"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ) จะวางแผงแล้ว~ ขอฝากงานเขียนของ "คีตภา" ไว้ด้วยนะคะ ^^

Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
21 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
(100%) === สองรักล้นใจ # 7 : แก้วที่ปริร้าว ===









- 7 -



ถ้ารุจศยาได้เหยียบย่างเข้าสู่แดนสวรรค์ ลิ้มรสชาติความสุขสมหวังได้ไม่ทันไร ยมทูตก็ติดตามมาฉุดกระชากลากถูกลับลงนรกอย่างว่องไว

เธอช็อก!

ยากที่จะเชื่อว่าบุคคลที่รักและไว้วางใจทั้งสองคนได้ร่วมมือกันทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น

คนหนึ่งเป็นชายคนรักที่หวังฝากชีวิต...

อีกคนเป็นเพื่อนสาวคนสนิทที่คบกันมานานกว่าครึ่งชีวิต!

ทว่าสายสัมพันธ์ที่ร่วมก่อร่างสร้างขึ้นคงไม่มีค่าและไม่มีความหมายลึกซึ้งดังที่ควรเป็น ชานนท์กับอัมราภรณ์ถึงกล้าจับจูงมือขึ้นเวทีในงานเลี้ยง ประกาศความรักที่มีต่อกันให้แขกผู้มีเกียรติมากมายร่วมเป็นสักขีพยานในการประกอบพิธีหมั้นสวมแหวนตีตราจองฝ่ายหญิงอย่างเป็นทางการ ทอดทิ้งรุจศยาให้กลายเป็นว่าที่เจ้าสาวไร้เจ้าบ่าวเคียงคู่ในงานมงคลสมรสที่รออยู่อีกสิบกว่าวันข้างหน้า

หญิงสาวอยากให้มันเป็นแค่เรื่องอำเล่นขำๆ แม้ว่าจะเป็นมุกที่แรงไปหน่อย เธอก็จะแค่นหัวเราะไปด้วยให้ได้ หรือถ้าเป็นฝันร้ายก็อยากตื่นให้เร็วที่สุด เพราะทุกถ้อยคำจากผู้หวังดีที่โทรศัพท์มาบอกเล่ากึ่งสอบถามว่าเรื่องราวไปไงมาไงไม่ต่างจากแส้เก้าแฉกเฆี่ยนตีเธอให้ดับดิ้นอยู่ตรงนั้น

...เรื่องเลวร้ายแบบนี้ต้องไม่เกิดขึ้นจริง...

...ไม่จริง!...

...ไม่!!!...


เธอยังเฝ้าปฏิเสธอย่างไม่อาจยอมรับได้ กระทั่งเห็นทวิพัทธ์ก้าวเข้ามา สีหน้าแววตาเขาทำลายความหวังที่เหลืออยู่น้อยนิดของเธอให้พังภินท์ หมดหนทางหลอกตัวเองอีกต่อไป

...มันเป็นความจริง!...

...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามนั้นจริงๆ!...


หัวใจเธอบีบรัดแน่น ก้อนแข็งๆ อุดเต็มลำคอแห้งผาก ใบหน้าชาดิกด้วยความอัปยศอดสูที่สุดอีกครั้งในชีวิต มิหนำซ้ำยังอุบัติขึ้นต่อหน้าผู้ชายที่เธอไม่ปรารถนาให้เห็นเธอในสภาพตกต่ำย่ำแย่ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกชักนำเขามาอยู่ร่วมในช่วงเวลาที่เธอต้องเผชิญเรื่องไม่คาดฝันอันส่งผลกระทบให้ชีวิตพลิกคว่ำไม่เป็นท่าเสมอ

...เธอถูกทิ้ง...และเขาก็รู้แล้ว...

ดูเถิด...เธอหลงวางตัวสูงส่งทั้งที่แท้จริงช่างด้อยค่า พอลอกเปลือกสวยๆ ออกไปก็พบเนื้อในมีตำหนิไร้ราคา ไม่เป็นที่ต้องการของชายใด ไม่ว่าจะเป็นทวิพัทธ์ที่เคยพูดสบประมาทให้เจ็บใจ หรือชานนท์ที่ตัดสัมพันธ์ได้อย่างร้ายกาจโดยมีเพื่อนของเธอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ปลดเธอจากตำแหน่งว่าที่เจ้าสาวเอาดื้อๆ ทั้งที่ตระเตรียมงานแต่งใหญ่โตไว้รอท่า แจกการ์ดเชิญแขกเหรื่อไปนับพันคน ไม่แยแสว่าเธอจะต้องอับอายขายหน้าและเจ็บช้ำน้ำใจกับการกระทำของพวกเขาสักแค่ไหน

...ม่ายขันหมาก!...

ไม่คิดเลยว่าเธอจะประสบเหตุการณ์ทำนองเดียวกับคำคำนั้น...

ผู้หญิงที่ถูกผู้ชายทิ้งงานวิวาห์ไปมีคนใหม่แทนมันงามหน้าไม่น้อย เรื่องนี้คงเป็นตราบาปติดตัวเธอไปนานแสนนานทีเดียว

...ต่อจากนี้จะสู้หน้าใครๆ ได้ยังไง...

ทวิพัทธ์เอื้อมมือมาดึงเครื่องมือสื่อสารจากมือเรียว ตอนแรกรุจศยาจะขัดขืนตามความเคยชิน แต่พอสบตาคมที่มองมาอย่างวิงวอนขอร้อง มือไม้เธอก็พานอ่อนเปลี้ยจนเขายื้อโทรศัพท์ไปได้สำเร็จ กดปิดเครื่องโดยไม่นำพากับเสียงโหวกเหวกหาคู่สนทนาและถือวิสาสะหย่อนเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเฉย เจ้าของตัวจริงทำได้แค่มองตาปริบๆ น้ำท่วมปาก คัดค้านไม่ออก ว่ากันตามตรงแล้วค่อนข้างโล่งใจเล็กๆ ด้วยซ้ำ เพราะเธอไม่อยากได้ยินได้ฟังและไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆ อีกแล้ว

หญิงสาวพยายามปั้นหน้านิ่งเฉย เก็บงำอารมณ์ไว้ภายใน ไม่อยากเผยด้านที่อ่อนแอให้เห็น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันจวนตัวเกินไป เธอยังตั้งรับไม่ทัน ไม่อาจปรับท่าทีให้แนบเนียนได้เหมือนเคย หารู้ไม่ว่ายิ่งเธอพยายามสร้างภาพว่าเข้มแข็งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความสะเทือนใจให้คนมองมากเท่านั้น

ใบหน้าซีดขาวปานกระดาษเปล่ามีร่องรอยทุกข์ใจ แววตาชอกช้ำจากการถูกทำร้ายแสนสาหัส ละม้ายคนใกล้จะร้องไห้เต็มที หากยังสู้สะกดกลั้นไว้ด้วยความหยิ่งทระนงเฮือกสุดท้าย ฝืนวางท่าว่าไม่เป็นไร ไม่มีสิ่งใดทำลายความเป็นตัวเธอได้ กระนั้นสภาพของเธอช่างเปราะบางเหมือนแก้วที่มีรอยร้าวนับไม่ถ้วนพร้อมจะแตกสลายลงทุกวินาที เห็นแล้วก็น่าพิศวงเหลือเกินว่ายังทรงตัวเป็นรูปเป็นร่างมาถึงป่านนี้ได้อย่างไร

ทวิพัทธ์อยากปลอบโยนเธอ แต่เกรงว่าคำพูดจะสะกิดแผลใจโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นความเงียบคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

และ...

อีกวิธีหนึ่งที่ไม่สมควรยิ่ง...

เขารู้ดีว่าทำแล้วอาจถูกตบเปรี้ยงหน้าหันหรือโดนแว้ดหูชา แต่คิดสะระตะแล้วให้เธอโกรธเกรี้ยวเสียยังดีกว่าทำหน้าเจ็บปวดเศร้าสร้อย...เงารื้นๆ ในดวงตาแดงก่ำเหมือนน้ำกรดกัดกินใจเขา ความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่เล็ดลอดออกจากตัวเธอทำให้เขาทนอยู่เฉยไม่ไหว อยากช่วยประคับประคองแก้วร้าวใบนี้ไว้จึงโอบร่างเพรียวบางเข้ามากอดอย่างนุ่มนวล...ในเมื่อไม่อาจพูดก็ให้สัมผัสถ่ายทอดความรู้สึกแทนแล้วกัน

ให้เธอรู้ว่าไม่ได้เหลืออยู่ตัวคนเดียวบนโลก...ยังมีเขาเป็นเพื่อนเสมอ…

“คะ...คุณ! ทะ...ทำอะไรน่ะ”

รุจศยาอุทานถามตะกุกตะกัก ตกใจจนตัวแข็งทื่อ พอตั้งสติได้ก็จะยันอกกว้างออกไปให้ห่างๆ แต่ปลายคางแข็งแรงที่กดแนบศีรษะตรึงเธอให้หยุดอยู่กับที่ เริ่มตระหนักว่ามือหนาที่ลูบไล้เรือนผมอ่อนนิ่มแถวท้ายทอยเบาๆ และท่อนแขนที่พาดกระชับเอวคอดกิ่วมิได้จาบจ้วง หยาบคาย ตรงข้ามกลับอบอุ่นละมุนละไมเสียจนกระบอกตาเธอร้อนผ่าว ทรวงอกตีบตัน เกิดอยากจะร้องไห้โฮเสียอย่างนั้น

ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มกระซิบอย่างเข้าอกเข้าใจว่า...

“อยู่ตรงนั้นสักพักเถอะคุณจ๋า ไม่ต้องเงยหน้าขึ้น ถ้าไม่อยากให้ผมเห็นน้ำตา”

หญิงสาวก็ต้องกลั้นสะอื้นหนักกว่าเดิม มือที่ตั้งท่าจะผลักไสกลายเป็นขยุ้มเสื้อเขาแน่น ค่อยๆ โน้มหน้าผากลงแตะฐานลำคอแกร่ง ซ่อนใบหน้าไว้ตามคำแนะนำของคนที่อุทิศตนให้เป็นที่พักพิงชั่วคราว ปากก็พึมพำบอกเขาพร้อมกับสะกดจิตตัวเอง

“ฉันไม่ร้องไห้...ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอขี้แย...ฉันจะไม่ร้องไห้กับเรื่องพรรค์นี้เด็ดขาด”

“ผมรู้...คุณจ๋าของผมเป็นคนเก่งและเข้มแข็งเสมอ”

ชายหนุ่มช่วยยืนยันให้อีกเสียง ไม่ได้เออออห่อหมกเพื่อเอาใจเธอ แต่เนื้อแท้ของเธอเป็นเช่นนั้นจริงๆ...ผู้หญิงที่แสนเย่อหยิ่ง มีความสามารถมากพอกับความอวดดื้อถือดี จิตใจเด็ดเดี่ยวเสียจนผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาต้องยอมศิโรราบให้หลายหน

ใจหนึ่งทวิพัทธ์ก็ชื่นชมและนับถือสิ่งที่เป็นเธอ แต่อีกใจก็หม่นหมองด้วยความเป็นห่วงสงสาร ไม่อยากให้เธอแข็งกระด้างมากขนาดนั้น จะได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจออกมาบ้าง ไม่ใช่ต้องเก็บและกดมันไว้ให้ลึกที่สุด ห้ามแสดงออกให้ใครเห็นอย่างที่เป็นอยู่

ในร่างบางๆ นั่นสะสมความทุกข์จากการเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันไว้มากเกินกว่าที่สตรีคนหนึ่งสมควรจะแบกรับไว้เพียงลำพังแล้ว

รุจศยาก้มหน้านิ่ง นับจากมารดาเสียชีวิตไปและสองคุณน้าแปรเป็นอื่นก็ไม่มีใครมอบสิ่งนี้ให้เธออีก

การตระกองกอดอย่างอ่อนโยน...

สัมผัสจากมือที่ช่วยปลอบประโลม...

อ้อมอกอุ่นเพื่อพักพิงและขับไล่ไอหนาวเย็นของความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย...

ส่วนลึกของเธอโหยหาสิ่งเหล่านั้นมากจนปวดร้าว พอได้รับแล้วก็ช่วยพยุงหัวใจที่ไร้หลักยึดเหนี่ยวให้มีกำลังหยัดยืนต่อ

…คุณจ๋าของผม...

ไม่ว่าชายหนุ่มจะพูดออกมาเพราะปากพาไปหรือด้วยเหตุใดก็ตาม รุจศยาจำยอมรับว่ารู้สึกดีเหมือนเธอยังมีค่า เป็นที่ต้องการ ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบเสียทีเดียว

ความเอื้ออาทรที่เขาถ่ายทอดผ่านภาษากายสื่อถึงใจเธอได้ดีกว่าคำพูดเป็นไหนๆ...ยามที่อ้อมแขนนี้โอบประคองสร้างความอุ่นใจประดุจปีกอันกว้างใหญ่กางกั้นเธอจากเภทภัย ไม่ยอมให้สิ่งใดกล้ำกรายได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ห่อหุ้มดูแลเธออย่างทะนุถนอม...อ่อนหวาน

ตอนที่รุจศรัณย์ถูกชายหนุ่มกอดคงรู้สึกเช่นนี้กระมัง เจ้าตัวกะเปี๊ยกถึงติดพี่สองเป็นตังเม เห็นหน้าทีไรต้องโผให้อุ้ม ไม่ค่อยอยากผละห่าง เวลาชายหนุ่มลากลับแต่ละทีก็ทำตาละห้อยอ้อนแล้วอ้อนอีก

ส่วนตัวเธอก็ไม่ได้เข้มแข็งมากอย่างที่สมองบงการไว้หรอก ดูเหมือนว่าจะอ่อนล้าและอ่อนแรงเสียจนไม่อาจขืนตัวออกจากวงแขนอุ่น อยากหลงลืมทุกสิ่ง ซุกกายอยู่ตรงนั้น ซึมซับทุกความรู้สึกที่สามารถเก็บเกี่ยวได้เข้าสู่หัวใจแร้นแค้น ให้มือใหญ่ปกป้องคุ้มครองและปลอบขวัญ

...ขออ่อนแอสักนิดเถอะนะ แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น แล้วเธอจะรีบกลับเป็นคนเดิมให้ไวที่สุด...

...ขออยู่แบบนี้ต่อไปอีกนิด...

...ขออีกนิดเดียวพอ...


============================


ประมาณทุ่มกว่ารถสปอร์ตคันงามของทวิพัทธ์ก็พารุจศยากลับถึงเคหสถาน หญิงสาวนึกขอบคุณชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดี ไม่ปริปากชวนคุยในยามที่เธอต้องการอยู่เงียบๆ เพียงแค่ส่งสายตาห่วงใยมาเป็นระยะๆ ซึ่งเธอก็รับไว้ด้วยความซาบซึ้งคละเคล้ากับยอกแสยงใจ ไม่อาจมองเขาเต็มตาได้เหมือนแต่ก่อน

เรื่องที่เกิดขึ้นยังเป็นแผลสดใหม่มอบความเจ็บอายให้ทุกขุมขน…

หญิงสาวปฏิเสธอิสรีกับน้ำหนาวที่จะมาหาด้วยเหตุผลว่ายังไม่พร้อมพบเจอหน้าหรือพูดจากับใคร ทั้งคู่เข้าใจความอีหลักอีเหลื่อของเธอดี ต่างแสดงน้ำใจทิ้งท้าย

“คุณจ๋าโทรหาพี่อ้อยได้ตลอดนะ จะกี่โมงกี่ยามไม่ต้องไปสนใจ พี่เปิดเครื่องทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนล่ะ”

“พรุ่งนี้เป็นวันหยุด เดี๋ยวน้ำจะแวะซื้อของอร่อยๆ ไปฝากและอยู่เป็นเพื่อนน้องจั๊มพ์เอง จ๋าไม่ต้องห่วงน้องจั๊มพ์นะ”

รุจศยาตื้นตันใจ อย่างน้อยในคราตกอับลำบาก เธอก็ยังเหลือมิตรแท้อยู่เคียงข้าง ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกขาดแคลนไปเสียทุกอย่าง

หญิงสาวหย่อนร่างบนโซฟาเดี่ยวได้ครู่หนึ่ง โทรศัพท์พื้นฐานบนโต๊ะเตี้ยๆ ใกล้มือก็ดังขึ้น เธอเผลอรับตามความเคยชิน ก่อนเกร็งนิ้วบีบกระบอกโทรศัพท์เมื่อรู้ว่าใครโทรมา

“หนูจ๋า...”

คนที่เรียกเธอด้วยน้ำเสียงเล้าโลมน่าขยะแขยงแบบนี้มีเพียงคนเดียว...

นายสมภพ!

ตาแก่ตัณหากลับที่เคยยื่นข้อเสนอให้เธอเป็นอนุภรรยาขัดดอก พอถูกปฏิเสธก็ให้ทนายความยื่นเรื่องฟ้องร้องตามกระบวนการกฎหมาย พอรู้ข่าวว่าเธอถูกตัดสวาทก็ไม่รอช้าที่จะโทรศัพท์มาตอกย้ำและแสดงความปรารถนาต่ำทรามให้ประจักษ์อีกครั้ง

“ลุงได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่ชานนท์ประกาศหมั้นกับลูกสาวคุณหญิงภัสสรมาด้วยนะ พวกเขาสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก คุณนวลอรเองก็โปรดปรานว่าที่สะใภ้คนใหม่จนออกนอกหน้า หนูจ๋าคงไม่ได้แต่งงานกับชานนท์และไม่มีทางใช้หนี้ลุงได้แล้วล่ะ ป่านนี้ศาลคงรับเรื่องไปแล้ว ถ้าไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาลให้ขายหน้ากว่านี้ ลุงยังยืนยันข้อเสนอเดิมอยู่นะ ถ้าหนูจ๋าตกลง ลุงจะ...”

“ไปตายซะไป๊!”

รุจศยาตวาดขึ้นก่อนอีกฝ่ายจะพล่ามจบ กระแทกโทรศัพท์ลงกับแป้นอย่างแรง ไม่แยแสสวัสดิภาพโสตประสาทของอีกฝ่าย อยากตัณหาจัดยอมให้อวัยวะอื่นชี้นำดีนัก หูหนวกหูตึงไปเลยยิ่งดี

ครั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก เธอก็กระชากขั้วต่อทิ้งตัดรำคาญ แต่ยิ่งพลุ่งพล่านหนักขึ้นเมื่อลูกจ้างสาวปิดประตูรั้วไล่หลังรถของทวิพัทธ์เสร็จก็กลับขึ้นมารายงานว่า

“วันนี้มีคนโทรมาหาคุณจ๋าหลายคนเลยค่ะ บางคนก็บอกชื่อไว้ บางคนก็ไม่ได้บอกอะไร พี่จดใส่กระดาษโน้ตวางไว้ข้างโทรศัพท์แล้วนะคะ”

รุจศยาฟังแล้วปวดหัวจี๊ด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงแพร่กระจายไปในหมู่คนรู้จักไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่งในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน ก่อนหน้านี้โทรศัพท์มือถือของเธอถูกปิดไปแล้ว โทรศัพท์บ้านเลยต้องรับศึกหนักแทน วัดจากรายชื่อน่าจะเป็นผู้หวังดีจอมปลอม อยากรู้เรื่องชาวบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นสองรายชื่อที่ทำเอาเธอนิ่งงัน แววตาวูบไหว

...วิภาดา...

...มัทนา...


ขนาดบินไปร่วมเทศกาลงานโฆษณานานาชาติถึงเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อดูงานและขยายเครือข่ายในวงการ สองคุณน้ายังไม่ทิ้งลายหูไวตาไวเป็นกรด คงโทรศัพท์ข้ามทวีปมาเพราะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

...จะโทรมาทำไมกันล่ะ ไม่เห็นเธอเป็นหลานรักแล้วนี่ หรือกลัวเสียภาพพจน์เลยต้องกดมาหาบ้างตามมารยาท...

รุจศยาคิดน้อยอกน้อยใจ และออกคำสั่งเฉียบขาด

“พี่ไพลิน ถอดสายโทรศัพท์บ้านออกให้หมดทุกเครื่องเลยค่ะ จ๋าไม่รับสายจากใครและไม่รับแขกหน้าไหนทั้งนั้น ถ้ามีใครมาหาไม่ต้องถามจ๋า เชิญให้กลับไปได้เลย”

“ค่ะ...ค่ะ…”

“ฝากบอกป้าวดีด้วยนะคะ”

หญิงสาวหมายถึงแม่บ้านวัยห้าสิบปีที่มาทำงานในตอนสาย ดูแลทำความสะอาดบ้านและตระเตรียมอาหารเย็นให้เสร็จสรรพก็กลับไปอยู่กับครอบครัวของตน ไม่ได้พำนักอยู่ที่นี่เหมือนสาวโสดอย่างไพลิน

จากนั้นรุจศยาก็ขังตัวในห้องพัก ปฏิเสธอาหารค่ำ ปากคอเธอขมจัดเสียจนกินอะไรไม่ลง สายน้ำที่ชำระล้างร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ายังไม่หนาวเย็นเท่าก้อนน้ำแข็งที่กำลังกัดกระดูกและหัวใจ...มันเจ็บชาจนใกล้จะหมดความรู้สึกเข้าทุกที

ขมับเธอเต้นตุบๆ ไม่หยุด ต้องใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับได้ แต่มารผจญยังตามมารังควานกลางดึก โทรศัพท์สายตรงในห้องนอนเธอกรีดร้องระรัว งานนี้ต้องโทษความเลินเล่อของตัวเองสถานเดียวที่ลืมสนิท เนื่องจากไม่ค่อยได้ใช้รับสายเข้าหรือโทรออก คนรู้จักเบอร์ส่วนตัวนี้มีเพียงมารดา ชายคนรัก และเพื่อนสนิท ไม่คาดว่าสองรายหลังจะกล้าติดต่อมาอีก

ปรากฏว่าเธอประมาทเกินไป...พวกเขากล้ามากกว่าที่คิดเยอะ!

แต่น่าจะเป็นเช่นนั้นอยู่หรอก ถ้าขาดความกล้าจนเข้าขั้นไร้ยางอายกว่าคนทั่วไปมีหรือจะก่องานหมั้นสุดอื้อฉาวกลางกรุงได้...

============================


“ผมเองนะ...ชาร์ล โทรเข้ามือถือคุณไม่ติดก็เลยต้องโทรเข้าเบอร์นี้แทน”

ผู้รบกวนยามวิกาลออกตัวเสียงระรื่น ไม่มีความสำนึกผิดสักกระผีกริ้น คนฟังขบฟัน นัยน์ตาลุกวาบด้วยแรงแค้น ตะกอนอารมณ์ที่สงบลงระดับหนึ่งถูกกวนให้ขุ่นมัว ในเมื่อเขาจงใจทำร้ายกันอย่างไม่ไว้หน้า สลัดเธอทิ้งเหมือนเศษขยะ ซ้ำยังส่อเจตนาตามมากระทืบให้แหลกยับ เธอก็จะไม่ยอมให้เขากระทำได้สมใจ ถ้อยคำก้าวร้าวที่เธอไม่เคยใช้กับเขามาก่อนถูกงัดขึ้นมาเป็นอาวุธจวกกลับฉับไว

“จะโทรมาอีกทำไม กลัวไม่รู้เหรอว่าเลวขนาดไหน”

“ยังเก่งได้เหมือนเคยนี่”

“ไม่เท่าพวกคุณสองคนหรอก เทียบกันแล้วฉันยังอ่อนชั้นกว่าหลายขุม ทั้งเรื่องตีสองหน้า ลิ้นสองแฉก กลิ้งกลอก หลอกลวง ลอบกัด พ่นพิษ ฉันแพ้หลุดลุ่ย ยังต้องเรียนรู้จากพวกคุณอีกเยอะ”

“จะมากไปแล้วนะรุจศยา!”

ชานนท์ตะคอกอย่างเหลืออดกับคำด่ากระทบเป็นนัยๆ ถึงสัตว์ร้ายหลายชนิด

รุจศยายิ้มเย็น เธอก้าวผ่านจุดที่เสียใจเพราะเขากับเพื่อนสาวมาแล้ว จะไม่หวนกลับไปจมปลักในบ่ออารมณ์นั้นอีก คนอย่างเธอเจ็บแล้วจำ...ตาต่อตาฟันต่อฟัน!

น่าแค้นใจที่จำต้องยอมรับว่าเธอไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้ได้มากกว่าวาจา ดังนั้นถ้าเหลือหนทางต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีเพียงทางเดียว เธอก็จะทำมันสุดความสามารถ จะลับฝีปากให้คมกริบดุจใบมีดกรีดเฉือนอีกฝ่ายให้เป็นแผลเหวอะหวะและโรยเกลือซ้ำให้แสบสันทีเดียว

“รับรองว่าไม่มากเกินหน้าคุณหรอก กล้าทำแล้วตาขาวไม่กล้ารับหรือไง มาหน้าบางตอนนี้ไม่ความรู้สึกช้าไปหน่อยเหรอ”

“ผมไม่ได้โทรมาให้คุณด่านะ!”

“แล้วคุณหวังอะไรล่ะ...หวังว่าฉันจะร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนขอร้องคุณ เพิ่มอีโก้ให้กับความเป็นผู้ชายห่วยๆ ของคุณ จะได้สะใจเต็มที่ที่เหยียบย่ำผู้หญิงคนนึงให้หมดสภาพได้งั้นสิ”

รุจศยายอกย้อนเยาะๆ ปลายสายนิ่งอึ้งเหมือนถูกแทงใจดำ หญิงสาวเลยกระหน่ำต่ออีกชุด

“ถ้าฉันจะเสียดายอะไรสักอย่างก็คงเสียดายเวลาที่เสียไปกับคุณและคู่หมั้นของคุณ” เอ่ยถึงตรงนี้หญิงสาวก็ต้องกล้ำกลืนรสขมๆ เธออาจจะมีคนรู้จักคบหาเป็นมิตรมากหน้าหลายตา แต่อัมราภรณ์คือเพื่อนคนสำคัญที่ผูกพันกันมานานกว่าใคร กระนั้นมิตรภาพกว่าสิบปียังด้อยค่ากว่าผู้ชายใจคดคนหนึ่ง อัมราภรณ์เห็นชานนท์ดีกว่าเธอ... “เอาเถอะ...ฉันจะถือว่าเสียค่าโง่ เสียค่ายกครูให้ดาราเจ้าบทบาท ได้เปิดหูเปิดตาให้สว่าง ได้รู้เช่นเห็นชาติพวกโกหกตลบตะแลงมืออาชีพว่าเขาทำกันยังไง จะได้ไม่โง่ซ้ำซากอีก”

“ผมโกหกอะไรคุณ เคยบอกเหรอว่าจะแต่งงานกับคุณ คุณคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น ผิดหวังแล้วก็มาโทษผม ก้มมองตัวเองบ้างสิว่ามีอะไรคู่ควรกับผมบ้าง”

ชานนท์โดนประณามมากๆ เข้าก็ชักฉุน พอตั้งหลักติดก็สวนกลับอย่างเผ็ดร้อน รุจศยาชะงักกึก ความคิดหมุนวนไปวันสุดท้ายที่ได้พบกัน ยังจำทุกบททุกตอนได้แม่นยำว่าชายหนุ่มตกลงกับเธอไว้อย่างไร

“ก็ตอนนั้นคุณ...”

'ถ้าผมไม่อยากรอนาน อยากแต่งเร็วๆ คุณจะว่าไงล่ะ'

'ผมไม่ใช่คนเคร่งขนบทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นมากกว่าความต้องการของตัวเอง คนเรามีสิทธิ์เลือกทำสิ่งที่พอใจ คนอื่นไม่ชอบก็ไม่เห็นเป็นไร เวลาเราไม่มีความสุขพวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยนี่นา แล้วจะใส่ใจไปทำไม’

'แม่ก็บ่นบ้างว่าผมเอาแต่ใจ แต่สุดท้ายก็ตามใจผมเสมอ’

ชานนท์หัวเราะเบาๆ ครึ่งขบขันครึ่งสมเพช จุดประกายความเข้าใจในหัวของรุจศยา

“คุณจงใจพูดกำกวมให้ฉันคิดเองใช่ไหม คนที่คุณจะแต่งงานด้วยจริงๆ คือเพื่อนฉันต่างหาก คุณกับแอมพบกันที่อเมริกาแล้วคงมีอะไรกัน กลับมาก็สุมหัวกันปั่นหัวฉัน จงใจแกล้งให้ขายหน้าคนทั้งเมือง นี่สินะที่คุณบอกไม่สนว่าใครจะคิดยังไง สนแต่ความพอใจของตัวเองเท่านั้น ส่วนแม่คุณก็คงไม่ขัดขวางให้เสียเวลา ได้แอมเป็นลูกสะใภ้ย่อมดีกว่าฉันอยู่แล้ว”

“คุณฉลาด...แต่คิดออกช้าไปหน่อยนะ”

“คุณกำลังจะหมั้นกับแอม แต่ยังคิดจะนอนกับฉัน คุณทำแบบนั้นได้ยังไง...คนสารเลว!”

สุ้มเสียงหญิงสาวปร่าแปร่งด้วยแรงอารมณ์ เนื้อตัวไหวสะท้านน้อยๆ เมื่อคิดว่าเธอรอดมาได้หวุดหวิดแท้ๆ ถ้าคืนนั้นเธอเผลอใจอ่อนต่อการเว้าวอนของเขา สิ่งที่เธอจะได้รับเพิ่มเติมในยามนี้คือความเสียดายตัวและเสียใจไปชั่วชีวิต

ชานนท์แค่นเสียงหยัน ไหนๆ เธอเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพให้เหนื่อย

“ผมลงทุนกับคุณไปตั้งเท่าไหร่ ไม่ได้อะไรคืนสักอย่าง นึกว่าเจอทองคำแท้ เอาเข้าจริงแค่ทองคำเปลว ความจริงผมก็เสียดายคุณอยู่หรอก แต่เป็นแบบนี้อาจจะดีกว่า ไม่งั้นปลิงหิวโหยอย่างคุณคงเกาะผมแน่น ก่อปัญหาให้ไม่หยุดหย่อน ถึงแม่จะไม่ห้ามไว้ ผมก็ไม่มีทางร่วมหัวจมท้ายกับผู้หญิงมีแต่ตัวอย่างคุณอยู่ดี ธุระอะไรที่ผมต้องช่วยสะสางหนี้สินให้แม่คุณ รับเลี้ยงน้องพิการของคุณ ไม่ได้มีประโยชน์เลย พวกคุณสองแม่ลูกสร้างภาพตุ๋นผมกับแม่จนเปื่อย โดนเข้าบ้างเป็นไงล่ะ”

“คุณ...คุณนี่มัน...ชั่วช้าจริงๆ!”

“ก็สาสมกับผู้หญิงเลวๆ อย่างคุณแล้ว ขนาดคุณวิคุณมัทยังไม่เอา เหลือแต่เจ้าดีเจโง่นั่นที่ยังหลงตามก้นคุณต้อยๆ น้ำหน้าอย่างนั้นคงไม่มีเงินถุงเงินถังให้ถลุงสิท่า คุณถึงพยายามไล่จับผมน่ะ”

“คุณทวิพัทธ์ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ต้องลากเขาเข้ามายุ่ง!”

หญิงสาวปกป้องชายหนุ่มที่ถูกพาดพิงโดยอัตโนมัติ แต่คู่กรณียังสำรอกเสียงดูถูกดูแคลนไม่เลิก ชนิดถ้าเธออยู่ต่อหน้าเขาอาจบันดาลโทสะคว้าของแข็งไปฟาดให้เลือดกบปาก

“ไม่เกี่ยวอะไรกัน ช่วงที่ผมไม่อยู่มันตามติดคุณเป็นเงา ในงานศพก็อุ้มคุณอวดชาวบ้าน จบงานแล้วยังควงกันไปมั่วต่อบ่อยๆ ใครเขาก็รู้กันทั่ว กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องยังมาตอแหล!”

“คนพาล! สันดานหยาบ!! ความคิดอุบาทว์!!!” รุจศยากระแทกกระทั้นอย่างเหลืออด “ทำเรื่องสกปรกแล้วอย่าเหมามั่วซั่วว่าคนอื่นจะมักง่ายเหมือนกันด้วย จะโละฉันทิ้งก็พูดตรงๆ ไม่ต้องอ้างนู่นอ้างนี่ให้ตัวเองดูเลวน้อยลงหรอก มันทุเรศ!”

บทสนทนาชะงักลงชั่วขณะ แว่วเสียงชานนท์หันไปทักอัมราภรณ์ว่าอาบน้ำเสร็จเร็วจัง พออีกฝ่ายถามว่ากำลังคุยอยู่กับใคร ชายหนุ่มตอบว่ากำลังบอกเลิกแฟนเก่าให้จบไป ฝ่ายหญิงก็หัวเราะคิกบาดหูผู้ถือสายรออย่างแรง...บางทีอาจเป็นเพราะเธอคบกับอัมราภรณ์มาตั้งแต่เข้ามัธยม มีความสนิทชิดเชื้อมากกว่าเพศตรงข้ามอย่างชานนท์ เมื่อพบว่าเพื่อนทรยศกันได้อย่างไม่สะทกสะท้านจึงสร้างความเจ็บปวดให้มากกว่าเป็นไหนๆ

อัมราภรณ์บอกคู่หมั้นหมาดๆ ให้เปิดระบบพูดคุยโดยไม่ต้องถือหูโทรศัพท์ ชายหนุ่มรีบจัดให้ตามคำขอ ครู่เดียวรุจศยาก็ได้ยินเสียงหวานเจี๊ยบที่คุ้นเคยชัดเจนกว่าเดิม

“จ๋า...แอมขอโทษที่ไม่ได้บอกจ๋าล่วงหน้า ไม่ได้เชิญจ๋ามาร่วมงานหมั้นของเรา”

“ถ้าไม่รู้สึกผิดจริงก็ไม่ต้องเปลืองน้ำลายขอโทษ ฟังแล้วมันสะอิดสะเอียน”

รุจศยาตอกกลับอย่างไร้ไมตรี สุ้มเสียงของเพื่อนสาวมีแววสนุกสนานแกมสะใจที่ต้อนเธอเข้าสู่มุมอับ กดให้ต่ำต้อยด้อยค่าได้สำเร็จ แต่ยังแสร้งทำใสซื่อยั่วโมโหเธออีก

“จ๋าโกรธแอมเหรอ แอมกลัวจ๋ารับไม่ได้ แต่แอมก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”

“ทำไม...กลัวบอกแล้วฉันจะทำงานหมั้นพังหรือไง” เธอย้อนถามอย่างเย็นชาและจับคำพูดของอีกฝ่ายมาเหลาเป็นหอกแหลมคมเขวี้ยงกลับไปปักอก “ฉันไม่ลดตัวลงไปทำอะไรต่ำๆ อย่างล้มงานของชาวบ้านหรอก เธออาจจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ แต่ฉันห้ามใจตัวเองเป็น รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี เธอไม่ต้องห่วงหรอก”

“นังบ้า! นี่กล้าด่าฉันเหรอ”

อัมราภรณ์แหวอย่างเป็นฝ่ายของขึ้นเสียเอง รุจศยาเหยียดปากเยาะ เพื่อนเธอถูกเลี้ยงดูมาแบบคุณหนูเต็มขั้น แวดล้อมด้วยคนพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ มีความอดทนและจุดเดือดต่ำนัก พอไม่เป็นดั่งหวังหรือโดนยั่วถูกจุดนิดหน่อยก็เต้นเร่าๆ แล้ว

ตลอดมาเธอให้ความสำคัญกับคำว่า ‘เพื่อน’ ไม่เคยอยากฟาดฟันให้เจ็บช้ำน้ำใจ ในเมื่อเพื่อนไม่คิดเช่นเดียวกัน ก้าวล้ำเส้นที่ไม่อาจให้อภัย เล่นแรงมาเธอก็จะแรงตอบ ไม่เกรงใจกันอีกต่อไป

“ถ้าเธอกับเขาอยากได้กันมากจริงๆ จูงมือกันมาขอตรงๆ ก็ได้ ฉันอาจจะเสียความรู้สึกบ้าง แต่ไม่หน้าด้านหน้าทนขนาดแย่งของเพื่อนหรอก ฉันจะยกให้”

“เฮอะ! ทำพูดดี ฉันเคยบอกแล้ว แต่เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยากฮุบชาร์ลเอาไว้เอง เธอต่างหากที่ทรยศฉันก่อน เห็นหรือยังว่าของฉันยังไงก็ต้องเป็นของฉันอยู่วันยันค่ำ”

อัมราภรณ์พูดอย่างหยิ่งผยองในชัยชนะ โยนความเลวร้ายทั้งหมดให้เพื่อนเป็นสาเหตุ โดยมีชานนท์ร่วมผสมโรงดุจมีดปังตอกับเขียงหมู แน่นอนว่าชิ้นเนื้อที่โดนสับเละเทะย่อมเป็นรุจศยา

“ผมไม่ใช่ของคุณ! คุณไม่มีสิทธิ์ยกผมให้ใคร ผมมีสมองเลือกเองเป็น เคยโง่ที่สุดตอนพลาดท่าติดกับผู้หญิงลวงโลกอย่างคุณ ยังดีที่มีหนูแอมช่วยปลอบใจ ผมถึงได้ตาสว่างรู้ว่ารักกับหลงต่างกันยังไง ผมแค่หลงไปกับมารยาหญิงของคุณชั่วครั้งชั่วคราว ไม่เคยรักผู้หญิงบ้าๆ อย่างคุณเลย คนที่ผมรักจริงๆ คือหนูแอมเท่านั้น”

“ชาร์ล…”

รุจศยาได้ยินเสียงอัมราภรณ์ครางชื่อคู่หมั้นอย่างซาบซึ้ง น่าจะมีจุ๊บเป็นรางวัลด้วย ถ้าไม่ติดว่าถือกระบอกโทรศัพท์อยู่ เธอก็อยากปรบมือให้กับการวาดลีลาซื้อใจสาวสักแปะสองแปะ หากถ้อยคำถัดมาของชายหนุ่มก็ทำเอาเธอต้องกลั้นหายใจ หนาวเยือกเหมือนถูกผลักไสลงสู่หุบเหวอีกครั้ง

“เสียใจที่ช่วยคุณใช้หนี้ไม่ได้นะ ใครทำก็ต้องรับเอง คุณกระตือรือร้นอยากแต่งงานนักก็อย่าลืมโทรไปยกเลิกโรงแรมที่จัดงานกับใครต่อใครที่เชิญเอาไว้ด้วยล่ะ”

“คุณ...!”

“เคยได้ยินใช่ไหม...แข่งเรือแข่งแพแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาไม่ได้ ก็ขอให้โชคดีนะจ๋า”

อัมราภรณ์ช่วยซ้ำเติมอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ประสานเสียงหัวเราะกับคู่หมั้น รุจศยากัดปากจนห้อเลือด แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนชอบแข่งขันและอยากเอาชนะคะคานเธอ แต่ไม่คิดว่านิสัยนั้นจะฝังรากลึกหนักขนาดนี้

“เธอกับเขานี่สมกันจริงๆ...ขอบคุณที่แสดงตัวตนทุเรศๆ ให้เห็นชัดๆ ฉันจะไม่เสียดายผู้ชายห่วยๆ อย่างชานนท์อีกสักวินาทีเดียว ขอบคุณเธอด้วยที่อุตส่าห์สละตัวเองให้ฉันได้เรียนรู้ธาตุแท้ของคน ถ้าเธอต้องการผู้ชายไว้กกมากกว่าเพื่อน ฉันจะไม่ขัดขวาง ไม่โวยวาย ไม่เรียกร้องอะไร เพราะชานนท์มีดีแค่หน้าตากับเงิน แต่ไม่มีค่าพอให้ฉันต่อสู้แย่งคืนมาเลยสักนิด ผู้ชายคนนั้นทิ้งฉันไปหาเธอได้ สักวันนึงเขาก็ทิ้งเธอได้เหมือนกัน”

“นี่แช่งฉันเหรอ นังจ๋า...นังคนแพ้แล้วพาล...นังหมาเห่าใบตองแห้ง!”

“อย่ามาหยาบคายใส่ฉัน! อย่าทำตัวต่ำทรามครบสูตรทั้งหัวคิด การกระทำ และคำพูดเลย จำไว้ให้ดีแล้วกัน...ขอให้สำลักความสุขกับสิ่งที่เลือก วันไหนที่พลาดก็อย่าหวังว่าฉันจะเห็นใจ เพราะฉันจะทำแบบเดียวกับพวกเธอแน่...จะเอาคืนให้สาสม...จะช่วยเหยียบซ้ำให้เจ็บหนักกว่าเดิมเอง!”

กล่าวอาฆาตจบหญิงสาวก็ถอดขั้วต่อโทรศัพท์ออกเหมือนเครื่องอื่นๆ ทิ้งตัวนั่งหอบน้อยๆ ความโกรธทำให้หัวใจเธอสูบฉีดโลหิตเร็วรี่และผลักดันของเหลวอุ่นๆ สู่เบ้าตา ต้องแหงนหน้าขึ้นกะพริบตาถี่ ขับไล่มันให้ย้อนกลับไป

...ไม่...เธอจะไม่ร้องไห้...คนพรรค์นั้นไม่คู่ควรกับน้ำตาของเธอ!...

ชานนท์กับอัมราภรณ์ทำร้ายจิตใจและชื่อเสียงของเธอได้ แต่ทำลายศักดิ์ศรีและชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอไม่ได้

เธอจะไม่ยอมล้มให้พวกเขาสาแก่ใจเป็นอันขาด!

============================


การจราจรช่วงเช้าวันจันทร์ค่อนข้างติดขัด ฝนห่าใหญ่เทลงมาให้น้ำท่วมขัง ถนนลื่น เกิดรายการรถเสียและอุบัติเหตุกีดขวางเส้นทางจราจรประปราย ส่งผลให้รถติดหนึบเป็นแพยาวเหยียด

กว่าสิบนาฬิการุจศยาก็พายานพาหนะคันกะทัดรัดเข้าสู่อาคารสูงซึ่งแบ่งพื้นที่ให้หลายบริษัทเช่าเปิดสำนักงาน จัดสรรพื้นที่จอดรถให้ตามอัตราส่วน หญิงสาวสะพายกระเป๋าหนังขึ้นบ่า หอบถุงใบใหญ่บรรจุของแถมที่เล่นสนุกและช่วยเพิ่มพัฒนาการเด็กสำหรับส่งต่อให้ฝ่ายสร้างสรรค์นำไปออกแบบโฆษณาขายร่วมกับสินค้าไว้เต็มอ้อมแขน จัดแจงล็อกรถเสร็จก็สูดอากาศเข้าปอดอย่างรวบรวมกำลังใจ ลึกๆ แล้วเธอยังหวาดหวั่น แต่เธอคงหลีกเลี่ยงผู้คนไม่ได้ตลอดไป สู้เผชิญหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า อีกอย่างเธอไม่ต้องการให้ใครพูดด้วยว่าเธออกหักจากชานนท์จนต้องหลบลี้หนีหน้าจากสังคม อดีตชายคนรักไม่ควรได้รับเกียรติเหนือเธอปานนั้น

ชีวิตเธอยังต้องดำเนินต่อไป...ต้องก้าวผ่านเรื่องเลวร้ายพวกนี้ไปให้ได้ อย่างน้อยก็เพื่อเจ้าตัวกะเปี๊ยกที่เหลือเธอเป็นหลักเพียงคนเดียวด้วย

เมื่อคิดถึงชีวิตเล็กๆ ที่กำลังเฝ้ารออยู่ในโรงพยาบาล พลังใจของหญิงสาวก็เพิ่มพูนขึ้น…

เพื่อนร่วมบริษัทหลายคนทำท่าประหลาดใจที่เห็นรุจศยา ต่างกระอึกกระอักไม่รู้จะพูดด้วยยังไง มีทั้งสงสาร เห็นใจ และอยากรู้รายละเอียดเรื่องวิวาห์ล่ม เนื่องจากมีเบื้องหลังเล็ดลอดออกมาหลายกระแส โดยชานนท์ได้ตอบคำถามหลังหมั้นหมายกับ ‘ไฮโซแอม’ ของนักข่าวสายสังคมและบันเทิงว่า

‘จ๋าเป็นเพื่อนที่ใจกว้างมาก เข้าใจผมกับหนูแอมดี ยังดีที่เรารู้ตัวก่อนว่าไม่ได้รักกันจริง และก็ไม่ดันทุรังแต่งงานไปให้เสียใจกันทุกฝ่าย’

‘แล้วทำไมเธอถึงไม่มาร่วมงานด้วยคะ’

‘จ๋าติดธุระสำคัญ บอกผมกับหนูแอมล่วงหน้าแล้ว ผมขอไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับจ๋าแล้วนะครับ’

ฟังผิวเผินชานนท์ช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียนี่กระไร ออกจะให้เกียรติและไม่อยากพูดถึงผู้หญิงคนเก่าลับหลัง แต่รุจศยาเห็นไส้เห็นพุงเขาหมดแล้วว่าเป็นอสูรกายที่สร้างภาพเทพบุตรไว้ลวงตาคน อันที่จริงทางออกที่เขาเจือจานให้ก็ถือว่าไม่เลว ติดที่เธอไม่ใช่นักแสดงตัวยง ไม่อาจฝืนเป็นมิตรกับสองคนทรยศจึงเลือกวางเฉยลูกเดียว ส่วนใครจะเก็บไปคิดต่ออย่างไรก็ช่างประไร

หญิงสาวตรงเข้าแผนกบริหารงานลูกค้า โต๊ะทำงานของ เอ.อี. ที่อยู่รวมกันในห้องใหญ่มีอาณาเขตเป็นสัดส่วนแบบคอกใครคอกมัน พนักงานหลายคนแยกย้ายไปทำธุระหรือออกไปทำงานนอกสถานที่ เหลือติดแผนกอยู่แค่คนเดียว

สุมนที่นั่งอยู่ใกล้ประตูเหลือบเห็นหัวหน้าเข้าก็ตกใจจนเผลอลุกพรวด ละล่ำละลักทักทายด้วยท่าทีมีพิรุธ

“พะ...พี่จ๋า...วันนี้มาทำงานด้วยเหรอคะ”

“จ้ะ ฝนตกรถติด พี่แวะไปรับพรีเมี่ยมของเค-มิลค์ที่เพิ่งทำเสร็จมาด้วยเลยเข้าสายน่ะ ว่าแต่พุธนี้สุต้องไปรับบรีฟเวเฟอร์แล้วทำการบ้านดีพอหรือยัง จะทำแคมเปญเพิ่มยอดขายให้ของเบอร์สองในตลาดนี่ไม่ง่ายนะ คุณแอ๊นท์...ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาของบริษัทนั้นก็เขี้ยวไม่เบา อย่าให้เขาดูถูกว่าทางเราไม่เตรียมตัวไปล่ะ”

รุจศยาตักเตือน เอ.อี. รุ่นน้องที่ชอบพอกันอย่างหวังดี ทั้งลูกค้าและเอเจนซี่ต่างต้องเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ คู่แข่ง ส่วนแบ่งการตลาด งบประมาณโฆษณา เรื่อยไปถึงการใช้สื่อประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มเป้าหมายเป็นพื้นฐานความรู้เพื่อจะได้คุยกันรู้เรื่องและจับโจทย์ทำงานได้ตรงจุด

สุมนยิ้มแหย ย่างเท้าตามไปยังมุมห้องที่กั้นเป็นคอกขนาดใหญ่สุด บนโต๊ะทำงานรูปตัวแอลจัดวางของเป็นระเบียบไม่รกตาอย่างบางคอก มีของประดับตกแต่งเล็กน้อยแลดูสวยเก๋เฉกเช่นผู้เป็นเจ้าของที่ปลดสัมภาระลง ก่อนกระตุกคิ้วเข้าหากันด้วยสังเกตว่ามีบางอย่างแปลกๆ

“มีใครมาหยิบอะไรในนี้ไปหรือเปล่า”

“สะ...สุเองค่ะ” สาวน้อยอ้อมแอ้มตอบ หลบตาคนที่มองมาอย่างคาดคั้น กลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงดุจเดิมว่า “มะ...เมื่อตอนสายคุณวิมีคำสั่งขอแฟ้มงานทั้งหมดของพี่จ๋า เห็นว่า...จะให้พี่แหวนรับช่วงแทนพี่จ๋าที่จะพักงานยาว ตอนนี้กำลังคุยกันอยู่ที่ห้องคุณวิค่ะ”

“ไม่จริง!”

หญิงสาวร้องค้านอย่างไม่อยากเชื่อ ผลุนผลันตรงไปหาวิภาดาด้วยใจร้อนรุ่ม ระหว่างทางสวนกับอิสรีและปวันรัตน์หรือแหวน...เอ.อี. สาวที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเธอมาตั้งแต่ได้จับงานชิ้นแรก

ปวันรัตน์เป็นแฟนคลับตัวยงของทวิพัทธ์ ติดตามผลงานมาตั้งแต่สมัยแรกเข้าวงการ พอเห็นดีเจหนุ่มคนโปรดสนิทสนมกับรุจศยาจากโฆษณาที่เธอเคยเป็นผู้ดูแลในเบื้องต้น แต่เจ้านายกลับโยกไปให้บุตรีที่เพิ่งเข้าทำงานใหม่สานต่อแทนก็รู้สึกเหมือนถูกฉกชิงโอกาสงามไป และยิ่งทวีความไม่พอใจหนักขึ้นเมื่ออีกฝ่ายได้รับพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็น เอ.เอ็ม. ข้ามหัวเธอที่เข้ามาก่อนสองปี ผนวกกับพักหลังรุจศยาตกเป็นข่าวฉาวกับทวิพัทธ์บ่อยหน ปวันรัตน์ก็เหมือนคนทั่วไปที่ไม่ค่อยเห็นคนที่ตนรักใคร่ชื่นชมเป็นฝ่ายผิด อคติที่เกาะกุมเต็มหัวใจทำให้เลือกโยนบาปใส่รุจศยาว่าเป็นผู้หญิงเจ้าชู้ มีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้วยังอ่อยเหยื่อให้ท่าผู้ชายอื่นอีก

ความไม่กินเส้นของรุจศยากับปวันรัตน์เป็นที่ทราบกันทั่วบริษัท ตราบเท่าที่สองสาวไม่แสดงออกมากจนน่าเกลียดและการชิงดีชิงเด่นไม่ทำงานเสียหาย เจ้านายกับเพื่อนร่วมงานก็สามารถเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้

อิสรีมีสีหน้าอึดอัดลำบากใจ ผิดกับปวันรัตน์ที่กระหยิ่มยิ้มย่องถึงขั้นกร่าง สุมฟืนเข้าใส่กองเพลิงในใจรุจศยาให้คุโชน

หญิงสาวไม่หยุดพูดคุยกับใคร ก้าวฉับๆ ผ่านเลขานุการิณีเข้าไปผลักประตูห้องทำงานของวิภาดาโดยไม่ขออนุญาต พบว่าเจ้าของห้องไม่ได้อยู่เพียงลำพัง มัทนาก็อยู่ด้วย...กำลังยืนอิงขอบหน้าต่างคุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ พอเห็นโฉมหน้าผู้บุกรุก ทั้งคู่ก็ขยับตัวอย่างตกใจ อุทานเกือบเป็นเสียงเดียวกัน

“หลานจ๋า!”

“จ๋าต้องการคำอธิบาย!”

หญิงสาวประกาศวัตถุประสงค์เสียงกร้าวพอกับนัยน์ตา สลัดแขนออกจากเลขาฯ ที่วิ่งตามมายื้อยุดห้ามปราม กลัวเจ้านายจะตำหนิว่าบกพร่องต่อหน้าที่ วิภาดาต้องออกปากว่าไม่เป็นไรและโบกมือให้ลูกน้องไปทำงานต่อ ปล่อยให้พวกเธออยู่กันตามประสาน้าหลาน...

============================


รุจศยาประจันหน้ากับสตรีที่อยู่บนจุดสูงสุดของสายงานที่เธอสังกัด วิภาดาก้าวขึ้นแทนที่ศราพรรณในตำแหน่งประธานบริหารควบคู่กับเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานลูกค้า ในขณะที่มัทนาดูแลงานอีกสายหนึ่งในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ พวกเธอสองคนกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในบริษัท จะชี้อยู่ชี้ไปให้ใครก็ได้ ที่ผ่านมาพวกเธอค่อนข้างมีความยุติธรรม บางกรณีอาจจะเอนเอียงบ้างตามวิสัยมนุษย์ โดยรวมยังอยู่ในระดับที่ไม่เกินงาม จัดว่าเป็นเจ้านายที่น่ารัก ลูกน้องส่วนใหญ่ออกจะสบายใจที่ได้ร่วมงานกัน

ถึงแม้วิภาดากับมัทนาจะสิ้นเอ็นดูเธอแบบหลานสาว อย่างน้อยก็ควรมีจิตเมตตาฉันเจ้านายกับลูกน้องบ้าง แล้วทำไมถึงหักหาญน้ำใจเธอแบบนี้!

“หลานจ๋า สองวันนี้น้าติดต่อหลานไม่ได้เลย ไม่คิดว่าจะมาทำงานวันนี้ด้วยซ้ำ”

“รู้ไหมว่าพวกน้าเป็นห่วงหลานจ๋ามาก เพิ่งพูดกันอยู่แหม่บๆ ว่าถ้าไม่มีงานสำคัญแล้วจะแวะไปหาที่บ้าน จะไม่รออีกต่อไปละ”

“จ๋าปิดโทรศัพท์ เพิ่งจะเปิดเครื่องตอนขับรถมาทำงานค่ะ”

หญิงสาวชี้แจงตามจริง มองสองคุณน้าที่ก้าวออกมาแสดงความห่วงใยอย่างเคลือบแคลง สีหน้าของพวกเธอไม่เย็นชาเหินห่างเหมือนช่วงก่อนไปดูงาน สรรพนามอ่อนหวานว่า ‘หลานจ๋า’ ที่ไม่ได้ยินมานานก็หวนคืนมา แต่เธอมีบทเรียนที่ลืมไม่ลง ไม่อาจมองการเปลี่ยนแปลงของคนในแง่ดีได้อีก

“จ๋าทำอะไรผิด ทำไมน้าวิถึงทำกับจ๋าแบบนี้ ทำไมต้องสั่งพักงานจ๋า ทำไมต้องเอางานของจ๋าไปยกให้คนอื่น”

“จ๋าไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แต่น้าอยากให้จ๋าหยุดงานสักพัก จ๋าอาจจะใช้เวลาอยู่กับน้อง พากันไปเที่ยวพักผ่อนให้สบายใจ จ๋าอยากหยุดนานแค่ไหนน้าก็จะไม่ว่า รอให้เรื่องซาแล้วค่อยมาทำงานใหม่ดีกว่า”

วิภาดาแจกแจงเสียงอ่อนพลางยื่นข้อเสนออย่างใจป้ำ ไม่อยากให้หลานสาวฝืนออกมาหลังจากเกิดเรื่องใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของผู้คนแวดวงเดียวกัน ต่างได้รับการ์ดเชิญไปร่วมงานวิวาห์ที่ล่มไปแล้วทั้งนั้น

รุจศยายืนหยัดมานาน บอบช้ำทางใจมามาก พยุงกายให้เคลื่อนไหวได้ด้วยแรงทิฐิแท้ๆ วิภาดารู้ว่าหลานสาวจะเชิดหน้าสู้ต่อไปอย่างสง่างามเหมือนเคย แต่ระดับความเครียดย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เธอไม่อยากจินตนาการเลยว่าถึงขีดสุดแล้วจะเป็นอย่างไร

ขนาดเธอไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงยังถูกถามไถ่เนืองๆ แล้วเจ้าตัวที่ทำงานพบปะเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายฝ่ายจะต้องทนรับแรงกดดันมากขนาดไหน แค่นี้ก็แทบไม่เหลือรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะจริงๆ แล้ว ความน่ารักและอารมณ์ขันที่เคยมีติดปีกบินหนีไป ทิ้งรุจศยาไว้กับความขมขื่นชิงชัง ต้องสวมหน้ากากมารยาทสังคมลวงตาคนเป็นอาจิณ ดังนั้นประวิงเวลาออกไปให้มีข่าวเด็ดใหม่ๆ มาดึงดูดความสนใจ ทอนความอยากรู้อยากเห็นและลดเสียงเล่าลือในประเด็นเก่าๆ พร้อมกับให้หญิงสาวฟื้นฟูสภาพจิตใจน่าจะเป็นผลดีกว่า

หากรุจศยาไม่ยอมเข้าใจ เธอเพิ่งชาชินกับการถูกละเลยในยามต้องการที่พึ่งพิง จู่ๆ สองคุณน้าก็หันกลับมาดีด้วย เธอไม่อยากเชื่อว่าความปรารถนาดีนั้นเป็นของแท้ กริ่งเกรงว่าจะมีเล่ห์กลแอบแฝงอยู่

หญิงสาวส่ายหน้าต่อต้านจนผมกระจาย กรีดเสียงสะท้อนความเจ็บช้ำภายในอย่างสุดกลั้น

“จ๋าไม่ต้องการ จ๋าทำงานได้ น้าวิกับน้ามัทไม่ต้องแกล้งทำเป็นห่วงจ๋าตอนนี้ จ๋าซาบซึ้งไม่ลง!”

“หลานจ๋า!”

“น้าวิกับน้ามัทเล่นอะไรกัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จ๋าตามไม่ทัน ต้องการอะไรก็บอกตรงๆ จ๋าอยู่กับการโกหกหลอกลวงจนไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริงแล้ว เลิกเล่นเกมกับจ๋าเสียที เห็นจ๋าเป็นอะไรกัน จ๋าเป็นคน มีชีวิตจิตใจ เจ็บปวดเป็น ไม่ใช่สิ่งของไร้ความรู้สึกที่ใครจะทำยังไงก็ได้นะ”

“ไม่ใช่นะหลานจ๋า น้าหวังดีจริงๆ ไม่เคยอยากใจร้ายกับจ๋าเลย ที่ทำไปก็เพื่อตัวจ๋าทั้งนั้น น้า...”

“จะโกหกกันไปถึงไหน คนหวังดีเขาทำร้ายกันแบบนี้เหรอ น้าวิกับน้ามัทไม่ต้องการจ๋า เห็นเป็นตัวภาระเกะกะลูกตา อยากไล่ไปให้พ้นๆ ก็บอกมาเถอะ ไม่มีแม่คุ้มหัวแล้วจ๋าก็แค่เศษขยะ ขนาดเพื่อนกับแฟนยังไม่เอาเลย น้าวิกับน้ามัทจะทำบ้างก็ไม่แปลก ไม่มีอะไรที่จ๋ารับไม่ได้อีกแล้วล่ะ”

คนฟังใจหาย สัมผัสถึงบางสิ่งที่แตกสลาย เพิ่งตระหนักว่าพวกเธออาจเดินเกมพลาดอีกหน การที่รุจศยาเฉยเมย ไม่แสดงอาการสะทกสะเทือนใจให้ผู้ใดเห็น ไม่ได้หมายความว่าเจ้าตัวแข็งแกร่งเกินใคร เพียงแค่เก็บซ่อนความรู้สึกได้เก่งมากเท่านั้น

เนื้อแท้ของรุจศยายังมีความอ่อนไหวและอ่อนแอ ยิ่งถูกคนรอบข้างสร้างบาดแผลน้อยใหญ่ให้เจ็บเจียนตาย ถูกทอดทิ้งให้กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดตามลำพัง หญิงสาวยิ่งหวาดระแวงภัยเหมือนนางเนื้อบาดเจ็บเข็ดหลาบ ยากที่จะยอมไว้วางใจใครง่ายๆ...โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีส่วนทำให้เธอตกอยู่ในสภาพนี้

“โธ่...หลานจ๋า อย่าเข้าใจผิด พวกน้าต้องการหลานจ๋าเสมอ อย่าคิดอะไรเหลวไหลแบบนั้นอีกนะ”

“พวกน้ามีเหตุผลจริงๆ หลานจ๋าฟังพวกน้าก่อน...”

“ฟังเหรอ” หญิงสาวย้อนเสียงขม “แต่ก่อนจ๋าอยากให้น้าวิกับน้ามัทฟังจ๋า พูดกับจ๋า แต่น้าวิกับน้ามัทไม่สนใจ เวลาอันมีค่าของน้าวิกับน้ามัทไม่ได้มีไว้เพื่อจ๋า แต่เวลานี้จ๋าไม่ต้องการแล้ว น้าวิกับน้ามัทกลับมาขอร้องจ๋า อยากพูดกับจ๋า ทำไมกันล่ะ หรือไปรู้มาจากไหนว่าจั๊มพ์มีเงินถึงได้เปลี่ยนใจมาหาจ๋าอีก!”

วิภาดาชะงักกึก สะดุดนัยบางอย่างในวาจาเชือดเฉือน ขณะที่มัทนาหน้าตึงกับความก้าวร้าวที่ได้รับ เธอไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงนัก โดนใส่เอาๆ อยู่ข้างเดียวก็ชักยัวะเลยตอกกลับอย่างหมั่นไส้แกมขวาง

“เด็กดื้อ! ทำไมไม่ยอมฟังกันบ้าง น้าไม่สนมรดกพกห่อของเจ้ารัชหรอก จะเหลืออยู่สักเท่าไหร่เชียว น้าไม่ได้ยากจนข้นแค้นถึงขนาดตาโตอยากได้หรือต้องคอยกลัวว่าจะมีใครมาฉกเงินแค่นั้น”

“มัท!” วิภาดาเรียกชื่อเพื่อนเป็นเชิงปรามให้เพลาๆ หน่อย ฝ่ายนั้นพ่นลมออกจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมเก็บปาก ปล่อยให้เพื่อนที่ใจเย็นกว่ารับบทเจรจากับหลานสาวหัวแข็งแทน “พวกน้าขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับจ๋า แต่พวกน้าไม่ได้เปลี่ยนใจมาหาจ๋าเพราะเรื่องเงินทองจริงๆ ไม่ว่าจ๋ากับจั๊มพ์จะเป็นยังไงพวกน้าก็สนใจหลานอยู่แล้ว”

รุจศยากัดปากจนห้อเลือด...จะให้เชื่อคำพูดน่าฟังนั้นอีกได้อย่างไร จะมั่นใจได้แค่ไหนว่านั่นเป็นน้ำใสใจจริง ไม่ใช่ลมปากเป่าลวงให้ตายใจ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอพบเจอคนสวมหน้ากากใส่กันและกันมากเกินไป...มากเสียจนเธอสับสนและหวั่นกลัว ไม่รู้แล้วว่าหน้ากากใดเป็นโฉมหน้าที่แท้จริง...ใครกันที่เธอควรไว้เนื้อเชื่อใจ และใครที่เธอควรหลบลี้หนีห่างไปให้ไกลๆ...ผู้คนที่เคยคิดว่ารู้จักดีล้วนทำให้เธอเข็ดเขี้ยวมากเหลือเกิน

กลไกป้องกันตัวเองสั่งให้เธอปฏิเสธโดยอัตโนมัติ ไม่อยากหลงกลจนต้องเจ็บปวดแบบเดิมๆ อีก

“จ๋าไม่เชื่อ! โกหก!!!”

“หลานจ๋า...”

“อย่ามาแต่งเรื่องหลอกกันอีกเลย จ๋าไม่เชื่อน้าวิกับน้ามัทอีกแล้ว!”

“น้าไม่ได้โกหก...จะให้ทำยังไงหลานจ๋าถึงจะยอมเชื่อ ยอมฟังพวกน้า”

วิภาดาครางถามอย่างท้อแท้ รุจศยาเม้มเรียวปากชั่งใจ แวบเดียวก็เชิดหน้าขึ้นยื่นข้อแลกเปลี่ยนอย่างเฉียบขาด

“ถ้าน้าวิกับน้ามัทยืนยันแบบนั้นก็คืนงานให้จ๋าสิ ถ้าต้องการจ๋าจริง ไม่เคยคิดไล่กันไปก็เอางานของจ๋าคืนมา อย่าดีแต่หลอกให้จ๋าหลงเชื่อแล้วกลับคำทีหลังอีก เรื่องง่ายๆ แค่นี้น้าวิกับน้ามัทให้จ๋าได้ไหมล่ะ!”

สองสาวใหญ่นิ่งงัน ความที่เคยเห็นหญิงสาวมาตั้งแต่เป็นทารกเล็กๆ ได้ช่วยเลี้ยงดูอุ้มชู มีความรักใคร่ใกล้ชิดประหนึ่งญาติสนิทย่อมรู้นิสัยใจคอกันดี เห็นท่าทีเช่นนั้นก็ทราบว่าเจ้าตัวกำลังของขึ้นได้ที่ อารมณ์ร้อนพุ่งทะยานนำเหตุผล ต้องเอาให้ได้ดังใจ หาไม่แล้วคงไม่ยอมสงบลงรับฟังอะไรแน่

ทว่าเงื่อนไขที่หลานสาววางไว้เป็นอุปสรรคสำคัญให้พวกเธอลังเลหนัก รุจศยาสูญสิ้นศรัทธาและชอกช้ำจากพิษสงคำลวงครั้งแล้วครั้งเล่า หากพวกเธอยังดึงดันกระทำต่อไป หญิงสาวจะทนรับได้อีกหรือ

ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมห้องก่อคลื่นความกดดันในอากาศ มัทนาปัดสายตาถามวิภาดาว่าจะเอายังไง เจ้าของสถานที่ครุ่นคิดชั่วครู่ก็พรูลมหายใจยาว ปฏิเสธด้วยกิริยาที่ส่ายหน้าไปมาช้าๆ และวาจานุ่มนวลว่า

“น้าขอโทษ น้าให้จ๋าไม่ได้ ในเมื่อจ๋าไม่อยากถูกหลอกอีก น้าก็จะไม่รับปากพล่อยๆ น้าเองก็เบื่อกับการโกหกตลบตะแลงเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะคุยยังไง จ๋าก็จะไม่ได้งานกลับคืนไป น้ายังยืนยันเหมือนเดิมว่าจ๋าควรหยุดพักแล้ว”

รุจศยานิ่งอึ้ง ทั้งที่เผื่อใจไว้แล้วว่าอาจจะไม่ได้ดังหวัง แต่การได้ยินชัดๆ เต็มสองหูก็ยังทิ่มแทงเธอให้เจ็บแปลบได้อีกอยู่ดี

มุมปากอิ่มกระตุกหัวเราะขื่นๆ ราวกับจะเย้ยคู่สนทนาที่เปลี่ยนไปมาก รวมทั้งสมเพชตัวเองที่หน้าโง่ไม่เลิกด้วย ถ้าหัดยอมรับความจริงแต่โดยดีว่าเธอมันคนไร้ค่า ไม่มีความสำคัญกับใคร ไม่เหลืออำนาจต่อรองใด และไม่แอบตั้งความหวังลึกๆ เอาไว้ เธอก็คงไม่ต้องกล้ำกลืนความผิดหวังซ้ำซากแบบนี้

“ขอบคุณที่ยังพูดความจริงกับจ๋าเป็นบ้าง จ๋าจะได้เลิกเข้าใจผิดสักทีว่าน้าวิกับน้ามัทยังเห็นจ๋าเป็นหลาน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดกันแล้วค่ะ”

“โอ๊ย! เด็กบ้า! น้าชักทนความดื้อด้านของเราไม่ไหวแล้วนะ” มัทนาที่เพียรอดทนนับหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจเกิดตบะแตก สะอึกตัวเข้าร่วมวงอย่างเหลืออด แทบจะกรากเข้าไปจับคู่กรณีเขย่าๆ และตะคอกใส่หน้าให้หงอสักยกตามนิสัยมุทะลุของเธอ ติดที่วิภาดายื่นท่อนแขนออกมาขวางทางจึงทำได้แค่ระบายอารมณ์คั่งค้างผ่านวาจากระแทกกระทั้นชุดใหญ่ “เด็กอะไร เห็นแก่ตัว สนแค่ตัวเองเจ็บอยู่คนเดียว ไม่เคยรับรู้เลยว่าคนอื่นเขาต้องลำบากเพื่อเราขนาดไหน ที่ให้หยุดงานก็เพราะเป็นห่วงหรอก แทนที่จะยอมรับดีๆ ยังจะดื้อขอทำอยู่นั่นแหละ จ๋าจะกดดันตัวเองไปให้ได้อะไร อยากได้โล่เข้มแข็งนักหรือไง พวกเรารู้ดีกันอยู่แล้วว่าจ๋าไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นคนหัวดื้อหัวแข็งที่สุดต่างหาก หลานงี่เง่าเอาแต่ใจอย่างนี้น้าก็ไม่อยากมีเหมือนกัน!”

“งั้นก็ไม่ต้องมีสิ เก็บความหวังดีจอมปลอมคืนไปให้หมด จ๋าก็ไม่อยากมีน้าใจร้ายใจดำเหมือนกัน จ๋าไม่ต้องการอะไรจากน้าวิกับน้ามัททั้งนั้น!”

รุจศยาโต้กลับแรงปานกัน มัทนาตาลุกวาบ วิภาดาเห็นท่าจะไม่ดี รีบแทรกคั่นระหว่างสองคนที่กำลังเดือดดาลดั่งลาวาระอุ ตวาดก้องสุดเสียงอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก

“พอได้แล้ว!!!”

คู่กรณีหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะ และเจ้าของห้องก็ไม่ปล่อยเสี้ยววินาทีนั้นสูญเปล่า ขึงตากำราบเพื่อนที่อ้าปากจะออกฤทธิ์เดชให้หุบฉับ ก่อนผินมองหลานสาวที่ตั้งท่าต่อต้านเต็มพิกัดแล้วก็สะท้านใจ...พวกเธอเองก็มีส่วนผลักดันให้รุจศยามีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ กำแพงทิฐิที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นปิดกั้นตัวเองช่างสูงลิบและแข็งแกร่งเสียจนเธออ่อนล้าและสิ้นหวัง ไม่อาจหาทางให้เจ้าตัวยอมเปิดใจรับอีกครั้งได้เลย

“น้าขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่เคยทำจ๋าเสียความรู้สึก ส่วนเรื่องงาน...ขนาดคุยกับพวกน้า จ๋ายังคุมตัวเองไม่ได้ แล้วจะรับมือกับลูกค้าหรือคนอื่นๆ ได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นน้าจะไม่เปลี่ยนคำสั่งเด็ดขาด”

“ถ้าอย่างนั้นจ๋าจะถือว่าน้าวิไล่จ๋าออกจากงาน”

รุจศยายื่นคำขาด วัดใจไปเลยว่ายังเหลือเยื่อใยต่อกันอยู่หรือขาดสะบั้นหมดสิ้นแล้ว และคำตอบเนือยๆ ที่ตามหลังเสียงถอนใจเฮือกใหญ่ของวิภาดาก็ทำเอาหญิงสาวตัวชา

“จ๋าอยากคิดอย่างนั้นก็ตามใจ น้าเหนื่อยเต็มที เอาไว้จ๋ามีสติมากกว่านี้ พร้อมจะเป็นฝ่ายขอโทษพวกน้ามั่งแล้วค่อยมาคุยกันใหม่ สำหรับตอนนี้น้าอยากให้จ๋าออกไปสงบจิตสงบใจซะ...”

สองตาของหญิงสาวเบิกกว้าง จับจ้องสองคุณน้าเหมือนเห็นคนทรยศหักหลังซึ่งหน้า...ฐานเปราะบางที่เคยรองรับจิตใจเธอไว้พังทลาย เหลือเพียงแกนหลักง่อนแง่นที่ยังค้ำจุนเธอไม่ให้ทรุดจม...ขอบตาคมเริ่มร้อนผ่าวและพร่ามัว ก้อนแข็งๆ อุดเต็มลำคอ ต้องขบฟันแน่นไม่ให้ถอนสะอื้นพลางจิกเล็บในอุ้งมือกลั้นอาการสั่นสะท้านที่กำลังแผ่ลามไปทั่วร่าง ในที่สุดก็แข็งใจเมินจากผู้ที่เคยเคารพรักและก้าวฉับๆ ออกไปจากห้วงแห่งฝันร้ายให้เร็วที่สุดโดยมีสายตาหนักใจสองคู่มองตามมาจนกระทั่งบานประตูปิดตัวลง

ถ้าวิภาดากับมัทนามีญาณวิเศษหยั่งรู้อนาคตต่อจากนี้สักนิด คงรั้งตัวหลานสาวไว้สุดกำลัง ไม่มีทางปล่อยให้จากไปในสภาพที่เหมือนว่าวขาดสายป่าน ลอยเคว้งคว้างไร้ทิศทางกลางแรงลมเป็นอันขาด!


========= (จบตอนที่ 7) =========






Create Date : 21 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 23:35:09 น. 2 comments
Counter : 1063 Pageviews.

 
ยาวมาก ขออ่านก่อนนะคะ


โดย: nasa IP: 110.78.186.91 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา:10:16:06 น.  

 
=== nasa ===
ตามสบายเลยค่ะ กุ๊กแปะทีเดียว 3 ตอนรวด 6 - 7 - 8 น่าจะยาวไม่น้อยเลยล่ะ ^^V



โดย: คีตภา วันที่: 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา:10:20:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คีตภา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




*** งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบนะคะ :) ***


"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ)

รวมเล่มโดย Love สนพ. แจ่มใส วางแผงปลายเดือน มิ.ย. 58 ค่ะ ขอฝากพี่สอง คุณจ๋า และน้องจั๊มพ์ไว้ด้วยนะคะ ^_____^



Date 28/04/2015
สองรักล้นใจ บทที่ 1-11
~ ตัวอย่างทดลองอ่านจ้า ~





เว็บบอร์ดคีตภา@jamsai.com
เว็บบอร์ดคีตภา ณ แจ่มใส :)




ผลงานของคีตภา
นิยายตีพิมพ์รวมเล่ม

นิยายรูปแบบ E-Book


อีเมลของคีตภา



Unique Visitors :
Page Loads :


Friends' blogs
[Add คีตภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.