"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ) จะวางแผงแล้ว~ ขอฝากงานเขียนของ "คีตภา" ไว้ด้วยนะคะ ^^

Group Blog
 
<<
มีนาคม 2558
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 มีนาคม 2558
 
All Blogs
 
(100%) === สองรักล้นใจ # 10 : วันวิวาห์ ===









- 10 -



ผู้ใหญ่ฝ่ายชายในพิธีมงคลสมรสคือนายทศรต มนะวัศกุล รองประธานศาลฎีกากับคุณหญิงญาดา มนะวัศกุล ศรีภรรยาผู้เป็นยอดนักสังคมสงเคราะห์เลื่องชื่อ นอกจากนั้นยังเป็นบุพการีของผู้บริหารบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ยอดนิยมและนักจัดรายการข่าวอันดับหนึ่งอย่างรามินทร์ มนะวัศกุล อีกด้วย

รุจศยาทราบเท่าที่คนทั่วไปได้เสพสื่อต่างๆ ว่าทวิพัทธ์กับรามินทร์เป็นเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกันมานาน ทั้งคู่คือหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเพื่อนสนิทในวงการบันเทิงที่สื่อมวลชนขนานนามให้ว่า ‘ก๊วนเทพ’ จากความเป็นเลิศในสายอาชีพของตนที่มาจับกลุ่มคบหากันได้อย่างน่าทึ่ง แต่เธอนึกไม่ถึงว่าทวิพัทธ์จะสนิทสนมกับครอบครัวของชายหนุ่มผู้นั้นถึงขนาดทาบทามบิดามารดาผู้ทรงเกียรติมาเป็นผู้ใหญ่ในพิธีแต่งงานกะทันหันได้

“ผมกับพี่รามเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ น่ะ แม่ผมเป็นผู้ช่วยของแม่พี่ราม พวกเราลูกๆ ก็เลยสนิทกัน มีพี่รามเป็นพี่ใหญ่ พี่ต้นอ่อนเดือนกว่าหน่อย ผมเป็นคนที่สาม ส่วนเจ้าลักษมณ์เด็กสุด ตอนพ่อแม่ผมเสียไปป้าหญิงก็ดูแลผมกับพี่ต้นอย่างกับลูกหลาน เพราะงั้นงานแต่งของ ‘หลานรัก’ อย่างผม ป้าหญิงไม่ยอมพลาดแน่ นี่ก็บอกให้ผมพาคุณจ๋าแวะไปทานข้าวที่บ้านสักมื้อจะได้รู้จักกันด้วย”

ทวิพัทธ์แจกแจงลำดับความสัมพันธ์พอสังเขป รุจศยารับฟังเรื่องราวส่วนตัวของชายหนุ่มที่บางแง่มุมไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างสนใจใคร่รู้ ทำเป็นเมินผ่านสรรพนามที่เขาชอบยกตนขึ้นเป็นญาติที่รักของใครต่อใครอย่างน่าหมั่นไส้ เธอรู้ว่าเจ้าของชื่อ ‘พี่ต้น’ หรือ ‘ปรัถมา’ คือพี่สาวที่มีวัยมากกว่าคนพูดสองสามปี ส่วน ‘ลักษมณ์’ คือน้องชายของรามินทร์ เป็นนายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลที่มีผลงานร่วมกับทีมสืบสวนจนได้ออกสื่อบ่อยหน

“สองแต่งงานปุบปับไม่โดนซักฟอกแย่เหรอ”

“โดนสิ ผมก็ตอบคล้ายที่ให้สัมภาษณ์ ป้าหญิงก็ดูสงสัย แต่ง้างปากผมไม่ได้ก็ยอมรับ บอกว่าเราโตๆ กันแล้วย่อมรู้ดีว่ากำลังทำอะไร ผมก็ได้ทีรีบขอว่าผมอยากแต่งงานจริงๆ ป้าหญิงช่วยคนมาเยอะแล้ว สงเคราะห์ลูกกำพร้าอย่างผมอีกคนเถอะ แล้วก็ติดสินบนพี่รามว่าจะเป็นพิธีกรรายการใหม่ให้สักรายการ พี่รามรีบขายพ่อขายแม่ให้ผมเลย”

“สองนี่…”

รุจศยาหลุดคิกกับสุ้มเสียงเล่ามีรสชาติของชายหนุ่ม เธอไม่ได้ตั้งข้อแม้ให้ทวิพัทธ์เก็บงำสาเหตุแท้จริงที่แต่งงานกันไว้เป็นความลับสุดยอด เพราะเธอยังจำยอมแพร่งพรายกับอิสรีและน้ำหนาวที่ไม่เชื่อข่าวลวง ซักไซ้ไล่เลียงเป็นพายุบุแคม จึงปล่อยให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเขา แต่ชายหนุ่มบอกว่ารู้มากคนยิ่งมากความ ใครไม่รู้ตื้นลึกหนาบางมาก่อนควรปล่อยให้เข้าใจไปตามข่าวจะส่งผลดีกว่า ไม่ว่าจะต่อภาพลักษณ์ของเขาและเธอหรือการยื่นขอเป็นผู้ปกครองรุจศรัณย์ ส่วนลึกรุจศยายอมรับว่าพึงพอใจที่ชายหนุ่มมีความคิดเช่นนั้น แลดูจริงใจที่จะช่วยรักษาผลประโยชน์และปกป้องเธอกับน้องชายไม่ให้คนอื่นดูถูกดูแคลนด้วย

ทว่าความรู้สึกดีที่ก่อตัวขึ้นในใจหญิงสาวก็พลันลดระดับลงฮวบฮาบเมื่อได้ยินว่าผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงที่เขาขันอาสาหามาให้เป็นใคร เธอก็จ้องเขาเหมือนเห็นคนทรยศ

...วิภาดากับมัทนา...

สองชื่อนั้นยังส่งผลกระทบต่อเธอ เพียงแค่ได้ยินก็กระตุ้นพิษร้ายที่ตกค้างอยู่ภายในให้กำเริบขึ้นมากัดกินกระดูกและหัวใจเธอให้ปวดแสบปวดร้อน

หญิงสาวตั้งป้อมคัดค้านอย่างหนัก ไม่ยอมรับฟังอะไร ทวิพัทธ์ต้องรวบร่างระหงเข้ามากอด ไม่ต้องการให้เธอผละหนีไปอย่างหุนหันพลันแล่น มิไยเธอจะทุบตีเขาให้ปล่อยกึ่งระบายอารมณ์ร้ายใส่ ค่าที่เขาบังอาจชักนำสองคุณน้าที่เคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกลับมาในชีวิตเธออีก

ชายหนุ่มกดปลายคางลงบนกลุ่มผมนุ่มสลวย กระชับปลอกแขนรอบหลังไหล่และเอวคอดกิ่ว สัมผัสของเขาหนักแน่นและประเล้าประโลมอยู่ในที ไม่ช้าหญิงสาวก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง ตัดพ้อกับอกกว้าง

“สองทำแบบนี้ได้ยังไง สองก็รู้ว่าจ๋าเกลียดพวกเขา”

“คุณจ๋า...” ทวิพัทธ์ทอดเสียงเรียกเธออย่างอ่อนโยนระคนเว้าวอนขออภัยโทษ

ในขณะที่ชายหนุ่มตั้งข้อแม้ให้เธอเรียกชื่อเล่นเขาเฉยๆ ตัวเขากลับเรียกเธอแบบเดิมๆ ด้วยเหตุผลว่า…

‘จ๋าคำเดียวมันก้ำกึ่งกับรับคำอยู่นา ผมเรียก ‘คุณจ๋า’ ต่อไปดีกว่า จะได้รู้ว่าผมเรียกคุณจ๋าหรือขานตอบอ้อนๆ ไง’

รุจศยาขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงให้วกเข้าเนื้อและเปลืองตัว เธอเรียนรู้มานานแล้วว่าภายใต้ดวงตาที่แสร้งทำดูซื่อๆ ไร้พิษสงกับรอยยิ้มหน้าเป็นนั่นคือผู้ชายดื้อด้านระดับเหรียญทอง จะยอมคล้อยตามเฉพาะสิ่งที่ตัวเองเห็นชอบด้วย ดังนั้นเขาอยากทำอะไรก็ต้องปล่อยเขา แต่การก้าวก่ายเรื่องของเธอกับสองคุณน้าโดยพลการมันออกจะล้ำเส้นเกินไป!

“ฟังผมก่อนเถอะ...คุณน้าของคุณจ๋าไม่ได้ใจร้ายกับคุณจ๋าจริงๆ หรอกนะ”

“ยังจะเชื่อลงอีกเหรอ โกหกเก่งกันทั้งนั้น”

“คุณจ๋ารู้ไหม...มีผู้หญิงอ้างว่าเป็นญาติโทรมาถามอาการจั๊มพ์ ส่งข้าวของมาให้เป็นประจำตั้งแต่ก่อนที่จั๊มพ์จะย้ายมาอยู่ที่นี่อีก”

ทวิพัทธ์พูดเกริ่น รุจศยาชะงักมองอย่างเอะใจ ระยะแรกที่รุจศรัณย์รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เธอห่างเหินกับน้องชายที่โผล่มากะทันหัน ยอมไปเยี่ยมเท่าที่จำเป็น เพิ่งจะทำใจยอมรับน้องได้ในพักหลัง ต่างจากทวิพัทธ์ที่แวะไปแทบทุกวัน ได้วิสาสะกับทีมผู้รักษาพยาบาลและนำหลายเรื่องมาถ่ายทอดให้เธอฟัง ยกเว้นเรื่องนี้...

“ผมขอโทษ...ผมไม่รู้ว่าเป็นใครเลยไม่อยากบอกให้คุณจ๋าคิดมาก บางทีอาจเป็นป้าแท้ๆ ป้าสะใภ้ หรือใครสักคนที่เป็นห่วงจั๊มพ์ กระทั่งหลายวันนี้ที่พวกลุงป้าของจั๊มพ์ยกโขยงมาเยี่ยม เอาของมาประเคนให้เพียบ แต่ก็ยังมีคนนำของกินของเล่นมาฝากเยี่ยมจั๊มพ์อีก ผมเริ่มสงสัยว่าจะเป็นคนอื่น หลายวันก่อนบังเอิญเจอคนฝากกระเช้านมที่เคาน์เตอร์หน้าวอร์ด จำได้ว่าเคยเห็นที่งานศพ...เป็นคนขับรถของคุณวิเลยเข้าไปถามดู เขาขอร้องไม่ให้ผมบอกใครเดี๋ยวเขาจะเดือดร้อน เพราะเจ้านายไม่อยากให้ใครรู้”

“ทำไมต้องทำแบบนั้น ยังจะหวังอะไรอีก...”

“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน...พอพีอาร์ที่บริษัทกระจายข่าวว่าผมจะเปิดแถลงข่าวแต่งงานไม่ทันไร น้าๆ ของคุณจ๋าก็โผล่มาอย่างกับรู้ว่าผมจะแต่งกับใคร ตั้งท่าจะล่มงานให้ได้ พอบอกว่าช้าไป...ห้ามผมกับคุณจ๋าไม่ทันแล้ว พวกเธอก็แทบจะรุมฉีกผมเป็นชิ้นๆ ต้องปิดห้องคุยกันอยู่นาน ผมถึงได้รู้หลายอย่างที่ไม่เคยรู้...”

“อะไรเหรอ” รุจศยาถามเสียงกระซิบ

“ฟังจากพวกเธอเองดีไหม...อย่าหนีหน้ากันอีกเลย...ลองให้โอกาสน้าวิกับน้ามัทของคุณจ๋าอีกสักครั้ง”

ทวิพัทธ์เสนอ รุจศยาเม้มปากอย่างลังเลใจ นับจากวันที่ทะเลาะกันถึงขั้นแตกหัก เธอก็หันหลังให้สองคุณน้าอย่างสิ้นเชิง แรกๆ วิภาดากับมัทนายังเงียบอยู่เหมือนรอให้เธอคลานกลับไปเอง ครั้นข่าวเรื่องทวิพัทธ์จะแต่งงานเริ่มแพร่สะพัดหนาหู ทั้งคู่ก็ชักนั่งไม่ติด กระหน่ำโทรศัพท์หาเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่ยอมรับสายสักหน พวกเธอจึงเบนเข็มไปเล่นงานชายหนุ่มแทน

รุจศยารู้ดีว่าเธอทำตัวเหมือนเด็กๆ เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล และแสนงอน แต่เธอห้ามความรู้สึกอยากตอบโต้สองคุณน้าให้ทุรนทุรายเพราะถูกปฏิเสธทุกทางบ้างไม่ได้

เธอยังโกรธเคือง...น้อยใจ...เสื่อมศรัทธา...ความชอกช้ำที่ได้รับมามันยากจะทำใจปล่อยวางลงง่ายๆ

ดูท่าชายหนุ่มจะอ่านใจเธอออกเลยชิงเกลี้ยกล่อมก่อนที่เธอจะเถียงคอเป็นเอ็นอย่างดันทุรัง

“คุณวิกับคุณมัทอาจจะทำผิดต่อคุณจ๋า แต่ก็ทำไปเพราะรักและหวังดีด้วย คุณจ๋าไม่ต้องยกโทษให้ทั้งหมดก็ได้ แค่ขอโอกาสให้พวกเธออธิบายสักนิด อย่าเพิ่งด่วนตัดสินกันเลย...”

“ถ้าน้าวิกับน้ามัทโกหกอีกล่ะ”

“ไม่เป็นไร...ยังมีผมอยู่กับคุณจ๋าทั้งคน” มือหนาจับปลายคางมนขึ้น หยอดยิ้มเจ้าชู้ใส่ตาเธอให้พร่าพราย ใจเต้นแรง ประสาทสั่งการเชื่องช้าจนไม่ทันเบี่ยงหลบปลายจมูกโด่งที่ลดลงขยี้ปลายจมูกเธอเล่นอย่างมันเขี้ยว “เราเอาชีวิตผูกติดกันไปแล้ว...จำไม่ได้เหรอ”

“คนบ้า จ้องหาเศษหาเลยตลอด...”

รุจศยาร้อง ดวงหน้าเข้มขึ้น ไพล่นึกถึงสิ่งที่ตกลงทำไปด้วยอารมณ์บ้าระห่ำชั่ววูบ...ผนึกชีวิตของเขาและเธอเป็นหนึ่งเดียวกัน มอบสิทธิ์ให้เขาแตะเนื้อต้องตัวเธอโดยชอบธรรม ซึ่งเขาก็ไม่รั้งรอจะใช้สิทธิ์นั้น ‘เพิ่มความสนิทสนมคุ้นเคยฉันคนรักและสร้างภาพให้คนอื่นเชื่อถือ’ อย่างที่ชอบอ้างยามสบช่องงามๆ เสียด้วย

ครั้งนี้ก็เช่นกัน...ทวิพัทธ์หัวเราะหึๆ และประพฤติตนสมกับที่โดนประณาม แกล้งกดหน้าลงจุ๊บเรียวปากอิ่มเร็วๆ ทีหนึ่งถึงยอมผละห่างตามแรงดันจากสองมือเธอ...จริงอยู่ที่ระยะแค่หนึ่งช่วงแขนอาจจะไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขาถึงเนื้อถึงตัวเธอได้ถนัดถนี่ ริมฝีปากหยักลึกและปลายนิ้วชำนาญงานทั้งสิบสามารถร่ายมนตร์สะกดเธอให้อ่อนปวกเปียกเป็นดินน้ำมันในอุ้งมือเขาอย่างน่าพิศวง หลงมัวเมาไปกับการโอ้โลมยวนใจทุกที

ดูสิ...เขาทำเอาเธอลืมสนิทเลยว่ากำลังเดินอยู่ในอาคารจอดรถของโรงพยาบาล โชคดีว่าเวลาสองทุ่มกว่าค่อนข้างวังเวงไร้ผู้คน หาไม่แล้วคราวหน้าที่แวะมานี่เธอคงต้องหัดพกปี๊บเตรียมไว้คลุมหัวหนีอายด้วยแน่ๆ

แต่ไหนแต่ไรมาเธอภาคภูมิใจเรื่องการควบคุมตนเองได้ดีเยี่ยม ไม่เคยปล่อยให้อารมณ์ใคร่ครอบงำหรือยอมให้ผู้ชายหน้าไหนมีอิทธิพลเหนือสมองของเธอ บรรดาคู่รักก่อนหน้านี้เจอเธอปรามเรียบๆ ด้วยสายตาหรือวาจาก็ถอยร่นไม่เป็นกระบวน ไม่กล้ารุกล้ำก้ำเกินให้เธอไม่พอใจ จะมีก็แต่คนเหลือขอตรงหน้านี่แหละที่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ไม่ยอมรับรู้สัญญาณใดๆ เล่นกับเธอเหมือนเป็นตุ๊กตาส่วนตัวของเขาไม่ปาน

...ให้ตายเถอะ...เป็นแฟนตาบ้านี่สองวัน เธอเสียนวลยิ่งกว่าที่เคยมีแฟนทุกคนรวมกันเสียอีก คนอะไรหน้ามึน ปากไว มือไวอย่างกับปลาหมึกยักษ์ฮุบเหยื่อแน่ะ...

หญิงสาวค่อนขอดในใจ ชักสะบัดร้อนสะบัดหนาวกับสายตากรุ้มกริ่มของพ่อตัวร้าย พอตระหนักว่าอีกฝ่ายกำลังจะใช้ความได้เปรียบจากช่วงแขนที่ยาวกว่าดึงเธอเข้าไปประชิดแผ่นอกอีกรอบก็โก่งตัวหนีสุดชีวิต

“ไม่เล่นแล้วนะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า ไม่อายคนบ้างหรือไง”

“อายทำไม...ผมชอบโชว์”

“บ้า!”

รุจศยาแว้ด อยากพุ่งเข้าไปทุบคนที่ชอบพูดทะลึ่งตึงตังให้น่วมเป็นผลกระท้อนนัก แต่เกรงว่าจะส่งเนื้อเข้าปากเสือที่ลับเขี้ยวเล็บรอขม้ำเหยื่ออยู่น่ะสิ และเธอก็อยากร้องกรี๊ดๆ เมื่อเจ้าเสือร้ายชวนต่อหน้าตาเฉย

“ถ้าคุณจ๋าอาย อยากได้ที่เป็นส่วนตัวล่ะก็...กลับบ้านกันเถอะ ไหนๆ คุณจ๋าก็ไม่ไปหาคุณวิกับคุณมัทแล้ว เราแวะขึ้นไปดูห้องหอของเราดีกว่า อยากได้แบบไหนจะได้ตกลงกันให้เรียบร้อย พรุ่งนี้มีนัดกับนักออกแบบจะได้บอกให้เสร็จไปทีเดียว ไม่ต้องเถียงกันให้เขาดูเล่นด้วย ตกลงตามนี้นะคุณจ๋า”

“ใครเขาไปตกลงกับคุ...เอ๊ย...สองกัน” หญิงสาวพลิกลิ้นเปลี่ยนสรรพนามพลางเอนศีรษะหลบจมูกโด่งของคนที่ไม่ยอมพลาดการลงทัณฑ์เธอเลยสักครั้ง สัมผัสความอบอุ่นถากๆ บนผิวแก้ม ไม่ได้ฝังลงมาเต็มๆ แต่แค่นั้นก็เล่นเอาเธอหน้าร้อนอย่างกับเข้าห้องอบไอน้ำมาหมาดๆ ละล่ำละลักบอกจนลิ้นแทบจะพันกัน “สองจัดรายการเสร็จสิบโมงเช้า เรามีนัดตอนบ่ายโมง มีเวลาคุยกันก่อนถมถืดไป”

“ผมใจร้อนนี่นา…นะ...คุณจ๋า...นะ...”

“ไม่เอา ไปดูพรุ่งนี้” รุจศยาปฏิเสธเสียงแข็ง ถลึงตากำราบคนที่ทำท่าออดอ้อน สัญชาตญาณเพศหญิงของเธอไม่ได้ทื่อและเธอก็ไม่ได้ซื่อบื้อเสียจนจับอารมณ์ปรารถนาของเพศชายไม่เป็น สีหน้าสีตาของทวิพัทธ์ในยามนี้ส่อแววไม่น่าไว้ใจ มือไม้ก็ยุ่บยั่บยิ่งกว่าขาแมงมุม ขืนเธอยอมอยู่กับเขาสองคนในที่รโหฐาน คงไม่แคล้วมีชะตากรรมเดียวกับแมลงตัวจ้อยที่พลาดท่าติดเส้นใยให้เจ้าตัวร้ายมาสวาปามหมดเนื้อหมดตัวแหงๆ

ตราบใดที่เขายังไม่เลิกส่งคลื่นชวนตะครั่นตะครอแบบนี้ เธอจะไม่ยอมอยู่กับเขาสองต่อสองในห้องหับมิดชิดเด็ดขาด!

“จะคืนนี้หรือพรุ่งนี้ก็เหมือนกันล่ะ ยังไงเราก็ต้องไปดูด้วยกันอยู่ดี...”

ชายหนุ่มยังเซ้าซี้ไม่เลิก หญิงสาวต้องผลักเขาให้กระเด็นไปไกลๆ จากเรื่องห้องหอเตียงนอนด้วยการยื่นคำขาดว่า

“สองจะพาจ๋าไปหาน้าวิกับน้ามัทไม่ใช่เหรอ ชักช้าเดี๋ยวเปลี่ยนใจนะ”

“คุณจ๋าขี้โกง ชกใต้เข็มขัดกันชัดๆ”

ทวิพัทธ์โอดครวญ นัยน์ตาปรอยละห้อย พอแว่วเสียงคนพูดคุยกันจากบริเวณทางเดินที่เชื่อมกับอาคารโรงพยาบาล ดังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มก็ยอมรามือ หันไปปลดล็อกรถสปอร์ตและเปิดประตูให้เธอ ไม่มีเค้าจะเป็นพวก ‘ชอบโชว์’ อย่างที่ประกาศปาวๆ สักนิด ระดับความเจ้าชู้แพรวพราวก็ลดฮวบราวกับไม่เคยเกิดขึ้นด้วย

รุจศยาจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง ขัดตากับรอยกระหยิ่มยิ้มย่องที่ฉาบบนใบหน้าคมสัน รู้สึกเหมือนเสียรู้ ตกหลุมพรางเข้าเต็มเปา!

ไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหนก็สมใจเขาทั้งขึ้นทั้งล่อง คนขี้โกงตัวจริงน่าจะเป็นเขามากกว่า ทั้งรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ลูกล่อลูกชนจัดจ้าน มากเหลี่ยมร้อยเล่ห์เป็นที่สุด!

...อีตาจิ้งจอกแอ๊บแบ๊วจอมมารยา ลีลาเยอะนัก ต้อนเธอเข้ามุมจนได้สิน่า!...

============================


ไม่นานรุจศยาก็พบตัวเองอยู่หน้าเพ้นท์เฮ้าส์สุดหรูบนอาคารสูงริมแม่น้ำเจ้าพระยา...

วิภาดาเลือกใช้ถิ่นของมัทนาเป็นสถานที่นัดพบเนื่องจากคฤหาสน์ของเธอเพิ่งเปิดรับน้องสาวที่แต่งงานไปกับนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกาและย้ายไปสร้างครอบครัวอยู่ที่นครลอสแองเจลิส นานปีทีหนถึงจะหอบหลานๆ วัยรุ่นกลับมาเยือนแผ่นดินเกิด บ้านของเธอจึงไม่ค่อยสะดวกต่อการสะสางปัญหาสักเท่าไหร่

ทันทีที่ทราบว่าบุคคลที่รอคอยมาถึงแล้ว สตรีทั้งสองก็ถลามารับแขกอย่างว่องไว ทวิพัทธ์ช่วยลดบรรยากาศประดักประเดิดระหว่างน้าหลานด้วยการกระพุ่มมือไหว้ทักทายพลอยให้คนข้างกายปฏิบัติตามอย่างเสียมิได้ สองสาวใหญ่รีบรับไหว้และโอภาปราศรัยอย่างปรานี ฝ่ายชายต้องออกหน้าพูดแทนหลายประโยคเพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสเสียหน้าจากการที่ฝ่ายหญิงไม่ยอมปริปากสักคำ

ชายหนุ่มร่วมวงสนทนาครู่หนึ่งก็ขอไปทำธุระส่วนตัวและโทรศัพท์หาเพื่อนฝูง มัทนารู้ดีว่าอีกฝ่ายเปิดทางให้พวกเธอปรับความเข้าใจกันก็รีบมอบหนึ่งในสามระเบียงกว้างที่ล้อมรอบอาณาจักร มีโคมไฟสวยเก๋ให้แสงสว่าง และชุดเก้าอี้นั่งเล่นกินลมชมวิวทั่วกรุงเทพฯ ให้ใช้ตามอัธยาศัย กำชับแม่บ้านให้คอยดูแลอำนวยความสะดวกสบายให้อาคันตุกะหนุ่มด้วย

เมื่อเหลือกันอยู่สามคน...มัทนาก็เคลื่อนไหวเป็นรายแรก ความโมโหโกรธาของเธอยังมีอยู่ แต่นาทีนี้ไม่ได้โกรธเคืองใครเทียมเท่าตัวเอง สำนึกว่าอารมณ์ร้อนของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักไสหลานสาวให้เตลิดเปิดเปิงไปสุดกู่ เส้นทางชีวิตบิดเบี้ยวเกินแก้ไข เธอรวบร่างหลานเข้ามาสวมกอดด้วยความรู้สึกผิดดั่งคนที่เผลอโยนของมีค่าทิ้งไป พอวกกลับไปหาก็พบว่ามีคนฉกฉวยเอาไปเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว ยากที่จะหวนคืนสู่มือเธออีกก็ทั้งฉุนเฉียว ผิดหวัง เสียดาย และเสียใจ มันผสมปนเปกันอยู่ในท่าทีและวาจาตัดพ้อของเธอ

“เด็กดื้อ ทำอะไรไม่รู้จักคิด รู้ไหมว่าพวกน้าเป็นห่วงเราแค่ไหน ทำไมไม่หยุดฟังกันบ้าง พวกน้าจะอกแตกตายเพราะเราอยู่แล้ว”

รุจศยาตัวแข็งทื่อ ขยับปากจะแย้ง แต่ถูกวิภาดาสกัดไว้ก่อน

“อย่าเพิ่งเถียงอะไรเลย ฟังพวกน้าพูดให้จบก่อนแล้วจ๋าอยากพูดอะไรน้าจะไม่ห้ามสักคำ ถ้าจ๋าสงสัยตรงไหนขอให้ถามดีๆ อย่าชวนทะเลาะ ไม่งั้นเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องสักที น้าขอร้องเถอะนะ”

หญิงสาวอ้ำอึ้งชั่วขณะ มัทนาดันตัวออกเพื่อส่งสายตาขอร้องอีกแรง...ใจแข็งๆ ของรุจศยาถูกรบกวนด้วยคลื่นความหวาดระแวง ความอยากรู้อยากเห็น และแอบมีความหวังเล็กๆ ในที่สุดหญิงสาวก็พยักหน้ารับ ยอมพับความบาดหมางไว้ชั่วคราว นั่งเจรจากับสองคุณน้าอย่างสงบเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์และได้ทราบต้นสายปลายเหตุของความเหินห่าง

“พวกน้ารู้เรื่องที่ชานนท์นอกใจหลานจ๋าตั้งแต่ยังไม่เผาศพพรรณแล้ว ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าหน้าตาท่าทางดีๆ อย่างหมอนั่นจะทำเรื่องชั่วร้ายแบบนั้นตอนจ๋ากำลังเสียใจที่สุด แถมผู้หญิงที่แอบมีอะไรกันก็ไม่ใช่คนอื่นไกล...ยายแอมเพื่อนสนิทของจ๋าเอง พวกน้าตามข่าวเงียบๆ อยู่หลายวันจนแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องกุขึ้น แต่ไม่รู้จะบอกจ๋ายังไง...ชานนท์เป็นแฟนจ๋า แอมเป็นเพื่อนสนิท ส่วนพวกน้าก็ถูกจ๋าโกรธเรื่องที่ช่วยพรรณโกหกจนไม่อยากมองหน้า ไม่ยอมฟังอะไร แค่คำพูดปากเปล่าไม่มีหลักฐานสักอย่างจ๋าจะยอมเชื่อเหรอ ถ้าจ๋าดื้อยึดชานนท์กับแอมไว้ ปิดหูปิดตาไม่ยอมล้มแผนแต่งงานล่ะ น้าคิดแล้วก็กลุ้มไปสารพัด”

วิภาดาระบายความอัดอั้นตันใจที่สะสมมานานหมดเปลือก หยุดถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าเมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้น และมัทนาก็รับไม้ผลัดเล่าต่อ ยามเอ่ยถึงชานนท์กับอัมราภรณ์ก็ใส่อารมณ์ชิงชังรังเกียจเด่นชัด

“พวกน้าไม่อยากให้หลานพลาดท่าเจ้าสารเลวนั่น ไม่อยากให้คบยายคนทรยศเป็นเพื่อนด้วย ก็รอดูอยู่หลายวันว่าพวกมันจะเอาไง จะกล้าบอกจ๋าตรงๆ แล้วยกเลิกงานแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวไหม แต่ทุกอย่างกลับเงียบฉี่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขืนปล่อยจ๋าแต่งงานไปคงไม่แคล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่า ในเมื่อพวกน้าหาหลักฐานไม่ได้ก็ต้องทำให้มันเผยสันดานออกมาให้จ๋ารู้เช่นเห็นชาติเอง”

“จ๋ารู้ไหมว่าคนเราจะเผยธาตุแท้ออกมาง่ายที่สุดตอนไหน” วิภาดาตั้งคำถามขึ้น เว้นช่วงดึงความสนใจเล็กน้อยก่อนเฉลย “ตอนที่กำลังคับขันลำบาก คนเราจะเห็นน้ำใสใจจริงกันง่ายที่สุด”

ใช่...เธอซาบซึ้งสัจธรรมข้อนี้ดี พิสูจน์มาด้วยตัวเองเลยล่ะ... รุจศยาคิดและนิ่งฟังต่อ

“ถ้าพวกน้ายังหนุนหลังจ๋าอยู่ หมอนั่นอาจจะเกรงใจไม่กล้าแสดงตัวจริงให้จ๋าเห็นชัดๆ น้าก็เลยช่วยเร่งให้มันตัดสินใจง่ายขึ้น ทำเป็นอยู่ห่างๆ ไม่สนใจจ๋า ดูซิว่ามันจะทำยังไง และคิดไม่ผิดจริงๆ...หมอนั่นเห็นจ๋าไม่มีประโยชน์ก็พร้อมจะโละทิ้ง รีบหันไปจับยายแอมแทน”

“พวกน้ารู้ว่าสองคนนั้นไปดูแหวนด้วยกันก็รอฟังข่าวอยู่ ไม่คิดว่าพวกนั้นจะไม่เสียเวลาเตรียมงานอะไร ประกาศหมั้นในงานฉลองโรงแรมเลย ตอนนั้นพวกน้าอยู่ที่คานส์ พอรู้ข่าวก็รีบโทรหาจ๋าแต่ไม่ติดสักที จ๋าไม่ยอมรับสายเลย พวกน้าบินถึงกรุงเทพฯ ตอนเช้ามืดวันจันทร์ก็แต่งตัวเข้าบริษัทไปสั่งงานพร้อมกับรอจ๋า สายแล้วไม่เห็นมาสักทีก็นึกว่าจ๋ายังไม่พร้อมจะเจอใคร พวกน้าคุยกันตั้งแต่อยู่บนเครื่องแล้วว่าจ๋าเจอเรื่องเครียดๆ มาเยอะเหลือเกิน ให้หยุดพักสักระยะน่าจะดีกว่า ยังว่าจะแวะไปคุยกับจ๋าเสียที แต่จ๋าก็โผล่มาอย่างกับพายุ แทนที่จะได้คุยกันดีๆ กลับต้องทะเลาะกันอีก ส่วนเรื่องจั๊มพ์...น้าเอะใจที่จ๋าพูดเลยไปสืบดูถึงรู้ว่าจั๊มพ์ได้มรดกและน้องคุณเรืองรองก็แข่งกันหาทนายมือดีมาช่วยแย่งตัวจั๊มพ์ให้ควั่ก พวกน้าเป็นห่วงจ๋าแทบบ้า ยิ่งรู้เรื่องคุณสองจะแถลงข่าวแต่งงานก็ยิ่งสังหรณ์ใจไม่ดี พยายามติดต่อจ๋า แต่จ๋าก็ไม่ยอมให้โอกาสพวกน้าเลย กว่าจะได้มานั่งคุยกันมันก็สายไปแล้ว…”

วิภาดาจบคำพูดยืดยาวด้วยการถอนใจอีกเฮือก ทอดสายตามองหลานสาวอย่างเสียใจ

“ถ้าน้ารู้สักนิดว่าปล่อยจ๋าไปแล้วจะเป็นแบบนี้ ต่อให้ต้องพูดโกหกเพื่อให้จ๋ายอมฟังน้าก็จะทำ น้าคิดไม่ถึงจริงๆ...น้าขอโทษ...”

“น้าก็ขอโทษด้วย...” มัทนากล่าวเช่นเดียวกับเพื่อน

รุจศยารับฟังแล้วค่อยๆ ลดความแข็งกร้าวลงตามลำดับ อาจเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นผ่านมาพักใหญ่ เธอเริ่มใจเย็นพอจะเปิดรับหลายสิ่งที่เคยมองข้ามไปตอนกำลังมุทะลุและคิดอ่านได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น บวกกับท่าทีร้อนอกร้อนใจของสองคุณน้า ความเป็นห่วงเป็นใยที่มอบให้เธอ และคำขอโทษที่สัมผัสไม่ได้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ ทั้งหมดนั่นช่วยละลายเพลิงพิโรธในใจเธอลงหลายส่วน

กระนั้นหญิงสาวยังคับข้องใจและน้อยใจจนอดต่อว่าต่อขานไม่ได้

“ทำไมน้าวิกับน้ามัทไม่บอกจ๋าแต่ต้น ทำไมถึงชอบทำแล้วค่อยมาบอกทีหลัง สองครั้งแล้วนะคะ...ที่น้าวิน้ามัทปิดบังเรื่องใหญ่แล้วตัดสินใจแทนจ๋า ทั้งที่มันเป็นชีวิตของจ๋า จ๋าควรมีสิทธิ์รู้และตัดสินใจเอง ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายจ๋าก็พร้อมรับผลจากสิ่งที่เลือกมากกว่ามีคนจัดให้ ความหวังดีแบบนี้จ๋าไม่ต้องการและไม่อยากทำความเข้าใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย”

“น้าผิดเอง...”

“พวกน้าอาจจะเคยชินกับการเป็นคนตัดสินใจมากไปจริงๆ…น้าขอโทษ...”

สตรีทั้งสองยอมรับแต่โดยดี หวนคิดถึงคำพูดของคนที่กำลังรับลมรัตติกาลอยู่ข้างนอก ก่อนหน้านี้ที่ได้สนทนากันแบบสองรุมหนึ่ง ทวิพัทธ์รู้เรื่องเข้าก็ไม่ได้ตำหนิอะไร กลับบอกอย่างเข้าใจในธรรมชาติของพวกเธอกับหลานสาวชนิดที่เก็บมาขบคิดแล้วก็ต้องตกใจแกมทึ่ง ไม่อยากเชื่อว่าคนที่มีบุคลิกภาพง่ายๆ สบายๆ คล้ายหนุ่มเสเพลจะซ่อนความละเอียดอ่อนไว้มากขนาดนั้น

‘บางที ’ความเคยชิน’ ก็ทำร้ายคนของเรามากที่สุดนะคุณวิ คุณมัท...อย่างผมเคยชินกับการพูดไม่คิด เล่นสนุกเลยเถิดจนทำให้คุณจ๋าเสียใจหลายหน ส่วนพวกคุณก็เคยชินกับการเป็นผู้ใหญ่ เป็นเจ้าคนนายคน เป็นฝ่ายตัดสินใจทุกอย่างเสมอ เราเคยชินกันจนลืมไปว่าคนอื่นอาจจะไม่ชินและไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ ด้วย...คุณจ๋าของพวกเราก็เป็นอย่างนั้นแหละ เธอเป็นคนหยิ่ง มั่นใจสูง พร้อมให้เกียรติคนอื่นและต้องการสิ่งเดียวกันตอบแทน ไม่มีทางยอมเป็นตุ๊กตาให้ใครจับวางตามใจได้ง่ายๆ หรอก’

วิภาดากับมัทนาปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นสาเหตุหนึ่งของการคิดแทนทำแทน ส่วนที่เลือกวางตัวเฉยเมยโดยไม่แย้มพรายให้รู้สักคำก็เพราะแอบโกรธเคืองปนหมั่นไส้รุจศยาที่เห็นแก่ตนเป็นใหญ่ ไม่ยอมเข้าใจและให้อภัยมารดากับพวกเธอ ชิงชังพ่อเลี้ยงลามไปถึงน้องเล็กๆ ที่ไม่ประสีประสา ทั้งที่พวกเธออุตส่าห์ทุ่มใจรักใคร่และปกป้องเจ้าตัวเต็มที่แท้ๆ ผลลัพธ์กลับกลายเป็นสิ่งสูญเปล่าและกิริยาวาจาก้าวร้าวต่างๆ นานา อารมณ์วูบหนึ่งจากความเจ็บปวดท้อแท้ก็อยากแก้ลำคนอวดดี ลองปล่อยให้เผชิญความลำบากเองบ้าง ดูสิว่าจะเป็นอย่างไร ไม่มีพวกเธอคอยประคบประหงมแล้วจะยอมหันไปสนใจไยดีน้องบ้างไหม

ต่างฝ่ายต่างใช้โมหะทิฐิประหัตประหารกันไปมา นานวันเข้าก็เหมือนคนขึ้นขี่หลังเสือแล้วหาทางลงลำบาก สุดท้ายก็ต้องเสียใจเอง ซึ่งพวกเธอก็ละอายเกินกว่าจะสารภาพความในใจส่วนนี้ออกไปตามตรง

รุจศยานิ่งคิดชั่วอึดใจก็ผ่อนลมหายใจช้าๆ...ผู้ใหญ่หลายคนมีความทระนงจากวัยวุฒิและคุณวุฒิ ออกจะยึดมั่นถือมั่นว่าผ่านโลกมาเยอะย่อมคิดหรือทำได้ถูกต้องกว่า สตรีทั้งสองคนนี้ก็เช่นกัน พวกเธอต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการละทิฐิยอมเป็นฝ่ายง้อเธอก่อน ทว่ามันก็ช่วยกอบกู้ความรู้สึกที่เคยถูกทิ้งเหมือนคนไร้ค่าของเธอกลับคืนมา ถึงแม้วิภาดากับมัทนาจะทำร้ายจิตใจเธอ แต่ไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเธอจริงจัง ในยามสิ้นบุญมารดาก็เหลือเพียงสองคุณน้าที่เปรียบประดุจญาติผู้ใหญ่ ส่วนลึกของหญิงสาวยังโหยหาความรักใคร่เมตตา ยังเสียดายสายสัมพันธ์ยาวนานและอดีตอันงดงาม ไม่ปรารถนาจะสูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทรที่เคยพึ่งพิงมาตลอดชีวิตไปอีก

ในเมื่อผู้อาวุโสยอมถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว เด็กอย่างเธอจะดื้อดึงไปไย แค่ถอยสักก้าวมีหรือจะทำบ้างไม่ได้...

หญิงสาวเปิดยิ้มอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ขจัดเมฆหมอกอึมครึมให้สลายไป

“จ๋าอยากให้เราสามคนกลับเป็นเหมือนเดิมค่ะ จ๋าอยากให้น้าวิกับน้ามัทเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจ๋า จ๋ารู้ว่าแม่คงอยากให้น้าวิกับน้ามัททำหน้าที่นี้มากที่สุด งานแต่งหนนี้ของจ๋าถูกพูดถึงไม่เบาเลย น้าวิกับน้ามัทพร้อมจะถูกนินทาไปกับจ๋าไหมคะ”

“ถ้าจ๋าต้องการล่ะก็...ได้สิ...ได้อยู่แล้ว”

“น้าโดนนินทามาเพียบแล้ว เพิ่มอีกสักเรื่องสองเรื่องจะเป็นไรไปล่ะ”

สองสาวใหญ่รับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ ทราบดีว่าหลานสาวยังเหลือความเคลือบแคลงในตัวพวกเธอ...การเก็บเศษแก้วที่แตกกระจายไปแล้วนำมาหล่อหลอมเป็นรูปร่างใหม่ต้องใช้เวลากับความอดทน อาจจะมีสิ่งอื่นปนเปื้อนไม่เหมือนเนื้อเดิม แต่ก็หวังว่ามันจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เท่าที่คนใจแข็งอย่างรุจศยายอมอ่อนลงขนาดนี้ภายในเวลาอันสั้นก็นับว่าน่าประหลาดใจเกินคาดแล้วด้วยซ้ำ

============================


“หลานจ๋า...ถ้าไม่อยากแต่งงานกับคุณสองก็บอกนะ น้าจะช่วยจัดการให้”

“ไอ้เจ้าสองนี่ร้ายนัก...ทำเป็นหงิมๆ แต่แอบดอดมาหยิบชิ้นปลามันตอนพวกน้าเผลอ ยัดเยียดตัวมาเป็นหลานเขยแบบมัดมือชกกันชัดๆ น้าล่ะหมั่นไส้มันชะมัด จ๋าบอกมาแค่คำเดียว ต่อให้จดทะเบียนกันแล้วก็หย่าได้ ส่วนเรื่องจั๊มพ์เดี๋ยวพวกน้าจะหาทางช่วยจ๋าเอง”

วิภาดากับมัทนาสอบถามกึ่งเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ รายหลังไม่เก็บอาการเขม่นขี้หน้า เหวี่ยงค้อนฝากลมแล้งไปให้ ‘หลานเขย’ ด้วย

รุจศยาแก้มร้อน ประหม่าเหมือนสาวๆ ที่แอบหนีตามคู่รักหนุ่มไปอยู่กินกันโดยไม่ได้รับคำอนุญาต เมื่อผู้ใหญ่ทราบเรื่องเข้าและต้องประจันหน้ากันด้วยสาเหตุนั้นก็กระอักกระอ่วน วางหน้าแทบไม่ถูก มาตรว่าเธอจะยังมีคำนำหน้าชื่อเป็นนางสาวและปิดท้ายด้วยนามสกุลเดิม แต่สถานะแท้จริงของเธอคือผู้หญิงที่ผ่านการสมรสเป็นภรรยาทางนิตินัยของนายทวิพัทธ์ ทีฆะเมธาไปเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเธอตอบรับคำขอแต่งงานของชายหนุ่ม สถานที่แรกที่เขาพาเธอไปคือสำนักงานเขตที่ใกล้ที่สุด จดทะเบียนสมรสกันโดยมีเจ้าพนักงานเป็นสักขีพยาน อ้างว่า

‘เราจะขอเป็นผู้ปกครองจั๊มพ์ก็ต้องสร้างเครดิตหน่อยสิ ในสายตาศาล...สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายน่าเชื่อถือกว่าคู่ที่อยู่กินกันเฉยๆ นะ การจดทะเบียนฯ กันเป็นหลักฐานชั้นดีว่าเราตั้งใจสร้างครอบครัว พร้อมร่วมหัวจมท้ายกันจริงๆ คุณจ๋าเองก็จะได้ไม่ต้องกลัวว่าผมจะอำเล่นด้วยไงล่ะ’

ตอนนั้นเธอบอบช้ำมาจากการถูกทรยศหักหลัง ไม่ค่อยอยากไว้วางใจใคร ฟังแล้วคิดว่าเข้าท่าดี อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันว่าเขาจะไม่กลับคำยกเลิกงานวิวาห์กลางคันเหมือนชานนท์ หรือถ้าเขาบังอาจทำให้เธออับอายซ้ำสองจริง เธอก็จะใช้สิ่งนี้ต่อสู้ทวงศักดิ์ศรีตัวเองให้ถึงที่สุด

คิดสะระตะแล้วหญิงสาวก็จรดปากกาลงชื่อบนกระดาษที่ทวิพัทธ์เสนอว่าจะสั่งทำปกกำมะหยี่สวยๆ มาหุ้มให้สมกับเป็นเอกสารสำคัญ ส่วนทางพฤตินัยชายหนุ่มก็ไม่ได้เร่งรัด เข้าใจดีว่าเขากับเธอกระโดดข้ามขั้นไปเร็วมากๆ ตกลงกันไม่ทันครบชั่วโมงก็กลายเป็นสามีภรรยาแล้ว คงต้องใช้เวลาปรับตัวปรับใจรับสถานภาพใหม่อีกสักพัก ชายหนุ่มยังบอกติดตลกให้เธอคลายกังวลว่า

‘ไหนๆ คุณจ๋ามีโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งให้ผม เลือกคุณจ๋าได้จั๊มพ์เป็นของแถม ผมก็มีโปรโมชั่นเพิ่มวันต่ออายุเป็นแฟน ช่วงนี้เราก็คบหาดูใจไปเรื่อยๆ ก่อน เสร็จงานแต่งแล้วค่อยว่ากัน คุณจ๋าพร้อมเมื่อไหร่ผมก็พร้อมเมื่อนั้น สะกิดกันได้เลย ไม่ต้องห่วงว่าผมจะหัวใจวายตาย ทิ้งคุณจ๋าเป็นแม่ม่ายสดซิง ผมไม่ยอมพลาดหรอก’

‘ปากบอน ทะลึ่งจริงๆ เลย!’

รุจศยาแหว สุดแสนหน่ายใจกับคนที่ชอบลดเลี้ยวมายั่วแหย่เธอได้ตลอด ครั้นมีคนอาสาจะกำจัดพ่อจอมกวนไปให้พ้นๆ เธอกลับหวาดหวั่นและใจหายพิกล

พื้นฐานเธอไม่ใช่คนกลับกลอกโลเล เมื่อตัดสินใจแต่งงานกับทวิพัทธ์ไปแล้วต่อให้ไม่มั่นใจในอนาคตเต็มร้อยเธอก็จะไม่ถอยหลังกลับให้ชายหนุ่มแบกรับความอัปยศอดสูตามลำพังเด็ดขาด เธอเคยผจญกับสถานการณ์นั้นมาก่อนย่อมเข้าใจดียิ่งกว่าใครว่ามันเลวร้าย น่ารังเกียจ และเสียความรู้สึกมากแค่ไหน

ทวิพัทธ์มีน้ำใจต่อเธอกับน้องชายมาก เธอจะไม่ตอบแทนเขาอย่างเห็นแก่ตัวและโหดร้ายแบบนั้น...

รุจศยากระพุ่มมือไหว้น้าๆ แสดงคารวะจากใจจริง บอกอย่างหนักแน่น

“จ๋าขอโทษและขอบคุณค่ะ แต่จ๋าสัญญากับสองแล้ว ทุกอย่างประกาศไปหมดแล้ว จ๋าจะแต่งงานกับสอง อวยพรให้จ๋าด้วยนะคะ”

สองสาวใหญ่ดูจะผิดหวัง แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของหลานสาว รีบปรับท่าทีให้กระฉับกระเฉง ชวนพูดคุยและวางแผนงานวิวาห์อย่างสนุกสนาน หมายมั่นปั้นมือจะทำให้ถูกกล่าวขวัญถึง (ในแง่ดีและร้าย) มากที่สุดในรอบปีท่ามกลางความอ่อนใจปนขัดเขินของคนกลางที่แอบปลงล่วงหน้าเลยว่าเจ้าบ่าวตัวร้ายที่แสนจะรักสนุกต้องเห็นดีเห็นงามด้วยแน่ๆ

รุจศยาร่วมสนทนาจนเห็นสมควรแก่เวลาก็ขอตัวไปตามทวิพัทธ์มาลากลับ พบร่างสูงใหญ่ยืนอิงราวระเบียงด้วยท่วงท่าสบายๆ ชมทัศนียภาพเมืองกรุงที่แต่งแต้มด้วยดวงไฟน้อยใหญ่หลากสีสัน สายลมเย็นลูบไล้เรือนผมกับเสื้อผ้าเขาให้พลิ้วไหว และแสงโคมไฟสลัวก็ขับเน้นเหลี่ยมมุมบนใบหน้าคมคายให้น่ายลดุจประติมากรรมชิ้นเอก

เสี้ยววินาทีเดียวชายหนุ่มก็พลิกหน้ามาราวกับรับรู้การมาของเธอ เลิกคิ้วเข้มข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม หญิงสาวอมยิ้มในหน้า ผงกศีรษะนิดๆ แทนคำตอบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาก็คลี่ยิ้มเกียจคร้าน หงายฝ่ามือส่งให้พลางอ้อนว่า

“ผมรอนานจนเหน็บกิน ขยับตัวจากที่ไม่ได้แล้ว คุณจ๋าช่วยดึงผมหน่อยสิ”

“โกหกบ่อยๆ ระวังตกนรกขุมสี่นะ”

รุจศยาสัพยอกอย่างอารมณ์ดี รู้ทันว่าเขาทำมารยาเรียกร้องความสนใจ แต่ก็ยอมก้าวไปวางมือเล็กบนอุ้งมือใหญ่ สัมผัสถึงความมั่นคงแข็งแรงที่โอบกระชับเบาๆ ก่อความอบอุ่นใจประหลาดล้ำ

หญิงสาวช้อนตามองชายหนุ่มอย่างขอบคุณทุกสิ่งที่ทำเพื่อเธอ ทั้งเรื่องน้องชาย สองคุณน้า รวมทั้งที่ช่วยแก้เผ็ดชานนท์กับอัมราภรณ์ นำพาครอบครัวและสิ่งดีๆ กลับคืนสู่เธอทีละเล็กทีละน้อย

ชีวิตที่เคยมืดมนเหมือนท้องฟ้ายามราตรีของเธอเริ่มพริบพร่างด้วยแสงดาวแห่งความหวังเฉกเช่นโค้งฟ้าเบื้องบน แม้พระพายสายใหญ่จะพัดผ่านมาให้เธอไหวสะท้าน ห่อไหล่น้อยๆ แต่พอถูกดึงไปอยู่ข้างกายเขาก็ไม่เหน็บหนาวและไม่อ้างว้างอีกต่อไป

รุจศยาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่อยากอยู่ใกล้เขานั้นเป็นผลพวงมาจากความประทับใจ อยากตอบแทน อยากเล่นซุกซนชั่วพักชั่วยาม หรือจะเป็นอะไรที่ลึกซึ้งและถาวรยิ่งกว่านั้น

สำหรับตอนนี้เธอรู้แค่ว่า...เธอมีความสุข...

============================


หนึ่งวันก่อนจะถึงวันวิวาห์ รุจศยาเซ็นชื่อขอรับตัวรุจศรัณย์จากโรงพยาบาลชั่วคราว เนื่องจากทวิพัทธ์อยากให้เด็กชายมีส่วนร่วมกับงานนี้ด้วยเหตุผลว่า…

‘จั๊มพ์เป็นกามเทพตัวน้อยของผมนะ อุตส่าห์ไปถ่ายทำพรีเซ็นเตชั่นกับถ่ายอัลบั้มภาพแต่งงานด้วยกันตั้งเยอะ จะให้ขาดคนสำคัญในวันสำคัญได้ไง’

ชายหนุ่มอาสาดูแลเจ้าตัวเล็ก นอนค้างคืนด้วยกัน ก่อนโผล่มาคู่กันในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยเครื่องแต่งกายเหมือนกันเปี๊ยบ มือป้อมๆ ของรุจศรัณย์เกาะเกี่ยวพี่เขยไว้ไม่ปล่อย ชอบนั่งคอนอยู่บนท่อนแขนหนา มองคนนู้นคนนี้ด้วยดวงตากลมแป๋ว บางครั้งก็ยอมผละไปอยู่ในอ้อมแขนของวิภาดา มัทนา อิสรี น้ำหนาว หรือไม่ก็เทียนฟ้า...พยาบาลพิเศษผิวสีน้ำผึ้งอ่อนในวัยสามสิบปี หน้าตาท่าทางใจดี รูปร่างค่อนข้างเตี้ยแต่ทะมัดทะแมงแข็งแรง ชายหนุ่มเป็นคนเลือกพยาบาลสาวมาช่วยดูแลรุจศรัณย์ในระยะหลัง รวมไปถึงในอนาคตที่จะย้ายกลับบ้านด้วย

พิธีการทั้งหมดถูกจัดขึ้นที่โรงแรมซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายพร้อมสรรพ เริ่มต้นด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ คู่บ่าวสาวร่วมตักบาตรเลี้ยงพระและถวายสังฆทานเพื่อความเป็นสิริมงคล แขกที่มาร่วมงานช่วงเช้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อนสนิท และมีนักข่าวจำนวนหนึ่งมาตามเก็บภาพการสละโสดของดีเจและพิธีกรหนุ่มคนดัง รวมไปถึงบุคคลในแวดวงบันเทิงหลายคนที่มาช่วยงาน

แต่คนที่ทำให้เจ้าบ่าวหน้าบานเป็นจานเชิง ยอมผละจากข้างกายเจ้าสาวในชุดไทยบรมพิมานสีงาช้าง แล่นไปสวมกอดอย่างยินดีก็คือหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาตอนสายๆ

“ต้น…”

“ไอ้บ้า เห็นหน้าก็กอดเป็นเด็กๆ ไม่อายคนเขามั่ง”

ปากผู้มาใหม่ต่อว่า แต่ก็ยกมือโอบตอบอย่างคิดถึงแวบหนึ่งก่อนผลักพระเอกของงานออกห่างด้วยไม่อยากตกเป็นเป้าสายตามากเกินควร การกอดรัดทักทายกันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับครอบครัวเธอ ตอนที่บุพการีล้มป่วยก่อนเสียชีวิตไปก็ได้อ้อมกอดของลูกๆ เป็นยาเสริมกำลังใจ ช่วงเวลาที่ยากลำบากเธอกับเขาก็ช่วยดูแลประคับประคองกันจนก้าวผ่านมา แต่ภาพพี่น้องที่เติบโตเป็นหนุ่มสาวเต็มตัวมากอดกันกลมอาจจะดูไม่งามในสายตาคนนอกที่ไม่เข้าใจหรือถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกัน เธอไม่อยากให้น้องถูกมองในแง่ร้ายเพิ่มขึ้นในวันสำคัญ

“ไม่เจอกันตั้งนาน ต้นดำขึ้น อ้วนขึ้นด้วย”

“ไอ้นี่ เจอหน้าก็ปากหมา วอนให้ด่า”

ปรัถมาบ่นกึ่งฉุนกึ่งขำ ไม่เก็บไปใส่ใจด้วยรู้จักนิสัยชอบยั่วแหย่ของอีกฝ่ายดีกว่าใคร

ทวิพัทธ์หัวเราะ คว้าแขนพี่สาวกึ่งจูงกึ่งลากให้เดินไปหากลุ่มคนที่เขาผละมา รุจศยารู้สึกตื่นเต้นแกมกังวลนิดๆ ด้วยไม่เคยพบปะวิสาสะกับพี่สาวของชายหนุ่มมาก่อน จริงอยู่ที่เธอรู้จักกับทวิพัทธ์มาร่วมสามปี ทว่าระหว่างนั้นปรัถมาที่ทำงานอยู่กับบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้ช่วยผู้จัดการโครงการ* ขึ้นเป็นผู้จัดการโครงการ** ได้ย้ายไปประจำสำนักงานที่ประเทศสิงคโปร์และออสเตรเลียตามลำดับ นานทีปีหนจะกลับเมืองไทยสักครั้ง ส่วนใหญ่น้องชายมักจะเป็นฝ่ายบินไปเยี่ยมพร้อมกับทำตัวเป็นภาระให้พี่สาวพากินพาเที่ยวเล่นเสียเอง แถมตอนนั้นรุจศยาก็ตั้งแง่กับทวิพัทธ์ ย่อมไม่สนใจใคร่รู้เรื่องครอบครัวของเขาอยู่แล้ว

ตัวจริงของปรัถมาดูดีกว่ารูปที่ทวิพัทธ์เคยนำมาอวดและห่างไกลจากคำว่า ‘อ้วน-ดำ’ อย่างที่ถูกหยอกเมื่อครู่ ตรงข้ามหญิงสาวมีรูปร่างเพรียวกระชับ ผิวขาวเหลืองลออ ดวงหน้าหวานคมคายละม้ายทวิพัทธ์หลายส่วนอยู่ในกรอบผมแสกข้างตัดทรงบ็อบเทยาวเกือบเคลียไหล่ อาจจะดูไม่โดดเด่นสะดุดตาเท่ากับน้องชายที่ทำงานหน้ากล้อง แต่การแต่งเนื้อแต่งตัวเก๋ๆ บวกกับบุคลิกเท่ๆ ก็เพิ่มเสน่ห์ชวนมองไม่น้อย

รุจศยากระพุ่มมือไหว้ทักทายพลางลอบมองหญิงสาวที่ยกมือรับไหว้อย่างหยั่งเชิง ไม่รู้ปรัถมาจะคิดยังไงกับผู้หญิงที่เลิกรากับคนรักเก่ามาไม่ทันไรก็แต่งงานกับผู้ชายคนใหม่แบบสายฟ้าแลบ แม้ทวิพัทธ์จะยืนยันว่าพี่สาวเขาเป็นคนใจกว้าง ไม่ยึดติดกรอบความคิดสังคม เคารพการตัดสินใจของเขาและพร้อมจะต้อนรับคู่ชีวิตที่เขาเลือกอย่างไม่แยแสคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ แต่นั่นอาจจะเป็นมุมมองที่เขาทึกทักเองก็ได้ กระนั้นเธอก็แอบหวังว่าจะเป็นจริงเพราะไม่อยากผจญปัญหาพี่สามีกับน้องสะใภ้และไม่ต้องการเป็นสาเหตุให้พี่น้องต้องขุ่นข้องหมองใจกันด้วย

ปรัถมาพักความสนใจที่มีต่อเจ้าสาวไว้ชั่วคราว ทำความเคารพผู้ใหญ่หลายท่านที่อยู่ใกล้ๆ ตามมารยาทก่อน คุณหญิงญาดาลูบไหล่ลูบหลังหญิงสาวที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อยอย่างเอื้อเอ็นดู ไม่วายตัดพ้อนิดๆ

“ทำไมโผล่มาสายป่านนี้ล่ะลูก น้องชะเง้อรอแล้วรออีก กลัวเราไม่มา”

“ต้นจะมาตั้งหลายวันแล้วค่ะป้าหญิง แต่ติดโปรเจ็กต์ด่วน ต้องประกบลูกค้าโรคจิตชอบเปลี่ยนนู่นนี่ ต้นเร่งงานแทบตายกลัวไม่ทันไฟลต์ที่เลื่อนไว้ มาถึงกรุงเทพฯ เช็กอินห้องพักเสร็จต้นก็รีบแต่งตัวตรงมานี่เลยนะคะ”

หญิงสาวชี้แจงกึ่งออดขอความเห็นใจ แต่กลับถูกเอ็ดอึงอย่างไม่ชอบใจ

“ไปพักโรงแรมทำไม ถึงบ้านเราจะปล่อยเช่า แต่บ้านป้ามีห้องหับตั้งเยอะแยะ ไม่เอา ไปเช็กเอาต์มาค้างกับป้า นานๆ จะได้เจอกันสักที”

“ต้นลางานมาแค่วันเดียว พรุ่งนี้ดึกๆ ก็บินกลับแล้ว ไม่อยากกวนป้าหญิงค่ะ”

“กวนเกินอะไรกัน ยิ่งรีบมารีบกลับอย่างนี้ยิ่งต้องค้างกับป้าเลย ลักษมณ์ เดี๋ยวเราตามไปช่วยพี่เขาเก็บข้าวของพามาบ้านเรานะ”

คุณหญิงญาดารวบรัดตัดความแล้วหันไปสั่งบุตรชายคนเล็กที่ยืนเป็นเงาอยู่เบื้องหลัง ร้อยตำรวจเอกหนุ่มหน้าใสรับคำอย่างว่าง่าย พยักพเยิดยิ้มๆ กับเพื่อนสมัยเด็กเป็นเชิงทักทาย ไม่นำพาสีหน้าอับจนของอีกฝ่าย

หลังจากสนทนากับเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่พอหอมปากหอมคอ...ปรัถมาก็หันไปพิจารณาน้องสะใภ้เงียบๆ ชั่วอึดใจก็คลี่ยิ้มบางๆ ก่อกระแสอบอุ่นเหมือนแสงแรกอรุณปัดเป่าม่านหมอกในใจรุจศยาให้จางลงและเริ่มชอบพี่สาวของทวิพัทธ์ทันทีที่ได้พูดคุยอย่างเป็นกันเอง

“ได้เจอตัวจริงสักที สองเล่าเรื่องจ๋าให้พี่ฟังเยอะเลย จ๋ารู้จักพี่แล้วใช่ไหม”

“ค่ะ สองก็เล่าเรื่องพี่ต้นให้จ๋าฟังเหมือนกันค่ะ”

“หวังว่าจะเป็นเรื่องดีๆ นะ” หญิงสาวเหล่มองน้องชายที่ดูกระตือรือร้นนำเสนอคนรักพลางลุ้นว่าเธอจะเปิดไฟเขียวให้หรือไม่ อดแกล้งเขาให้สะดุ้งบ้างไม่ได้ “พี่ไม่ค่อยไว้ใจไอ้เจ้าสองเลย มันเก่งแต่เรื่องกะล่อน กวนประสาท สร้างปัญหา จ๋าแน่ใจนะว่าไม่ได้ถูกมันหลอกเอา กลับลำตอนนี้ยังทันนะ”

“ต้น! หาเรื่องให้เจ้าสาวหนีสองไปเรอะ!”

“ต้นแค่อยากทำกุศลกับผู้หญิงด้วยกัน”

“นี่มันก่อเวรกรรมกับน้องชัดๆ!”

รุจศยาอมยิ้มขำ เธอเคยสัมผัสทุกคุณสมบัติของทวิพัทธ์ดังที่ถูกร่ายมา แต่ไม่เคยเห็นเขาในบทบาท ‘น้องชาย’ มาก่อน มันดูแปลกตาพอๆ กับที่น่าแปลกใจ และบรรยากาศระหว่างพวกเขาก็ชวนให้รู้สึกดีจนเธอเริ่มเชื่อแล้วว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องที่รักใคร่สนิทสนมกันมากสมคำเล่าลือจริงๆ

“สองไม่ได้หลอกจ๋าจริงค่ะพี่ต้น สองขอจ๋าแต่งงานได้ตรงไปตรงมาที่สุดเลยค่ะ”

“มันเนี่ยนะ!?”

ปรัถมาสำลักเสียงอุทานอย่างไม่เชื่อถือ รุจศยารับคำด้วยดวงตาอ่อนแสง ในอกอุ่นซ่านเมื่อระลึกถึงช่วงเวลานั้น หากคู่สนทนากลับกลอกตามองเธอสลับกับน้องชาย ทำท่าคล้ายอยากจะพูด แต่แล้วก็เลือกถอนหายใจเบาเฮือกหนึ่ง รุจศยาไม่แน่ใจว่าอุปาทานไปหรือเปล่าว่าอีกฝ่ายทอดมองเธอคลับคล้ายสงสารเห็นใจอย่างไรพิกล

“เอาเถอะ...ไหนๆ ก็มีคนก็รับเจ้าสองไปเป็นภาระแล้ว พี่ก็ไม่อยากให้จ๋ารู้ตัวแล้วรีบส่งคืน อันที่จริงมันก็ไม่เลว แค่นิสัยเสียเยอะ ชอบงี่เง่าตาใส ปากปีจอ บ้าบอ แล้วก็...”

“เฮ้ยๆ! หยุดเลยต้น พูดซะสองเหลืออะไรดีมั่งวะเนี่ย!”

พระเอกของงานก็ขัดขึ้นอย่างทนโดนเผาไม่ไหว ปรัถมาหันไปทำหน้าเหลอหลาและย้อนถามแบบที่เรียกเสียงฮาครืนจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะอิสรีถูกใจถึงขนาดลอบยกนิ้วหัวแม่มือให้ยิกๆ

“สองมีไอ้ที่ ‘ดีๆ’ กับเขาด้วยเหรอ”

“นี่กลับมาทำไมวะ!”

“กลับมาต้อนรับน้องสะใภ้ไง” ปรัถมาตอบอย่างไม่อินังขังขอบและหวนไปพูดกับเจ้าสาวแบบไม่ไว้หน้าเจ้าบ่าวที่ทำท่าฮึ่มฮั่มๆ เลย “พี่ยกเจ้าสองให้แบบขายขาด ไม่รับคืน แถมขวัญถุงให้ด้วย เจ้าสองมันเลี้ยงไม่ยากหรอก แค่คอยให้อาหารอร่อยๆ มีที่ให้ซุกหัวนอนก็พอช่วยเฝ้าบ้านได้ ยังไงก็ระวังอย่าให้มันเผลอไปกัดใครเข้าล่ะ ถึงจะฉีดวัคซีนครบทุกเข็ม แต่มันก็ดื้อด้านดื้อยา อาจทำคนเป็นบ้าเพราะปากเปราะๆ ของมันได้”

“คนนะเว้ย ไม่ใช่หมา!”

ทวิพัทธ์แยกเขี้ยวขาววับขัดกับคำพูด ปรัถมาอยากจะแหย่ต่อเพราะนานๆ ทีจะเป็นฝ่ายรุกไล่พ่อจอมกวนได้บ้าง ติดที่วิภาดากับมัทนาพารุจศรัณย์เข้ามาร่วมวง หญิงสาวได้ทำความรู้จักกับน้าๆ และน้องน้อยของรุจศยา นึกเอ็นดูเจ้าตัวเล็กที่หน้าตาน่ารักพอกับกิริยามารยาทและก็สงสารเขาที่บาดเจ็บพิการ พอเด็กชายยอมโผมาตามแรงส่งของผู้ใหญ่ ปรัถมาก็โอบอุ้มร่างกระจ้อยร่อยไว้อย่างถนอม ตั้งคำถามชวนคุยกระจุ๋งกระจิ๋งเพิ่มความคุ้นเคย และวนเวียนฟัดพวงแก้มยุ้ยๆ ให้หายมันเขี้ยวอยู่หลายที

รุจศยารู้สึกผ่อนคลายสบายใจกับท่าทีอบอุ่นเป็นมิตรของปรัถมา วิภาดากับมัทนาก็เบาใจที่หลานๆ ได้รับการต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวใหม่อย่างราบรื่น หากเว็ดดิ้งแพลนเนอร์ที่กำกับดูแลงานโผล่เข้ามาเตือนให้เตรียมตัวเข้าสู่ขั้นตอนถัดไป วงสนทนาที่เต็มไปด้วยความแช่มชื่นก็มีอันต้องสลายตัวแยกย้ายกันไปตามบทบาท

ฤกษ์หมั้นของทวิพัทธ์กับรุจศยาอยู่ค่อนข้างสายจึงพอมีเวลาเปลี่ยนชุดใหม่สำหรับเข้าพิธีหมั้นและรับน้ำสังข์ โดยขบวนขันหมากจะตั้งต้นที่ด้านนอกโรงแรม ซึ่งกว่าเจ้าบ่าวจะผ่านประตูแต่ละด่านเข้ามาได้ก็เสียซองไปอักโข โดยเฉพาะประตูสุดท้ายของน้ำหนาวกับอิสรีที่ตั้งหน้าตั้งตาขูดรีดขูดไถจริงๆ จังๆ จนต้องใช้น้องเจ้าสาวที่อยู่ในอ้อมแขนเป็นไพ่ตาย รุจศรัณย์ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ นึกว่าจะไม่ได้เจอพี่สาวแล้วก็เบะหน้าเบะปากจะร้องไห้โฮทำเอานายด่านจอมงกเปิดทางให้แทบไม่ทัน

“ขัดลาภพี่น้ำได้นะสุดหล่อ”

“พี่อ้อยบอกให้ซึมซับนิสัยดีๆ ของพี่สาวมาเยอะๆ แล้วไหงเข้าข้างตาพี่เขยแอ๊บแบ๊วจังวุ้ย”

สองสาวบ่นอุบ พอเด็กชายพลัดมาอยู่ในอ้อมแขนระหว่างที่ทวิพัทธ์ต้องประกอบพิธีการก็จัดแจงลงโทษกันหลายฟอดใหญ่

รุจศยาอยู่ในชุดไทยจักรีประยุกต์สีเหลืองลออขับผิวผ่องเป็นยองใย เกล้าผมสูงอย่างเก๋ไก๋ด้วยฝีมือช่างผู้ชำนาญงาน ใบหน้าคมสวยได้รับการตกแต่งอย่างประณีตผนวกกับบุคลิกภาพสง่างามปานนางพญาช่วยส่งเสริมให้เธอโดดเด่นตรึงสายตาคน วิภาดากับมัทนาตัวพองเป็นแม่ไก่อย่างภาคภูมิใจในตัวหลานสาว ส่วนเจ้าบ่าวในชุดขาวก็มองเจ้าสาวตาปรอยๆ จนโดนพี่สาวกับเพื่อนฝูงแซวขำขันหลายหน

ช่วงที่ผู้ใหญ่ตรวจนับสินสอดทองหมั้นตามธรรมเนียม รุจศยาประหลาดใจกับจำนวนเงินสด ทองคำ และเครื่องประดับ คำนวณคร่าวๆ แล้วไม่น่าต่ำกว่าที่ทางชานนท์เคยตกลงเอาไว้ มันสามารถปลดเปลื้องปัญหาหลายอย่างของเธอได้สบายๆ

หญิงสาวไม่เคยถามทวิพัทธ์ว่าจะให้ค่าสินสอดเท่าไหร่ การที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอต้องแบกภาระทางการเงินหนักมากแล้ว เธอรับน้ำใจของเขา ไม่ได้คิดจะสูบเลือดสูบเนื้อให้คุ้ม กระนั้นชายหนุ่มก็รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะหาทางตบแต่งเธออย่างสมน้ำสมเนื้อ วิภาดากับมัทนาเองก็ยืนกรานว่าจะจัดการให้เธอไม่น้อยหน้าใคร...โดยเฉพาะอัมราภรณ์กับชานนท์ที่หมั้นหมายกันไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ทวิพัทธ์เคยชวนเธอนำสมุดบัญชีเงินฝากมากางดูตัวเลขเพื่อวางแผนใช้เงินให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ชายหนุ่มมีเงินเก็บมากกว่าเธอหลายล้าน แต่สินสอดตรงหน้ามีมูลค่าสูงกว่านั้นเยอะ บางทีเขากับสองคุณน้าอาจจะสุมหัวกันสร้างภาพเพื่อไม่ให้ใครนินทาว่าเธอราคาตกฮวบฮาบก็ได้ เนื่องจากสังคมยุคปัจจุบันไม่ได้ให้เกียรติหรือคุณค่าของคนจากคุณงามความดีภายใน หากวัดกันอย่างฉาบฉวยจากเปลือกนอกที่เห็นได้ชัดว่ามีราคาค่างวดสูงเท่าไหร่ ดังนั้นต่อให้ข้าวของประกอบพิธีหมั้นทั้งหมดจะเป็นแค่ของหยิบยืมมาวางหลอกๆ รุจศยาก็ต้องขอบคุณพวกเขาที่พยายามรักษาเกียรติยศหน้าตาของเธอให้ดูดีในสายตาคนนอกเต็มที่

กว่าพิธีสวมแหวนหมั้นจะเสร็จสิ้น ใบหน้าเจ้าสาวก็ซับสีเลือดและร้อนผ่าว เพราะต้องรองรับจมูกโด่งๆ ของเจ้าบ่าวที่กระตือรือร้นฝังในนวลแก้ม แช่ค้างไว้ให้ช่างภาพมืออาชีพกับมือสมัครเล่นเก็บรูปอยู่หลายนาที

ลำดับถัดไปเป็นพิธีไหว้ผู้ใหญ่และผูกข้อไม้ข้อมือ ต่างให้ศีลให้พรและมอบซองเป็นทุนชีวิตแด่คู่ครองใหม่ ตบท้ายพิธีหมั้นและแต่งงานในช่วงเช้าด้วยพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ผ่านหอยสังข์มงคลอวยพรคู่บ่าวสาว

ชีวิตโสดของทวิพัทธ์กับรุจศยาปิดม่านลงและเปิดม่านใหม่เพื่อเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันอย่างแท้จริง...


========= (จบตอนที่ 10) =========



เชิงอรรถ

* Assistant Project Manager

** Project Manager





Create Date : 04 มีนาคม 2558
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 23:50:20 น. 2 comments
Counter : 1129 Pageviews.

 
ดีใจจ้าด้วยใจ


โดย: Kwanita IP: 202.28.179.13 วันที่: 6 มีนาคม 2558 เวลา:0:11:53 น.  

 
=== Kwanita ===
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ จุ๊บๆๆ ^3^


โดย: คีตภา วันที่: 10 มีนาคม 2558 เวลา:21:29:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คีตภา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




*** งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบนะคะ :) ***


"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ)

รวมเล่มโดย Love สนพ. แจ่มใส วางแผงปลายเดือน มิ.ย. 58 ค่ะ ขอฝากพี่สอง คุณจ๋า และน้องจั๊มพ์ไว้ด้วยนะคะ ^_____^



Date 28/04/2015
สองรักล้นใจ บทที่ 1-11
~ ตัวอย่างทดลองอ่านจ้า ~





เว็บบอร์ดคีตภา@jamsai.com
เว็บบอร์ดคีตภา ณ แจ่มใส :)




ผลงานของคีตภา
นิยายตีพิมพ์รวมเล่ม

นิยายรูปแบบ E-Book


อีเมลของคีตภา



Unique Visitors :
Page Loads :


Friends' blogs
[Add คีตภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.