

“จั๊มพ์เก่งมากเลยครับ”

“พี่น้ำพี่สองก็บอกจั๊มพ์เก่งคับ”

เด็กชายอวดเขินๆ ค่อนข้างภาคภูมิใจไม่น้อย จิตแพทย์เด็กที่แวะเวียนมาดูแลเป็นประจำก็บอกว่ารุจศรัณย์มีสภาพจิตใจดีขึ้น ปรับตัวอยู่กับอาการบาดเจ็บพิการได้ระดับหนึ่ง และการดูแลเอาใจใส่กับคำชมเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้หนูน้อยเชื่อมั่นว่าตนมีความสามารถและเป็นที่ต้องการเสมอ กุญแจสำคัญดอกหนึ่งที่ช่วยให้น้องชายของเธอดีวันดีคืนเห็นจะเป็นคนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่สอง’ นี่แหละ

ทวิพัทธ์ถูกชะตากับรุจศรัณย์ตั้งแต่แรกพบ มีเวลาว่างเป็นต้องโผล่มาอยู่ข้างเตียง ชวนคุยชวนเล่น มันเขี้ยวก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงให้คนไข้ตัวน้อยหัวเราะคิกคักห่างไกลจากหุบเหวแห่งความซึมเศร้า ถึงชายหนุ่มจะแก้เกี้ยวว่าแค่เล่นสนุกตามประสาคนไม่เคยมีน้องเล็กๆ แต่ทุกสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเด็กชายล้วนบ่งบอกว่าเขาเป็น ‘พี่’ ที่ดีกว่าเธอมาก

เธอเป็นพี่สาวที่ไม่ได้เรื่อง...ไม่เคยรักน้อง...ไม่เคยอยากได้เด็กคนนี้...ดังนั้นมีคนรับไปเลี้ยงแทนก็น่าจะลงตัวดีแล้ว เธอจะได้เป็นอิสระจากพันธนาการที่น่าชังนี้เสียที

เธอควรจะลิงโลดใจสิ...แต่ทำไม...ถึงรู้สึกเหมือนอวัยวะสำคัญกำลังจะถูกพรากไปจากร่าง ทั้งเจ็บปวดและเศร้าหมองเสียจนอยากร้องไห้

รุจศรัณย์เห็นพี่สาวจ้องมองตนโดยไม่พูดอะไรต่อก็ถามอย่างฉงน

“พี่จ๋าไม่สบาย หายยังคับ”

“ใครบอกจั๊มพ์ว่าพี่จ๋าไม่สบายครับ”

“พี่สองคับ” นิ้วป้อมๆ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางเจ้าของชื่อที่เอนกายอิงขอบหน้าต่าง ทวิพัทธ์ขยับมือตอบเพื่อนเล่นต่างวัยอย่างสนิทสนมกึ่งยอมรับผิดกับหญิงสาว ถึงรุจศยาจะไม่อยากได้ยินเรื่องโกหกอีก แต่กรณีนี้เธอแอบขอบคุณชายหนุ่มเงียบๆ ในใจ ฟังเจ้าตัวเล็กถ่ายทอดเรื่องที่ถูกกรอกหูให้เชื่อมาตลอดสองวันและวรรคสุดท้ายจากปากแดงๆ ก็ทำให้กระบอกตาเธอร้อนจัด “พี่สองบอก...พี่จ๋าไม่สบาย มาหาจั๊มพ์ไม่ได้ เดี๋ยวจั๊มพ์ไม่สบายด้วย พี่จ๋าหายแล้วนะคับ”

น้องชายเธอเป็นเด็กสุภาพ อ่อนโยน รู้จักห่วงใยผู้อื่น เลี้ยงง่ายสอนง่าย ไม่ค่อยงอแงเอาแต่ใจ...บางทีคุณสมบัติดีๆ เหล่านี้อาจจะช่วยให้ลุงหรือป้าที่ศาลพิจารณาเลือกให้เป็นผู้ปกครองโดยชอบธรรมเกิดจิตเมตตารักใคร่น้องมากกว่าพี่สาวที่ไร้หัวใจก็ได้

“ครับ” หญิงสาวตอบรับและเย้ากลับว่า “จั๊มพ์มีพี่น้ำกับพี่สองมาหาแทนแล้วไง ยังไม่พออีกเหรอ”

เด็กชายส่ายหัวเร็วๆ รีบบอกให้เธอชุ่มชื่นและเจ็บแปลบลึกๆ ไปพร้อมกัน

“จั๊มพ์อยากให้พี่จ๋ามาด้วยคับ”

รุจศยายิ้มเศร้าๆ ย่อร่างจนอยู่ในระดับเดียวกับร่างเล็ก ปกติเธอมักระวังไม่สัมผัสน้องนัก แต่วันนี้...สองตาเธอเห็นน้องอยู่ใกล้แค่ปลายเอื้อม หากสำนึกบอกว่าน้องกำลังหลุดลอยไกลเกินไขว่คว้าขึ้นเรื่อยๆ ผลักดันให้เธออยากแตะต้องน้องจนห้ามใจไม่ไหว มือเรียวเลื่อนไปลูบศีรษะทุยๆ ที่มีผมหยักศกเหมือนเธอ...เรือนผมของน้องอ่อนนิ่มกว่าที่เคยจำได้ ผิวหน้าของน้องก็เช่นกัน

รุจศรัณย์เบิกตากลมโตอย่างประหลาดใจ แต่ก็ยอมรับสัมผัสจากพี่สาว ประกายตาเต้นริกๆ มีความสุขคล้ายลูกสุนัขที่รอความปรานีจากเจ้าของมาแสนนานจนสมหวัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นงุนงงสงสัยกับสิ่งที่เธอหลุดปากในนาทีต่อมา

“อีกหน่อยพี่จ๋าคงไม่ได้มาหาจั๊มพ์แล้วนะ”

“ไมล่ะคับ”

เจ้าตัวเล็กถามเสียงหงอย ชักจะหน้าเสีย รุจศยาเกลี่ยปอยผมที่อาจจะแยงตาโตคู่นั้นให้เข้าที่ เธอแค่อยากบอกน้องให้เตรียมใจแต่เนิ่นๆ กึ่งบอกตัวเองให้ยอมรับอนาคตและลดระดับความผูกพันลงเพื่อว่าเวลาแยกจากกันจะได้ไม่เจ็บปวดมากนัก เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เธอก็ทรมานเหลือเกินแล้ว

หญิงสาวพึมพำสอนน้องด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวละม้ายคนนอนละเมอ ทั้งที่เธอยังตื่นอยู่บนโลกแห่งความจริงที่เป็นยิ่งกว่าฝันร้ายใดๆ ที่เคยเผชิญมา

“จั๊มพ์ออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องไปอยู่กับลุงกับป้า คงไม่ได้อยู่กับพี่จ๋าอีก จั๊มพ์ต้องเป็นเด็กดี ลุงป้าบอกอะไรต้องเชื่อฟัง อย่าดื้ออย่าซน ทำตัวดีๆ พวกเขาจะได้รักจั๊มพ์มากๆ...”

น้ำเสียงหญิงสาวชักสั่นเครืออย่างควบคุมไม่อยู่ ยิ่งสบตาดำขลับที่เบิกโพลงจ้องเธอไม่วางตา เห็นเงารื้นๆ เอ่อคลอหน่วยตาที่เริ่มแดงเรื่อและปากเล็กๆ เบะหนักขึ้นทุกคำที่ผ่านไป หัวใจของเธอก็เหมือนถูกเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงเป็นรอยพรุน กว่าจะแข็งใจสั่งความจบก็แทบดับดิ้นอยู่ตรงนั้น

“พี่จ๋าอาจจะไม่ได้ไปหาบ่อยๆ จั๊มพ์คนเก่งต้องเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้งอแงนะรู้ไหม”

...ไม่...เธอไม่อยากยกน้องให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น...

...แต่เธอจะเก็บน้องไว้ได้ยังไง...มองไม่เห็นทางใดที่จะเก็บน้องไว้ได้เลย...

...ไม่มี...ไม่มีสักทาง...


ความเงียบกริบปกคลุมห้องชั่วอึดใจก็ถูกทำลายด้วยเสียงโฮของรุจศรัณย์

“ฮือ...”

ร่างน้อยพยายามโผไปหาพี่สาว แต่ติดเข็มขัดพันธนาการตัวไว้กับเก้าอี้รถเข็น สืบเนื่องมาจากน้ำหนาวบอกว่ารุจศรัณย์ยังทรงตัวนั่งห้อยขาได้ไม่ค่อยดี น่าจะให้ช่างเสริมอุปกรณ์สักชิ้นเป็นตัวช่วยยึดร่างไว้อีกแรง รุจศยาบรรจงเลือกเข็มขัดหุ้มผ้ายัดฟองน้ำอย่างดี ไม่อยากให้ผิวบอบบางถูกเสียดสีให้ระคายเคืองสักกระผีกริ้น หากยามนี้มันกลายเป็นโซ่กักตัวเด็กชายไว้แน่นหนา ทำได้เพียงเหยียดสองมือมาข้างหน้า ไขว่คว้าไปมาในอากาศอย่างต้องการเอื้อมให้ถึงด้วยกลัวว่าพี่สาวจะจากไปเหมือนพ่อ แม่ ป้า...จะไม่หวนกลับมาหาเขาอีกแล้ว

ทวิพัทธ์ตะลึงงัน เรียกสติได้ก็รีบดีดผึงไปหาเด็กชายที่น้ำตาเต็มหน้า เผยอปากร้องฮือๆ อย่างน่าสงสาร ช้อนร่างเล็กขึ้นมาโอ๋อย่างปลอบประโลมและปกป้อง ก่อนหันขวับไปเอาเรื่องกับรุจศยา

“คุณจ๋า! ทำไมพูดกับน้องแบบนี้!”

“อีกไม่นานจะมีคนมาเอาจั๊มพ์ไปแล้ว คุณก็ไปด้วยสิ ไปจากฉันให้หมดทุกคนเลย ไป!”

หญิงสาวกรีดเสียงไล่อย่างอัดอั้นตันใจ อยากจะหนีไปให้พ้นๆ จากสายตาตัดพ้อสองคู่และเสียงร่ำไห้ที่เหมือนกรดแสบร้อนกัดกินเนื้ออ่อนในใจเธอไม่เหลือชิ้นดี สองขาเธอโรยแรงจนต้องถอยไปนั่งซุกตัวลีบติดมุมโซฟา ไม่อาจละสายตาจากดวงหน้าเล็กๆ ชุ่มน้ำใส

“ฮือ...ฮือ...”

รุจศรัณย์ร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ กอดลำคอชายหนุ่มไว้เป็นที่พึ่งพิงระหว่างเหลียวมองพี่สาวเหมือนไม่เข้าใจว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีตรงไหน...ทำไมพี่สาวถึงไม่รักเขา...ทำไมถึงผลักไสเขาไปอยู่กับคนอื่น

รุจศยายกมือปิดปากกลั้นก้อนสะอื้นที่หนุนขึ้นมาเป็นระลอก ดวงตาร้อนจัดและพร่าเลือน สัมผัสถึงของเหลวอุ่นๆ ที่ตกต้องนวลแก้มและไหลถูกอุ้งมือ

น้ำตา...

เธอกำลังร้องไห้เพราะเด็กคนนี้หรือ...

เธอที่ไม่เคยยอมเสียน้ำตาให้กับอะไรง่ายๆ กำลังหลั่งน้ำตาเพราะเด็กที่ไม่คิดจะรัก...


ภาพที่รุจศรัณย์สะอึกสะอื้นจนตัวโยน น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสายได้เข่นฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น บีบคั้นเลือดทุกหยดในหัวใจให้แห้งเหือด ความเจ็บแผ่ลามไปทั่วร่างจนชาไร้ความรู้สึก เนื้อตัวเบาหวิวและกลวงโหวงราวกับไม่เหลืออะไรบรรจุอยู่ภายใน แม้แต่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณ...

รอยร้าวมากมายเดินทางมาถึงจุดที่แตกสลายเป็นจุณ!

รุจศยาร้องไห้ให้กับความสูญเสียทั้งหมด...ร้องไห้ให้กับมารดาและสองคุณน้าที่ทำลายความรักความศรัทธาของเธอหมดสิ้น...ร้องไห้ให้กับครอบครัวที่พังทลาย...ร้องไห้ให้กับน้องชายที่จะถูกพรากไปอยู่ในมือคนอื่นโดยไม่รู้เลยว่าพวกนั้นจะดีกับเขาสักแค่ไหน...

สุดท้าย...เธอร้องไห้ให้ตัวเอง...ร้องไห้ให้กับชีวิตโดดเดี่ยวอ้างว้างที่กำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้า...

ทวิพัทธ์ถอนใจเฮือกใหญ่ ก้มมองเด็กน้อยที่ซุกตัวร้องไห้ในอ้อมอกเขาสลับกับหญิงสาวที่โอบกอดตัวเองอย่างเหน็บหนาวและเปล่าเปลี่ยว

นี่คือเด็กที่ถูกทำร้าย...

ส่วนนั่นก็ผู้ใหญ่ที่ถูกทำร้าย...


============================


น้ำหนาวรับประทานอาหารกลางวันเสร็จก็แวะขึ้นมาเล่นกับรุจศรัณย์และจะรับตัวลงไปยังศูนย์กายภาพบำบัดอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตร ทวิพัทธ์เห็นหญิงสาวโผล่มาได้จังหวะก็ฝากให้ช่วยดูแลเด็กชาย ตอนแรกเจ้าตัวเล็กก็สั่นหัวดิก ไม่ยอมไป ขยุ้มเสื้อเขาไว้แน่น ต้องปลอบโยนแกมให้สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าเดี๋ยวจะโทรศัพท์มาหาและจะแวะซื้อของอร่อยๆ มาทานด้วยกัน ร่างน้อยถึงยอมโผไปอยู่ในอ้อมแขนของนักกายภาพบำบัดสาวที่ยังงงๆ กับสถานการณ์ภายในห้อง จากนั้นชายหนุ่มก็จูงแกมดึงพี่สาวของหนูน้อยฉากหลบไป ขับรถพาเธอกลับบ้าน จับนั่งบนโซฟายาวตัวเดียวกัน และเปิดฉากซักไซ้ไล่เลียงโดยมองข้ามท่าทีไม่เต็มใจของหญิงสาว ตั้งหน้าตั้งตาคาดคั้นจนรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด

ทวิพัทธ์ทำหน้าตาครุ่นคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก็หยั่งเชิงถาม

“คุณจ๋าคิดไว้หรือยังว่าจะทำยังไงต่อไป”

“ยังมีอะไรที่ฉันทำได้อีกเหรอ” รุจศยายอกย้อนอย่างร้าวราน ทั้งอับอายและชอกช้ำจนไม่อยากสู้หน้าใครๆ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจถ่ายทอดสิ่งที่แวบเข้ามาในสมองระหว่างขับรถไปหาน้องชายให้เขาทราบ เผื่อว่าเวลานั้นมาถึงจริงๆ จะได้ไม่หาว่าเธอใจดำจากไปโดยไม่บอกคนที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลสักคำ “บางที...จบเรื่องหนี้สินของแม่แล้ว ฉันอาจจะไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหนสักแห่ง วิชาความรู้ฉันก็มีเกือบท่วมหัวคงพอเอาตัวรอดได้หรอก ยังไงซะที่นี่ก็ไม่มีอะไรสำหรับฉันอีกแล้วนี่”

“คุณจ๋าจะไปเหรอ”

ชายหนุ่มทวนถามอย่างตื่นตระหนก ทั้งใจหายและหวาดหวั่นลึกๆ อย่างบอกไม่ถูก รุจศยาแลดูหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ดูจากสีหน้าแววตาแห้งแล้งจัดและนิสัยใจคอของหญิงสาวแล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าเธอคงเลือกโบยบินไปไกลลิบ...ไปให้ไกลเกินกว่าเขาจะได้พบเห็นหรือรับรู้ความเป็นไปในชีวิตของเธอ และอาจไม่หวนคืนสู่สถานที่ที่สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้อีก

ความคิดนั้นจุดไฟแผดเผาเขาให้ร้อนรุ่มทุรนทุราย เสียงแผ่วเบาจากที่ลี้ลับในใจร่ำร้องว่า ...อย่าปล่อยเธอไป...ต้องยึดตัวเธอไว้... และบ่วงบาศแรกที่เขานึกออกก็ถูกเหวี่ยงไปคล้องตัวเธอฉับไว

“คุณจ๋าไม่ห่วงจั๊มพ์บ้างหรือไง”

“มีคนแย่งกันเลี้ยงอยู่แล้ว ทำไมจะต้องห่วงอีก”

“แน่ใจหรือว่าคนที่แย่งกันเลี้ยงน่ะดีพอจริง”

ทวิพัทธ์แกล้งหยอดเสียงถาม ค่อนข้างสมใจที่เห็นแววตาเธอวูบไหวอย่างไม่มั่นใจ...อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้รุจศยาพะวักพะวน...สายใยความผูกพันของพี่น้องที่หญิงสาวเพียรปฏิเสธมาตลอดได้กลายเป็น ‘จุดอ่อน’ ของเธอโดยไม่รู้ตัว

ความลังเลไม่เหลืออยู่ในหัวทวิพัทธ์เมื่อเริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ความหวาดระแวงลงในหัวใจคนเป็นพี่สาว

“คุณจ๋าก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าลุงป้าของจั๊มพ์เป็นคนยังไง เห็นแก่ตัวแค่ไหน หลานตัวเองแท้ๆ โผล่มาดูหนเดียวก็หายจ้อย ที่หันกลับมาแย่งกันอยากเลี้ยงจั๊มพ์ก็เพราะมรดกหรอก ยิ่งคุณจ๋าไม่อยู่พวกเขายิ่งไม่ต้องเกรงใจใคร จั๊มพ์อายุแค่สามขวบกว่าแถมยังพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไปอยู่กับคนแบบนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้”

รุจศยาอ้ำอึ้ง ยังจดจำความร้ายกาจของพลวัตกับพิลาสลักษณ์ได้แม่นยำ รุ่นลูกเองก็ใช่ย่อย วศินเป็นนักเลงหัวไม้ ต้องคดีทำร้ายร่างกายผู้อื่นมาหลายหน แว่วว่าเคยซ้อมภรรยาจนเพื่อนบ้านแอบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่ภรรยากลัวสามีหงอไม่กล้าดำเนินคดีอะไร นลินทิพย์นั้นก็ไม่รู้จักทำการทำงาน ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ตอนอายุยี่สิบต้นๆ ก็คลอดลูกไม่มีพ่อสองคนมาให้บุพการีช่วยเลี้ยงแล้ว ทางด้านช่อผกาก็ไม่มีปากเสียงยอมลงให้ลูกผัวตลอด แขไขที่ดูดีกว่าคนอื่นหน่อยก็เป็นแค่สะใภ้ที่หอบลูกมาอยู่ใต้ใบบุญพิลาสลักษณ์ย่อมหวังพึ่งพาไม่ได้มาก ส่วนรุ่นหลานวัดจากพฤติกรรมแล้วก็น่าจะถูกเลี้ยงดูมาแบบผิดๆ ดูท่าผู้ใหญ่ในบ้านคงไม่ค่อยมีเวลากับความอดทนพูดจาทำความเข้าใจกับเด็ก อบรมสั่งสอนให้เป็นคนมีเหตุผล แต่เลือกให้สิ่งที่ถูกเรียกร้องไปตัดรำคาญ เวลาพวกหลานๆ อยากได้อะไรก็มักลงไปดิ้นแผดเสียงร้องไห้กรี๊ดๆ ให้ผู้ใหญ่โอ๋จนเสียนิสัย ข้าวของเครื่องเล่นที่เรืองรองสรรหามาให้รุจศรัณย์ก็ถูกหยิบจับอย่างไม่ถนอม หักพังเป็นกองขยะย่อมๆ แค่มีจินตนาการว่าเด็กน่ารักอย่างน้องชายเธอต้องตกอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น หญิงสาวก็แทบทนรับไม่ได้เลยทีเดียว

“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ฉันไม่มีอะไรพอจะไปสู้กับพวกเขา น้าวิน้ามัทก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว จะให้ฉันไปคุกเข่าอ้อนวอนชาร์ลให้กลับมาแต่งงานกันจะได้มีภาษีดีพอขอเป็นผู้ปกครองจั๊มพ์ได้หรือไง”

ตอนท้ายหญิงสาวใส่อารมณ์ประชดประชันอย่างสิ้นหวัง หลักมั่นคงในชีวิตเธออันตรธานไปหมด เหลือทางเลือกแค่ตาแก่ตัณหากลับที่ยื่นข้อเสนอให้เธอเป็นนางบำเรอขัดดอก ลองกลั้นใจพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่ารังแต่จะเพิ่มปัญหา ไม่ว่าจะมองมุมไหนเธอก็เป็นฝ่าย ‘เสีย’ ลูกเดียว...เรื่องแดงเมื่อไหร่คงโดนสังคมประณามหยามหยัน ศาลรู้เข้าก็ไม่มีทางมอบผู้เยาว์ให้คนที่มีหลักฐานมัดตัวว่าไร้ศีลธรรมจรรยาเป็นผู้ปกครอง หรือต่อให้ปิดบังทุกคนได้สำเร็จจริง เธอก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความขมขื่น รังเกียจตัวเอง สักวันอาจพาลเกลียดเจ้าตัวเล็กที่มีส่วนผลักดันให้เธอตกอยู่ในสภาพอัปยศอดสูด้วยก็เป็นได้

“คุณจ๋าพูดแล้วกล้าทำจริงน่ะ”

ทวิพัทธ์สัพยอกอย่างนึกขำ รุจศยาถลึงตาขุ่นคลั่ก อารามหมั่นไส้คนที่ยังทำหน้าระรื่นทั้งๆ ที่เธอกำลังทุกข์ทนจนหนทางจึงพาลพาโลใส่เขาเป็นชุด

“ยังมีหน้ามาถามอีก คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ คุณชอบแกล้งฉัน ว่าฉัน วุ่นวายกับชีวิตฉัน ฉันกำลังจะแต่งงาน คุณก็ยังมาวอแวด้วยจนเป็นเรื่อง ถ้าไม่มีข่าวลือบ้าๆ นั่นชาร์ลอาจจะไม่ระแวงฉันจนเผลอไปกับแอมและคงไม่กล้าหาเรื่องยกเลิกงานแต่งงานกับฉันก็ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ...คุณคนเดียว!”

หญิงสาวต่อว่าต่อขานฉอดๆ ซึ่งจิตใต้สำนึกก็กระซิบแย้งทุกประโยค

...ไม่หรอก...เขาไม่ผิด...

...คนที่ผิดคือเธอ...คนไม่ได้เรื่องคือเธอ...

...เธอมันช่างไร้ค่า ด้อยความสามารถ แค่น้องคนเดียวก็ยังยื้อไว้ไม่ได้...เธอก็แค่คนอ่อนแอที่อยากโทษใครสักคนเพราะทนแบกรับความล้มเหลวของตัวเองไม่ไหวแล้ว...


กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ถือสาหาความ ยอมรับอย่างว่าง่ายจนเธองง

“ผมขอโทษ...”

“คิดว่าขอโทษแล้วจะหายเหรอ”

รุจศยาตีรวนตามความเคยชิน ทวิพัทธ์ยิ้มพราย นัยน์ตาเปล่งแสงวิบวับอย่างไม่น่าไว้ใจทำเอาคนถูกมองชักกระสับกระส่าย ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยว่า

“ในเมื่อผมผิด ผมทำตัวไม่ดี คุณจ๋าจะให้โอกาสผมแก้ตัวบ้างไหมล่ะ”

“ยังไง”

“ผมอาจจะไม่ร่ำรวยมหาศาล แต่ก็พอจะช่วยคุณจ๋ากับจั๊มพ์ได้นะ” ชายหนุ่มเว้นจังหวะดึงความสนใจ พอเห็นคู่สนทนาจ้องเป๋งมาก็สูดหายใจลึกอย่างตัดสินใจเด็ดขาด แม้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจนหวนสู่จุดเดิมไม่ได้อีกตลอดกาล สองตาเขาสะท้อนภาพเธอกลับไปตรงๆ ขณะที่พูดต่ออย่างแช่มช้า ชัดเจน และหนักแน่นทุกถ้อยคำ

“แต่งงานกับผม...คุณจ๋า...ผมจะได้ช่วยรับผิดชอบทุกเรื่องที่คุณจ๋าต้องเจอเอง”

“อะไรนะ!”


========= (จบตอนที่ 8) =========






Create Date : 21 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 23:41:09 น. 9 comments
Counter : 1062 Pageviews.

 
น่าสงสารรุจศยาที่สุด ..เรื่องร้ายๆโหมมาในครั้งเดียว อ่านไปแอบซับน้ำตาไปด้วย


โดย: manee IP: 94.23.252.21 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2557 เวลา:21:30:05 น.  

 
อ่านรวดเดียวจุใจ 3 ตอนเลยค่ะ ถึงจะเคยอ่านแล้ว กลับมาอ่านใหม่ก็ยังสะเทือนใจเหมือนเดิม รอให้ถึงตอนหน้า ตอนเข้าหอ หลังเข้าหอไม่ไหวแล้วค่าาาา 55555 จะตั้งตาคอยนะคะ ^^


โดย: summer IP: 125.25.207.170 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา:0:10:41 น.  

 
=== manee ===
ตอนเขียนก็จุกๆ เหมือนกันค่ะ หลังมรสุมท้องฟ้าก็สวยงามน้า เป็นกำลังใจให้คุณจ๋าต่อไปด้วยนะคะ ^^

=== summer ===
ตายล่ะ ถ้าเกิดหยุดแปะตรงตอนที่ว่านั่นพอดีจะว่าไงละนั่น 555+ :p



โดย: คีตภา วันที่: 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา:10:24:52 น.  

 
งั้นคุณกุ๊กก็ต้องออกรวมเล่มไวแทนน่ะสิคะ 55555


โดย: summer IP: 118.172.49.206 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา:19:55:57 น.  

 
อ่านอีกรอบก้อยังเศร้าสะเทือนใจเหมือนเดิม น้ำตาหยดแหมะๆ รอตอนต่อไปค่ะ ยิ่งรวมเล่มไวไวยิ่งดี อยากอ่านรวดเดียวค่ะ


โดย: OnlyU IP: 1.47.145.183 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2557 เวลา:2:10:59 น.  

 
บีบคั้นมากกกกก เฮียสองแมนมากกกกกก


โดย: MooNa IP: 1.47.168.46 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2557 เวลา:9:06:32 น.  

 
=== summer ===
แง้ว~ รอลุ้นไปด้วยกันนะคะ จุ๊บๆๆ ^3^

=== OnlyU ===
จะพยายามเต็มที่เลยค่ะ ขอบคุณมากๆ สำหรับการติดตามด้วยนะคะ ^^V

=== MooNa ===
มามะ กอด...ปลอบใจกัน อ้อ พี่สองบอกว่าเขาออกจะแมนสุดพลัง รอให้คุณจ๋าพิสูจน์อยู่เนี่ย (คุณจ๋าหนาวๆ ร้อนๆ ชอบกลเลย 555+) ;p


โดย: คีตภา วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:3:42:04 น.  

 
รอๆๆๆ อ่านยังไงก็ยังไม่อิ่ม อยากอ่านอีกค่าาาาาาาา


โดย: b IP: 112.121.132.18 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:15:33:03 น.  

 
=== b ===
เดี๋ยววันนี้จะแปะตอนที่ 9 ค่ะ แล้วมาติดตามกันต่อนะคะ ขอบอกว่าตอนหน้านี้พลาดไม่ได้เลยล่ะ อิอิ ^^V


โดย: คีตภา วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:3:54:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คีตภา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




*** งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบนะคะ :) ***


"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ)

รวมเล่มโดย Love สนพ. แจ่มใส วางแผงปลายเดือน มิ.ย. 58 ค่ะ ขอฝากพี่สอง คุณจ๋า และน้องจั๊มพ์ไว้ด้วยนะคะ ^_____^



Date 28/04/2015
สองรักล้นใจ บทที่ 1-11
~ ตัวอย่างทดลองอ่านจ้า ~





เว็บบอร์ดคีตภา@jamsai.com
เว็บบอร์ดคีตภา ณ แจ่มใส :)




ผลงานของคีตภา
นิยายตีพิมพ์รวมเล่ม

นิยายรูปแบบ E-Book


อีเมลของคีตภา



Unique Visitors :
Page Loads :


Friends' blogs
[Add คีตภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.