"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ) จะวางแผงแล้ว~ ขอฝากงานเขียนของ "คีตภา" ไว้ด้วยนะคะ ^^

Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
2 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
(100%) === สองรักล้นใจ # 5 : ภาระ ===









- 5 -



ชานนท์กลับมาแล้ว...

ชายหนุ่มเดินทางถึงประเทศไทยช้ากว่ากำหนดการเดิมสองวัน เครื่องลงจอดที่ท่าอากาศยานตอนกลางดึก อัมราภรณ์ที่ไปท่องเที่ยวแถบนู้นก็โดยสารมาในเที่ยวบินเดียวกัน

‘แอมเที่ยวมาถึงแอลเอ จำได้ว่าชาร์ลมาออกบูธเลยแวะไปดูหน่อยว่าเป็นไงบ้าง หวานใจของจ๋าป็อปปูล่าร์ไม่เบา มีคนสนใจทำธุรกิจกับเขาหลายเจ้าเลยนะ’

เพื่อนสาวคนสวยของรุจศยาเคยเล่าให้ฟังตอนโทรศัพท์ทางไกลมาคุยเล่นด้วยเป็นครั้งคราว หากคนที่เป็นหวานใจกลับห่างหายไปอย่างน่าประหลาดใจ นับตั้งแต่เธอได้รู้จักกับชานนท์ในงานสังคมแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มก็แสดงเด่นชัดว่าถูกตาต้องใจเธอถึงขนาดเจาะจงเลือกเป็น เอ.อี. ผู้ประสานงานสร้างโฆษณาอาหารแช่แข็งชุดใหม่ให้แก่บริษัทของเขาและใช้เป็นข้ออ้างพาตัวเข้ามาพัวพันใกล้ชิดเธอ หมั่นโทรศัพท์มาหา ชวนไปเที่ยวไปทานอาหาร ส่งของขวัญของฝากมาให้เสมอ ไม่เคยขาดการติดต่อไปเกินสามวัน จะบอกว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาช่างขยันเกี้ยวพาราสีจนเธอใจอ่อนยอมตกล่องปล่องชิ้นด้วยก็คงไม่ผิดนัก

ตอนที่ศราพรรณเสียชีวิตไปหมาดๆ ชายหนุ่มก็ยังดูห่วงใยเธอมาก เจียดเวลาโทรศัพท์มาพูดคุยหรือส่งข้อความสั้นมอบกำลังใจให้หลายครั้งต่อวันก่อนจะซาลงเป็นหลายวันต่อครั้ง พอเธอต่อสายไปหาก็พบว่าเขาติดงาน กำลังพักผ่อน หรือไม่สะดวกจะสนทนาด้วยเหตุผลสารพัด น้ำเสียงออกตัวก่อนขอวางสายฟังดูเนือยๆ เหมือนไม่มีกะจิตกะใจอยากวิสาสะตอบจนเธอสัมผัสได้

‘ขอโทษนะจ๋า ผมเหนื่อยมาก มีเรื่องคิดหนักหลายเรื่อง เอาไว้คุยกันทีหลังนะ’

เจอแบบนั้นบ่อยครั้งเข้าหญิงสาวก็ชักน้อยใจจึงเลือกอยู่นิ่งๆ คิดว่าเขาพร้อมเมื่อไหร่คงติดต่อมาเอง จวบจนเธอหวนกลับไปทำงานประจำและชายหนุ่มเดินทางถึงกรุงเทพฯ แล้วก็ยังไม่มีสรรพเสียงใดส่งถึงเธอ

รุจศยาเฝ้ารออยู่สามวันก็ตัดสินใจกดโทรศัพท์ไปหาคนรักอีกครั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์ ชานนท์เอ่ยขอโทษตามมารยาท อ้างว่ามีงานสุมรอให้สะสางเยอะมาก ขนาดวันเสาร์ยังไม่ได้พักผ่อน ตบท้ายด้วยการขอนัดพาไปทานอาหารค่ำสองต่อสองในวันนั้นช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นหน่อย

แต่มันก็เป็นเพียงความยินดีชั่ววูบ...

การพบเจอกันหลังจากที่เขาและเธอไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันกว่าครึ่งเดือนมีบรรยากาศคลุมเครือ บทสนทนาออกจะแกนๆ ฝืดๆ ไม่เหมือนคู่รักที่ใกล้จะวิวาห์กัน พอมีโทรศัพท์สายหนึ่งเข้ามาชายหนุ่มก็กระวีกระวาดขอตัวออกไปคุยด้านนอก ปล่อยให้เธอนั่งเฝ้าโต๊ะรออยู่ตั้งนานสองนานอันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยปฏิบัติต่อเธอมาก่อน

ขากลับชานนท์ขอแวะดูรุจศรัณย์ โชคดีที่เจ้าตัวน้อยกำลังหลับสนิท และเขาก็ไม่ได้ยืนกรานว่าจะต้องทำความรู้จักกันให้ได้ ส่วนตัวเธอก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเป็นตัวเชื่อมที่ดีได้ตลอดรอดฝั่ง พอหวนมานั่งคู่กันบนพาหนะคันหรูอีกรอบ ชายหนุ่มก็เปิดฉากชวนคุยกึ่งสอบถามเรื่องราวต่างๆ เมื่อทราบว่าหญิงสาวรับเป็นผู้ปกครองรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดของน้องชายก็ชักสีหน้า ตำหนิว่า

“แม่คุณทิ้งปัญหาไว้ให้เยอะก็จริง แต่คุณจะอ้าแขนรับไว้เองหมดเหรอ รู้จักประมาณกำลังฐานะบ้างสิ คุณไม่ได้ร่ำรวยอะไร จะทำตัวเตี้ยอุ้มค่อมไปถึงไหน เลี้ยงเด็กพิการเสียขานี่ไม่ใช่เรื่องๆ ง่ายนะ”

“จั๊มพ์ไม่มีใครแล้วนะคะ ถึงจ๋าจะไม่อยากรับไว้เป็นภาระ แต่ใครเขาก็รู้กันทั่วว่าจั๊มพ์เป็นน้องของจ๋า แล้วจะให้ปฏิเสธได้ยังไง”

“ญาติทางพ่อเขาก็มีตั้งเยอะแยะ มรดกอะไรก็ได้ไปหมด ก่อนนี้ทางนู้นก็เป็นฝ่ายเลี้ยงเด็กมาตลอด พอพิการแล้วจะโละทิ้งเลยหรือไง ถ้าคุณไม่สนใจจริงๆ พวกเขาต้องหันมาดูแลเองล่ะ หลานชายทั้งคนนะ”

รุจศยารู้สึกโกรธและผิดหวังกับคำพูดที่ส่อความใจคอคับแคบของคนรัก เธออาจจะไม่ไยดีน้องมาก แต่ก็ไม่ชอบให้ใครว่าเขาเป็นเด็กพิการไร้ค่าที่จะเสือกไสไปไว้ตรงไหนก็ได้ รุจศรัณย์ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องของเธอ...เป็นคนของเธอ!...กรรมสิทธิ์ที่จะคิดหรือทำอะไรกับเด็กน้อยได้ตามอำเภอใจอยู่ในมือเธอคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์เหยียดหยามดูแคลนเขาเพราะเท่ากับไม่เห็นแก่ผู้ปกครองอย่างเธอด้วย

หน้ากากแห่งความเย็นชาสวมทับใบหน้ารุจศยา ถ้าเป็นเมื่อก่อนชายหนุ่มคงรีบทำให้เธอคลายสีหน้าโดยเร็วที่สุด แต่ยามนี้เขากลับนิ่งมองเฉยเหมือนไม่ได้ทำผิดอะไร

ชานนท์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด...

“วันเสาร์นี้จ๋าจะย้ายจั๊มพ์มาอยู่โรงพยาบาลใหม่ที่เก่งโรคทางระบบประสาท เสาร์หน้าก็ต้องไปทำธุระให้น้องด้วย คุณจะไปเป็นเพื่อนจ๋าบ้างได้ไหม”

“ผมงานยุ่งมาก มีงานกับนัดสำคัญแน่นเอี้ยดยันปลายเดือนเลย คงไม่ว่างไปไหนมาไหนกับคุณหรอก ขอโทษด้วยนะ”

ชายหนุ่มบอกปัดอย่างไม่เสียเวลาคิด ไม่มีน้ำใจจะถามสักนิดว่า ‘ธุระ’ นั้นมีอะไรบ้าง

รุจศยายกมุมปากยิ้มขื่นๆ...เหยียดเยาะตนเองและคนข้างกาย...เธอไม่ได้ไร้เดียงสาเสียจนมองไม่ออกว่ามีบางสิ่งแปลกไปในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ เพียงแต่เลือกทำเป็นไม่รู้อย่างแนบเนียนเท่านั้น

สมัยก่อนเธอไม่เคยอดทนรับเศษเดนความสนใจจากชายใด ทะนงตนว่าเป็นฝ่ายเลือกได้ตามใจชอบ เคยสลัดหนุ่มๆ หลายคนทิ้งไปเมื่อตระหนักว่าเขาเห็นเธอเป็นแค่ขนมหวานที่น่าลิ้มลองก่อนใคร เครื่องประดับชิ้นงามที่น่านำอวด หรือเครื่องไม้เครื่องมือสักชิ้นที่สามารถช่วยเกื้อหนุนส่งเสริมเขาให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ไม่ได้ทุ่มหัวใจรักใคร่เธอจริง ไปๆ มาๆ ชานนท์เองก็คงไม่ต่างกัน มีเครื่องคำนวณส่วนได้ส่วนเสียอยู่ในใจ ยึดผลประโยชน์เป็นหลัก ความรักเป็นรอง แต่เธอไม่อาจหยิ่งยโสหันหลังให้เขาอย่างเฉียบขาดเหมือนที่เคยทำมา ตรงข้ามเธอกำลังพยายามเกาะเขาแน่นเหมือนปลิง อยากให้อำนาจเงินตราและชื่อเสียงของครอบครัวเขาช่วยเธอให้หลุดพ้นจากสภาพน่าสังเวช มาตรว่าจะทำแบบไม่ออกนอกหน้าให้ดูมีชั้นเชิงสูงขนาดไหน เธอก็ตระหนักดีว่าพฤติกรรมนั้นเข้าข่ายเดียวกับคนประเภทหนึ่งที่เคยรังเกียจนักหนา...พวกจ้องจับคนรวยไว้ยกระดับตัวเอง!

เธอช่างตกต่ำ ไร้เกียรติ ความภาคภูมิใจใดๆ ที่เคยมีได้สูญสลายไปเกือบหมดสิ้น...

“คุณคงไม่ทำงานหนักจนลืมไปหรอกนะคะว่าวันที่สิบเดือนหน้าเป็นวันอะไร”

รุจศยาแกล้งถามทีเล่นทีจริง ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อยากรู้ว่าชายหนุ่มคิดอย่างไรกับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นอีกสี่สัปดาห์ข้างหน้า...จะเลือกถือหางมารดาที่หมางเมินต่อว่าที่ลูกสะใภ้อย่างเธอเด่นชัด หรือเพียงแค่โกรธเคืองระคนผิดหวังที่เธอมีคุณสมบัติไม่เพียบพร้อมเหมือนเดิม ลึกลงไปยังมีเยื่อใยและน้ำใจต่อกันมากพอจะไม่ตีจาก

ชานนท์ชะงักเล็กน้อยก่อนยิ้มพราย ตอบว่า

“ไม่ลืมหรอก ผมทำงานหนักก็เพื่อวันสำคัญนี่ล่ะ...ว่าแต่แม่คุณเสียไปไม่ครบร้อยวัน จัดงานแต่งงานกันจะดีเหรอ”

“เอ่อ...”

รุจศยาอึกอัก ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติหลังงานศพ ถึงแม้มารดาจะจากไปโดยทิ้งความคับแค้นใจไว้ให้ก็ตาม ขึ้นชื่อว่า ‘แม่’ เป็นผู้มีพระคุณสูงสุด เคยอบรมบ่มเลี้ยงเธอจนเติบใหญ่ ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากไว้ทุกข์ให้นานทัดเทียมกับหลายคนสำคัญที่ล่วงลับไป ทว่าคนที่กำลังจะจมน้ำตายอย่างเธอไม่มีทางเลือกมาก จำต้องเมินข้ามความเหมาะสมแล้วไขว่คว้าเชือกจากเรือลำเดียวที่ยังไม่ผละจากไปไว้ให้แน่นที่สุดเพื่อความอยู่รอดของเธอกับน้องชาย

การแต่งงานกับชานนท์น่าจะช่วยบรรเทาปัญหาหลายอย่าง ต่อให้ชายหนุ่มไม่ยื่นมือเข้าสะสางเรื่องหนี้สิน ปล่อยให้ศาลสั่งยึดทรัพย์ไปขายทอดตลาด เธอก็จะมีบ้านอีกหลังให้เจ้าตัวเล็กอาศัยและรักษาตัวได้โดยไม่ลำบากเกินไปนัก

หญิงสาวกล้ำกลืนรสชาติขมๆ ลงคอ พยายามหาคำพูดที่ฟังดูดี ไม่รวบรัดชายหนุ่มมาก ขณะเดียวกันก็ต้องการให้เขาตอบคำถามบางอย่างเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่เธอด้วย

“เราแจกการ์ดเชิญแขกไปหมดแล้วนะคะ ถ้าจะเลื่อนก็ควรรีบประกาศหน่อย ไหนจะต้องหาฤกษ์ใหม่ไปตกลงกับทางโรงแรมอีก ถ้าจะเลื่อนจากกำหนดเดิมไปเกินสามเดือนก็ต้องทิ้งมัดจำห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไปฟรีๆ จ๋าอยากคุยกับคุณเหมือนกันว่าจะเอายังไงดี”

“ถ้าผมไม่อยากรอนาน อยากแต่งเร็วๆ คุณจะว่าไงล่ะ”

ชายหนุ่มหยั่งเสียงถาม หญิงสาวหลุบแพขนตายาวงอนลงบดบังแววหวั่นไหว...ทั้งที่นั่นคือสิ่งที่ต้องการแท้ๆ เธอกลับไม่อาจลิงโลดใจได้เต็มที่ ในส่วนลึกยังกลวงโหวงอย่างประหลาด

“แล้วแต่คุณค่ะ จ๋าแคร์สังคมเพราะคนในครอบครัว ตอนนี้เหลือจ๋าคนเดียวแล้ว ถ้าจ๋าจะห่วงหน้าตาหรือความรู้สึกของใครก็คงเป็นครอบครัวใหม่ของจ๋า ถ้าทางคุณไม่มีปัญหาอะไร จ๋าก็ไม่มีเหมือนกัน”

“น้าวิกับน้ามัทของคุณจะไม่ว่าเอาเหรอ”

“คงไม่หรอกค่ะ น้าวิกับน้ามัทดีกับจ๋าเพราะแม่ พอแม่ไม่อยู่แล้วจ๋าก็เหมือนคนอื่น...เป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง ถ้าไม่ได้ทำงานที่เดียวกันก็แทบจะไม่ได้เห็นหน้าหรือคุยกันเลยด้วยซ้ำ”

รุจศยาบอกเสียงขมอย่างปิดความน้อยใจไว้ไม่มิด หลังเก็บอัฐิเสร็จ วิภาดากับมัทนาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยเมตตาห่วงใยเธอกับน้องชายก็เงียบหายไปเฉยๆ พอเธอโทรศัพท์ไปขอปรึกษาเรื่องมรดก (หนี้) ตกทอดก้อนใหญ่ด้วยไม่เคยผจญปัญหาเช่นนี้มาก่อน ไม่ได้หวังว่าพวกน้าๆ จะช่วยใช้หนี้ให้ เธอแค่ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจัดการทรัพย์สินทั้งหมดอย่างไรถึงจะเกิดผลดีมากกว่าผลเสีย สาวใหญ่กลับปัดว่าไม่อยากยุ่งเรื่องเงินๆ ทองๆ เธอควรนำไปหารือกับชานนท์แทนดีกว่า เจอแบบนั้นเข้าเธอก็หน้าชาไม่กล้าถามอะไรอีก ตอนพบกันที่บริษัทก็เป็นไปในแนวผู้บริหารกับลูกทีม พูดคุยกันเฉพาะเรื่องงาน ขนาดสวนกันตามทางเดินในบริษัทหรือสถานที่อื่นๆ สองคุณน้าก็ยังเพิกเฉย ไม่หยุดทักทายอย่างเอื้อเอ็นดูเหมือนที่เธอเคยได้รับมาตลอด

รุจศยาเจ็บปวดที่ต้องยอมรับว่าคุณค่าและความสำคัญของเธอในสายตาคนรอบข้างได้ลดน้อยถอยลงตามฐานะ ภายนอกเธออาจจะวางมาดไม่แยแส แต่ภายในถูกกรีดเป็นแผลร้าวลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งโกรธแค้น เจ็บอาย และเสื่อมศรัทธาใครหลายคนที่เคยรู้จักมักจี่

ความที่หมกมุ่นอยู่ในห้วงคิดทำให้หญิงสาวไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาของสารถีหนุ่มที่ยกมุมปากยิ้มหยันๆ ในเงามืดของห้องโดยสารที่มีแสงไฟจากด้านนอกพาดผ่านเข้ามาเป็นระยะๆ

“ผมไม่ใช่คนเคร่งขนบทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นมากกว่าความต้องการของตัวเอง คนเรามีสิทธิ์เลือกทำสิ่งที่พอใจ คนอื่นไม่ชอบก็ไม่เห็นเป็นไร เวลาเราไม่มีความสุขพวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยนี่นา แล้วจะใส่ใจไปทำไม”

“แล้วคุณแม่คุณล่ะคะ”

รุจศยาออกจะวิตกที่คุณนายนวลอรดูจะไม่โปรดปรานเธอเหมือนแต่ก่อน หากชายหนุ่มช่วยคลายความกังวลให้ด้วยการบอกว่า

“แม่ก็บ่นบ้างว่าผมเอาแต่ใจ แต่สุดท้ายก็ตามใจผมเสมอ”

หญิงสาวค่อยยิ้มออกอย่างสบายใจขึ้น อย่างน้อยสุภาพสตรีผู้นั้นก็รักลูกชายคนเดียวมากพอจะไม่ขัดขวางสุดฤทธิ์อย่างที่เคยนึกหวั่น ถ้ามีปัญหาอะไรตามมาก็ค่อยหาทางแก้ไขไปตามสถานการณ์แล้วกัน

รถยนต์ยุโรปคันงามแล่นมาจอดเทียบหน้ามุกบ้านหลังใหญ่บนพื้นที่กว่าครึ่งค่อนไร่ตอนสี่ทุ่มเศษ ช่วงที่เธอจะบอกลาก็ถูกคนขับรวบตัวเข้าไปกอดและฉกหน้าลงหมายจะสัมผัสริมฝีปากอิ่มเย้ายวน แต่เธอเบี่ยงหลบทันเลยพลาดไปโดนแก้มนวลแทน สองมือเรียวยันอกชายหนุ่มไว้ สร้างระยะห่างอย่างแข็งขัน มิไยจะถูกตัดพ้อ

“จ๋าใจร้ายกับผมประจำเลย”

“จ๋ายังไว้ทุกข์อยู่นะคะ อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้ว รอหน่อยสิคะ”

หญิงสาวแก้ตัวอย่างอ่อนหวาน แต่ชายหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ อ้อนขอต่อ

“จ๋าจะไม่ชวนผมขึ้นไปดื่มอะไรบนบ้านสักแก้วจริงเหรอ”

“ดึกมากแล้วค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันทำงานด้วย คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามีประชุมแต่เช้า รีบกลับไปนอนพักผ่อนเยอะๆ ดีกว่า”

รุจศยาหาข้ออ้างหลบเลี่ยงไปอย่างสวยงาม สายตาแวววาวของเขาไม่ค่อยน่าไว้วางใจ ยามนี้เธอไม่มีแม่คุ้มหัว การเชิญชวนชายหนุ่มที่มีอารมณ์เสน่หาขึ้นบ้านยามวิกาล ปราศจากสายตารู้เห็นของผู้ใหญ่ คงไม่ผิดกับการป้อนอ้อยเข้าปากช้าง แถมน้ำล้างปากกับที่นอนสบายๆ ให้อีกต่างหาก

เธอยังไม่พร้อมจะมีความสัมพันธ์ทำนองนั้นและชายหนุ่มก็ล่อลวงเธอให้เผลอไผลไม่ได้ด้วย เธอกำลังตกที่นั่งเป็นรองทุกอย่าง การถนอมตัวไว้ไม่ให้เขาเชยชมง่ายๆ เป็นอำนาจต่อรองอย่างเดียวที่เหลืออยู่ในมือเธอ ธุระอะไรจะต้องนำใส่พานถวายเขาให้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าทุกทางล่ะ

“จ๋าช่วยดูแลผมให้ผ่อนคลายหายเครียดได้นี่นา”

ชายหนุ่มทำตาปรอยหวังกล่อมคนถูกมองให้ใจอ่อน แต่หญิงสาวยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ค่ะ อย่าเกเรสิคะ แน่ะ...พี่ไพลินมาแล้ว คุณขับรถกลับบ้านดีๆ นะคะ ไว้เจอกันใหม่ค่ะ”

รุจศยาตัดบทและยื่นหน้าไปจูบปลายคางเขาเบาๆ อย่างเอาใจ ก่อนก้าวลงไปหาคนทำงานบ้านผิวคล้ำวัยสามสิบปลายที่โผล่มาขัดตาทัพอย่างเหมาะเจาะ บอกให้ปิดประตูรั้วและตรวจตราประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย

ชานนท์โคลงศีรษะพลางถอนใจเซ็งๆ เสียดายที่อีกฝ่ายหลุดลอยไป แวบเดียวก็เหยียดปากครึ่งเยาะครึ่งสมเพช แต่หญิงสาวที่โบกมือส่งแขกอยู่ไกลเกินกว่าจะมองเห็นความผิดปกติ

รุจศยาไม่รู้สักนิดว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่ได้พบปะกับชานนท์ฉันคนรัก...ไฟรถยนต์ที่เคลื่อนห่างไปเปรียบได้ดั่งความสัมพันธ์ของเขากับเธอที่จะแยกย้ายไปคนละทิศละทางอย่างไม่มีวันหวนกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ชานนท์จะเป็นอีกคนที่กระทำการกระหน่ำซ้ำเติมเธออย่างเลือดเย็น บีบคั้นเธอเสียจนไม่เหลือที่ทางยืนสู้หน้าผู้คน ผลักดันเธอไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต!

============================


นับจากวันที่รุจศยามีนัดกับชานนท์ ทวิพัทธ์ก็หายเงียบไป ไม่ส่งเสียงมารายงานความเคลื่อนไหวของรุจศรัณย์แกมกวนประสาทพี่สาวของเจ้าตัวเล็กเล่นเหมือนเคย สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะคราวที่ไปเดินเลือกซื้อของด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าดันมีนักข่าวบันเทิงไปรอถ่ายรูปและสัมภาษณ์ดาราสาวที่ถูกจ้างวานมาเป็นพิธีกรจัดกิจกรรมในงาน ค่าที่กำลังตกเป็นข่าวเด็ดประเด็นร้อนว่าเป็นแฟนกับนายแบบหนุ่มโสดอยู่ดีๆ ไหงมีคลิปหลุดว่าไปเที่ยวผับและนัวเนียกับดาราหนุ่ม สามีของนางเอกรุ่นใหญ่ออกมาได้

โชคร้ายที่เหยี่ยวข่าวรายหนึ่งเหลือบเห็นทวิพัทธ์ไสรถเข็นบรรจุข้าวของมากมายเคียงคู่มากับหญิงสาวที่แต่งกายไว้ทุกข์แบบเรียบเก๋ บุคลิกลักษณะโดดเด่น ท่าทางสนิทสนมกันไม่น้อย เนื่องจากเล็งเห็นว่าทวิพัทธ์คือหนึ่งใน ‘ไอดอล’ ยอดนิยมที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่อยากก้าวเข้าสู่วงการวิทยุ-โทรทัศน์ มีชื่อเสียงขายได้ไม่น้อย ส่วนฝ่ายหญิงพิศไปพิศมาก็จำได้ว่าเป็นบุตรีของอดีตผู้บริหารบริษัทเอเจนซี่โฆษณาระดับหัวแถวที่เสียชีวิตไปโดยทิ้งเรื่องอื้อฉาวเอาไว้เป็นอาหารปากอันโอชะในวงสังคม จึงไม่รีรอที่จะบันทึกภาพติดไปเป็นของแถม

สองหนุ่มสาวมารู้ว่าถูกแอบถ่ายรูปทีเผลอก็อีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ต่างเห็นภาพที่ถูกถ่ายจากไกลๆ แต่ก็พอมองออกว่าเป็นพวกเขาสองคนปรากฏหราในหน้านิตยสารที่ขึ้นชื่อเรื่องซุบซิบแวดวงบันเทิง ซึ่งมีทั้งผู้เต็มใจตกเป็นข่าวและผู้ตกเป็นเหยื่อโดยไม่พึงประสงค์ ที่แย่ที่สุดคือสื่อมวลชนบางคนไร้จรรยาบรรณชอบสร้างข่าวเกินจริงให้ดูแรงๆ มีกลิ่นทะแม่งๆ หรือคลุมเครือว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในกอไผ่เรียกร้องความสนใจเอาไว้ก่อน เวลาผู้ถูกพาดพิงแก้ข่าวจะได้มีเรื่องขายอีกรอบ สรุปว่าข่าวเดียวสามารถนำมาขายได้หลายหนเพราะความหัวหมอแท้ๆ

ขนาดทวิพัทธ์กับรุจศยาเดินห้างด้วยกันเฉยๆ ตากล้องยังอุตส่าห์เลือกกดชัตเตอร์ในจังหวะที่ชายหนุ่มโน้มหน้าดมแอปเปิ้ลจากมือหญิงสาว นำไปเขียนแซวได้อย่างเร้าใจ


‘ดวงงานรุ่ง ดวงรักชักยังไง!? ดีเจสุดหล่อ ทวิพัทธ์ ทีฆะเมธา จะหวนคืนจอเงินอีกครั้งกับซูเปอร์สตาร์วงแท็ค-ทีม แถมได้ใบสั่งลัดคิวด่วนลงเอ็มวีเพลงพิเศษคู่เบลล่านักร้องสาวสุดจี๊ด ปลายเดือนก่อนก็ทิ้งงานตรึมไปช่วย ‘เพื่อนสนิทจริงจริ๊ง’ จัดงานศพแม่ได้ทุกวัน เชื่อล่ะว่าสนิทจริงจริ๊งขนาดกินกับมือเชื่องๆ เลย อ๊ะๆๆ แว่วว่าสาวสวยคนนี้มีคนจองแล้ว คงไม่อินเทรนด์ตีท้ายครัวชาวบ้านพังอีกรายหรอกนะจ๊ะ’


ขอไว้อาลัยให้วงการสื่อไทยที่บิดเบือนภาพจากดมเป็นกิน...ทำเอาคนกลายร่างเป็นสัตว์เลี้ยงไปเฉิบ!

รุจศยาโกรธทั้งคนเขียนข่าวซี้ซั้วและพ่อตัวร้ายที่ขี้เล่นจนได้เรื่อง เธอต้องเปลืองน้ำลายตอบหลายคนที่เลียบเคียงถามที่มาของภาพ ต้องรับมือกับสายตาเคืองขุ่นจากแฟนคลับตัวยงของชายหนุ่มที่สังกัดอยู่แผนกเดียวกัน และต้องตีหน้าเคร่งปรามอิสรีกับทีมสร้างสรรค์ที่เห็นเป็นเรื่องสนุกสนานให้เลิกหัวเราะกลิ้งกันเสียที

“โอ๊ย...ไอ้เจ้าสองนี่นะเชื่อง ให้หมาออกลูกเป็นไข่ใบเท่าลูกบาสฯ ก่อนเถอะ มันน่ะจิ้งจอกแอ๊บแบ๊วตาใส หมาป่าห่มหนังลูกแกะชัดๆ เผลอล่ะเป็นโดนตะปบเดี้ยงแน่ เลี้ยงยังไงก็ไม่เชื่องหรอก ปากมันเนรคุณจะตาย...ฮ่าๆๆ”

ครีเอทีฟกรุ๊ปเฮดตัวแสบปล่อยก๊ากอีกรอบโดยมีหนุ่มอาร์ตไดเร็กเตอร์* และสาวก็อปปี้ไรต์เตอร์** ร่วมผสมโรง พวกเขารู้จักมักคุ้นกับคนที่ถูกเอ่ยถึงเป็นอย่างดีเพราะเคยร่วมวงสังสรรค์และจับกลุ่มตะลุยราตรีกันหลายหน พอนึกภาพตามก็อดขำไม่ได้...จะว่าไปแล้วก็ขำทั้งคนที่ถูกจิกกัดสารพัดและขำความบ้าจี้ของคนที่ช่างสรรหาคำเจ็บๆ มาประณามด้วยนั่นแหละ

ส่วนตัวรุจศยาทำได้แค่ทอดถอนใจเฮือกใหญ่ ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานเก็บเกี่ยวความรื่นรมย์เสียให้พอ เดี๋ยวค่อยหย่อนระเบิดลงกลางวงว่า ‘ลูกค้าขอแก้งาน’ คาดว่าพวกอิสรีคงได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นเจอยาขม เหม็นเบื่อ หงุดหงิด หรืออาจข้ามไปสู่ขั้นสติแตกพ่นไฟเผาลูกค้าลับหลังอย่างที่เคยเห็นจนชินตา ค่าที่มีเงินแต่ไม่มีรสนิยมเห็นงานศิลป์โดนใจผู้ชม ถ้ายอมแก้ให้ตามที่ระบุแล้วดันไม่เข้าตาผู้บริโภค ทีมงานก็รับกรรมอีก เดือดร้อนคนกลางอย่างเธอที่ต้องหาทางรอมชอมและจุดลงตัวให้แก่ทั้งสองฝ่าย

ทว่าข่าวนั้นก็ส่งผลให้ทวิพัทธ์ระมัดระวังการปฏิสัมพันธ์กับเธอ โทรศัพท์มาขอโทษและบอกเหตุผล ไม่ได้หายเข้ากลีบเมฆไปดื้อๆ

“ผมรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ไม่เคยเสียใจที่ช่วยคุณจ๋ากับจั๊มพ์ แต่คุณจ๋ากำลังจะแต่งงาน ผมไม่อยากสร้างปัญญา ตอนนี้แฟนคุณจ๋ากลับมาแล้วน่าจะช่วยจัดการธุระเรื่องจั๊มพ์ได้”

“มีอะไรจะพูดอีกไหม”

รุจศยาย้อนถามอย่างเย็นชา บังเกิดความเศร้าหมองเร้นลึกเมื่อตระหนักว่าคู่ปรับที่เคยรบรากันบ่อยๆ ด้วยสงครามน้ำลาย สายตา และพลังใจมานานปีกำลังจะห่างหายไปอีกราย ยามที่ได้ยินเสียงทุ้มแฝงความปรารถนาดี ไม่ถือสาความเกเรของเธอก็เหมือนโดนมีดปาดเนื้ออ่อนในใจให้ขาดวิ่น

“ถ้าคุณจ๋ามีปัญหาอะไรจะโทรมาถามผมหรือฝากเจ๊อ้อยมาก็ได้ สะดวกให้โทรกลับตอนไหนช่วยบอกด้วย ผมจะได้ไม่กดหามั่วซั่ว เกิดทะเล่อทะล่าโทรไปตอนคุณจ๋าอยู่กับแฟนอาจวุ่นวายอีก”

“ขอบคุณ แต่คงไม่รบกวนหรอก”

“ผมขอไปเยี่ยมจั๊มพ์ที่โรง’บาลบ้างได้ไหม ส่วนใหญ่คงช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ คุณจ๋าคงไม่ว่าอะไรนะ”

“เชิญตามสบาย”

“ผมขอโทษที่ทำให้คุณจ๋าเดือดร้อน”

“แค่นี้นะ”

หญิงสาวตัดสายฉับอย่างไม่อยากรับฟังอะไรอีก แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มเลือกทำแบบนั้นเพื่อช่วยลดปัญหา ไม่ต้องการให้ครอบครัวว่าที่สามีรู้สึกไม่ดีกับเธอ แต่การตัดรอนของเขาก็สร้างความเหน็บหนาวให้อย่างบอกไม่ถูก

ยิ่งนานวันผู้คนที่หลงเหลืออยู่ในโลกของเธอก็ยิ่งบางตาลงเรื่อยๆ...

จริงอยู่ที่เธอกับชานนท์ใกล้เข้าพิธีวิวาห์กัน หากความสัมพันธ์กลับห่างเหินเหมือนอยู่คนละโลก พูดคุยกันน้อยลง ไม่มีนัดพบส่วนตัวราวกับไม่ใช่คนรักกัน ชายหนุ่มดูจะยุ่งมากๆ เช่นเดียวกับอัมราภรณ์ที่กลับมาอยู่กรุงเทพฯ หลายวันแล้ว แต่ว่างพอจะโผล่มากินข้าวเป็นเพื่อนเธอได้เพียงมื้อเดียวเท่านั้น

รุจศยาจำยอมรับว่าเหงาที่ไม่ได้วิสาสะกับสองคุณน้า ชายคนรัก เพื่อนสาวที่คบกันมานาน หรือคู่ปรับหนุ่มที่ชอบต่อสายมาเล่าเรื่องรุจศรัณย์ให้ฟังทุกวันติดต่อกันกว่าสองสัปดาห์จนเธอเริ่มเคยตัว พอได้เวลาประจำก็เผลอมองอุปกรณ์สื่อสารเครื่องบาง แต่ไม่มีสรรพเสียงใดเกิดขึ้น หัวใจเธอก็ห่อเหี่ยวเหมือนดอกไม้ขาดน้ำ จากที่เคยชูช่ออย่างอหังการท้าทายคลื่นลมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นลู่ต่ำลงอย่างหมดสภาพทีละเล็กทีละน้อย...

============================


ในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันถัดมา จิตใจที่ทรุดโทรมของรุจศยาก็ค่อยกระเตื้องขึ้นเมื่อนางพยาบาลพิเศษโทรศัพท์มารายงานความคืบหน้าการรักษาพยาบาลเด็กชาย หญิงสาวค่อนข้างประหลาดใจในบริการเสริมที่ได้รับ สอบถามไปมาถึงรู้ว่าทวิพัทธ์เป็นผู้ไหว้วานอีกฝ่ายให้ทำหน้าที่แทน

...คนบ้านั่น จะไปก็ไปไม่ขาด ยังเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตเธอไม่เลิกสิน่า...

รุจศยานึกค่อนขอด นิลเนื้อดีในกรอบตาคมเปล่งประกายอิ่มเอมและตื้นตันอย่างห้ามไม่อยู่...ความเอื้ออาทรของเขาช่วยลดความหนาวเย็นและถมโพรงลึกในตัวเธอได้นิดหน่อย

“คุณหมอบอกว่ากระดูกของน้องจั๊มพ์ยึดติดกันแล้ว อีกไม่กี่วันก็ถอดเฝือกได้ แต่ยังใช้แขนซ้ายเต็มที่ไม่ได้นะคะ ต้องระวังอย่าให้ถูกกระแทกแรงๆ และต้องทำกายภาพบำบัดต่ออีกสักระยะถึงจะหายสนิทค่ะ”

หญิงสาวรับฟังด้วยความปีติที่อาการบาดเจ็บพิการของน้องชายจะหดหายไปหนึ่งอย่าง อึดใจต่อมาก็ตัวแข็งทื่อ แววตาวูบไหว เพราะรายงานจบแล้วอีกฝ่ายไม่ได้วางสาย หันไปส่งโทรศัพท์ให้เด็กน้อยที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงรับช่วงต่อ

“น้องจั๊มพ์คุยกับพี่สาวนะครับ”

“ให้จั๊มพ์คุยเหรอคับ”

แว่วเสียงเจ้าตัวเล็กทวนถามงงๆ รุจศยากระชับนิ้วจับเครื่องมือสื่อสารแน่นขึ้น มีเสียงกรอกแกรกจากการเปลี่ยนมือผู้ใช้งาน ตามติดด้วยความเงียบอย่างน่าอึดอัด ทั้งพี่ทั้งน้องต่างเงอะงะอย่างกับทำลิ้นหล่นหายไปจากปาก แค่เสี้ยวนาทีแลดูยาวนานปานอสงไขยกว่าคนเป็นพี่จะได้ยินเสียงกึ่งกลัวกึ่งไม่แน่ใจชิดใบหู

“พี่จ๋า...”

รุจศยาหลับตาลง หัวใจกระตุกเหมือนถูกจี้ด้วยกระแสไฟฟ้า เจ็บหนึบๆ ชาๆ ไม่มากเท่ากับคราวแรกที่ถูกน้องเรียกขาน...มันเคยเจ็บแสนสาหัสเหมือนโดนกรงเล็บที่มองไม่เห็นฉีกกระชากเธอเป็นชิ้นๆ บางทีกาลเวลาคงช่วยเพิ่มความทนทานให้กระมัง

ส่วนลึกที่มืดมนเริ่มมีแสงสว่างเล็กๆ แทรกซึมเข้ามามอบความอบอุ่น...ใจเสี้ยวที่อ้างว้างโหยหาอยากได้รับมากขึ้น แต่อีกเสี้ยวที่ถือทิฐิยังตั้งป้อมกีดกันไม่ปรารถนาให้สิ่งนั้นรุกคืบเข้ามาทำลายเธอให้อ่อนแอลง

หญิงสาวสูดหายใจลึก พยายามข่มอารมณ์ให้เรียบเฉย กระนั้นยามเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งก็ไม่ปรากฏแววแข็งกร้าวเย็นชา ดวงตาคู่คมทอแสงนุ่มละมุนดุจเดียวกับสุ้มเสียง

“เป็นไงบ้างจั๊มพ์...เจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่าครับ”

“จั๊มพ์เจ็บแขนคับ พี่พลอยให้กินยาแล้วคับ”

รุจศรัณย์ตอบแผ่วๆ ยังคงกริ่งเกรงพี่สาวที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกัน รุจศยาพอจะจินตนาการภาพได้ไม่ยาก แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าตัวเล็กมักทำตัวลีบๆ กลืนหายไปกับอากาศ ลอบมองเธอเงียบๆ เหมือนรู้ว่าไม่เป็นที่โปรดปราน สมควรทำตัวดีๆ เพราะนอกจากพี่ร่วมมารดาคนนี้ก็ไม่มีที่พึ่งอื่นอีกแล้ว

ทุกครั้งที่เธอเห็นเด็กชายคล้ายถูกสารกระตุ้นความรู้สึกให้พลุ่งพล่าน ทั้งขมขื่น เคียดแค้น ชิงชัง และเวทนาสงสาร หากยามนี้อารมณ์หลังสุดเริ่มดิ้นรนออกมาอยู่แถวหน้าบ้าง

หญิงสาวแข็งใจชวนน้องสนทนา จะได้ไม่ดูผิดปกติในสายตานางพยาบาล เพราะพี่น้องคุยกันแค่คำสองคำมีที่ไหน ถ้าเพียงแต่เธอจะหัวแข็งน้อยกว่านี้สักนิด ยอมละทิฐิลงสักหน่อยคงค้นพบว่าแท้จริงแล้วเธอกระหายอยากฟังเสียงเล็กๆ และรับรู้เรื่องราวของน้องมากเพียงใด

“วันนี้จั๊มพ์กินข้าวกับอะไร บอกได้ไหมครับ”

“จั๊มพ์กินข้าวผัดคับ”

“กินหมดหรือเปล่าครับ”

“หมดคับ พี่สองมากินข้าวกับจั๊มพ์ บอกจั๊มพ์กินแตงกวาด้วย จั๊มพ์กินข้าวกินผักหมดเลยคับ”

เด็กชายอวดอย่างภาคภูมิใจ เสียงดังฟังชัดกว่าทุกประโยคที่ตอบกลับมา รุจศยาชะงักกึก ดวงตาพานร้อนผ่าวและเจ็บจี๊ดในอกพิลึก เธอตีความเอาเองว่าเป็นอาการหมั่นไส้คนที่ถูกพาดพิงถึง...ไม่ใช่อิจฉารุจศรัณย์ที่มีคนคอยเอาใจใส่ หรือริษยาชายหนุ่มที่เจ้าตัวเล็กเรียกขานอย่างชื่นชมรักใคร่ นัยน์ตาสุกใสเป็นประกายเสมอ

ความที่อยากแสดงน้ำใจต่อน้องชายบ้างทำให้เธอลองถามแบบเสนอตัวเต็มที่

“จั๊มพ์อยากกินขนมอะไรไหมครับ วันเสาร์นี้...พะ...พี่จ๋าจะย้ายจั๊มพ์ไปอยู่โรง’บาลใหม่ จะแวะซื้อไปฝาก” หญิงสาวสะดุดเล็กน้อยตอนใช้สรรพนามแทนตัวเองเป็นครั้งแรกกับน้อง มันกระอักกระอ่วนปนขัดเขินชอบกล ครั้นหลุดปากออกไปแล้วกลับรู้สึกอิ่มเอิบอย่างน่าพิศวง

“จั๊มพ์อยากกินเค้กคับ…เค้กช็อกโกแลตดำๆ ครีมเยอะๆ คับ”

คู่สนทนาตัวน้อยรีบตอบอย่างกระตือรือร้น ท่าทางตื่นเต้นดีใจ

รุจศยาแอบอมยิ้มในหน้า เธอเคยอ่านผ่านตาจากคอลัมน์หนึ่งว่าเด็กวัยนี้ชอบกินขนมที่ทำจากแป้งเป็นพิเศษ แต่ตามใจพวกเขามากๆ ก็ไม่ดี ประเดี๋ยวจะเคยตัวจนเป็นโรคอ้วนเอา น้องชายเธอยังนั่งๆ นอนๆ ไม่ได้กระโดดโลดเต้นผลาญพลังงานเหมือนเด็กวัยเดียวกัน ต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกินหน่อย

“พี่จ๋าจะซื้อให้ แต่แค่ชิ้นเดียวนะครับ กินมากไม่ดีกับตัวจั๊มพ์นะ”

“คับ”

เจ้าตัวเล็กรับคำอย่างว่าง่าย หญิงสาวรู้สึกตื้อๆ ในใจ อยากเสพเสียงนั้นต่อ แต่ใกล้เวลาต้องเข้าประชุมทีมงานที่จับโฆษณานมสำหรับเด็กด้วยกันแล้ว

“พี่จ๋าต้องทำงาน อาจจะไม่ได้แวะไปหาบ่อยๆ จั๊มพ์ต้องเป็นเด็กดีนะ เข้าใจไหมครับ”

“คับ...พ่อแม่ไปทำงาน จั๊มพ์เป็นเด็กดีอยู่กับป้าเรือง ป้าเรืองไม่ชอบเลี้ยงเด็กไม่ดีสอนไม่จำ พี่จ๋าไปทำงาน จั๊มพ์ไม่ดื้อไม่ซนคับ”

เด็กชายพูดเจื้อยแจ้วเหมือนกลัวพี่สาวจะไม่เชื่อว่าเขาเข้าใจและสามารถประพฤติตัวดีได้ตามที่ถูกกำชับกำชา จากการที่เคยถูกทอดทิ้งไว้กับผู้อื่นและได้รับคำสั่งสอนเช่นนั้นมาเนิ่นนานช่วยให้หนูน้อยรับสภาพคล้ายคลึงกันได้อย่างสงบ ขณะที่หญิงสาวผู้พี่นิ่งอึ้ง เจ็บจุกเหมือนโดนกำปั้นหนักหน่วงกระแทกเข้าอย่างจัง เลือดในร่างเย็นเยียบเฉียบพลัน ความเข้าใจบางอย่างแตกตัวในนาทีนั้น

การที่รุจศรัณย์ทำตัวน่ารัก ว่านอนสอนง่าย ไม่งอแง คงเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อ่อนแอ ไม่อาจดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง จำเป็นต้องยึดเหนี่ยวคนโตกว่าแข็งแรงกว่าไว้เป็นที่พึ่งพิง เด็กน้อยเรียนรู้โดยอัตโนมัติว่าควรปรับตัวอยู่ตามสภาพแวดล้อม ยอมโอนอ่อนดังต้นอ้อไหวเอนตามแรงลมดีกว่าแข็งขืนให้หักโค่น ผู้ชุบเลี้ยงจะได้เมตตาสงสารและยอมให้อาศัยอยู่ใต้ร่มใบบุญนานๆ

หัวใจของรุจศยาบีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ปวดร้าวแถวสองกระบอกตา ต้องข่มน้ำกรดแสบร้อนที่แล่นมาจ่อ ไม่ยอมให้มันทิ้งตัวลงมา

“ถ้าเป็นเด็กดีต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ อย่านอนดึกนะจั๊มพ์”

“คับ จั๊มพ์ไม่นอนดึกคับ”

“เจอกันวันเสาร์นะครับ”

“คับ”

หญิงสาวบอกเจ้าตัวเล็กให้ส่งโทรศัพท์คืนนางพยาบาลพิเศษ เธอฝากฝังน้องชายไว้กับอีกฝ่ายสองสามประโยคก็วางสาย เพ่งมองอุปกรณ์สื่อสารเหมือนเป็นสิ่งแปลกประหลาด สักพักก็พรูลมหายใจยืดยาว เอนร่างพิงพนักเก้าอี้นุ่ม ทอดตาลอยคว้างมองเพดาน ไม่นาน...รอยยิ้มเศร้าสร้อยระคนปลงใจยอมรับก็ค่อยๆ ระบายขึ้นบนใบหน้าเนียน

ดูเหมือนว่าโลกที่เวิ้งว้างของเธอยังเหลือเจ้าตัวกะเปี๊ยกเป็นภาระให้ถูลู่ถูกังร่วมทางกันไปอีกยาวไกล…

บางทีการเดินทางบนถนนสายชีวิตต่อจากนี้อาจจะไม่เปล่าเปลี่ยวเกินไปก็ได้…


============================


การเตรียมย้ายรุจศรัณย์มารักษาตัวในโรงพยาบาลใหม่มีความขลุกขลักเล็กน้อยในเรื่องของคน…

รุจศยาอยากได้ใครสักคนไปเป็นเพื่อนให้อุ่นใจและช่วยลดความประดักประเดิดระหว่างเธอกับน้องชาย แวบแรกเผลอนึกถึงชายหนุ่มที่เคยเกื้อกูลกัน แต่สำนึกบอกว่านั่นเป็นตัวเลือกที่ไม่เหมาะสมที่สุด และเขาก็กันตัวออกนอกวงแล้วด้วย ครั้นจะหันไปหาวิภาดากับมัทนาก็กลัวโดนระแวงว่าเธออยากให้ช่วยออกค่ารักษาพยาบาลของน้อง ส่วนชานนท์ก็ปฏิเสธล่วงหน้ามาแล้ว

ตัวเลือกอันดับถัดไปอย่างอัมราภรณ์ก็ไม่ว่างเช่นกัน มีนัดเสริมสวยก่อนไปดูแหวนกับคนรักใหม่ รุจศยารับฟังผ่านหูอย่างไม่สนใจนัก เคยชินกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเพื่อนสาวที่มาดมั่นว่าสวยและรวยเลือกได้ ล่าสุดเพิ่งสลัดนายแพทย์หนุ่มที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ทิ้งไป บินปร๋อไปท่องเที่ยวย้อมใจในต่างแดนไม่ทันไรก็มีคู่ควงใหม่กลับมาเรียบร้อยแล้ว

อัมราภรณ์คุยกับเธอแป๊บเดียวก็ขอตัว บอกเหตุผลกึ่งโอ้อวดว่า

“แค่นี้ก่อนนะ แอมกำลังกินขนมจีบของ ‘สามี’ นี่พักสายเขามารับสายจ๋าชั่วคราว ไม่อยากให้เขารอนานน่ะ ไว้คุยกันใหม่นะ บาย”

รุจศยาบอกไม่ถูกว่าจะอึ้งหรือจะเอือมความเปิดเผยของเพื่อน แต่จะซักถามเพิ่มเติมก็ไม่ทันเพราะอีกฝ่ายสลับสายกลับไปหาคนรักปล่อยให้เธอหน้าหงิกบ่นอุบกับโทรศัพท์

“ยายแอม! ยายคนเห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน”

ถือเป็นเรื่องแปลกที่อัมราภรณ์ไม่กระตือรือร้นร่ายสรรพคุณของฝ่ายชายเกทับเธอเล่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทใกล้ชิดกัน ส่งผลให้ถูกจับมาเปรียบเทียบกันจนเกิดการแข่งขันเงียบๆ แฝงเร้นในมิตรภาพโดยปริยาย อัมราภรณ์มักจะทำตัวเด่นกว่าเธอแทบทุกอย่างยกเว้นเรื่องการเรียนและการทำงาน ไม่วายหยิบยกฐานะข่มว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้เหลือเฟือตลอดชาติ ด้านรูปร่างหน้าตาก็ได้สถาบันเสริมความงามปรับเปลี่ยนบางส่วนและบำรุงดูแลจนสวยเฉียบขาดตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อผ้าอาภรณ์ก็มีดีไซเนอร์ชื่อดังเป็นผู้ดูแลให้เฉิดฉายชวนฮือฮา สรุปว่าอัมราภรณ์เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ สามารถสนุกสนานกับการใช้ชีวิตพลางเฟ้นหาผู้ชายที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครองส่งเสริมให้เธอเป็นสตรีที่สมบูรณ์พูนสุขอย่างน่าอิจฉา

อันที่จริงอัมราภรณ์เคยเมียงมองชานนท์อยู่เหมือนกัน แต่รุจศยาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตกลงคบหาดูใจกับชายหนุ่มจนโดนเพื่อนงอนไปพักใหญ่ ครั้นทราบสาเหตุเข้าก็ลำบากใจเพราะเธอรับปากเป็นมั่นเหมาะไปแล้ว ชานนท์เองก็เป็นคนมีชีวิตจิตใจไม่ใช่สิ่งของที่จะผลัดเปลี่ยนให้ใครง่ายๆ ยังดีที่อัมราภรณ์ปั้นปึ่งไม่นานก็หาย ซ้ำยังคว้าแพทย์หนุ่มบุตรเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมาเป็นคู่ควงทำนองว่าหาผู้ชายชั้นยอดได้ทุกเมื่อ รุจศยาจึงกล้าตอบรับคำขอแต่งงานในเวลาต่อมา ดังนั้นคนที่ถูกเรียกเสียงอ่อนเสียงหวานว่า ‘สามี’ น่าจะโดดเด่นเทียบเท่าหรือเหนือกว่าชานนท์ เพราะอัมราภรณ์จะไม่มีวันยอมรับผู้ชายที่ด้อยกว่านั้นเด็ดขาด!

สมัยเป็นวัยรุ่นรุจศยาก็ไม่ค่อยอยากน้อยหน้าเพื่อน กระทั่งสะสมประสบการณ์ชีวิตจนเติบโตขึ้นก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญ อยากพิสูจน์ความสามารถของเธอให้เป็นที่ประจักษ์ในวงกว้างมากกว่า ศราพรรณเคยสอนให้เธอวางเป้าหมายชีวิตไว้เป็นจุดๆ และทำให้ได้ในเวลาที่กำหนด แข่งขันกับตัวเอง ไม่ใช่ใครอื่น...อบรมบ่มเลี้ยงเธอให้ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งราวกับเล็งเห็นว่าเธออาจต้องผจญความตกต่ำเพียงลำพัง ถึงตอนนี้เธอดีใจที่เชื่อฟังมารดา ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและมุ่งมั่นทำงานจนเป็นที่ยอมรับระดับหนึ่ง ยามสิ้นบุญมารดา สูญเสียทรัพย์สิน เธอยังเหลือมันสมองกับสองมือหาเลี้ยงตัวเองกับน้องชาย ถ้าชานนท์ไม่เต็มใจช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษารุจศรัณย์ เธอก็พอหาทางเองได้ ไม่จำเป็นต้องคอยแบมือขอเขาให้ถูกดูแคลน

ขณะที่รุจศยากำลังสงสัยว่าอิสรีจะว่างพอไปด้วยกันได้หรือไม่ ครีเอทีฟสาวก็โทรศัพท์ข้ามแผนกมาตั้งคำถามแทนใครบางคนทำให้เธอใจเต้นคร่อมจังหวะ...ดีใจลึกๆ ที่ใครคนนั้นจำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้

“ไอ้จิ้งจอกแอ๊บแบ๊วฝากถามว่ามันจะไปช่วยย้ายโรง’บาลให้น้องจั๊มพ์ด้วยคนได้ไหม คุณจ๋าไม่ต้องกลัวเป็นขี้ปากคนอีกหรอก เดี๋ยวพี่จะไปเป็นไม้กันหมาให้”

“พี่อ้อยจะไปกับจ๋าเหรอคะ”

“ฮื่อ...อยากเจอน้องจั๊มพ์นานแล้ว แต่งานยุ่งชะมัด เพิ่งเจอไฟเขียวเสาร์นี้เอง หรือคุณจ๋ามีนัดกับคนอื่น ไม่สะดวกให้พี่ไปด้วยล่ะ”

รุจศยาหลุบเปลือกตาลงครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนตอบตามจริง

“จ๋าไม่มีนัดกับใครค่ะ”

ทั้งที่รู้ว่านั่นจะเปิดช่องให้คู่กรณีหนุ่มเข้าใกล้ อาจเกิดเรื่องซุบซิบซ้ำสองตามมา แต่เธอไม่อยากโกหกคนที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ มีน้ำใจเสมอต้นเสมอปลาย เจ้าตัวเล็กคงต้องการพี่สองของเขา ส่วนเธอก็อยากมีเพื่อนร่วมทางอยู่แล้วด้วย

“งั้นให้พี่กับเจ้าสองไปช่วยนะ เอากุลีไปกี่คนดีล่ะ...สักครึ่งโหลพอไหม”

“พี่อ้อย...” หญิงสาวครางอ่อนใจปนขำ “เราไปย้ายโรง’บาลให้เด็กตัวนิดเดียวเองนะคะ ไม่ต้องขนคนไปให้เอิกเกริกหรอกค่ะ ทางนั้นชาร์จรวมค่ารถส่งคนไข้ไปแล้ว เราจะติดรถไปด้วยก็ได้ เขาให้นั่งได้สามคนค่ะ”

“ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไปกันแค่คุณจ๋า พี่ เจ้าสองดีกว่า วันเสาร์สิบเอ็ดโมงเจอกันที่ร้านเบอร์เกอร์...ในห้างฯ ใกล้โรง’บาลใหม่ของน้องจั๊มพ์ จอดรถทิ้งไว้ที่นั่นแล้วเรียกแท็กซี่ไปกัน ขากลับจะได้นั่งรถพยาบาลมาเป็นเพื่อนน้องจั๊มพ์ ตกลงตามนี้นะ”

อิสรีรวบรัดตัดความให้เป็นไปตามแผนการที่เคยคุยกับทวิพัทธ์ ย้ำวันเวลาและสถานที่นัดหมายเป็นมั่นเหมาะอีกครั้งก่อนวางสายไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนรุ่นน้องโต้แย้งอะไรอีก...


========= (จบตอนที่ 5) =========



เชิงอรรถ

* Art Director ผู้สร้างสรรค์งานศิลป์ของโฆษณา

** Copy Writer ผู้สร้างสรรค์ข้อความในโฆษณา




Create Date : 02 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 23:22:35 น. 3 comments
Counter : 1267 Pageviews.

 
แววเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมาละ เฮ้อออ เสียใจให้พอของดีมีทีหลังเนอะ


โดย: MooNa IP: 1.47.229.74 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2557 เวลา:6:41:20 น.  

 
ชอบคำนี้จัง ไอ้จิ้งจอกแอ๊บแบ๊ว นึกภาพนายสองออกเลย

เขียนใหม่มีรายละเอียดเรื่องความรู้สึกเพิ่มขึ้น ทำให้เข้าใจตัวละครมากขึ้นค่ะ


โดย: nasa IP: 110.78.186.233 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2557 เวลา:15:14:55 น.  

 
=== MooNa ===
ต่อจากนี้คุณจ๋าจะได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะทีเดียว เป็นกำลังใจให้คุณจ๋าด้วยน้า จุ๊บๆๆ ^3^

=== nasa ===
คำนี้เจ๊อ้อยจัดให้อย่างรู้เช่นเห็นชาติกันเลยค่ะ 555+ หวังว่าจะถูกใจฉบับรีไร้ท์น้า แล้วมาดูกันว่าจะมีอะไรถูกปรับใหม่อีก อิอิ ;p


โดย: คีตภา วันที่: 6 พฤศจิกายน 2557 เวลา:20:42:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คีตภา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




*** งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบนะคะ :) ***


"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ)

รวมเล่มโดย Love สนพ. แจ่มใส วางแผงปลายเดือน มิ.ย. 58 ค่ะ ขอฝากพี่สอง คุณจ๋า และน้องจั๊มพ์ไว้ด้วยนะคะ ^_____^



Date 28/04/2015
สองรักล้นใจ บทที่ 1-11
~ ตัวอย่างทดลองอ่านจ้า ~





เว็บบอร์ดคีตภา@jamsai.com
เว็บบอร์ดคีตภา ณ แจ่มใส :)




ผลงานของคีตภา
นิยายตีพิมพ์รวมเล่ม

นิยายรูปแบบ E-Book


อีเมลของคีตภา



Unique Visitors :
Page Loads :


Friends' blogs
[Add คีตภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.