มิถุนายน 2553
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
9 มิถุนายน 2553

มวยไทย+มวยโบราณ

ผมเรียนมวยกับอาจารย์ ชัยสวัสดิ์ เทียนวิบูลย์ เรียนไปได้ 6 เดือนแล้ว เค้าสอนแปลกไม่เหมือนใครและ..ก็ดีด้วย พี่แกเพิ่งสร้างโรมยิมเสร็จ แกสอนอยู่ลำปาง เปิดวัน อาทิตย์ อังคาร พฤหัส 18.30-20.00 ใครอยากจะเรียนถามผมได้นะครับ อิอิ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าผมไปเรียนมาได้ยังไง ก็คือว่าวันนั้นผมไปเที่ยวบ้านเพื่อน เห็นเพื่อนลองเล่นกับอาจารย์ดูแล้วท้าทายผมเลยขอลองบ้าง..ปรากฏว่าล้มกลิ้งเลยแกไม่ใช้แรงอะไรเลย วันรุ่งขึ้นผมก็ไปที่โรงเลี้ยม้าแก ที่ยาวมากจนสุดซอยเลย พอไปซ้อมวันแรก มีสาวเป็นเด็กโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนอยู่ในลำปางอยู่ 2 คน คนแรก ไม่ไหวข้ามไปเลย คนต่อมานี่ซิ เล่นเอาผมใจวายเลย สูง 165+ ขาว หมวย น่ารัก แอ๊บแบ้ว ซื่อๆ(อันตรายน่าดู) วันนั้นผมเก็กน่าดูเลย ให้ตายสิ อยากได้เป็นแฟนจนน้ำลายใหลแล้ว ทุกวั้นผมมาซ้อมไม่เคยขาดเลย..แต่แล้วเธอก็อันตรธานหายไป มันช่าง โอ้ย เจ็บหัวใจผมก็ซ้อมซํงกะตายต่อไปวันๆ แต่แปลก ยิ่งซ้อมยิ่งอยากเรียน แกสอนได้ทรุปรุโปร่งเลย เรียกได้ว่าเบอร์1เลย แกเคยสอนอยู่ที่จุฬามาก่อน เพื่อนในblogคนใหนอยากรู้เรื่องอะไรฝากถามได้นะครับ ด้วยความยินดี อิอิ บายครับเจอกันฉบับหน้า




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2553
332 comments
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 3:43:24 น.
Counter : 4770 Pageviews.

 

ถ้าความรักของคน 2 คนเริ่มจาก 100 ทั้งคู่
ถ้าอีกคนนั้นเหลือ 0 แต่อีกคนยังเท่าเดิม

อีกคนอยากจากไป
อีกคนอยากรั้งเอาไว้

แล้วใครกันที่เจ็บปวด
ใครที่ชนะใครที่แพ้

คนที่ไม่เคยเป็นผู้ชนะเลย...แพ้มาตลอด
เค้ามีหวังจะชนะบ้างไหม
เมื่อไหร่ นานไหม

ขอบคุณครับที่ตอบคำถาม




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 5 มกราคม 2555
เวลา : 23.23.00 น.







ไม่ว่าเราจะนิยามความหมายของความรักไปอีกกี่รูปแบบ
มันจะจบลงตรงคำว่า “แยกจาก” เสมอนะครับ


วันนี้ต่อให้เรารักใครสักคนมากที่สุด
รักมากชนิดยอมตายถวายชีวิตแทนได้
สุดท้าย...คนที่เรารักคนนี้
ก็ไม่อาจหนีพ้นจากความตายได้

รักมากแค่ไหน
ย่อมต้องตายจากกัน
ไม่จากกันวันนี้
ก็จากกันวันหน้า
ไม่จากเป็น ก็จากตาย



เคยลองคิดเล่นๆดูบ้างไหมครับ
ว่าคนที่คุณรักมากที่สุด
จะเป็น พ่อแม่ ครู เพื่อน หรือแม้แต่คนรัก
คนเหล่านี้แก่ตัวลงไปทุกที ร่างกายเสื่อมไปในทุกขณะ

แต่เราไม่ค่อยได้หยุดคิดและมองเห็นความจริงข้อนี้


คนที่คุณว่ารักมาก
เขาแก่ลง ตายจากคุณไปในทุกวินาทีที่เข็มนาฬิกาเดินไป
แต่เราพยายามเฝ้ามองดูแต่สิ่งที่เราพึงใจ
เราอยากให้เขาหรือเธอ สวยหล่อแบบนี้
เป็นคนดีและทำทุกอย่างที่ถูกใจเราไปตลอด


การรักษาความรู้สึกแบบนี้เอาไว้
เปรียบเหมือนเราเอามือกอบทรายแล้วเดินไปเรื่อยๆ
โดยหวังว่าทรายจะไม่ร่วงหล่นจากมือไปแม้แต่เม็ดเดียว


แต่ความเป็นจริงคือ
แค่เราเดินไปไม่กี่ก้าว
ทรายก็ร่วงหล่นตามร่องนิ้วของเราจนหมดมือ



ความรักก็เป็นแบบนั้นในความรู้สึกของผม
เราไม่ควรกอบเก็บมันเอาไว้ในมือ
แล้วยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะต้องอยู่ในมือเราไปแบบนี้นานๆ


แต่เราควรวางความรักลง
มองดูมันอย่างเข้าใจ
วางทรายลงไปบนหาดทรายขาวนวล
วางทรายลงไปบนผืนทรายกว้างๆ

มองดูมันให้เต็มตา
มองให้เห็นความสวยงามทั้งหมดที่มี

แล้วหัดปล่อยวางในใจไปด้วยว่า
หาดทรายนี้ไม่ใช่ของเรา
เราเป็นเพียงแต่ผู้ที่มาเยี่ยมเยือน
แล้วใช้โมงยามชีวิตของเราพักพิง พักผ่อนนอนเล่นในชั่วขณะ
เพื่อที่จะจากกันไปโดยไม่ต้องมีอะไรติดค้างหรือเสียดายในใจ


เพราะที่สุดแล้ว...


ไม่มีคนที่เริ่มต้นจากศูนย์
ไม่มีคนที่เริ่มรักจากสิบ จากร้อย
ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ

มีแต่คนที่ได้รับรัก ถูกรัก ถูกเลิก ฯลฯ

และไม่ว่ารักนั้นของคุณจะจบลงไปอย่างไรแบบไหน
ก็ต้องไปจบลงตรงการ “จากลา” เสมอ

คำถามคือ คุณได้รักใครคนหนึ่งอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
รักและเรียนรู้ที่จะวางรักนั้นลงในยามที่ต้องจาก
วิธีการแบบนี้ต่างหากที่จะทำให้คุณ
ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจเลยกับทุกๆความรักที่คุณมี

 

โดย: กะว่าก๋า 6 มกราคม 2555 9:20:06 น.  

 

ช่วยขยายความข้อความข้างล่างให้หน่อยนะครับ

- รักมากแค่ไหนก็ต้องจากกันไป
- รักดีที่สุดเค้ารักยังไง
- คุณได้รักใครคนหนึ่งอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 6 มกราคม 2555
เวลา : 11:34 น.




- รักมากแค่ไหนก็ต้องจากกันไป


คำว่า “จากกัน” คำนี้
เน้นไปยัง “ความตาย” ครับ

รักแค่ไหน ผูกพันเพียงใด
ถึงวันหนึ่งก็ต้องตายจากกัน

แต่ความตายในมิตินี้
ไม่ได้ให้กลัวตาย หรือกลัวการจากพราก

แต่ให้ตระหนักว่า
เมื่อเรารู้ว่าวันหนึ่งวันใด
ไม่เราก็เขาต้องตายจากกันแน่ๆ
ทำไมไม่ทำ “วินาที” นี้ที่อยู่ด้วยกัน
ให้เป็นวินาทีที่มีคุณค่า
และมีความหมายต่อความทรงจำของคนทั้งสองคนให้ดีที่สุด

รักกันชนิดที่ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า

ทำไมตอนนั้นเราไม่บอกรักเขา
ทำไมตอนนั้นเราไม่ดูแลเขาหรือเธอให้ดีพอ
ฯลฯ



ถ้าเรารักใครสักคนอย่างดีที่สุดตลอดเวลาแล้ว
ไม่ว่าจะจากกันวันไหน
เราก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ
เพราะเราได้รักกันอย่างดีที่สุดมาโดยตลอดแล้วนั่นเอง





..........................




- รักดีที่สุดเค้ารักยังไง



รักอย่างดีที่สุด
ไม่ได้แปลว่ารักจนทิ้งความรักที่เรามีต่อตัวเองไป
หลายคนเวลารักใคร
แล้วทิ้งทุกอย่างที่เป็นตัวตนของตัวเอง
ไปฝืนเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนที่เรารักพึงพอใจ
การทำแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่คอยฝืนใจตัวเอง
ต้องทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรือเกลียดเพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจตลอดเวลา
เพราะคิดว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ความรักของตัวเองยั่งยืน


เราไม่ชอบกินปลา
ไปนั่งฝืนเคี้ยวปลาที่ตัวเองเกลียด
คนรักจะไม่รู้หรือดูไม่ออกเหรอครับ
ว่าเราทำสิ่งที่เราไม่ชอบ


ไม่ชอบดูหนังผี
แต่ต้องทนดูเพราแฟนอยากดู


ชอบไปวัดทำบุญ
มากกว่าไปผับดื่มเหล้า

ฯลฯ


รักที่ยอมทุกอย่าง
ไม่ได้เป็นความรักที่แท้จริง


แต่รักที่ดี
คือความรักที่มองหาจนเจอคนที่เหมาะสมกับตนเอง

แม้จะมีความแตกต่างกันในทุกๆด้าน
แต่สามารถ “ยอมรับ” ในตัวตนของอีกฝ่ายได้
โดยไม่ต้องเรียกร้องให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เพื่อให้เราหรือเขาพึงพอใจโดยฝืนธรรมชาติของตนที่เป็น



เชื่อไหมครับ...

ถ้าเรารักใครอย่างแท้จริง
ถึงเขาไม่ร้องขอ
เราจะอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เป็นคนที่ดีขึ้น

เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ไม่ใช่เพราะเราถูกบังคับหรือฝืนใจ
แต่เราเต็มใจที่จะทำสิ่งนั้น
เพราะเรารักเขาอย่างแท้จริง









- คุณได้รักใครคนหนึ่งอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง



พี่ก๋าเคยคุยกับแฟนก่อนแต่งงานว่า
อย่าทะเลาะกันข้ามคืน
มีอะไรให้พูดจากัน
เพราะ 5 นาทีที่เราทะเลาะและพูดไม่ดีต่อกัน
เราก็ทำลาย 5 นาทีแห่งความสุขในชีวิตคู่ไปแล้วเช่นกัน


เวลารักใครคนหนึ่งอย่างดีที่สุด
ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทิ้งตัวตนหรือชีวิตด้านอื่นของเราไปจนหมด

แต่หมายถึงให้เห็น “คุณค่า” ของวันเวลาที่เราใช้ร่วมกัน
ให้เห็นคุณค่า เห็นคุณความดี เห็นความน่ารักของคนรัก
ให้จับถูกอย่าคอยจับผิด
ให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ดีมากที่สุดสำหรับเรา
ให้แคร์ความรู้สึกของกันและกัน


เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นคุณค่าและคุณความดีของคนทีเรารัก

เราย่อมอยากมอบสิ่งดีดีที่สุดของเรา
กลับคืนไปให้กับคนที่เรารักเช่นกัน




 

โดย: กะว่าก๋า 7 มกราคม 2555 8:10:38 น.  

 

พี่ก๋าคิดนะครับ
ว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว
เบื่อการเกิด เบื่อความทุกข์ที่เกิดจากความรักและพลัดพราก


ความคิดเช่นนี้ยิ่งทำให้พี่ก๋าเห็นคุณค่าของภรรยา
ยิ่งย้ำเตือนให้เราตระหนักว่า
เวลาในชีวิตของเราเหลือเท่าไหร่ไม่รู้

แต่เราจะรักและดูแลคนที่เรารักและรักเราให้ดีที่สุด
เพื่อจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างในความรู้สึก
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า
ฉันน่าจะรักเธอให้ดีกว่านี้
ฉันน่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเธอให้มากกว่านี้


ถ้าเราทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้ว
ถึงวันที่ต้องจากลากันจริงๆ
ยังจะต้องมีอะไรเสียใจอีกล่ะครับ

ความทรงจำที่เหลือ
มันไม่น่าจะใช่ความเศร้า
แต่เป็นความภูมิใจ ดีใจต่างหาก
ที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้รักคนดีดี
หรือเคยได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนที่รักเราจริงๆ




 

โดย: กะว่าก๋า 7 มกราคม 2555 8:13:53 น.  

 

ขอให้เจอเส้นทางที่ใช่
คนที่ชอบและรักเขาอย่้างแท้จริงนะครับ



 

โดย: กะว่าก๋า 7 มกราคม 2555 14:47:12 น.  

 

ร้องเพลงเพราะ ทำให้จิตใจแจ่มใส
ร้องเพลงเพราะ ร้องแล้วมีความสุข
ร้องเพลงเพราะ อยากมีชื่อเสียง
ร้องเพลงเพราะ อยากจะร้อง
ร้องเพลงเพราะ อยากให้คนฟังมีความสุข
ร้องเพลงเพราะ ระบายความรู้สึกในใจ
ร้องเพลงเพราะ เบื่อไม่มีอะไรทำ
ร้องเพลงเพราะ คิดถึงใครบางคน
ร้องเพลงเพราะ อยากให้ผู้อื่นชื่นชม
ร้องเพลงเพราะ มันคือความฝัน
ร้องเพลงเพราะ ให้ใครซักคนฟัง
ร้องเพลงเพราะ ให้ตัวเองฟัง
ร้องเพลงเพราะ อกหักจากความผิดหวัง
ร้องเพลงเพราะ สิ้นหวัง
ร้องเพลงเพราะ อยากรวย



++ พี่ก๋าว่าเราควรร้องเพลงไปทำไม ++



คำร้อง มันมาจากไหน
ทำนอง แต่งมันอย่างไร
เสียงร้อง ควรเป็นยังไง
รวมกันแล้ว ทำยังไงมันจึงจะไพเราะ
เมื่อร้องแล้วพี่ก๋าเห็นภาพอะไรเหรอป่าว

ขอบคุณครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 12 มกราคม 2555
เวลา : 23:30 น.


สวัสดีครับ



คนเราร้องเพลงทำไม ?

พี่ก๋าว่ามันเป็นคำถามเดียวกับว่า “ภาษา” เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้อย่างไร


ทั้งภาษาและเพลง
เป็น “การสื่อสาร” ชนิดหนึ่ง

เรา “สื่อสาร” กันทำไม ?


เพราะเราคือสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความผูกพัน
เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ และมีจิตใจ
มีอารมณ์ความรู้สึก




พี่ก๋าชอบแต่งเพลงนะครับ
ทำไมถึงชอบแต่งเพลง ?

เป็นเพราะช่วงหนึ่งพี่ก๋ารู้สึกว่าเพลงที่มีอยู่ในตลาดเพลง
มันไม่ได้บอกเล่าความรู้สึกที่มีในใจตัวเอง
พอคิดได้แบบนี้ก็เลยลองนั่งแต่งเพลงในแบบที่ตัวเองอยากฟัง อยากร้อง

แต่งเนื้อเพลงไปตามความรู้สึกข้างในของตัวเอง


ไพเราะหรือเปล่าไม่รู้
รู้แต่ว่ามัน “สื่อสาร” กับหัวใจตัวเองได้
สื่อสารกับความรู้สึกของตัวเองได้
สื่อสารกับความคิดของตัวเองได้


ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมพี่ก๋าถึงรักในเสียงเพลง
ชอบร้องเพลง และแต่งเพลงเอง



นี่เป็นเพลงที่พี่ก๋าแต่งให้มาดาม
ตอนที่เรายังจีบกันใหม่ๆ
พี่ก๋าไม่รู้หรอกนะครับ
ว่าเพลงนี้เพราะหรือเปล่า
รู้แต่ว่ามีบางอย่างที่เราอยากสื่อสารกับคนที่เรารัก
แล้วมันก็เกิดเพลงนี้ขึ้นมา

ลองฟังดูนะครับ



//www.youtube.com/watch?v=aB2uIen2OAU



 

โดย: กะว่าก๋า 17 มกราคม 2555 11:54:29 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 20 มกราคม 2555 6:00:38 น.  

 

ในยามที่เรามีเงิน มีความรักที่สมหวัง
มีเรื่องดีดีเข้ามาในชีวิต เราก็มีความสุขดี

แต่ในสภาวะที่เราสิ้นหวัง แฟนทิ้ง เงินหมด แม่ป่วย
ทำอะไรก็ล้มเหลวไปหมด ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์

ผมพอจะมีทางที่มันมีความสุขบ้างไหม
ผมออกตามหาความสุขมา สุดท้ายมันก็แค่ชั่วคราว

พี่ก๋าว่าผมควรออกตามหาความสุขจนสุดทาง
หรือทำยังไงดีครับ แล้วเราควรเริ่มต้นใหม่ยังไงดีครับ

ขอบคุณครับ





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 17 กุมภาพันธ์ 2555
เวลา : 18:02:00 น.





“ความสุข” ในชีวิตคนเรา
มี “ขนาด” ที่ไม่เท่ากัน


มหาเศรษฐีแสนล้าน
อาจมีความสุขที่ได้ทำงาน
และคิดต่อไปว่าจะลงทุนอะไรต่อ
เพื่อให้ได้เงินมาเยอะๆ


ในขณะที่ขอทาน
อาจดีใจไปทั้งวัน
เมื่อมีคนให้เศษเงินหรือแบ่งปันข้าวสักจาน









พี่ก๋าไปอินเดียมาเมื่อหลายปีก่อน
ทุกๆที่ที่ไปได้พบเห็นขอทานมากมาย

ขอทานเหล่านี้ทำให้พี่ก๋าได้ฉุกคิดอะไรบางอย่าง


ก่อนไปอินเดียพี่ก๋ากำลังอยากได้เลนส์ใหม่
และคิดจะเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ตัวใหม่....

แต่เมื่อกลับมาถึงเชียงใหม่
พี่ก๋าไม่คิดจะซื้อเลนส์หรือเปลี่ยนคอมใหม่เลย....


บางสิ่งบางอย่างที่ได้ไปพบ ไปเจอ ไปเห็น
ทำให้พี่ก๋า “รู้สึกตัว”


ภาพของขอทานมากมายที่เดินผ่านเข้ามาในสายตา
ทำให้พี่ก๋าได้รู้ว่า

แท้ที่จริงแล้ว...
เราไม่ได้ขาดแคลน
เราไม่ได้มีน้อย
แต่ที่เราคิดว่าเรามีน้อยและมีไม่พอ
เพราะเราไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีมากแค่ไหนต่างหาก










ถ้าเราคอยเปรียบเทียบกับคนที่มีมากกว่า
เราจะไม่มีวันรู้สึกได้ถึงความเพียงพอ
และชีวิตเราจะต้องดิ้นรนเพื่อหาสิ่งต่างๆ
มาถมเต็มส่วนที่เราคิดว่าเขาขาดแคลนและมีไม่พอ


มีมือถือ ก็อยากได้สมาร์ทโฟน
มีซัมซุง อยากได้ไอโฟน
มีไอโฟน 4 อยากได้ไอโฟน 5

เรากระตุ้นความอยากของตัวเองไปเรื่อยๆ
ด้วยความรู้สึกที่ว่า “เราขาดแคลนและยังมีไม่พอ”

เรากลัวตกยุค ตกกระแส
โดยไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เราได้มา
มันตอบสนองการใช้งานของเราอย่างแท้จริงหรือไม่


ชีวิตที่สะดวกสบาย
ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะมีความสุข
ในทุกๆครั้งที่เราแสวงหาสิ่งใหม่ๆ
เข้ามาถมเต็มความรู้สึกของตนเอง


เราถูกโฆษณาและสื่อต่างๆ
โหมกระหน่ำและทำให้เชื่อว่า

ต้องชีวิตแบบนี้เท่านั้นจึงจะเป็นชีวิตที่มีคุณภาพ
ต้องมีบ้านหลังใหญ่ มีรถแพงๆ
มีข้าวของเครื่องใช้ไฮเทครุ่นใหม่
มีเงินมากๆ มีชื่อเสียงโด่งดัง
แล้วเราจะมี “ความสุข”


แต่ “ความสุข” มันไม่เคยยั่งยืนและคงทนถาวรเลย
และหากใจเราไม่เคยรู้ “พอ”
แม้ได้สิ่งต่างๆมามากมายขนาดไหน
เราก็ยังคงต้องเหนื่อยกับการแสวงหาสิ่งใหม่ๆ
เข้ามาเติมเต็มความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา












ปลายทางของ “ความสุข” คือ “ความทุกข์”
และสุดปลายทางของ “ความทุกข์” ก็คือ “ความสุข”


เพราะเมื่อเราเดินไปสุดทางของความสุข
เราจะต้องสูญเสียความสุขนั้นไป
และเมื่อสูญเสียความสุขไปจากใจ
ความทุกข์ก็เกิดขึ้นทันที....

มีรถคันเก่า ก็อยากได้คันใหม่ที่ใหญ่กว่า
มีมือถือก็อยากได้มือถือรุ่นใหม่
ฯลฯ


เคยมีคนรัก....ตอนนั้นเราสุข
พอคนรักบอกเลิก....เราทุกข์


ถ้าเราเดินไปจนสุดทางของ “ความทุกข์”
เราจะได้ “ความสุข” กลับมา
เพราะความเป็นจริงของชีวิตก็คือ
ไม่มีอะไรที่คงทนถาวร
ไม่ว่าสุขหรือทุกข์
มันมาแล้วมันก็ไป
มันเกิดขึ้น ดำรงอยู่
เพื่อรอวันเปลี่ยนแปลง


สุข-ทุกข์ ทุกข์-สุข
วนเวียนไปมา

เมื่อไหร่ที่เรายอมรับความจริงแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
เราจะทุกข์น้อยลง
และเมื่อมีความสุขก็ไม่ประมาทขาดสติ

ถึงตอนนั้น
เราจะรู้ซึ้งถึงคำว่า “ได้มาและเสียไป” อย่างแท้จริง....











ปัญหาคือ เมื่อเราเดินทางไปพบความทุกข์

คนส่วนใหญ่ไม่คิดจะเดินต่อให้สุดทางความทุกข์อีกแล้ว
คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ “หยุด” และ “ขังตัวเอง”
ไว้ในกรงที่มีชื่อเรียกว่า “ความทุกข์” นั่นเอง












ชีวิตคนเราทุกคน
กำลังเดินวนอยู่ในวงกลมที่มีชื่อเรียกว่า “สงสารวัฏ”

เราเที่ยวท่องไปในความไม่แน่นอน
ได้มาเสียไป สุขเศร้าเหงาทุกข์
ยินดี เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ ฯลฯ


เมื่อเดินอยู่ในวงกลม
แล้วมันจะไปมี “สุดทาง” ได้อย่างไร



มีแต่การอยู่กับสิ่งที่มีและเป็นอย่างเข้าใจ
เมื่อเข้าใจในความเป็นไปของการเปลี่ยนแปลง

เราจะทุกข์น้อยลง

เมื่อถึงที่สุดแห่งสุขทุกข์
เราจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น

เราจะรู้แล้วว่า

“อ๋อ...มันเป็นไปของมันเช่นนั้นเอง”



ถ้าเดินทางมาถึงจุดนี้ได้
วงกลมจะหายไป.....













ภาพของขอทานอินเดียมากมาย
ที่เดินผ่านเข้ามาในสายตาในครั้งนั้น
ทำให้พี่ก๋าได้รู้ว่า

แท้ที่จริงแล้ว...
เราไม่ได้ขาดแคลน
เราไม่ได้มีน้อย
แต่ที่เราคิดว่าเรามีน้อยและมีไม่พอ
เพราะเราไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีมากแค่ไหนต่างหาก

ที่เราคิดว่าตัวเองยังไม่มีความสุขมากพอ
เพราะเราไม่เคย “หยุด” และ “มอง”
สิ่งที่เราอยู่....
เราไม่เคยเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่อย่างแท้จริง
เราจึงคิดว่าเรายังมีน้อยเกินไป


เพราะเรามองเลยตัวเองออกไป
และคอยเปรียบเทียบกับคนที่มีมากกว่า
เราจึงคิดว่าเรามีน้อยเกินไป....


ขอทานที่อินเดียเป็นครูของพี่ก๋า
เขาสอนพี่ก๋าว่า


“ที่เราคิดว่าเรายังมีไม่มากพอ
เพราะเรายังไม่รู้สึกมากพอในสิ่งที่เรามี”


ขอให้มีความสุขกับทุกสิ่งที่น้องมีนะครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 18 กุมภาพันธ์ 2555 8:01:59 น.  

 

From : กะว่าก๋า [18 กุมภาพันธ์ 2555 13:56]


มีแต่การอยู่กับสิ่งที่มีและ(เป็นอย่างเข้าใจ)
เมื่อเข้าใจในความเป็นไปของการเปลี่ยนแปลง

.
.
.

คำนี้หมายถึง
ให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่มี

นั่นคือ ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงครับ

ไม่ว่าความรัก ความสุข ความทุกข์
ชื่อเสียง เงินทอง ฯลฯ

ทุกอย่างผ่านมา
แล้วก็ผ่านไป
ยึดฉวยไว้ไม่ได้เลย

เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวเท่านั้นเอง

ถ้าเราเข้าใจได้
เราจะทุกข์น้อยลง

เหมือนมีรัก แล้วเลิกกันไป
ถ้าทำใจได้
ก็จะรู้ได้ว่า รักมากแค่ไหนถึงวันหนึ่ง
ก้ต้องจากกัน
ไม่จากกันตอนยังมีชีวิต
ก็จากกันตอนตายน่ะครับ

 

โดย: เอามาต่อ อิอิคิคิ (เสือย้อมแมว ) 19 กุมภาพันธ์ 2555 16:40:48 น.  

 

พี่ก๋าเอาลิ้งค์นี้มาฝากให้อ่านเล่นๆ
เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนครับ 555

คำถามของเรา
พี่ก๋าจะค่อยๆนั่งคิดคำตอบก่อนนะครับ

//www.athingbook.com/detail.php?dd=570


 

โดย: กะว่าก๋า 23 กุมภาพันธ์ 2555 6:50:14 น.  

 

หวัดดีครับพี่ก๋า

วันนี้ขอถามไร้สาระนิดนึงนะครับ
เล่นเกมแล้ว over กด replay ใหม่ได้
แต่แก้วที่แตกไปแล้ว ต่อใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม
อยากรู้ว่า ถ้าเค้าเคยรักและมาเกลียดจะกลับมารักได้อีกไหม
ตอนนี้อารมณ์เศร้ามันค้างใจในมานาน วนซ้ำๆมาโดนแผลเก่า
ไม่อยากเจ็บ แต่ให้อยู่แบบนี้ก็เหน็บหนาว
ได้ผลลัพธ์ตรงข้ามกับที่คิดเสมอ รู้สึกว่าตัวเองไม่ดี
ไม่อยากเจอใคร อยู่คนเดียวใจมันเหงาๆเหลือเกิน
อยากปล่อยมันออกไป แต่ยังเสียดายกับความรู้สึกดีดีที่มีอยู่
อยากเข้าไปคุยกะใครสักคน
แต่หวาดกลัวว่าจะไม่เป็นอย่างที่คิด

อยากทำบางอย่างให้สำเร็จแต่ไม่เคยทำสักที
เหมือนมีแผลอยู่ในใจ ตอนนี้เหมือนมีเนื้อร้ายอยู่ข้างใน
ทำให้เจ็บอยู่เสมอ แต่ถ้าจะผ่าตัดมันออกไปคงทรมานมาก

และต้องพักอีกเป็นระยะ เดินไปก็เจ็บ
อยู่ที่เดิมก็เจ็บ ถอยหลังก็เจ็บ
อยากทิ้งตัวลงนอน มันหน่วง ๆ อยู่ในใจ
เหมือนว่าพยายามเก็บความรู้สึกที่ไม่ดีไว้ในใจ
หลีกเลี่ยงที่จะเจอกับปัญหา


อยู่คนเดียว แล้วมีความสุขจริงเหรอ
ทำไมผมรู้สึกอ้างว้างจังเลย มันไม่ใช่ความทุกข์มากมายอะไร
มันเป็นความทุกข์เล็กๆ มันเซาะใจผมมานานจนเป็นแผลใหญ่

อยากเอามันไปโยนทิ้งจังเลย




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 22 กุมภาพันธ์ 2555
เวลา : 22:33:00 น.




.............................................





หวัดดีครับน้อง



เช้านี้พี่ก๋าตื่นขึ้นมาแล้วลองส่องกระจก
พยายามมองหาความหล่อของตัวเองครับ 555

แล้วพี่ก๋าก็นึกขึ้นได้ว่า

เวลาเรามองกระจกเงา
เราเห็นอะไร ?



.................................



คนส่วนใหญ่เวลาส่องกระจก
ไม่ค่อยเห็น “ตัวเอง” นะครับ
เราเห็นแต่ตัวเราที่เราอยากเห็น
แต่ไม่ค่อยมองเห็นตัวเองในแบบที่เป็น

เวลาเห็นตัวเองอ้วน ก็พยายามบอกตัวเองว่าไม่อ้วนหรอก
เวลาเห็นริ้วรอยบนใบหน้า อาจกังวลสักแว๊บนึง
แล้วเราก็ลืมไป….


เวลาเรามองคนรัก
เราจึงมักมองแบบนี้เช่นกัน

คือมองคนรักในแบบที่เราคาดหวัง
ไม่ได้มองอย่างที่เขาหรือเธอเป็นจริง

เรามองความรักว่าจะต้องเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้
แต่ไม่เคยมองดูให้มันเป็นอย่างที่มันเป็นจริงๆ
เป็นแบบที่ความรักและคนรักจะเป็นได้น่ะครับ



เราไม่ค่อยกล้าตั้งคำถามว่า
ทำไมเราถึงรักคนๆนี้
และทำไมคนๆนี้ถึงรักเรา

เราแค่รู้สึกว่าตอนที่เรารักกันมันช่างดีจังเลย
มีแต่ความสุข ความสบายใจ มีแต่ความลงตัว

เหมือนเรายืนส่องกระจก แล้วก็บอกว่าตัวเองหล่อนั่นล่ะครับ 555



แต่ความจริงก็คือ
ถ้าเรามามองดูหลายสิ่งหลายอย่างอย่างตั้งใจ
เราจะพบว่า ในทุกๆรายละเอียด
มีสิ่งที่เราไม่คาดหวังอยู่เต็มไปหมด


ปัญหาคือ เราอยู่กับสิ่งที่เราไม่พึงใจได้มากน้อยแค่ไหน
เราอดทนและยอมรับในตัวตนของคนรักเราได้มากน้อยเพียงใด

เพราะใครคนนั้นอาจนอนกรน ตดเสียงดัง เคี้ยวข้าวเลอะเทอะ
เหวี่ยงกางเกงในไปทั่วห้อง
หรือแม้แต่ไม่ยอมมีเซ็กส์กับเราในตอนที่เราอยาก


ใครคนนั้นอาจติดเพื่อนมากกว่าแฟน
อยากนอนดูแผ่นดีวีดีในห้องมากกว่าจะไปตีตั๋วดูหนังในโรง
อาจชอบเดินตลาดไม่ชอบเดินห้าง
ชอบใช้แบรนด์เนมก๊อป หรือชอบนั่งประกอบหุ่นยนต์ได้เป็นวันๆ

ฯลฯ



ตอนที่เรารักกัน
เราจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้เลย
เพราะความรัก ความใคร่ ความอยาก...มันบังตา

จนเรารู้สึกว่าคนรักชักไม่เป็นไปอย่างใจต้องการนั่นแหละ
ถึงเริ่มเห็น “ข้อเสีย ข้อด้อย” ในตัวคนรักมากขึ้น มากขึ้น

เรื่องเล็กเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่
เรื่องร้ายเลยกลายเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
และจบลงด้วยการเลิกราในที่สุด....




................................



เวลารักมันพัง
เราเซซังด้วยความเจ็บปวด
คนอกหักมีเป็นร้อยล้านคนทั่วโลกนะครับ

วินาทีที่เรานั่งอ่านคำตอบนี้
ก็มีคนอกหักรักคุดตลอดเวลา

แล้วเราทำไมจะอกหักไม่ได้เล่า
ในเมื่อมันเป็นเรื่องธรรมดาแบบนี้


ทุกข์ไปเถอะครับ
ทุกข์เพราะรักผิดหวังและพลาดพลั้ง
ทุกข์เพราะความรักมันจบลง

แต่ทุกข์แล้วลองช่วยหาคำตอบด้วย
ไม่ต้องไปหาหรอกนะครับว่าใครผิด ใครดี ใครเลวที่ทิ้งกันก่อน
คำตอบแบบนี้ก็เหมือนเราส่องกระจก
แล้วบอกตัวเองว่าฉันไม่อ้วน ฉันยังสวยหล่อนั่นล่ะครับ

สุดท้ายคำตอบที่ได้มักเข้าข้างตัวเอง


ลองหาคำตอบใหม่ๆเช่น

ทำไมรักครั้งนั้นจึงจบลงแบบไม่สวย
แล้วคราวนี้ฉันจะทำอย่างไรให้รักครั้งใหม่นั้นไฉไลกว่าเดิม

ฉันต้องเป็นคนรักแบบไหน ถึงจะเรียกว่าเป็นคนรักที่ดี
ฉันต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองบ้าง
เพื่อจะเป็นคนรักที่ดีอย่างที่ฉันวาดหวัง

เคยตั้งข้อกำหนด ความคาดหวังอะไรบ้าง
ที่เราอยากเห็นในตัวคนรัก
จงทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้ได้ทั้งหมด
แล้วค่อยคิดไปรักใคร.....

ถ้าทำไม่ได้ ทำไมไหว
แล้วทำไมไปเรียกร้อง ไปคาดหวังให้คนที่เรา
จะรักต้องเป็นแบบนี้แบบนั้นทำไม




..............................................




ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ในเรื่องใด
พี่ก๋าว่าชีวิตเรามีพระเอกเกาหลีอยู่สองคนที่อยู่ข้างๆเราตลอดเวลา

คนแรก ชื่อ “กำ ไม่ แบ” ครับ

เวลาทุกข์ใจ เศร้าใจ เสียใจ ผิดหวัง ชอกช้ำ
พระเอกคนนี้จะกำความทุกข์ไว้แน่นเลย
ไม่ยอมปล่อยนิ้ว
เอาแต่กำความทุกข์ไว้ตลอด

เวลาเกิดอะไรผิดพลาด หรือสูญเสีย
พระเอกคนนี้จะนั่งโทษคนอื่น โทษสิ่งต่างๆ
โดยไม่คิดโทษตัวเอง ไม่คิดจะปรับปรุงตัวเองเลย

เลย “กำ ไม่ แบ” และนั่ง “กำความทุกข์” ไปตลอด



อีกคนชื่อ “แบ ไม่ กำ” ครับ

คนนี้ยอมรับความจริงของชีวิต
รู้ว่าคนเราเกิดมามีทั้งสุขและทุกข์
ไม่มีใครสมหวังไปตลอด และไม่มีใครผิดหวังตลอดกาล

พอไม่ประมาทขาดสติ
ก็ได้รู้ว่าทุกสิ่งที่เรามี เมื่อได้มาย่อมต้องเสียไป เป็นธรรมดา
รู้ว่ามีรัก ย่อมมีการเลิกรา เป็นธรรมดา
รู้ว่ามีการสรรหาก็มีการแต่งตั้ง
รู้ว่ามีพลังเหลือหลายก็มีวันหมดแรงนอนแผ่หลา
รู้ว่านอนตะแคงย่อมต้องมีนอนหงาย
มีสุขสบายก็มีวันร้ายๆในชีวิต
ฯลฯ


“แบ ไม่ กำ” เลยไม่ทุกข์กับสิ่งต่างๆที่ต้องเปลี่ยนแปลง
แต่ดูแล “ปัจจุบันขณะ” อย่างดีที่สุด
เพื่อที่มันจะได้ดูแล “อนาคต” ด้วยตัวมันเอง




.......................................




พระเอกสองคนนี้อยู่กับตัวเราตลอดเวลานะครับ

อยู่ที่เราจะเลือกแล้วล่ะ
ว่าจะเป็น “กำ ไม่ แบ” หรือ “แบ ไม่ กำ” น่ะครับ

ใครก็ช่วยเรากำ หรือ แบไม่ได้หรอกครับ
เพราะสิ่งที่เรา “กำ” ไว้
มันเกิดจาก “กรรม” หรือการกระทำของเรานั่นเอง



โชคดีและมีพลัง
อย่าเสียเวลานั่งกำจนลืมแบอยู่เลยนะครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 23 กุมภาพันธ์ 2555 7:51:45 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 23 กุมภาพันธ์ 2555 13:21:17 น.  

 

หวัดดีตอนบ่ายคัรบ

 

โดย: กะว่าก๋า 25 กุมภาพันธ์ 2555 13:30:05 น.  

 

From : กะว่าก๋า [23 กุมภาพันธ์ 2555 23:17]


อันนี้ตอบง่ายนะครับ

"ตัดใจ" ครับ 555

เธอมีแฟนแล้ว
เรายังโสด

แล้วเราก็ยังมีโอกาสที่จะหาแฟนใหม่ได้

เว้นเสียแต่เธอเลิกกับแฟน แล้วน้องก็ยังโสด
จะกลับมาคบกันอีกคงไม่เ่ป็นไร


โลกนี้กว้างใหญ่ครับ
มีคนที่ดีรอให้เราพบและคบเป็นแฟนเยอะเลยครับ



ก็เธอน่ารักเกินมนุษย์คนไหนจะทานทนได้

 

โดย: แปะ (เสือย้อมแมว ) 25 กุมภาพันธ์ 2555 14:06:04 น.  

 

แวะมาทักทายตอนดึกๆครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 27 กุมภาพันธ์ 2555 0:55:51 น.  

 

ลาวพี่ก๋ายังไม่เคยไปเลยครับ
อยากไปๆ


 

โดย: กะว่าก๋า 1 มีนาคม 2555 20:54:46 น.  

 

2 สัปดาห์ กลับบ้านที่ลำปาง
อากาศหมอกหนามาก แม่ผมเป็นภูมิแพ้อากาศ
ไปเข้าโรงบาลได้ 5 วัน หมอให้ออกมาอยู่ข้างนอก
ตอนนี้ผมมาเรียน ที่ กทม. เป็นห่วงแม่

ในระยะยาว ผมจะแก้ปัญหานี้ยังไงครับ
ตอนนี้แม่อายุประมาณ 47- 48 แล้ว
อยากพาแม่มาอยู่ที่นี่ครับ
แต่คาดว่ามันต้องใช้เงินมากมายเลย

ถ้าพี่ก๋าเป็นผม
อย่างแรกเลยพี่ก๋าจะทำอะไรก่อนครับ
เพื่อเตรียมตัวหาเงิน ๆ ๆ ๆ
แต่ดูไปรอบ ๆ ตอนนี้เงินหายาก
เด็กจบใหม่ถ้าไม่เก่ง ทำโปรก็ได้ 12000 นิด ๆ
รู้สึกว่าเงินหายากมากเลย
แต่อาจารย์ที่สอนบอกไว้ว่า


“เงินมีอยู่ทุกที่ รอคนมีปัญญาไปเอา”


ทุกสิ่งมันมาจากธรรมชาติ ผมดูประวัติการต่อสู้โบราณมา
เมื่อก่อนอัศวินจะใส่ชุดเกราะเหล็ก ถือดาบหนา
ทุบตายคาเกราะเลย แล้วพวกตัวเล็กมันสู้ไม่ได้
มันเลยไม่ใส่เกราะ ใช้ดาบแบบเดียวกับกีฬาฟันดาบปัจจุบัน
แล้วแทงช่องโหว่เอา

ขอถามพี่ก๋าเลยนะครับว่า
มีวิธีการหาเงินที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขไหมครับ
เช่น วุฒิ ประสบการณ์ หรือสถานที่


ขอบคุณครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 29 กุมภาพันธ์ 2555
เวลา : 23:34:00 น.





.........................................




วันก่อนพี่ก๋ามีภารกิจมากมายในวันเดียว

ช่วงเช้าถึงเที่ยงอยู่ที่โรงเรียนลูกชาย
ไปร่วมกิจกรรมวันปิดเทอมและเด็กๆมีการแสดง
มีการเรียนรู้ร่วมกันกับผู้ปกครองและครู
เด็กๆสนุกสนานกับกิจกรรมทั้งหมด
ส่วนผู้ปกครองก็มีความสุข
เพราะได้เห็นบุตรหลานของตนมีความสุขกับการเรียนรู้และการแสดง


ในแวบหนึ่ง...
พี่ก๋ามองเห็นเด็กหลายคนมองหาพ่อแม่ของตนเอง
ที่ไม่ได้มาร่วมงานในวันนั้น




..............................



กลับมาที่บ้าน
พี่ก๋าออกไปเยี่ยมคนป่วยคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันมานาน
เดินเข้าไปเยี่ยมในห้อง ICU
เขาอายุ 66 นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวมาหลายวัน
เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก ล้มหัวฟาดพื้น
หลังผ่าตัดสมอง เขาก็นอนไม่รับรู้อะไร
แต่พยาบาลบอกว่าเขาจำภรรยาได้เพียงคนเดียว
โดยจะลืมตาแล้วก็ยิ้มเวลาภรรยาเดินมาเขย่าตัว
จากนั้นก็หลับตานอนทั้งวัน....


ภรรยาคงเครียดมากเพราะแค่ข่าวว่าเขาป่วยสะพัดออกไป
เจ้าหนี้หลายรายก็เดินทางมาทวงหนี้ถึงโรงพยาบาล


ในแวบหนึ่ง...
พี่ก๋ามองเห็นความเหน็ดเหนื่อยของคนที่ยังอยู่
และต้องดูแลคนป่วยซึ่งไม่รู้จริงๆว่าจะมีโอกาสกลับมาหายดีเป็นปกติหรือไม่




...................................



จากโรงพยาบาลขับรถไปที่วัด
เข้าไปไหว้ศพของคนรู้จัก
ผู้ตายอายุ 60 ปี
เป็นโรคประจำตัวคือมีความดันนิดหน่อย
แต่ชอบกินเหล้าสูบบุหรี่
ภรรยาของเขาเล่าว่า
บ่ายวันนั้นเขาบ่นปวดหัวแล้วเดินเข้าไปนอน
ภรรยาเข้าไปดูอาการสองครั้ง
เขาลืมตาขึ้นมาบอกได้ว่ายังปวดหัวอยู่
แต่การปลุกครั้งที่สามเขาแน่นิ่งไปจนผิดสังเกต
ภรรยาเรียกลูกกับคนข้างบ้านให้ช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล

หมอออกมากล่าวคำว่า


“คุณมาสายเกินไป”


พี่ก๋านั่งคุยกับภรรยาของเขา
แววตาเศร้าโศกและเหนื่อยล้าปรากฏให้เห็นชัด
ลูกสองคนที่ยังเล็ก และชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป


ในแวบหนึ่ง....
พี่ก๋ามองเห็นแววตาของคนที่ยังอยู่
เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้และไม่เข้าใจในโชคชะตาของตน



................................



ช่วงค่ำเดินทางไปยังโรงแรมสี่ดาว
เพื่อร่วมงานเลี้ยงประจำปีของบริษัททัวร์
พนักงานบริษัทแต่งตัวสวยงาม
อาหารอร่อย ดนตรีไพเราะ บรรยากาศอันชื่นมื่น
เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม เสียงพูดคุยดังไปทั่วงาน

ทุกคนมีความสุข
พีก๋านั่งคิดอะไรเงียบๆ


ในแวบหนึ่ง....
พี่ก๋าอดสงสัยไม่ได้ว่า
แววตาของคนที่อยู่ในงานนี้
ทุกคนมีความสุขจริงๆล่ะหรือ ?



.........................................




“เงิน” เป็นสิ่งสำคัญ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเงิน คือ “เวลา”


เราอาจคิดว่าการมีเงินเยอะๆมากๆเร็วๆเป็นสิ่งที่ดี
แต่พี่ก๋ายังไม่เคยเห็นงานอะไรที่ได้เงินเร็วและสบายเลย
ทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่ายเสมอ
และจงถามตัวเองให้แน่ใจว่ามันคุ้มแล้วหรือที่เราจะแลก ?


ถ้าเงินเดือน 12000 นั้นทำให้เราลำบากนิดหน่อยในการใช้ชีวิต
แต่มีเวลามากพอที่จะอยู่กับคนที่เรารัก --- จงทำ


อยากได้เงินเดือนแสนสอง เราคงต้องทำงานชนิดลืมเป็นลืมตาย
ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงตีสองทุกวันแน่ๆ

(อย่าไปเชื่อโฆษณาของพวกขายตรงเลยนะครับ
ที่บอกว่าให้เงินทำงานแทนเรา ทำงานเบา มีเวลาเหลือเฝือ
แล้วเงินก็งอกเงย งอกงาม ...มันไม่มีจริงหรอกครับ)



.................................




ลองถามคุณแม่น้องดูดีดีนะครับ
ว่าท่านอยากไปอยู่กรุงเทพจริงๆหรือเปล่า
ลำปางมีควัน แต่กรุงเทพก็มีควัน
ไหนจะเพื่อนบ้านที่หายไป ไหนจะวิถีชีวิตที่คุ้นชินที่หายไป
คิดเผื่อท่านด้วยนะครับ
ถ้าจะพาท่านไป แล้วปล่อยให้อยู่แต่ในบ้าน
เพื่อรอลูกชายกลับมาบ้านในตอนดึก แล้วเช้ามาก็ต้องรีบตื่นไปทำงาน
นั่นเป็นวิถีชีวิตที่ท่านทนได้หรือไม่



.............................




ลองตั้งโจทย์กับตัวเองดูอีกทีนะครับ
ว่าเราต้องการเงินไปทำไม
เพราะในหลายสิ่งหลายอย่าง
เงินไม่ใช่คำตอบ

ความสุขที่เราคิดว่าเราอยากได้อยากมี
มันต้องใช้เงินซื้อ
หรือว่าเป็นสิ่งที่เราทำเองได้โดยไม่ต้องใช้เงิน



เงินให้ไอโฟนเราได้ แต่ไอโฟนพาเราไปกอดแม่ไม่ได้
เงินให้รถคันใหญ่กับเราได้ แต่ให้ความปลอดภัยบนท้องถนนไม่ได้
เงินให้บ้านหลังใหญ่กับเราได้ แต่สร้างความอบอุ่นในบ้านไม่ได้
ฯลฯ



ความสุขของคนบางคน คือ อยากรวย
อยากซื้อสิ่งต่างๆเข้าบ้าน อยากประสบความสำเร็จ
อยากมีคนยอมรับนับถือ อยากมีชื่อเสียง ฯลฯ


แต่แม่คนหนึ่งอาจบอกว่า
ความสุขคือการได้เห็นลูกอยู่ใกล้ๆ แข็งแรงและสบายดี



…………………………….



ความร่ำรวยมีเงื่อนไข
และมีราคาที่เราต้องจ่าย....


ถ้าเราตั้งโจทย์ด้วยเงินเดือนสูงๆ
พี่ก๋าไม่แน่ใจว่าเราจะมีความสุขในการทำงานหรือไม่
แต่ถ้าเราเลือกที่จะมีความสุขกับงานที่ทำ
แม้เงินเดือนน้อยกว่า
แต่พี่ก๋าว่ามันจะทำให้เรามีความสุขในระยะยาว

และถ้าเรารักษาความสุขในการทำงานแบบนี้ได้
ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร ทำที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่
เราจะตื่นมาทุกเช้าและมีความสุขกับการทำงาน

ที่สุดแล้ว
อะไรที่เราทำมันด้วยความรัก ความทุ่มเท
มันจะส่งผลตอบกลับมาเป็นเงิน เป็นความสุขใจ


คำถามคือ เราชัดเจนกับตัวเองแล้วหรือยัง
ว่าเรามีความสามารถอะไร เรามีจุดเด่นที่สุดคืออะไร
แล้วเราเหมาะสมกับงานแบบไหน ฯลฯ


ถ้ายังตอบไม่ได้ ก็ต้องไปหาคำตอบให้ตัวเอง
ก่อนที่จะคิดถึงเรื่องเงินหรือการประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองทำ



........................................



คนเราเกิดแล้วก็ตาย
แต่ความหมายชีวิตไม่ได้อยู่ตรงการเกิดตาย
ความหมายชีวิตอยู่ระหว่างนั้น
อยู่ในทุกก้าวของการเติบโต

ออกไปล้มเหลวและเรียนรู้จากมัน
พี่ก๋าไม่ค่อยเชื่อเรื่องของการประสบความสำเร็จง่ายๆ
รวยเร็วๆ หรือ ทำอย่างไรให้ชีวิตไม่มีปัญหา
อยู่อย่างไรให้ไร้ทุกข์ ฯลฯ


ชีวิตจริงมันคือการกล้าที่จะเผชิญกับปัญหา
สนุกกับความลำบากที่ผ่านเข้ามา
แล้วก็มีความสุขกับสิ่งง่ายๆใกล้ตัว



พี่ก๋าคิดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ว่าเงินช่วยให้ชีวิตสะดวกสบาย
แต่เงินไม่ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง

มีเงินน้อยลงได้ ถ้าจะทำให้ครอบครัวอบอุ่นและมีความสุข
มีเงินน้อยลงได้ ถ้าทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารัก

เพราะทั้งความอบอุ่นและความรัก
เมื่อถึงเวลาที่เราต้องสูญเสียไป
ต่อให้เอาเงินมากองทั้งโลก
เราก็แลกสิ่งนั้นกลับมาไม่ได้อยู่ดี



ขอให้มีความสุขกับการตัดสินใจของตัวเองนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 2 มีนาคม 2555 7:42:06 น.  

 

รักโดยไม่ทำร้ายคนที่เรารักให้เจ็บปวดนั้นรักยังไงครับ


บางครั้งการแอบมองแต่ไม่พูด
มันก็ทำให้คนที่เรารักเจ็บปวด
หนีไปไม่ข้องแวะ ก็เป็นเราเองที่เจ็บปวด
เราจะรักยังไงเมื่อมีกำแพงสูงมากั้นทางไว้
เมื่อเราไปต่อไม่ได้ และอยากฝืนที่จะเดินไปต่อ

บางครั้งเราก็ทำร้ายคนรอบกายด้วย
รู้ตัวแต่..เราห้ามตัวเองไม่ได้
การรักใครซักคนได้แค่สบตาแล้วมองผ่านไป
ถ้าเราพอใจที่จะได้แค่มอง แต่ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกรำคาญ
อึดอัด ไม่ชอบ เบื่อ

เราควรแก้ไขยังไงดีครับ

ผมชอบมองดูสาวๆ แต่ไม่คุย มอง มอง แล้วมอง
จนสาวๆเค้ารำคาญแล้วมั้งครับ


อยากมองเธอ ทุกวัน จะผิดไหม
ถ้าฉันผิด ฉันเสียใจ ที่ทำไป
ยังไม่รู้ วิธี จะแก้ไข
โปรดเธอให้ อภัยบ้าง ในบางครั้ง


แต่งเล่นนะครับ





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 3 มีนาคม 2555
เวลา : 00:48:00 น.


.......................................




คำถามของเรา
ทำให้พี่ก๋านึกถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง


สมัยเรียนมัธยมเขาไม่ได้หล่อ
แต่คงเป็นเพราะเขาเป็นประธานสี
เลยมีรุ่นน้องและเพื่อนบางคนเหมือนจะมาแอบชอบ
หลายคนบอกว่าเขาหยิ่ง
แต่จริงๆแล้วเขาอาย เป็นคนขี้อายมาก
เลยเก็บความรู้สึกไว้ในใจ...

ที่สุดแล้วเขาไม่ได้เป็นแฟนกับใครเลย



พอเรียนจบมัธยมไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย
ก็เหมือนเดิมครับ มีสาวๆที่เขาแอบชอบเยอะแยะไปหมด
แต่เพราะอาย กลัว ไม่กล้า
เขาเลยได้แต่เก็บใบหน้าของสาวเจ้า
มานอนฝันหวาน 555

ไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้าไปทัก

อีกอย่าง...
เขามัวแต่ตั้งใจเรียนและสนุกกับการทำกิจกรรมต่างๆ


จนวันเวลาผ่านไป.....
จบมหาวิทยาลัยแล้วเขาก็ไม่เคยมีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว
มีแต่เพื่อนเชียร์ให้เขาเป็นแฟนกับคนนั้นคนนี้
ตอนนั้นเขาไม่เคยมั่นใจเลยว่าจะรักใครได้ดี

ลึกๆแล้วเขารักที่จะเป็นอิสระ
และมีความสุขในโลกส่วนตัวที่สูงมาก
จนยากที่ใครจะเข้าใจและเข้าถึงได้



จนเรียนจบ ทำงาน มีเงินเดือน มีทุกอย่างที่ดูเหมือนพร้อมในระดับหนึ่ง
แต่ยังไม่เคยมีใครที่เดินผ่านกำแพงสูงของเขามาได้เลย

เขาเคยพูดกับเพื่อนด้วยว่า


“ผมคิดว่าผมมีดีพอ ถ้าไม่เจอคนที่ดีเท่ากัน
ผมไม่มีวันรักใคร”


โห...มั่นมากเลยครับ ช่างกล้าพูด 5555


เขาเหงาหรือเปล่า ?
คงเหงาอยู่บ้าง
แต่ระหว่างนั้นเขาไม่เคยคิดรอใคร
ไม่เคยออกไปค้นหาคนรัก
เขาอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิต มีความสุขกับสิ่งที่เขาทำได้
ไปเที่ยวกับเพื่อน ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ อ่านหนังสือ ฯลฯ



เขาไม่เดือดร้อนเลยกับการที่เป็นคนที่ไม่มีแฟน
เป็นใจที่ไม่มีใครผูกมัด



จนวันหนึ่ง....
เขาไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง
เขาว่าเธอสวย น่ารัก

ถ้าจะมีอะไรดลใจให้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับเธอ
ขอเบอร์โทร
พูดคุยและสานสัมพันธ์
ถามตอนนี้เขาก็ตอบไม่ได้แล้วล่ะครับว่าเพราะอะไร


เขารู้แต่ว่า....


บางครั้งเราก็ไม่รู้เลยว่าใครคือคนที่เรารักอย่างแท้จริง
ใครคือคนที่ใจเรารอมานาน
ใครคือคนๆนั้นที่เรารักได้อย่างหมดใจ
และไม่มีคำถามว่าทำไมเราจึงต้องรักคนๆนี้

รู้ตัวอีกที...เราก็รักไปแล้ว

รักโดยไม่มีเหตุผล
มีแต่ความเชื่อ
เชื่อว่าเธอคือคนที่เราต้องรัก
ไม่รักไม่ได้แล้ว


ความรัก คือ ความกล้า
แต่ก่อนจะมีความกล้า
มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ความมั่นใจ”

ความมั่นใจ จะทำให้เราแน่ใจว่า
“คนๆนี้” ล่ะคือคนที่เรารอมานาน
คือ คนที่ใจรอจะตอบว่า....
เธอคือคำตอบสุดท้ายของความรัก



......................................




เวลาเรารักใครสักคน
เรารักเขาเพราะอะไรครับ ?

เพราะเราเหงา เพราะเธอสวย เพราะเธอหน้าอกโต
เพราะเธอใจง่าย เพราะเธอรวย เพราะเธอพูดเก่ง
เพราะเธอนิสัยดี เพราะเธอขาว เพราะเธอเป็นคนดัง ฯลฯ



บางทีคนรักก็เหมือนกระจกเงา
ที่สะท้อนตัวเราในตัวเขา


เราเลือกคนรักเพราะเหงา
เราก็ได้คนเหงาๆอีกคนเข้ามาในชีวิต

เราเลือกรักเพราะเรารู้สึกว่าอยู่คนเดียวไม่ได้
เราก็ได้ใครอีกคนที่เรียกร้องและเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปตลอดเวลา


เรารักใครเพราะหวังว่าทุกสิ่งจะแน่นอนมั่นคง
เราก็ไปกดดันอีกคนให้ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ



แต่คำถามก็คือ ถ้าเราคาดหวังว่ารักจะต้องดี
จะต้องได้คนรักที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้น


เราเคยเป็นคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนั้นแล้วหรือยัง.....




...................................




จะรักโดยไม่ทำร้ายคนที่เรารักให้เจ็บปวดนั้นรักยังไง ?



ต้องรู้จักรักตัวเองก่อนครับ
ต้องเป็นคนรักที่ดีให้ได้เสียก่อน
แล้วค่อยไปคาดหวังและเรียกร้องสิ่งนั้นจากคนที่เรารัก



ชายคนนั้นที่พี่ก๋าเล่ามา
เขามีแฟนคนแรกในชีวิตตอนอายุเท่าไหร่รู้ไหมครับ

อายุ 29 ครับ

คนรอบตัวกลัวมาก...
กลัวว่าเขาจะเป็นเกย์ 5555


แต่เขาก็แต่งงานตอน 31


คนรักคนแรก และกลายเป็นคู่ชีวิต

ฟังดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้ ในยุครักติดไวเลส
และคนสามารถมีเซ็กส์กันได้โดยไม่ต้องรู้ชื่อ



พี่ก๋ากล้าพูดได้เลยว่า “เขา” ภูมิใจในความรักของเขามาก
มันไม่ใช่การรักแบบวูบวาบหวามไหวไปตามอารมณ์
แต่เป็นความรักที่มีเหตุมีผล มีวุฒิภาวะ
ไม่ใช่การแอบรักหรือแอบเพ้อละเมอหา
แต่เป็นรักที่อยู่กับความจริง
อยู่กับตัวจริงของคนรักและเรารับได้ในทุกๆสิ่งที่เธอเป็น



พี่ก๋ารู้จัก “เขา” ดี...
เพราะ “เขา” คือพี่ก๋าเอง



.........................................




แอบรักเขากับเขาแอบรัก
มันก็เจ็บจี๊ดๆที่ใจพอกัน
แต่ก็เป็นสีสันชีวิตมิใช่หรือ ?

รักไปเถอะครับ
คบไปเถอะครับ

คิดแบบเพื่อนกันก่อน
ค่อยๆเรียนรู้กันไป

ถ้าเรายังไม่เต็ม
ไปทำตัวเองให้เต็มก่อนแล้วค่อยรักใคร
อย่าไปหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องเข้าใจเรา
หรือมาเติมส่วนที่ขาดให้เราได้



ถ้าคิดว่ารักกันแล้วเขาต้องรับตัวเราให้ได้
นั่นเป็นความเห็นแก่ตัวครับ

รักที่ดีต้องไม่ใช่การคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะรับตัวเราได้
แต่เราต่างหากที่เต็มใจเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนที่เรารัก
โดยที่เขาไม่คิดเรียกร้องหรือคาดหวัง


เคยอยากเปลี่ยนตัวเองเพื่อรักใครบ้างรึยังครับ ?


เปลี่ยนอย่างเต็มใจ ไม่ใช่หลอกลวงหรือฝืนใจ
เพื่อหลอกใครคนนั้นให้แค่เพียงตายใจ


ถ้าเราเจอใครที่ทำให้เรารู้สึกได้แบบนี้
หาคนๆนั้นให้เจอ แล้วรักซะนะครับ

รับรองว่ารักแบบนี้ไม่มีผิดหวังจริงๆครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 3 มีนาคม 2555 7:49:37 น.  

 

From : กะว่าก๋า [3 มีนาคม 2555 14:33] เพิ่มชื่อใน Contact List Ignore
ตอบกลับข้อความ

ส่งต่อข้อความ
ความมั่นใจ
อยู่ที่ตัวเรานะ
พี่ก๋าว่าถ้าเรารักใครสักคน
ใจเรามันจะบอกเองแหละ
ว่าคนนี้ใช่เลย

ไอ้อารมณืความรู้สึกที่บอกว่า "ใช่" นี่ล่ะ
จะทำให้เรา "กล้า"
และ "มั่นใจ" เองโดยไม่ต้องมีใครบอกครับ

 

โดย: แปะ (เสือย้อมแมว ) 4 มีนาคม 2555 20:54:18 น.  

 

1. เห็นพี่ก๋าชอบไปเที่ยว เห็นไปเที่ยวคนเดียวบ่อย
พี่ก๋าไม่เหว่ว้าเหรอครับ ไปแล้วพี่ก๋าได้ไรกลับมา
นั่งรถนานๆ กลับมาก็เหมือนเดิม


2. เราจะแก้คำว่า เบื่อ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ยังไงครับ
พอเบื่อที่ไรก็ไม่อยากทำ ทำให้ไปไม่ถึงไหนซักที


3. ถ้าไม่มีพี่ก๋าช่วยตอบคำถามแล้วผมจะไปถามใครล่ะครับ


4. ถ้าเราสงสัย อยากรู้ก็ต้องถาม แต่ถ้าเราชอบเค้า
เราต้องถามไหมครับว่าเค้าชอบเราหรือป่าว


5. การนับลมหายใจเข้าออกมีประโยชน์ไหมครับ


6. ถ้าเราไม่พอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เราจะทำอย่างไรครับ


7. มีคู่ อยากอยู่คนเดียว พออยู่ลำพังกลับอยากมีคู่


8. อยู่คนเดียวก็เหงา อยู่กับเขาก็เบื่อ


9. คนเราอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ได้ชอบกันจริง มีไหมครับ


10. สุดท้ายแล้วการอยู่คนเดียวนั้น มีความสุขที่สุดแล้วจริงไหม


11. การที่เราหาใครสักคนมาเคียงคู่ หามาทำไม
มีแล้วต่างกับการอยู่คนเดียวอย่างไร

12. ถ้าเราสามารถมองเห็นอนาคตได้
แล้วรู้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
เราจะทำอะไรดีครับ


13. ทรัพย์อื่นยิ่งกว่าสันโดษไม่มี ตีความให้หน่อยครับ





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 8 มีนาคม 2555
เวลา : 23:14:00 น.





...........................................





พูดคุยกันไปทีละข้อเลยนะครับ




1. เห็นพี่ก๋าชอบไปเที่ยว เห็นไปเที่ยวคนเดียวบ่อย
พี่ก๋าไม่เหว่ว้าเหรอครับ ไปแล้วพี่ก๋าได้อะไรกลับมา
นั่งรถนานๆ กลับมาก็เหมือนเดิม


- ต้องบอกก่อนว่าชีวิตท่องเที่ยวของพี่ก๋ามีสองช่วง
คือก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน

ก่อนแต่งงานเที่ยวแบบคนโสด ซื้อทัวร์ไปเที่ยว
ไปคนเดียวแล้วไปรวมกลุ่มกับกรุ๊ปทัวร์ท่านอื่นๆ
ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ส่วนพอแต่งงานแล้วเที่ยวกันเองกับมาดาม
พอมีลูกยิ่งไม่ได้เที่ยวที่ไหนไกลๆ เพราะตอนนี้ลูกยังเล็กอยู่
คงไม่ใช่เรื่องสนุกนัก ถ้าจะต้องไปเที่ยวตามตารางเวลาของทัวร์


ก่อนแต่งงานพี่ก๋าเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก
แต่ไม่ได้รู้สึกว้าเหว่ มันออกแนวเหงาๆและครุ่นคิดมากกว่า
หลายทริปของการเที่ยวเป็นเหมือนการค้นหาตัวเอง
มีเวลาได้นั่งคิดอะไรเงียบๆคนเดียวที่เบาะหลังสุด..ท้ายรถบัส
ระยะทางไกลๆ มันทำให้เราได้คิดอะไรกับตัวเองเยอะทีเดียว
แม้บางครั้งมันจะเป็นการวนอยู่กับปัญหาในใจ
เหมือนคนพายเรือในอ่างเล็กๆก็ตาม
แต่นั่นเป็นหนทางที่เราพยายามค้นหาคำตอบในตัวเรา

เพราะฉะนั้น....
บางครั้ง....เส้นทางไปและเส้นทางกลับไม่ใช่เส้นทางเดียวกัน
แต่สุดท้ายมันอาจทำให้เราค้นพบ “คำตอบ” บางอย่าง
ที่ใจเราตามหามานาน

และบางทริป…

ทำให้ทุกอย่างในชีวิตเราไม่เหมือนเดิม
ทั้งๆที่ทุกสิ่งเหมือนเดิม
แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป
คือ “ความคิดและมุมมอง” ที่เรามีต่อสิ่งต่างๆและกับตัวเราเอง
เพียงเท่านี้...ชีวิตเราก็เปลี่ยนแล้ว




2. เราจะแก้คำว่า เบื่อ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ยังไงครับ
พอเบื่อทีไรก็ไม่อยากทำ ทำให้ไปไม่ถึงไหนสักที



- พี่ก๋าคิดว่าคนที่ “เบื่อ” ตลอดเวลามีสองประเภท คือ

หนึ่ง...ไม่มีอะไรให้ทำ เลยเบื่อ
กับ สอง...มีอะไรให้ทำมากเกินไป ก็เลยเบื่ออีกเช่นกัน


แต่ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม
ทำมากหรือทำน้อย
ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการหรืออยากทำจริงๆหรือไม่



คนที่อยากมีความรัก
แต่ใช้ความรักแบบสิ้นเปลืองและไม่เห็นคุณค่า
ต่อให้เปลี่ยนคู่นอนวันละคน
นอนกับดาราหรือนางงามระดับโลกทุกวันมันก็เบื่อได้

แต่ถ้าเราเห็นคุณค่าในตัวคนที่เรารัก
ต่อให้เธอเป็นคนธรรมดาแค่ไหน
เราก็รักเธอได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ

เคยได้ยินคำพูดหนึ่งไหมครับ
เขาบอกว่า.....



วิธีเป็นนักรักที่ดีที่สุด ก็คือ

การตกหลุมรักทุกวันกับผู้หญิงคนเดิม



วิธีคิดแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้กับความรักเท่านั้นนะครับ
การงาน งานอดิเรก หรือการใช้ชีวิต
ก็ใช้วิธีคิดแบบนี้ได้เช่นกัน


พี่ก๋าทำบล็อกทุกวัน
ทำไมไม่เคยพูดเลยว่าเบื่อหรือไม่มีอะไรมาเขียน
นั่นเป็นเพราะพี่ก๋าทำบล็อกด้วยความรัก ด้วยความสุข
ด้วยความสนุกและจริงใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ
บล็อกเลยไม่ใช่แค่ความอยาก ความเพลิดเพลินชั่วคราว
แต่เป็นสิ่งดีดีที่เราตื่นมาทุกเช้าและอยากทำครับ





3. ถ้าไม่มีพี่ก๋าช่วยตอบคำถามแล้วผมจะไปถามใครล่ะครับ


- คนที่จะตอบคำถามของเราได้ดีที่สุดไม่ใช่พี่ก๋าหรอกครับ

แต่คือ “ตัวเราเอง” .....

ที่สุดแล้วไม่มีใครตอบทุกคำถามที่เราสงสัยได้

แม้พี่ก๋าตอบทุกคำถามที่เราถาม
แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป
และมันคงไม่ถูกใจเราในทุกคำตอบ


เราอาจจะมีฮีโร่หรือแรงบันดาลใจเป็นใครก็ได้บนโลกนี้
แต่สุดท้ายฮีโร่เหล่านั้นก็พาเราเดินไปสู่ความสำเร็จไม่ได้

แล้วเราไม่ควรคิด พูด หรือทำในแบบที่ฮีโร่เป็น
แต่ควรเป็นตัวของตัวเอง
เป็นตัวของตัวเองในแบบที่เราเป็นได้
และเป็นแบบนั้นให้ดีที่สุดเท่านั้นเองครับ





4. ถ้าเราสงสัย อยากรู้ก็ต้องถาม แต่ถ้าเราชอบเค้า
เราต้องถามไหมครับว่าเค้าชอบเราหรือป่าว


- พี่ก๋าไม่ค่อยพูดคำว่า “รัก”
ไม่ค่อยเรียกร้องว่าอยากจะได้ยินคำว่า “รัก” จากคนรักด้วย

แต่อยากให้คนที่เรารัก
รับรู้ถึง “ความรัก” จากทุกสิ่ง
ที่เรา “ทำ” และ “แสดงออก”

จะมีประโยชน์อะไรครับ
หากเรารักใครสักคน
แล้วพร่ำพูดแต่คำว่า

“รักๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“รักคุณที่สุด”
“รักที่สุดในโลก”
“ผมยอมตายแทนคุณได้”
ฯลฯ

แต่สุดท้ายกลับไม่เคยทำตามที่ตัวเองพูดไว้ได้เลย


จะพูดคำว่า “รัก” กับใครไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่จงแสดงออกให้เขาหรือเธอรู้สึกด้วย
ว่าเรารู้สึกรักอย่างนั้นจริงๆ




5. การนับลมหายใจเข้าออกมีประโยชน์ไหมครับ


- ทุกอย่างมีประโยชน์ (และมีโทษ)
ถ้าเราตอบตัวเองได้ว่า
เราทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร

พี่ก๋าต้องถามกลับไปว่าเรานับลมหายใจเพื่ออะไร ?

บางคนบอกว่าเพื่อกำหนดสติ
บางคนบอกว่าเป็นฐานของการทำสมาธิ
บางคนบอกว่าอย่างนั้น บางคนบอกว่าอย่างนี้

แต่สุดท้ายแล้ว
ถ้าเราตอบตัวเองได้ว่าเรานับลมหายใจไปเพื่ออะไร
ถ้าตอบตัวเองได้ --- สิ่งนั้นนับว่ามีประโยชน์
แต่ถ้าเราทำสิ่งต่างๆลงไป
โดยไม่รู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร
สิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์ครับ




6. ถ้าเราไม่พอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เราจะทำอย่างไรครับ


- หลายคนไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
เพราะรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ ไม่ทันสมัยพอ ถูกเกินไป ฯลฯ

เรามีไม่พอ ไม่ใช่เรามีน้อยเกินไป
แต่เราไม่รู้จักพอต่างหาก

แล้วเราชอบเปรียบเทียบกับคนที่มีพอๆกันหรือมีมากกว่า


ลองออกไปมองหาคนที่มีน้อยกว่าเราดูบ้างไหมครับ
ไปดูชีวิตขอทาน เด็กเร่ร่อนข้างถนน
คนที่บ้านถูกไฟไหม้วอดทั้งหลัง
คนที่บ้านถูกน้ำท่วมจนไม่เหลืออะไร
ไปนั่งคุยกับผู้ป่วยใกล้ตาย
แล้วลองถามเค้าดูว่า
พวกเค้าต้องการอะไรในชีวิต ?

เขาคงไม่อยากได้ไอโฟนรุ่นล่า คอมรุ่นใหม่ นาฬิกาเรือนแพง
บ้านหลังใหญ่ มีคนรักที่ดี มีครอบครัวที่มีความสุข
หรือมีรถยุโรปคันโก้หลายๆคัน ฯลฯ
เหมือนที่เราต้องการ

บางทีคำตอบที่เขาตอบเรา
จะทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย
เรามีมากเกินไปด้วยซ้ำ
แต่ที่เรารู้สึกว่าเราขาดเพราะเราไม่รู้จักพอ



(ถึงตรงนี้พี่ก๋าอยากเราลองไปเป็นอาสาสมัคร
ทำงานเพื่อเด็กเร่ร่อน ไปช่วยคนแก่ในบ้านพักคนชรา
หรือลองไปเป็นครูอาสาบนดอยสักสองเดือนครับ
เราอาจจะเข้าใจสิ่งที่พี่ก๋ากำลังอธิบาย)




7. มีคู่ อยากอยู่คนเดียว พออยู่ลำพังกลับอยากมีคู่


- ทำตัวเองให้เต็ม ก่อนที่จะไปรักคนอื่น

อย่าไปคาดหวังเลยครับว่าอีกฝ่ายจะทำให้เราเติมเต็มได้
ความรักไม่ใช่การเติมเต็มของที่ขาด
แต่รักที่ดีหมายถึงคนที่เต็มเปี่ยมสองคนมาอยู่ด้วยกัน
ไม่ได้มาเพื่อเปลี่ยนแปลงกัน แต่มาเพื่อเข้าใจกัน
ไม่ได้มาเรียกร้อง
แต่มาหยิบยื่นในสิ่งที่ตัวเองมีเพื่อให้อีกฝ่ายจะรู้สึกดี

จะมีคู่หรืออยู่โดดเดี่ยว
ไม่สำคัญเท่ากับคุณมีความสุขกับตัวเองแล้วหรือยัง
ถ้ายังรักตัวเองไม่เป็น ยังไม่รู้ว่าความสุขในชีวิตตัวเองอยู่ตรงไหน
อย่าเพิ่งรีบร้อนไปรักใครเลย
เพราะในสิ่งที่เรายังขาดพร่องกับตัวเอง
เราจะไปคาดหวังว่าคนอื่นเขาจะมาเติมเต็มเราให้เต็มได้อย่างไร





8. อยู่คนเดียวก็เหงา อยู่กับเขาก็เบื่อ


- ถ้าใจเรา “เบื่อ” ต่อให้นั่งอยู่ในสวนสนุก
เราก็เบื่อครับ

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่า หากได้รักกับคนๆนี้
แล้วชีวิตเราจะหายเบื่อ
พี่ก๋าว่าเรากำลังมองคนรักเพื่อใช้เป็นที่ “พึ่งพา”

ไม่มีใครเป็นหลักยึดให้ใครได้ตลอดชีวิตหรอกครับ
เพราะคนๆหนึ่งต่างมีช่วงเวลาที่อ่อนแอ
มีด้านมืดของตัวเองที่อยากปกปิด
อยากระบายและโกรธเกลียดคนอื่น

อารมณ์เหงา เบื่อ เครียด ไร้สุข

มันเกิดจากตัวเรา

ถ้าเรายังจัดการกับมันไม่ได้
ใครก็ทำให้เราหายทุกข์ หายเหงา หายเบื่อไม่ได้ครับ





9. คนเราอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ได้ชอบกันจริงมีไหมครับ



- “ความรัก” บางครั้งคล้ายว่าเป็น “หน้าที่”

เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกัน
ถ้าเข้าใจกันได้ เรียนรู้ในความแตกต่างที่มี
และอดทนต่อความแตกต่างนั้นได้
ความรักก็ยังคงอยู่ได้

พี่ก๋าไม่ได้มองความรักแบบหวานแหวว
รักกันไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย
หรือเพราะฉันขาดเธอไม่ได้ และอยากรักเธอจนตาย
เลยขอผู้หญิงคนนี้แต่งงาน

แต่พี่ก๋ามองดูความจริงทั้งหมดที่มี ที่มองเห็น
ลองพูดคุย ลองใกล้ชิดเข้าไปในความสัมพันธ์
ดูทุกอย่างทั้งครอบครัวของเธอ ครอบครัวของเรา
ดูฐานะ ดูหน้าตา ดูความคิด ฯลฯ

แล้วจึงมาสรุปว่าเราอยู่กับคนๆนี้แล้วสบายใจ มีความสุข


เราไม่ได้เลือกเธอเพียงฝ่ายเดียว
แต่เธอเลือกเราด้วย
เราไม่ได้เลือกเธอฝ่ายเดียว
ครอบครัวของเธอเลือกเราด้วย


ทำไมคนยุคก่อน...เวลาถูกจับคู่คลุมถุงชน
แล้วถึงอยู่กันได้ยาวนาน ไม่หย่าร้าง

นั่นอาจเป็นตอบที่พี่ก๋าบอกไว้ตอนต้น



อดทน
เรียนรู้กันไป
เข้าใจหน้าที่ของความเป็นสามีภรรยา



รัก – ไม่รัก อาจไม่สำคัญเท่ากับ “หน้าที่”


รักหวานล้นที่จัดงานแต่งบนโรงแรม 5 ดาว
บันไดโรยด้วยกลีบกุหลาบจากฮอลแลนด์
แขกในงานนับพัน คำอวยพรนับหมื่น
อาจจบลงตรงการนับวันหย่าร้างหลังแต่งงานไม่ถึง 6 เดือน


อย่าคิดว่า “คนรักที่ดีที่สุด” จะเป็น “คู่ชีวิตที่ดีที่สุด” นะครับ
ก่อนแต่ง และหลังแต่ง
มีอะไรให้เราต้องเรียนรู้อีกมากมายจริงๆ






10. สุดท้ายแล้วการอยู่คนเดียวนั้นมีความสุขที่สุดแล้วจริงไหม


และ....


11. การที่เราหาใครสักคนมาเคียงคู่ หามาทำไม
มีแล้วต่างกับการอยู่คนเดียวอย่างไร




- เราเกิดและตายโดยลำพัง
แต่ระหว่างนั้น
บนเส้นทางที่เราเดินไป
แวดล้อมด้วยผู้คนมากมาย
ทั้งพ่อแม่ คนรัก เพื่อน ญาติ ศัตรู คนที่เราเกลียดชัง
และผู้คนต่างๆ

ถ้าเราคิดว่านี่คือความโดดเดี่ยวเดียวดาย
เป็นหนทางแสวงหาความหลุดพ้น
โดยจำเป็นต้องละทิ้งทุกคน ทุกสิ่ง
เพื่อบรรลุสุขสูงสุดในชีวิต


พี่ก๋าว่าไม่ใช่...


อะไรคือ “สุขสูงสุด”

เราว่าสุขสูงสุดของเราคืออะไร ?

คือ ไม่มีใครแล้ว ได้อยู่คนเดียว
เกิดและตายเพียงลำพัง
ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องพลัดพรากกับใคร
ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจในเรื่องใดใด ?



“ความสุข” ของชีวิตในความหมายของพี่ก๋า
ไม่ได้แปลว่าชีวิตมีแต่สุข ปราศจากทุกข์
แต่คือการเข้าใจความทุกข์ต่างหาก

เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจความทุกข์
เข้าใจจนรู้ได้ว่าทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร
แล้วเราจะอยู่กับความทุกข์นั้นอย่างเข้าใจได้อย่างไร
ที่สุด...จะทำให้มันหายไปจากชีวิตเราได้อย่างไร

(หายไป – ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่มี ไม่เคยเกิดขึ้น
หรือจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป

หายไป --- ในความหมายของพี่ก๋าคือ มีอยู่ เคยมีอยู่
และจะมีต่อไป แต่มันทำร้ายเราไม่ได้
เพราะเราเข้าใจในการเกิดขึ้น ดำรงอยู่และสูญสลายไปของมัน )


สภาวะนั้นพี่ก๋าว่าคนเราจะสุขที่สุดโดยตัวมันเอง


ในวันที่เราสูญเสียความรัก
ถ้าคิดเป็น...เราจะรู้ว่านั่นคือเหตุการณ์หนึ่ง
เสียใจ ผิดหวัง แต่เริ่มต้นใหม่ได้
เพราะมันเป็นแค่ความไม่ลงตัวของความรู้สึก
แต่ถ้าคิดไม่เป็น...มันจะมีแต่ความโกรธ หดหู่ สิ้นหวัง


ในวันที่คนที่เรารักจากไป
ถ้าคิดไม่เป็น...เราจะด่าทอโลกว่าโหดร้าย ไม่มีเหตุผล
ทำไมต้องพรากคนดีดีให้จากไปก่อนเวลาอันควร

ถ้าคิดเป็น ... เราจะเข้าใจว่านี่คือสัจธรรมที่ไม่มีใครหนีพ้น
แทนที่จะก่นด่าทุกสิ่ง หรือกลัวความตายจนลนลาน
เราควรเอาเวลาที่เหลือในชีวิต มาใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด
ทำประโยชน์ให้มากที่สุด


เวลาคนเราพบปัญหาหรือความทุกข์
มักคิดแต่จะ “แก้ไข”
ซึ่งการแก้ไขนั้น...ทำได้เพียง “ปรับปรุง” อะไรบางอย่าง
และบ่อยครั้งมันเผลอไปทำร้ายใครบางคนในนามของความปรารถนาดีด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเรา “เข้าใจ” ปัญหา....
เราจะ “เปลี่ยนแปลง” ปัญหานั้นได้แน่นอน







12. ถ้าเราสามารถมองเห็นอนาคตได้
แล้วรู้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
เราจะทำอะไรดีครับ


- เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้ตลอดกาล
เราควรท่อง จำและย้ำเตือนกับตัวเองบ่อยๆด้วยซ้ำ

ว่า เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้ตลอดกาล
เราแค่มาทำหน้าที่ แค่ชั่วขณะเวลาหนึ่ง
แล้วกลับคืนไปสู่จุดที่เราเกิด
เกิด-ตาย ตาย-เกิด เวียนว่ายเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะเจอจุดสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด


เราไม่จำเป็นต้องรู้อดีตเลย
เพราะเรากลับไปแก้ไขอะไรมันไม่ได้
เช่นเดียวกัน จะมีประโยชน์อะไรที่เราสามารถหยั่งรู้อนาคตได้
แต่ทำอะไรกับมันไม่ได้

การครุ่นคิดถึงแต่อดีตและอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ก็เหมือนคนที่หิวแต่ไม่ออกไปหาข้าวกิน
ได้แต่ปล่อยให้ท้องร้องและหิวจนตาลาย
โดยนั่งคิดฝันไปเรื่อยๆถึงอาหารที่อร่อยเลิศรสที่สุด
แต่ไม่หาอะไรมาใส่ปากเคี้ยวและกลืน


วินาทีถัดไป...ชีวิตเราจะเป็นยังไง
เรายังไม่รู้เลยครับ

ใช้ชีวิตไปทีละวินาที
แล้วทำวินาทีนี้ให้ดีที่สุดดีกว่าไหม ?






13. ทรัพย์อื่นยิ่งกว่าสันโดษไม่มี ตีความให้หน่อยครับ



- “สันโดษ” คืออะไรครับ ?
ต้องนิยามความหมายให้ดี....

สันโดษ แปลได้ว่า คือ ความยินดี ความพอใจ
คือความรู้จักพอดี ความรู้จักพอเพียง


สันโดษไม่ได้แปลว่า ต้องโดดเดี่ยวหรืออยู่เดียวดาย
สันโดษไม่ได้แปลว่าต้องพึงพอใจในความจนของตนเอง

แต่สันโดษ คือ การรู้จักยินดีในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
ชื่นชมในสิ่งที่ตนเองมีอยู่

เราเคยใช่ชีวิตแบบนี้บ้างหรือเปล่า
หรือว่าปล่อยให้ชีวิตวิ่งไปกับแรงเหวี่ยงของความอยาก
ถ้าใจเรามีความอยาก ความโลภ ความเห็นแก่ตัว
ต่อให้เราครอบครองโลกทั้งโลก
เราก็ไม่มีวันพึงพอใจ

สันโดษจึงไม่ได้แปลว่าพึงพอใจในตน แล้วเพิกเฉยสังคม

แต่สันโดษคือการที่เรารู้จักตนเองอย่างดีที่สุด
ดีจนเราไม่ถูกกระแสสังคมเหนี่ยวนำวิธีคิด พูดและกระทำของเรา

เมื่อไหร่ที่เราชัดเจนในตัวเอง
สิ่งต่างๆจะเป็นอย่างไร
ย่อมไม่ทำให้เรากระทบกระเทือนทางความรู้สึกได้เลย



 

โดย: กะว่าก๋า 10 มีนาคม 2555 16:46:04 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 13 มีนาคม 2555 5:06:13 น.  

 

หวัดดี แมวเหมียว

ฮ่าๆๆ นึกว่าใครหลังไมค์ไปหา อิอิ นานแล้วเนอะ ที่มาเยี่ยมบล็อกคุณ ยังอุตส่าห์จำได้

ขอบคุณนะจ๊ะ ที่แวะไป สบายดี อยู่หรือ

ป. ปลากับ ล. ลิง หุ หุ คุณนี่ขี้สงสัยไม่แพ้ฉันเลยน๊า

 

โดย: คล้ายดาว 13 มีนาคม 2555 19:23:53 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 14 มีนาคม 2555 5:20:54 น.  

 

อ่านบล้่อกพี่ก๋าจบทุกบล้อก
มารับสร้อยคอทองคำได้เลยครับ 555

ทั้งหมดมี 2000 กว่าบล้อกครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 14 มีนาคม 2555 14:43:38 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 15 มีนาคม 2555 6:45:42 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 16 มีนาคม 2555 6:47:50 น.  

 

นึกออกแล้วววววว พี่ก๋าตอบคำถามของคุณเสือย้อมแมวนี่เอง

ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ

 

โดย: bee_บี 16 มีนาคม 2555 7:05:17 น.  

 

วันนี้มีคำถามเบาเบามาถามครับ
ถ้าพี่ก๋ากลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
พี่ก๋าพร้อมที่จะเสี่ยงไหมครับ
จะรุกหรือรับ หรือซุ่มดูจังหวะ

พี่ก๋าจะตะลุยตะบี้ตะบันแหลกไปข้างหนึ่ง
หรือจะตั้งรับ รอ ถอย ในระยะที่ปลอดภัย

หรือว่ารอจังหวะและเวลาที่เหมาะสม
และพร้อมที่จะเสี่ยงและเสีย



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 14 มีนาคม 2555
เวลา : 15:24:00 น.





...................................




หวัดดีครับ





พี่ก๋ากำลังนั่งนึกว่าเคยทำอะไรเสี่ยงๆในวัยรุ่นมาบ้างหรือเปล่า

สมัยอายุ 16-17 พี่ก๋าชอบนอนขี่มอเตอร์ไซด์ครับ
คงห้าวด้วย เลยขี่มอเตอร์ไซด์เร็วมาก
เคยบิดสุดไมล์แล้วพุ่งฝ่าไฟแดง 2 แยกใหญ่โดยไม่หยุดรถ

ไม่รู้จะเรียกว่าเสี่ยง บ้าดีเดือด หรือว่าโง่ดี 5555


มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
แต่พี่ก๋าเชื่อมั่นลึกๆว่าวัยรุ่นทุกคน
จะมีช่วงเวลา “เปลี่ยนผ่าน”
จากเด็กไปสู่ความเป็นวัยรุ่น

อะไรที่แรงๆ แหกกฎ เราอยากรู้ อยากลอง อยากทำ



เรื่องที่เสี่ยงอีกอย่างที่เคยทำ
คือ มีปัญหากับอาจารย์ในคณะ ฯ
แล้วพี่ก๋ากับเพื่อนก็จัดนิทรรศการด่าอาจารย์กลางโถงทางเข้าของคณะฯ
เป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากในขณะนั้น
ตอนนั้นคิดว่าตัวเองสามารถโดนรีไทร์ได้เลยครับ




.......................................




ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป
จะทำสิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ไหม ?
ก็คงทำ….
เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้



เพียงแต่หลายคนอาจไม่มีโอกาสได้นั่งเสียใจอีกแล้ว


พี่ก๋ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งกำลังจะกลับมาเรียนต่อด้วยกัน
เขาดร็อปไปหนึ่งเทอมเพราะมีปัญหาอะไรสักอย่าง
ก่อนเปิดเทอมเพียงไม่กี่วัน
เขานั่งรถไปกินเหล้ากับเพื่อน
แล้วรถกระบะของเขาก็พุ่งชนต้นยางข้างทาง
คนในรถเสียชีวิตทั้งหมด 7 คน
รอดมาได้เพียงคนเดียว….

เพื่อนพี่ก๋าไม่ได้โชคดีในวันนั้น
ในงานศพ ... พ่อแม่ของเขาร้องไห้เจียนขาดใจ
เพราะนี่คือลูกชายคนเดียวของครอบครัว.....



เราทำสิ่งที่เสี่ยงได้
นั่นเพราะเราลืมคิดไปว่า

“เราต้องแลกมันมาด้วยอะไรบ้าง ?”



....................................................



คำถามเราทำให้พี่ก๋านึกถึงเรื่องเซ็กส์
น่าแปลกใจไหมครับ
ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
เรื่องเซ็กส์ยังเป็นหัวข้อที่วัยรุ่นทุกคนสนใจและอยากลอง

มันน่าเจ็บปวดตรงที่ตอนวัยรุ่นไปลองเรื่องเซ็กส์
เราทำไปแบบ “ไม่รู้”
เจ้าอาการไม่รู้นี่แหละครับ ที่พี่ก๋าเรียกว่า “เสี่ยง”


เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีเซ็กส์โดยใช้สัญชาติญาณล้วนๆ
ความใคร่มันจะนำความรัก
และเมื่อเป็นเซ็กส์ที่ปราศจากความรัก
ผลของมันคือ “เซ็กส์ที่ไม่ปลอดภัย”


เด็กมากมายนั่งดูดีวีดี คลิปหลุดและคลิปโป๊
เรียนรู้จากเพื่อน จากหนังเอวี
แล้วเราก็เชื่อกันไปเองว่าการทำตามในคลิปแบบนั้น
คือ ความเท่ คือสิ่งที่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุข
สุดท้ายแล้วเซ็กส์แบบนั้นคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข

ในหนังโป๊เหล่านั้นมันไม่มีฉากที่พร่ำพรรณนาถึง “ความรัก”
มีแต่การได้มา การครอบครอง การรุกเร้าและความเจ็บปวด

แต่เมื่อเราดูๆๆๆๆๆๆๆ
สั่งสมข้อมูลแบบนี้ไว้ในใจเยอะๆ
แล้วเผอลไผลไปเชื่อมั่นว่านั่นคือ “ความรัก”

จนเอาไปใช้กับคู่นอน....

เซ็กส์ที่เกิดขึ้นจาก “ความรู้” แบบนี้จึง “เสี่ยงมาก”
เสี่ยงต่อการเป็นเซ็กส์ที่อันตรายและทำร้ายคนที่เรามีเซ็กส์ด้วย



ตอนนี้ประเทศของเราติดอันดับ
หญิงสาวอายุต่ำกว่า 15 ปีที่มีอัตราการตั้งครรภ์สูงที่สุดโลก


เรามีคดีข่มขืน รุมโทรมมากมาย
เกิดขึ้นแทบจะในทุกวินาที

เรามีทั้งหญิงสาวที่ออกไปล่าแต้มและนอนกับผู้ชายโดยไม่เลือกหน้า

เรามีคดีพ่อกระทำชำเราลูก เรามีคดีพระตุ๋ยเด็กชาย
เรามีนักเรียนนักศึกษามากมายที่กลายเป็นเอเย่นต์และโสเภณี

ฯลฯ


ถ้าเราจะโทษสื่อยั่วยุทั้งหลาย
นั่นคงทำได้เพียงส่วนหนึ่ง

แต่ประเด็นหลักมันน่าจะอยู่ที่ “ความรู้” ที่เรามีกับเรื่อง “เพศศึกษา”

น่าจะอยู่กับ “การรับรู้” ต่อข้อมูลข่าวสารที่เรามี.....

ที่สุดแล้ว...อยู่ที่ “ปัญญา” และการมองเห็น “คุณค่า” ในตัวเอง
มากกว่าการนั่งคิดถึงการทำให้ตัวขาว จั๊กแร้ขาว
หรือทำศัลยกรรมทั้งแต่หน้าจรดเท้าเพื่อให้สวย ใส และเซ็กซี่
หรือคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้มีอวัยวะเพศชายที่ใหญ่โตมโหฬาร
หรือคิดสรรหาท่าร่วมเพศที่แปลกพิสดารพันลึกแบบหลุดโลก
อย่างความรู้ความเชื่อที่เราเคยเรียนรู้กันมา....


“ความรู้แบบผิดๆ” มัน “เสี่ยง” จริงๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดในชีวิต



..........................................



พี่ก๋าเป็นคนใจร้อนและกล้าได้กล้าเสียเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น
แต่สุดท้ายพี่ก๋าคิดว่า “สติ” และ “การรอคอย” ต่างหากที่สำคัญ

ชีวิตไม่ได้มีแต่การห้อตะบึงไปข้างหน้า
เราเดินไปช้าช้าและทำให้มันสวยงามได้ในทุกๆเรื่อง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน ความรัก เซ็กส์
หรือช่วงเวลาในการประสบความสำเร็จในชีวิต



วันก่อนพี่ก๋าเพิ่งเล่านิทานสอนลูก
ว่าผู้ที่ชนะที่แท้จริง
ไม่ได้หมายความว่าเขาเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 ในทุกๆเรื่อง
แพ้ก็ได้ --- แต่ในขณะที่แพ้นั้น
เราได้หันกลับไปช่วยเพื่อนที่กำลังล้มให้ลุกขึ้นยืน
และเดินเข้าเส้นชัยกับเราได้


นั่นต่างหากที่เป็น “ผู้ชนะที่แท้จริง”





....................................





“ความรู้” ที่ผ่านกระบวนการ “คิด” ที่ดี
จะทำให้ “ความเสี่ยง” ลดน้อยลงไป

หลายเรื่องในชีวิตเราเสี่ยงได้ พลาดได้
เริ่มต้นใหม่ได้

แต่บางสิ่งมันยากจริงๆที่จะกลับมาแก้ไข

เพราะที่สุดแล้ว….
เราอาจแค่ตายไปพร้อมกับความสะใจ
และความเสี่ยงที่ขาดสติเท่านั้นเอง



.................................





พี่ก๋าไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีการลงทุน
ที่ชอบสอนกันว่า


“ยิ่งเสี่ยงมาก ผลตอบแทนยิ่งสูง”


พี่ก๋าเชื่อในความไม่ประมาท เชื่อในการลงทุนระยะยาว
เชื่อว่าถ้าเราทำอะไรแบบไม่โลภ เราจะไม่เสียสิ่งที่เรามี




และสิ่งที่เราควรเสี่ยงให้มากที่สุด
นั่นคือ การกล้าเสี่ยงที่จะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เพื่อให้เป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆวัน

นั่นต่างหาก คือ หนทางเสี่ยงที่ดีที่สุดที่เราควรทำ

 

โดย: กะว่าก๋า 16 มีนาคม 2555 22:45:38 น.  

 

ซิกมุนด์ ฟรอยด์เคยกล่าวเอาไว้ว่า
ผู้ชายอาจจะตกหลุมรักผู้หญิงสักคนหนึ่งเป็นเวลาถึง 6 ปี โดยไม่รู้ตัว
จนกระทั่งหลายอีกปีผ่านไป ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อโลก
เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่เขาไม่รู้ออกมาเป็นคำพูดได้

เขามีความรู้สึกแต่เขาไม่รู้จักมัน

เหมือนผมที่เก็บความรักไว้ในใจกักขังมันเอาไว้
ไม่ยอมให้มันออกไปเจอความโหดร้ายในโลกความเป็นจริง


อยากดูในมุมมองของพี่ก๋าดูว่ามันจะเป็นอย่างไร





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 14 มีนาคม 2555
เวลา : 23:29:00 น.






......................................




สมัยเด็กๆจนมาเป็นวัยรุ่น
พี่ก๋าเคยนับเล่นๆนะ
ว่าเคยแอบปิ๊งเพื่อนสาวมากี่คน 5555

อารมณ์ประมาณแอบรักเธออยู่ในใจ
เก็บรักไว้หมายแอบอิง 5555

นับดูแล้วมีประมาณ 10 กว่าคน
แต่เชื่อไหมว่า...ไม่มีสักคนเลย
ที่พี่ก๋ากล้าเดินเข้าไปเพื่อบอกว่า


“ฉันชอบเธอ”
“ฉันอยากรู้จักกับเธอ”
“มาเป็นเพื่อนกันไหม ?”

ฯลฯ


สิ่งที่พี่ก๋าทำมาตลอดทั้งชีวิต
คือ แอบมอง แอบชอบ แอบคิด แอบฝัน
แอบเพ้อ แล้วก็แอบอกหักไปเอง
ชนิดที่สาวเจ้าไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าเราแอบชอบเธออยู่ 5555



รักแบบแอบๆ
แอบเก็บเธอไว้ในใจ

ถ้ามองในวันนั้นมันน่ารักดีนะ
ทำให้ใจกระชุ่มกระชวย
ยังไงเสียพี่ก๋าก็ยังชอบใจกว่าการที่เดินเข้าไปในเธค
แล้วคว้าสาวแปลกหน้ามาหลับนอนด้วยกันที่ห้อง
ก่อนจะตื่นเช้ามาแล้วจากไปเหมือนคนไม่รู้จักกัน


“มีความรู้สึก แต่ไม่รู้จักมัน”


บางครั้งความรู้สึกบางอย่าง
ก็แทนที่ด้วยคำพูดไม่ได้หรอกครับ

เราอาจชอบคนๆหนึ่งมาก
แต่เรารู้สึกลึกๆว่าเธอคงไม่ชอบเรา
หรือไม่เหมาะสมกับเรา


ความรู้สึกแบบนี้พี่ก๋าเรียกมันว่า “สัญชาตญาณ”



บางเรื่องในชีวิต
เราจึงต้องคิดเอาเองว่าจะใช้ “สมอง” หรือ “หัวใจ” ในการค้นหาคำตอบ
เรื่องที่ต้องใช้เหตุผล ก็ต้องใช้สมองไปหาคำตอบ
ส่วนเรื่องอารมณ์ความรู้สึก
อะไรจะดีไปกว่าการตอบด้วยหัวใจ

อย่าเผลอไปใช้สลับกันเชียวครับ
เพราะในเรื่องราวของความรัก
บางครั้งมันก็ไม่ต้องการเหตุผล ไม่สนใจทฤษฎีใดใดทั้งนั้น

ถ้าจะต้องรัก มันก็รักครับ
ถึงจะไม่มีอะไรที่เหมาะสมกันเลย ก็รักกันได้
หรือต่อให้หวานล้ำหยดย้อยแค่ไหน
วันหนึ่งหมดรัก ก็ต้องเลิกรากันไป



มอง “ความรัก” ว่าคือ “การเรียนรู้” ดูสิครับ
รักจะได้ไม่น่ากลัวและเต็มไปด้วยความคาดหวัง
รักแบบง่ายๆ...แต่อย่ามักง่าย
รักง่ายๆคือ ทำให้มันเป็นธรรมชาติ
อย่าไปฝืน อย่าไปดัด อย่าไปปรับตัวเอง
เพื่อให้ใครมารัก หรือเพื่อไปรักใคร

เป็นอย่างที่เราเป็น แต่เป็นให้ดี
ให้รู้ว่าคนรักที่ดีเป็นอย่างไร
แล้วก็พยายามครับ พยายามเป็นคนรักที่ดีในแบบที่เราคาดหวัง
แต่อย่าไปผลักความคาดหวังนี้ให้อีกฝ่าย
ทำที่ตัวเราเอง ทำตัวเองให้เป็น “คนรักที่ดีพอ”
แล้ววันหนึ่งน้องจะเจอ “คนรักที่พอดี” ครับ











 

โดย: กะว่าก๋า 16 มีนาคม 2555 23:13:12 น.  

 


ตามอ่านบล็อกพี่ก๋า
อ่านแล้วแล้วมันขัดๆกันนิดหน่อย

เลยจะถามว่าถ้าเรารักตัวเองไม่เป็น
แล้วเราจะรักผู้อื่นได้ไม่ดีจริงหรือ
ถ้าเรายังไม่รักตัวเอง เราก็ไม่ควรไปรักผู้อื่นหรือเปล่า

รักเพื่อน รักพ่อ แม่ พี่ แฟน เพื่อนร่วมโลก

รักตัวเอง รักยังไง
แล้วมันไม่เป็นการเห็นแก่ตัวเหรอ

พี่ก๋าลองบอกข้อดีของการแอบรักเค้าข้างเดียวสิครับ
เราจะได้ภูมิใจตัวเองบ้าง ฮ่าๆๆๆ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 14 มีนาคม 2555
เวลา : 23:29:00 น.






....................................





พี่ก๋าพูดบ่อยๆในบล็อก
ว่าเราต้องรักตัวเองให้เป็น
ก่อนที่จะคิดไปรักใคร


ลองนึกถึงถังน้ำที่ก้นรั่วดูนะครับ
ต่อให้ถังน้ำใบนี้ไปหาถังน้ำอีกใบที่สวยเพียงใด
หรือมีขนาดใหญ่เพียงใด
ก็ไม่อาจเติมเต็มน้ำในถังใบนี้ได้

เทน้ำลงไปเท่าไหร่
มันก็รั่วออกมาจากก้นถังจนหมด


คนที่รักตัวเองไม่เป็นในความหมายของพี่ก๋า
ก็คือ คนที่เป็นเหมือนถังน้ำก้นรั่วครับ



...................................




คนรักบางประเภทมักจะตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า


“ฉันทำดีกับเค้าขนาดนี้ ทำไมเค้าถึงไม่เคยสนใจใยดีฉันเลย”



คนที่รักตัวเองไม่เป็น
จะหึงหวงโดยคิดว่านั่นคือความห่วงใย
บ่อยครั้งเลยเถิดกลายเป็นการยึดติดยึดครองและหวงแหน



ผู้หญิงที่โทรจิกแฟน 100 มิสคอล
ผู้ชายที่ทำร้ายร่างกายแฟนสาวเพราะความหึงหวง
คู่รักที่ยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจตลอดเวลา
หรือ คนรักที่ต้องการการพึ่งพา พึ่งพิง
และคิดว่าชีวิตนี้ไม่สามารถขาดอีกฝ่ายได้

เหล่านี้....บางทีอาจเป็นคนรักที่น่าอึดอัดเวลาได้อยู่ใกล้ๆ
และกลายเป็นถังก้นรั่วที่เติมความรักลงไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม




..............................




พี่ก๋าเคยเป็นถังก้นรั่วมาก่อนนะครับ
เคยมองความรักเป็นเรื่องของความสมบูรณ์แบบ
ถ้าไม่เจอคนที่ดีพอ ฉันไม่แต่งงานก็ได้
อยู่ตัวคนเดียวก็มีความสุขได้
ในขณะที่ชีวิตแต่ละวันถูกใช้ไปตามความเชื่อความฝัน
ตามอารมณ์ขึ้นๆลงๆของตัวเอง

ถ้าตอนนั้นพี่ก๋ารีบแต่งงาน คงต้องจบลงด้วยการหย่าร้างแน่นอน
เพราะคงไม่มีสาวคนไหนทนนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของพี่ก๋าได้


จนวันหนึ่งที่พี่ก๋าได้เรียนรู้และรู้จักตัวเองมากขึ้น
ได้เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนความคิด
เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ

นั่นเป็นจุดที่ทำให้เรารู้ว่า
ความรักไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว
ความรักไม่ใช่การมองเห็นแต่สิ่งที่เราอยากมอง
ไม่ใช่การได้มาแต่สิ่งที่เราต้องการ

แต่ความรักคือการยอมรับในความแตกต่าง
การอยู่ร่วมกัน เรียนรู้กันไป
ปรับปรุงตัวเอง และ ต้องแบ่งปันความรู้สึกร่วมกันกับคนรัก


พอคิดและเชื่อแบบนี้ได้
พี่ก๋าว่าคนๆนั้นก็เริ่มเป็นคนที่รักตัวเองเป็น
และน่าจะเป็นคนรักที่ดีได้แล้วล่ะครับ



.................................




ถ้าตอนนี้เรายังเป็นคนรักที่ไม่ดีพอ
ยังเป็นถังก้นรั่ว
ก็แอบรักเขาหรือเธอไปก่อน
ไม่เห็นจะแปลกอะไร

เอาเวลาที่รอ
ไปพัฒนาตัวเอง ไปปรับปรุงความคิดของตัวเอง
เลิกเจ็บปวดกับสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เพื่อกลับมาอยู่กับความจริงอย่างที่มันเป็นให้ได้

เรียนรู้ว่าข้อดีของเราคืออะไร
ยังมีข้อเสียอะไรที่ต้องปรับปรุง


ถึงวันหนึ่ง...
ถังที่เคยรั่ว
มันจะถูกปะรอยรั่วด้วยสิ่งที่เรียกว่า

“ความรักที่งดงาม” เองล่ะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 17 มีนาคม 2555 7:50:20 น.  

 

ถ้าคนรักไม่ซื่อสัตย์ แล้วเราควรทำอย่างไร





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 15 มีนาคม 2555
เวลา : 00:48:00 น.




…………………………………..




ถ้าปลาที่เราวางไว้ถูกกิน
อย่าไปโทษว่าเป็นความผิดของแมว


ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน
อย่าให้จบลงตรงคำว่า


“นี่เป็นความผิดของใคร ?”


เพราะคำถามนี้ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลย



เรียนรู้จาก “ความไม่เข้าใจ” จน “เข้าใจ”
เรียนรู้จากความขุ่นเคืองใจว่าเพราะอะไร
ทำไมเราถึงต้องเสียเวลาในชีวิต
เพื่อมานั่งทะเลาะเบาะแว้งกันหรือเกลียดกัน
แทนที่จะเอาวันเวลาเหล่านั้นมารักกัน


ความไม่ซื่อสัตย์ในชีวิตคู่เกิดขึ้นจากใคร
ถ้าเราหยุดกล่าวโทษอีกฝ่าย
เราอาจได้รู้ว่า
แท้ที่จริงปัญหาในความรัก
มันไม่เคยเกิดขึ้นจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่เคยเกิดขึ้นฝ่ายเดียว
แต่มันเกาะเกี่ยวปัญหาเล็กๆหลายๆปัญหา
ก่อนจะกลายเป็นก้อนปัญหาขนาดใหญ่ที่ยากต่อการแก้ไขเยียวยา


ค่อยๆนั่งลง นั่งมองปัญหาอย่างจริงจัง
ไม่คิดเข้าข้างตัวเอง
เอาใจเขามาใส่ใจเรา

บางทีเราจะรู้
บางทีเราจะเห็น
ว่าแท้ที่จริงแล้ว...เรานั่นล่ะ
ที่อาจเป็นตัวปัญหาที่แท้จริง
เพียงแต่เราไม่ยอมรับความจริง


ถ้ายอมรับความจริงได้
เราจะแก้ไขปัญหาได้
ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไร
รักกันต่อหรือเลิกรา
แต่เราจะได้เรียนรู้แล้วว่า
ปัญหาความรักที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
เกิดขึ้นจากอะไร
แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อหาทางออก
...ออกจากปัญหานี้ ?



ท้ายที่สุดแล้ว....
ถ้าคนรักไม่ซื่อสัตย์
แล้วเราควรทำอย่างไร


ถ้าใจหมดรัก
กายหมดความหวานชื่น

ก็ทำใจและเลิกรากันไปเถิดครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 18 มีนาคม 2555 7:35:55 น.  

 

เอานิทานมาให้พี่ก๋าอ่าน คำถามผุดมามากมาย
อยากให้พี่ก๋าอ่านเรื่อง การศึกษา วิจัย
แล้วนำมาปรับเป็นการจีบหญิงแทน 555

โดยตัวเอกคือ คุณปฎิบัติ





ที่มา : //chaisawatvarious.wordpress.com




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 16 มีนาคม 2555
เวลา : 22:55:00 น.




พี่ก๋าอ่านนิทานเรื่องนี้จนจบ
ไม่แน่ใจว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไร

แต่ทุกวิธีทั้งการสังเคราะห์ การวิเคราะห์
การศึกษาทฤษฏี ไปจนถึงขั้นตอนของการลงมือปฏิบัติ

มันเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนเดียวกัน
ไม่มีสิ่งไหนดีที่สุด เจ๋งที่สุด
เพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในกระบวนการเรียนรู้.....



................................
เวลาเรามองความรัก
จงมองให้เหมือนกับที่เรามองดูต้นไม้ต้นหนึ่ง


เราเลือกมองแต่ดอกที่สวยที่สุดของมันไม่ได้
เพราะนั่นไม่ใช่ต้นไม้

ถ้าหยิบกิ่งไม้หนึ่งอันขึ้นมาถามว่า

“นี่คือต้นไม้หรือไม่ ?”

เราไม่อาจตอบได้ว่านี่คือต้นไม้

เช่นเดียวกับการมองต้นไม้แบบแยกส่วน
ว่านี่คือ รากแก้ว รากฝอย กิ่ง ก้าน ใบ หนาม ดอก ผล

นั่นไม่ใช่ต้นไม้.....
แต่เป็นส่วนประกอบของต้นไม้


เช่นเดียวกันกับเวลาที่เรามองดูความรัก
เราไม่อาจมองแบบแยกส่วนได้ว่านี่คือความคิดถึง นี่คือคนรัก
นี่คือความเศร้า คือความหึงหวง คือการครอบครอง
หรือเป็นความผูกพัน ฯลฯ


ทั้งหมดนั่นล่ะ คือ ความรัก
โดยไม่อาจแยกส่วนออกมาได้


การมีใครสักคนที่เรารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ
และต่อให้เรารักมากมายเพียงใด
ใช่ว่านั่นจะเป็นบทสรุปว่าเขาหรือเธอ คือ “ความรัก”

เพราะเขาหรือเธอยังเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ
ในสิ่งที่เรียกว่า “ความรักทั้งหมด” นั่นเอง



....................................




จะลงมือทำอย่างเดียวโดยไม่มีความรู้ด้านทฤษฏี
บางทีทำให้ยิ่งเสียเวลาค้นหาคำตอบ

ค้นหาคำตอบโดยไม่มีการสังเคราะห์หรือวิเคราะห์ที่ไปที่มา
คำตอบที่ได้ก็อาจเป็นเพียงความบังเอิญ

ฯลฯ


เวลาเรียนรู้ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด
พี่ก๋าคิดว่าเรามีวิธีเข้าถึงคำตอบได้มากมายหลายหนทาง
ไม่มีหนทางใดที่ดีที่สุดหรือถูกต้องที่สุด
แต่ละคำถามจะมีวิธีการแสวงหาคำตอบที่แตกต่างกัน

ปัญหาคือ

เราได้คำตอบนั้นมาอย่างไร
...เรารู้หรือไม่

คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้วหรือยัง
....แล้วเราแน่ใจได้อย่างไร

ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือหรือวิธีการใดในการหาคำตอบ

คงต้องมองคำถามให้รอบด้าน
คิดให้ถ้วนถี่


ไม่ใช่ถือพวงมาลัยมาหนึ่งอัน
แล้วร้องบอกคนอื่นว่านี่คือรถยนต์
นี่คือรถยนต์.....

วิธีคิดแบบนี้ --- น่ากลัวและอันตรายครับ !!!!


 

โดย: กะว่าก๋า 18 มีนาคม 2555 7:36:19 น.  

 

พี่ก๋า มีเป้าหมายในชีวิตไหมครับ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 17 มีนาคม 2555
เวลา : 00:32:00 น.




..................................





ณ วันนี้
พี่ก๋าไม่มีเป้าหมายในชีวิตเลยครับ



……………………………………





เมื่อก่อนพี่ก๋าเป็นคนที่วางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้าตลอด
เรียนจบ ม.3 อยากเรียนต่ออะไร
เรียนต่อ ปวช. ปวส. ด้านสถาปัตยกรรม 5 ปี
คิดไว้เรียบร้อยว่าอยากเรียนต่อด้านครู
เลือกอย่างจำเพาะเจาะจงที่จะเรียนต่อด้านครุศาสตร์สถาปัตยกรรม
เรียนปริญญาตรีจบปุ๊บตั้งใจมากๆเลยว่า
จะไปทำงานที่สำนักงานสถาปนิกสักปีหรือสองปี
จากนั้นกลับไปเป็นครูที่คณะฯเดิมที่ตนเองเคยจบมา
แล้วเป็นครูสักสองสามปีก่อนทำเรื่องลาศึกษาต่อปริญญาโท
พร้อมทำงานด้านสถาปนิกไปด้วย


ทุกอย่างดูดีและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้


พี่ก๋าเรียนจบด้วยคะแนนเกือบเกียรตินิยม
กลับมาถึงเชียงใหม่สมัครงานที่แรกและที่เดียว
ได้รับเลือกให้เข้าทำงานในตำแหน่งสถาปนิกทันที

เรื่องไปเป็นครูที่คณะฯ
ได้พูดคุยคร่าวๆไว้กับอาจารย์ผู้ใหญ่ในคณะฯแล้ว

ทุกอย่างลงตัวและเป็นไปตามที่คิด



จนวันหนึ่ง...
พ่อพี่ก๋าเรียกเข้าไปคุย
แล้วบอกให้พี่ก๋าไปลาออกจากสำนักงานสถาปนิก
เพื่อมาช่วยงานที่ร้านขายเครื่องหนัง

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต....


เรียนมา 7 ปี
เป็นสถาปนิกได้เดือนเดียว

แล้วจากนั้น 15 ปีต่อมา
พี่ก๋าไม่เคยได้เดินอยู่บนเส้นทางแห่งความฝันอีกเลย




......................................



ช่วงแรกของการทำงานกับที่บ้าน
พี่ก๋าไม่มีความสุขเลย
เพราะงานที่ทำไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเรียนมา
ไม่ได้เป็นงานที่เราชอบเป็นทุนเดิม ไร้ซึ่งความถนัด
แถมงานยังหนักมาก ปรับตัวยาก
ไม่เข้าใจงาน ไม่เข้าใจคน
ชีวิตเลยสับสนอยู่นานหลายปี

ทำงานด้วยความไม่สนุก
ใจมันเป็นทุกข์จากสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ....



จนวันหนึ่งหลังจากทำงานมา 4-5 ปี
มีโอกาสได้รู้จักอีกด้านมุมของความคิดตัวเอง

จึงได้รู้ว่า

เราทุกข์เพราะเราอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
ให้เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ
พอเปลี่ยนไม่ได้เลยเศร้าและโกรธ

แต่พอเราเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองได้

งานที่เคยน่าเบื่อ ผู้คนที่เคยน่าชัง
เรากลับมองเห็นอีกด้านมุมของสิ่งต่างๆ
อย่างที่เราไม่เคยได้เห็น

ทุกอย่างเหมือนเดิมทั้งคนและงาน
แต่พอ “ทัศนคติ” ที่เรามีเปลี่ยนไป


เหมือนเรากลายเป็นคนใหม่
เหมือนเราได้ทำงานในที่ใหม่
เจอคนใหม่ๆที่มีอะไรให้เราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา


.........................................




การเปลี่ยนแปลงตัวเองในครั้งนั้น
ทำให้พี่ก๋าเลิกคิดถึงการวางแผนและเป้าหมาย

แต่เปลี่ยนเป็นการเดินช้าช้า เดินเรื่อยเรื่อย
วิธีการเดินทาง คนร่วมทาง
สำคัญกว่าเป้าหมายของการเดินทาง


ไม่มีประโยชน์อีกแล้วที่จะใช้ชีวิตแบบควบตะบึง
เพื่อไปให้ถึงจุดหมายเร็วๆ
โดยไม่สนใจใคร


พี่ก๋าว่าชีวิตมันคือการเดินทาง
และระหว่างเส้นทางมีอะไรสวยงามให้เราหยุดมองตั้งเยอะ
เพียงแต่ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบเคร่งครัด
เคร่งเครียดและจริงจังมากเกินพอดี
แถมยังวิ่งเร็วเกินไปจนไม่มีเวลาที่จะหยุดและชื่นชมสิ่งต่างๆรอบตัวเลย


เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้อยู่ที่เส้นชัย
แต่อยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าเรา
ถ้าเราเดินไปเรื่อยๆพร้อมกับความสุขในใจเรา
ไม่ว่าหนทางจะใกล้หรือไกลแค่ไหน
พี่ก๋าว่าเราก็สามารถเดินได้อย่างมีความสุขในทุกขณะจิตจริงๆครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 18 มีนาคม 2555 7:36:39 น.  

 

ตอบจบทุกๆคำถามแล้วนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 18 มีนาคม 2555 7:37:01 น.  

 

ขอให้มีความสุขมากๆในวันเกิด
มีความรักที่ดี และมีสุขภาพที่แข็งแรงนะครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 19 มีนาคม 2555 5:24:57 น.  

 

สุขสันต์วันเกิด



 

โดย: ต้นกล้า อาราดิน 19 มีนาคม 2555 8:46:11 น.  

 

ป้าเชิญนางฟ้า...มาอวยพรวันเกิดค่ะ
ขอให้พบแต่สิ่งดีๆ คนที่ดีมีจิตใจดี
เหตุการณ์ดีๆสุขภาพที่แข็งแรง
รวมทั้งความรัก
ที่ดีที่สุดในชีวิตนะคะ


 

โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 19 มีนาคม 2555 8:49:32 น.  

 

สวัสดีค่ะ
ขออนุญาตมาอ่านคำตอบของคุณก๋าด้วย
ได้ข้อคิดดีๆเยอะเพื่อไปใช้ในชีวิต ขอบคุณค่ะ

สุขสันต์วันเกิดนะคะ
ขอให้มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงตลอดปี และตลอดไป

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: pantawan 19 มีนาคม 2555 13:20:34 น.  

 




HAPPY BIRTHDAY TO YOU
ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ
คิดหวังสิ่งใดขอให้ได้สมดังที่หวังไว้ค่ะ

 

โดย: oranuch_sri 19 มีนาคม 2555 14:49:45 น.  

 



..บรรจงเขียน..ความรัก..ฝากลมหนาว..
..ฝากดวงดาว..จากฟ้า..มาให้เห็น..
..เอาความรัก..คิดถึง..ฝากเดือนเพ็ญ..
..มามอบเป็น..ของขวัญ..วันเกิดเธอ..

..ขอศรัทธา..ความดี..ที่มีมั่น..
..จงช่วยสรรค์..สร้างชีวี..ให้สุขขี..
..ช่วยแก้ไข..ปัญหา..นานามี..
..ให้เธอนี้..มีสุข..ทุกข์อยู่ไกล..

..ให้ร่างกาย..เข้มแข็ง..อย่าลาร้าง..
..ในคืนวัน..อ้างว้าง..ให้หายเหงา..
..ในวันที่..มีทุกข์..สุขบรรเทา..
..ให้หายเศร้า..มีสุข..ทุกทุกคืน..

..หากมีรัก..ขอให้..จงหนักแน่น..
..ไม่คลอนแคลน..เพื่อนสนิท..มิตรสัตย์ซื่อ..
..เกียรติยศ..ชื่อเสียง..โลกเลื่องลือ..
..ทั้งหมดคือ..ความจริงใจ..มอบให้เธอ..

..วันเกิดเธอ..คนดี..วันนี้แล้ว..
..ขอให้แพร้ว..เพริศพริ้ง..กว่าปีก่อน..
..ถ้ามีรัก..ขอให้รัก..นิรันดร..
..นี่คือพร..มอบให้..ด้วยใจจริง..

..ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง เป็นที่รักของทุก ๆ คนนะ..







HappY BirthDaY To You


 

โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* 19 มีนาคม 2555 16:27:33 น.  

 

มา happy birthday อีกรอบค่ะ...

นั่งอ่านปรัชญาของคุณเสือฯกับพี่ก๋า แล้ว สุดยอดจริงๆ

เข้ามาไม่เสียเที่ยวจริงๆค่ะ พี่ก๋าตอบได้ยอดเยี่ยม คุณเสือก็ช่างหาอะไรมาถาม

ขอตอบก่อนนะค่ะ เดี่ยวกลับไปอ่านที่เหลือ สุดยอดจริงๆค่ะ

 

โดย: H. sapiens 20 มีนาคม 2555 5:07:42 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ


น้องฝ้ายก็เข้ามาอ่านด้วย อิอิอิ







 

โดย: กะว่าก๋า 20 มีนาคม 2555 5:44:13 น.  

 



สวัสดีค่ะ ..
ตั้งใจว่าเข้ามาอ่านบล็อก และทักทาย
แต่กลายเป็นอยู่นานเลย
เพราะอ่านพี่ก๋าต่ออีก .. ชอบบล็อกนี้จริงๆ



ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณเสือ



 

โดย: d__d (มัชชาร ) 20 มีนาคม 2555 7:14:28 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ


พี่ก๋าขอแค่ให้เขามีความสุขและความสนุกในการใช้ชีวิตก็พอใจแล้วครับ
เขาจะเขยื้อนโลกได้รึเปล่านั้น
ต้องแล้วแต่เขาครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 21 มีนาคม 2555 5:25:41 น.  

 

ถ้าพี่ก๋ามีความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้
ไม่ว่าจะเป็นปมด้อยของตัวเอง
สิ่งที่ตัวเองทำไม่ดีเอาไว้

เมื่อถึงเวลาที่ต้องตอบคำถามจากคนรอบกาย
พี่ก๋าพร้อมที่จะเปิดเผยไหม
ถ้าความจริงทำให้เค้าดูถูกเรา พี่ก๋ารับได้ไหม

หรือพี่ก๋าเลือกที่จะปิดบังความจริงเอาไว้
เพราะมันเป็นความจริงที่ไม่ทำร้ายใคร
แต่มันกระทบกับชื่อเสียงของเรา




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 17 มีนาคม 2555
เวลา : 22:55:00 น.





...................................





คำถามนี้ทำให้พี่ก๋านึกถึงเรื่องราวสมัยเรียน
มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนคณะเกษตรฯ
วันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเหมือนคนบ้านนอก
เดินมาที่คณะฯ
ไม่นานมีเสียงตามสายประกาศให้นักศึกษาคนนี้มาพบหญิงชราที่ห้องประชาสัมพันธ์
ปรากฏว่านักศึกษาคนนี้ไม่ยอมมาพบแม่ตัวเอง
โดยหลบออกจากคณะฯไปเลย....
แม่รออยู่ตั้งนานสองนาน
สุดท้ายจำใจต้องกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง


สาเหตุที่นักศึกษาคนนี้ไม่ยอมมาพบแม่
เพราะอาย....อายที่มีแม่ยากจน
เป็นชาวนา แต่งตัวมอซอ
ในขณะที่ตัวเองเข้ามาเรียนกรุงเทพ
เปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายเป็นคนเมืองเต็มรูปแบบไปแล้ว
ทั้งวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิต.....



............................



ทุกคนมีความลับ
ทุกคนเคยทำสิ่งผิดพลาด

พี่ก๋าก็มีครับ เคยทำ เคยคิด
พี่ก๋าไม่กลัวคนดูถูกหรอกครับ
แต่ละอายใจตัวเอง
เพราะเราทำอะไรไว้ ย่อมรู้อยู่แก่ใจ

ทุกครั้งที่พูด คิดหรือทำสิ่งที่ไม่ดี
ไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำ ไม่ควรพูด
ทำไปแล้วก็เสียใจ คิดอยู่เสมอว่าไม่น่าทำแบบนั้นเลย
ไม่น่าพูดประโยคแบบนี้ออกไปเลย

แล้วที่สำคัญเรามักทำสิ่งต่างๆเหล่านี้กับคนที่รักเรา
เพราะเราคิดไปเองว่าก็เพราะเขารักเรา
เขาจึงต้องทนเราได้สิ.....


ความคิดแบบนี้...
เห็นแก่ตัวมากๆเลยนะครับไม่ว่าจะมองจากมุมไหน



....................................



“ความลับ” ก็เหมือน “ความรัก”
พี่ก๋าคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องพุดในทุกเรื่องที่รู้
ไม่จำเป็นต้องพูดในทุกคำพูดที่มี
อะไรที่เป็นความลับ
พูดออกไปแล้วจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด
เก็บมันไว้ในใจเรา เอาเรื่องราวความผิดพลาดนั้น
มาบอกเตือนตนว่าอย่าทำเช่นนั้นอีก


คนเรามีโอกาสทำอะไรผิดพลาดในชีวิตได้ตลอด
คนที่ไม่เคยทำผิดใดใดในชีวิต
คือคนที่ไม่เคยทำอะไร

แต่สิ่งที่ต้องคิดคือ
เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้ว
ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ให้สิ่งนี้เกิดซ้ำขึ้นอีก


เหมือนที่เขาบอกว่า

ผิดครั้งแรก...เป็นเพราะความไม่รู้
ผิดในเรื่องเดิมอีกครั้ง...เป็นความผิดของคนอื่นและสิ่งอื่น
แต่ผิดเป็นครั้งสาม....นั่นเป็นความผิดของเราเอง




...................................




พี่ก๋าชอบอยู่เพลงหนึ่งของวง Students Ugly
ชื่อเพลง....รู้ไปทำไม
เนื้อเพลงมีอยู่ว่า



ไม่อยากให้รู้ ไม่อยากให้ถาม
เธออยากจะรู้ จะรู้ไปทำไม
ว่าเคยได้รัก ว่าเคยรักใคร
แค่เธออยากรู้ ว่าฉันเคยมีใคร

ฉันเคยรักใคร อยากรู้ไปทำไม
ฉันเคยมีใคร ผิดตรงไหน
ฉันเคยมีใคร เคยรักเขามากมาย
แต่ไม่รู้จะเล่าไปทำไม

แค่อยากให้รู้ ฉันรักใคร
ในตอนนี้ ฉันรักเธอ
ก่อนเคยได้รัก ก่อนนั้นผิดไหม
เมื่อยังไม่สาย ชีวิตยังอยู่


ไม่ผิดใช่ไหม หากรักใครมาก่อน
ไม่ผิดใช่ไหม หากรักเขามากกว่า
ไม่อยากให้รู้ ไม่อยากให้ใจเธอค้างคา
ฉันเคยเสียน้ำตา อย่าให้ฉันต้องพูดไป


ฉันเคยรักใคร อยากรู้ไปทำไม
ฉันเคยมีใคร ผิดตรงไหน
ฉันเคยมีใคร เคยรักเขามากมาย
แต่ไม่รู้จะเล่าไปทำไม

ไม่รู้จะเล่ามันอย่างไร






เรื่องที่ผ่านมาแล้วมันเป็นอดีต
เรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้
แต่เราทำอนาคตให้ดีขึ้นได้
ด้วยการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด


ความลับหรือความรักก็ไม่ต่างกัน
อย่าไปคิดให้ไกลเกินกว่าความเป็นจริง ณ ปัจจุบันขณะ

หลายๆเรื่องพุดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์
ก็เก็บมันไว้ในใจ
จะได้ไม่ต้องให้ความจริงนี้ไปทำร้ายใจใคร

และที่สำคัญอย่าปล่อยให้รอยแผลเล็กๆในอดีต
มาทำให้เราผูกติดอยู่กับความรู้สึกผิดในใจไปตลอดชีวิต
บางคนเมื่อเจ็บปวดผิดหวัง
กลับเอาเรื่องนี้มาตอกย้ำซ้ำเติมกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เหมือนความเจ็บมันเป็นแค่เข็มเล็กๆ
แต่เราหยิบมันมาทิ่มแทงตัวเองตลอดเวลา
จนกลายเป็นแผลเหวอะหวะลุกลามขยายใหญ่โต




................................



ปมด้อย ความผิดหวัง ความเศร้า ความเจ็บปวดต่างๆในชีวิต
ก็เหมือนรอยแผลในชีวิต

ทุกคนต้องเคยผ่านความรู้สึกนี้

บ้างเจ็บปวดน้อยนิด บ้างปวดร้าวมากมายมหาศาล
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ขอให้คิดอยู่เสมอว่า


จงอย่าทิ้งชีวิตทั้งชีวิต
เพียงเพราะมันมีตำหนิริ้วรอยบาดแผลเพียงนิดเดียว




 

โดย: กะว่าก๋า 21 มีนาคม 2555 8:30:30 น.  

 

สวัสดีค่ะ
แวะมาทักทาย
สุขทุกข์อยู่ที่ใจ
คิดดีทำดีก็มีความสุขได้

 

โดย: pantawan 21 มีนาคม 2555 21:04:09 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 22 มีนาคม 2555 6:29:39 น.  

 

อยากดูแล คนที่เค้าไม่แคร์ ทำยังไงดี




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 20 มีนาคม 2555
เวลา : 1:56:00 น.






....................................






มีถนนสายหนึ่ง
ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านก๋วยเตี๋ยวกว่าสามสิบร้าน
สมศักดิ์กับสมชายเดินไปด้วยกันเพื่อหาอะไรกิน



สมศักดิ์ : กินร้านไหนดีเพื่อน ?
สมชาย : ร้านไหนก็ได้...ร้านไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ
สมศักดิ์ : มันจะไปเหมือนกันได้ยังไง
สมชาย : ทำไมล่ะ ?
สมศักดิ์ : ก็ถ้าอยากกินเนื้อก็ต้องร้านนายพ้งเพ้ง จะกินหมูลวกก็ต้องร้านเปี่ยมเจริญ
สมชาย : มันก็เนื้อเหมือนกัน
สมศักดิ์ : แต่ลวกออกมา หมักออกมา รสชาติไม่เหมือนกันนะเว้ย
สมชาย : งั้น...(นิ่งคิด) เอาก๋วยเตี๋ยวน้ำตกล่ะกัน
สมศักดิ์ : ที่นี่มีอยู่ 7 ร้าน
สมชาย : ร้านไหนอร่อยที่สุดล่ะ ?
สมศักดิ์ : บอกไม่ได้ว่ะ ต้องลองชิมเอง
สมชาย : ชิมทั้ง 7 ร้านนี่นะ !!!
สมศักดิ์ : อร่อยของนาย ไม่ได้แปลว่าฉันจะกินอร่อยนี่หว่า
สมชาย : แล้วร้านที่เคยกินมาล่ะ ร้านไหนอร่อยบ้าง
สมศักดิ์ : ร้านน้องนุชน้ำซุปเข้มข้นดี แต่ร้านลุงดมแคบหมูอร่อย
สมชาย : งั้นเอาร้านน้องนุชล่ะกัน
สมศักดิ์ : ได้ๆๆๆ เดินไปข้างหน้าอีก 20 เมตรก็ถึงแล้ว

(เมื่อสองคนเดินไปถึง...ปรากฏว่าร้านน้องนุชคนรอทาน
เต็มล้นจนออกมานอกร้าน
ด้วยความหิวและรอไม่ไหว ทั้งสองจึงเดินต่อไป)


สมชาย : ทำไมขายดีอย่างนี้เนี่ย รวยตายเลย
สมศักดิ์ : ก็บอกแล้วว่าร้านดัง
สมชาย : ไปไหนต่อล่ะที่นี่
สมศักดิ์ : ร้านลุงดม
สมชาย : ไปเลยๆ หิวแล้ว



(เมื่อเดินไปถึงหน้าร้าน ปรากฏว่าร้านปิด มีป้ายแปะไว้เล็กๆว่า
“เจ้าของร้านไปปฏิบัติธรรม อีกสามวันจะกลับมาขายเน้อ”)


สมศักดิ์ : วันนี้เป็นวันอะไรวะเนี่ย
สมชาย : งั้นเจอร้านไหนก็นั่งกินเลยเหอะ หิวแล้ว


สมศักดิ์ : เข้าร้านนี้เลยล่ะกัน
สมชาย : เออ..ดี


(เข้าไปนั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวป้าลอยหมูตุ๋น)


สมศักดิ์ : เอาเส้นเล็กหมูตุ๋นที่หนึ่งครับ
สมชาย : ผมเอาเส้นใหญ่หมูเด้ง
ป้าลอย : หมูเด้งไม่มี เส้นใหญ่หมด
สมชาย : (ทำหน้าเซ็ง) อุตสาห์อยากกินหมูเด้ง เส้นใหญ่ก็ดันหมดอีก ...งั้นผมเอาเส้นเล็ก ลูกชิ้น หมูตุ๋นครับ
ป้าลอย : เอาธรรมดาหรือพิเศษ
สมศักดิ์ : เอาพิเศษทั้งสองชามเลยป้า

(นั่งรออยู่พักใหญ่ด้วยความหิว แล้วก๋วยเตี๋ยวก็ถูกวางตรงหน้า)


สมชาย : (มองดูก๋วยเตี๋ยวในชามแล้วพูดเสียงดัง) ป้าครับ...
ผมจะเอาก๋วยเตี๋ยวน้ำครับ
ป้าลอย : (ทำหน้ารำคาญ) แล้วตะกี้ทำไมไม่บอกตอนสั่ง
สมศักดิ์ : เฮ้ย..กินๆไปเหอะน่า
สมชาย : ไม่เอา...ฉันไม่กินก๋วยเตี๋ยวแห้ง
ป้าลอย : (เดินมาหยิบชามไปตักน้ำซุปให้แล้วเอามาวางที่เดิม)



(ทั้งสองคนกินก๋วยเตี๋ยวจนหมดชาม จ่ายเงิน แล้วเดินออกจากร้านป้าลอย)


สมศักดิ์ : เป็นไงบ้าง
สมชาย : โคตรจะไม่อร่อยเลย
สมศักดิ์ : ฉันว่าพอกินได้ หมูของป้าเค้าตุ๋นอร่อยดี
สมชาย : น้ำซุปกลิ่นแรงไปว่ะ บริการก็ไม่ดี
สมศักดิ์ : จะลองชิมที่อื่นดูไหมล่ะ
สมชาย : ไม่เอาแล้ว กลับบ้านดีกว่า



.......................................





ความรัก...เหมือนการกินก๋วยเตี๋ยว
บางครั้งที่มันอร่อย
ก็ขึ้นอยู่กับใจของเรา

ก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังที่สุด
ที่ว่าอร่อยที่สุดสำหรับบางคน
ใช่ว่าเราจะทานแล้วอร่อย


ก๋วยเตี๋ยวเพิงข้างทางชามละ 15 บาท
อาจมีรสชาติถูกใจเรามากกว่าก๋วยเตี๋ยวชามละสองร้อยบนห้างใหญ่



ถ้ามีโอกาสเลือก
จงเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

ถ้ามีโอกาสลอง
จงลองด้วยใจเปิดกว้างที่สุด

และที่สำคัญ....

“จงเคี้ยวทีละคำ”


ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือความรักก็ตามที

 

โดย: กะว่าก๋า 22 มีนาคม 2555 7:48:51 น.  

 

ผมตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ 30 กิโล
พี่ก๋าว่าเป็นไปได้ไหมครับ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 20 มีนาคม 2555
เวลา : 1:56:00 น.




.............................





เป็นไปได้
แต่พี่ก๋าทำไม่ได้ครับ 5555

ถ้าเราทำได้
บอกวิธีลดให้พี่ก๋าด้วยนะ 5555



น้ำหนักตอนอายุ 27 พี่ก๋าหนัก 56 เอว 27
ตอนนี้อายุ 38 น้ำหนัก 78 เอว 36 ครับ


เกินเยียวยา 5555

 

โดย: กะว่าก๋า 22 มีนาคม 2555 7:50:36 น.  

 

สวัสดีค่ะ
สบายใจหรือยังหนอ
รักตัวเองให้มากๆ
จงดีใจที่ได้รัก

เที่ยงแล้ว พักทานก๋วยเตี๋ยวต้มยำก่อนนะ

 

โดย: pantawan 22 มีนาคม 2555 12:43:34 น.  

 



แวะมาทักทาย ตอนค่ำๆค่ะ...

 

โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 22 มีนาคม 2555 20:27:32 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 22 มีนาคม 2555 23:09:32 น.  

 

มาเยี่ยมค่ะ คุณเสือย้อมแมว

อรุณสวัสดิ์ค่ะ

 

โดย: H. sapiens 23 มีนาคม 2555 5:38:40 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 23 มีนาคม 2555 6:41:27 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่เสือย้อมแมว (ขออนุญาติเรียกนะค่ะ)

 

โดย: H. sapiens 24 มีนาคม 2555 5:45:04 น.  

 

ฝ้ายอายุ 18 จะ 19 แล้วค่ะ

เอ่ๆๆๆ ฝ้ายอายุมากกว่า หรือน้อยกว่าค่ะเนี่ย

 

โดย: H. sapiens 24 มีนาคม 2555 5:56:12 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 24 มีนาคม 2555 6:33:13 น.  

 

ตื่นเช้าดีนะครับวันนี้

 

โดย: กะว่าก๋า 24 มีนาคม 2555 6:35:11 น.  

 

อย่างนี้ จะเรียกว่า ป้าฝ้าย?

ต้องเรียก พี่เลือย้มอแมวว่า ลุงเสือย้อมแมวหรือป่าวค่ะ?

 

โดย: H. sapiens 24 มีนาคม 2555 9:06:18 น.  

 

แวะมาส่อง

 

โดย: Need A Nap Every Afternoon 24 มีนาคม 2555 18:57:41 น.  

 

สวัสดีคะคุณเสือย้อมแมว

 

โดย: aenew 24 มีนาคม 2555 22:13:12 น.  

 

สวัสดีค่ะ
ขอบคุณมากค่ะสำหรับพรวันเกิด
เเล้วจะเเวะมาทักทายอีกครั้งค่ะ

 

โดย: pranfun 25 มีนาคม 2555 0:43:49 น.  

 

แวะเข้ามาทักทายค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาที่บล็อคของกุ๊กไก่นะคะ
ว่างๆอย่างลืมแวะมาอีกนะคะ
แล้วจะมาทักทายบ่อยๆค่ะ :)))

 

โดย: Special Christmas 25 มีนาคม 2555 1:16:13 น.  

 

ลุงเสือ อรุณสวัสดิค์ค่ะ



ไหว้งามๆ อิอิ

 

โดย: H. sapiens 25 มีนาคม 2555 6:33:03 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 25 มีนาคม 2555 6:33:42 น.  

 

ตื่นเช้า
หรือยังไม่ไ่ด้นอนครับเนี่ย 555


 

โดย: กะว่าก๋า 25 มีนาคม 2555 6:37:08 น.  

 

รูปร่างหน้าตาที่ดี
เงินทอง รถ บ้าน
ฐานะทางสังคมที่ดี
ช่วยดึงดูดให้ได้คู่ครองที่ดี
ไม่ว่าจะ สวย ขาว เซ็กซี่ น่ารัก
พี่ก๋าว่าจริงไหมครับ

หรือว่าถ้าหาก อ้วน ขี้เหล่
จน หนี้เยอะ
ผู้หญิงสวยที่หมายปองเอาไว้คงไม่สน
ใช่ไหมครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 24 มีนาคม 2555
เวลา : 17:25:00 น.





.......................................




ในชีวิตเราจะมีคนที่เรารักได้สักกี่คนกันเชียว
คนที่เรารักเขาอย่างแท้จริง
รักเพราะเรามองเห็น “ความงาม” ที่ซ่อนอยู่ด้านใน
ไม่ใช่ความงามภายนอกที่ถูกฉาบไว้ด้วยความลวงตา


เวลาเรารักใครสักคน
เรามองเห็นอะไรในตัวคนนั้น
ความสวย ความงาม หล่อ รวย มีชื่อเสียง
มีความสามารถ เอาใจเก่ง พูดจาเพราะ ฯลฯ



ทุกสิ่งที่ว่ามา
ไม่มีสิ่งใดที่คงทนเลย



มีใครสวยหล่อไปตลอดกาล
วันเวลาผ่านไปร่างกายก็หย่อนคล้อย ไม่เต่งตึง
ไม่หนั่นแน่นเหมือนช่วงวัยหนุ่มวัยสาว


เงินมีก็หมดได้
ชื่อเสียงมีก็หายไป


อะไรที่ทำให้คนเรายอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ได้
โดยไม่เปลี่ยนใจจากคนที่เรารัก ?



................................




มาดามเคยถามพี่ก๋าว่า
ทำไมถึงต้องดูภาพศพ ภาพคนตาย
ซึ่งน่ากลัวและไม่ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง

นั่นเป็นวิธีหนึ่งในการพิจารณาความเป็นจริงแห่งชีวิต
ทางธรรมเรียกว่า อสุภกรรมฐาน หรืออสุภวิปัสสนา

เป็นการเตือนสติให้เรากลับมาอยู่กับความจริงของชีวิต
ร่างกายเราประกอบขึ้นมาจากธาตุต่างๆ
สร้างขึ้นจากเซลล์ เม็ดเลือด ไขมัน เอ็น กระดูกจำนวนมากมาย


ถ้าเลาะเนื้อ กรีดเอ็นออกมาวาง
ต่อให้เป็นนางสาวไทย
เรายังจะรักนางอยู่ไหม ?


คนที่เราว่ารักที่สุดในชีวิต
เมื่อวางศพให้เน่าเปื่อย เนื้อเปลี่ยนสี
กายเน่าเหม็น แมลงวันตอมจนหนอนไต่
เราจะยังรัก ยังอยากก่ายกอดซากศพนั้นอยู่ไหม ?



คนที่เราว่าศรัทธาเคารพยกย่องเทิดทูน
เมื่อเขาเหลือแต่กระดูก
เรายังคิดกอดเก็บโครงกระดูกของเขาไปกับตัวเราอยู่ไหม ?



ที่สุดแล้วชีวิตมนุษย์ทุกคนต้องแก่ เหี่ยว หง่อม ป่วย
ร่างกายกลายเป็นที่ชุมนุมของโรคภัยพยาธิ
มีความเสื่อมเป็นที่ตั้ง
ที่สุดแล้วเราก็ตาย

ตายไปจากสภาพและตัวตนที่เราเคยยึดถือ




........................................




การพิจารณาอสุภฯต่างๆเหล่านี้
แม้ไม่มีอะไรที่ชวนมองหรือชวนดู
แต่ถ้าเราพิจารณาดูให้ดี
นั่นคือการเตือนสติเรา
ไม่ใช่ให้เรากลัว


“ความตาย” กำลังส่งเสียงเตือนให้เรารู้ว่า
เวลาในชีวิตเราเหลือไม่มากอย่างทีเราคิด
เราจะจากคนที่เรารักไปในวินาทีใดก็ยังไม่รู้


ความตายมอบสิ่งที่เท่าเทียมกันให้กับมนุษย์
ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร
เด็ก คนแก่ คนหนุ่ม ดารา พระ กษัตริย์ หรือแม้แต่โจร
นั่นคือ ความตาย.....



เมื่อเราระลึกถึงความตายอยู่เสมอ
เราจะได้ไม่ประมาทขาดสติในการใช้ชีวิต
เราจะได้คิดว่าเวลาในชีวิตเราเหลือน้อยเพียงนี้
ควรเอาเวลานั้นมาทำประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่นได้อย่างไร



การพูดถึงความตายจึงไม่ใช่สิ่งอัปมงคล
ไม่ใช่คิดเพื่อให้กลัวและลนลานกับการใช้ชีวิต
แต่เป็นการเตือนสติตัวเรา
ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราจริงๆ




........................................




สวย รวย หล่อ ฯลฯ

มันเป็นสิ่งสมมติ
เราอยู่กับสิ่งสมมติ

ต่อให้เราหลับนอนกับผู้หญิงค่อนโลก
เราก็ไม่มีความสุขหรอกครับ
ถ้าเราไม่มีความรัก ความผูกพันอยู่ในนั้น

และหากรักอย่างเดียว
โดยไม่รู้จักปล่อยวาง
เราจะทุกข์เพราะรักไปนานแสนนาน

เพราะถึงวันหนึ่งคนที่เรารักจะต้องเหี่ยวเฉา
เขาจะต้องแก่ตัวลง ฟันฟางหลุดร่วง

เราทำให้ความสวยหล่อนั้นคงทนถาวรไม่ได้


แต่คนสองคนจะรักกันอย่างดีที่สุดได้
หากเรารู้ว่ามันยังมีสิ่งที่สวยงามกว่าความงามทางร่างกาย
นั่นคือ จิตใจที่อ่อนโยน ความรักที่จริงใจ การดูแลเอาใจใส่กันและกัน
ความห่วงใย การเห็นคุณค่าในตัวคนที่เรารัก ฯลฯ


สิ่งต่างๆเหล่านี้เอาชนะความตายได้
สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เรารู้ว่าทำไมเราถึงจูบคนๆนี้ได้โดยไม่เบื่อ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปีก็ตาม



..........................................






เราศึกษาความจริงของชีวิตผ่านความตายได้
และนั่นไม่ได้ทำให้เราเบื่อหน่ายในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
เพียงแต่เรากลับยิ่งเห็นคุณค่าของคนที่เรารัก
เรากลับยิ่งได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความไม่คงทนทั้งหลายทางกายอย่างเข้าใจ


เราจะมองเห็นคนรักเป็นมากกว่าสิ่งตอบสนองทางเพศ
เราจะมองเห็นเขาหรือเธอเป็นมากกว่าสิ่งเร้าทางความรู้สึก

แต่คนรักของเราได้กลายมาเป็นครูทางธรรม
ที่สอนเราให้อยู่กับความเป็นจริงแห่งชีวิต
อยู่กับความไม่แน่นอน อยู่กับสิ่งที่ไม่คาดหมาย
อยู่กับสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา



แล้วเราจะรักเขาอย่างไรให้ดีที่สุด

รวมถึงไม่เจ็บปวดมากนัก
เมื่อถึงวันที่ต้องจากลา
ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายต่อกันก็ตามที




ปล. ถ้าเราไม่ได้กลัวหรือจิตอ่อน
มีเว็บมากมายที่มีภาพเกี่ยวกับอสุภกรรมฐาน
ลองหาเวลาและโอกาสในการศึกษาดูนะครับ
ค่อยๆเริ่มต้นจากภาพที่ไม่น่ากลัวมากนัก
แล้วค่อยขยับไปเรื่อยๆ....

พี่ก๋าเองไม่ได้เก่งกล้าสามารถหรอกครับ
แม้จะดูแค่ภาพก็ยังหวั่นไหวในบางครั้ง
ถ้าต้องไปดูจากของจริง
ก็คงต้องฝึกอีกมากจริงๆกว่าจะทำได้โดยสติไม่กระเจิง

ปล.2 ใช้คำว่า "รูปอสุภกรรมฐาน" เสิร์ชในกูเกิ้ลดูก็ได้ครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 25 มีนาคม 2555 8:00:48 น.  

 

แวะมาทักทายนะคะ

 

โดย: FairyG 25 มีนาคม 2555 12:32:02 น.  

 

From : กะว่าก๋า [25 มีนาคม 2555 16:20]


ทุกคนอยากได้เมียสวย รวย เก่ง
ผู้หญิงอยากได้สามีหล่อ รวย เก่ง

คนสมบูรณ์แบบแบบนั้นไม่มีอยู่จริงหรอกครับ
หรือถึงมีอยู่ก็น้อยมาก

การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบนั้นต่างหาก
ที่ทำให้เรามองเห็นความงามในตัวผู้หญิงที่ใครอาจจะมองว่าไม่สวย

สวยหล่อก็เหมือนรสนิยมอาหารครับ
ไม่มีใครชอบเหมือนกันหรอกครับ
ขาวใสแบบเกาหลีไปยืนอยู่แถวแอฟริกาก็อาจไม่มีใครมองนะครับ

^^

 

โดย: แปะ (เสือย้อมแมว ) 25 มีนาคม 2555 16:24:31 น.  

 

ดึกแล้วไม่เสิร์ฟอาหารนะคะ กระเดี๋ยวอวบกันยกใหญ่ . . .

มีกาแฟ ของ S&P มาฝาก คุณแปะนะ จะได้นอนไม่หลับกันทั่วหน้า . . อ่ะจิ๊




 

โดย: กาปอมซ่า 25 มีนาคม 2555 21:27:20 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 26 มีนาคม 2555 6:16:46 น.  

 

พี่ก๋าเจอการศึกษาที่ไม่ประทับใจ
เลยไม่อยากให้ลูกเจอแบบที่ตัวเองเจอมา
เพราะรู้สึกแค่ว่า
ถ้าเด็กไม่รักการเรียนรู้เสียแล้ว
อย่างอื่นก็มีปัญหาแน่ๆ
โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาในชีวิต

อย่างเรื่องเรียนพิเศษ
พี่ก๋าไม่เคยเรียนเลยตั้งแต่เด็กจนโต
ไม่เคยเห็นความสำคัญเลยครับ
แต่เกรดก็ไม่ตกนะ ขอแค่ตั้งใจเรียนในห้องให้ดีก็พอแล้ว
แล้วก็ขยันอ่านหนังสือเอาเอง


ถ้ามีคนชอบในสิ่งที่เราทำ
มันจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
จริงครับ --- แต่เราก็ต้องยิ่งใหญ่ในตัวเราไปด้วยเช่นกัน



 

โดย: กะว่าก๋า 26 มีนาคม 2555 7:17:25 น.  

 

คุณลุงเสือ

อรุณสวัสดิ์ค่ะ ไหว้งามๆ

 

โดย: H. sapiens 26 มีนาคม 2555 7:59:57 น.  

 

เมื่อออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ . . . ย่อมไม่อ้วน

เมื่อไม่อ้วน . . . ย่อมหม่ำๆ ได้อีก เนอะๆ

ว่าแล้วก็ส่งมื้อเย็นอ่ะ

V

 

โดย: กาปอมซ่า 26 มีนาคม 2555 17:12:22 น.  

 



มาสวัสดียามดึกค่ะ ลุงเสือ

 

โดย: H. sapiens 27 มีนาคม 2555 3:31:05 น.  

 

โหๆ ลุงเสือยังไม่นอนหรอ นอนดึกจังนะค่ะ(หรือนอนแล้ว? หรือโต้รุ่งค่ะ?)

ไม่เข้าชมรมหมีแพนด้านะค่ะ เพราะเข้าชมรมซอบบี้ผีเดินได้ไปแล้วค่ะ

 

โดย: H. sapiens 27 มีนาคม 2555 3:46:00 น.  

 

หวัดดีครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 27 มีนาคม 2555 6:43:38 น.  

 

จะรับแต่ชอบ...........

ไม่รับผิด . . . นะจ๊ะ


วันนี้มีน้ำแตงโมปั่นมาฝากจ้า

 

โดย: กาปอมซ่า 27 มีนาคม 2555 19:04:00 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณเสือ
มีที่ปรึกษาระดับขั้นเทพเลยเน้อ

Click here to get more Friendship Glitter Greetings from MasterGreetings.com

 

โดย: pantawan 28 มีนาคม 2555 0:58:04 น.  

 

เทพมากครับ ขนาดข้งเบ้งยังอายเลย 555

ล้อเล่นครับ 55

เมื่อตอนเรียนอยู่ ม.ต้น ตอนนั้นบ้าอ่านหนังสือธรรมะอยู่นะครับ
พอดีไปอ่านหนังสือที่ ซีเอ็ดบุ๊ก แล้วไปเจอเรื่อง หมื่นตา
เล่าเรื่องได้แปลกมากครับ เลยตามไปดูที่เน็ต ชอบหมื่นตามากครับ ตามอ่านทุกอันเลย ยังไงม่พอ ซื้อกระดาษปริ้นรูปมาปรึ้น หมื่นตาเก็บไว้อีก และก็มาสมัคร พันทิปนี่แหละครับ
แล้วก็ตายตัวไป เฟี้ยว ๆ ๆ ๆ ๆ

ทำไมถึงกลับมาเล่นพันทิป
พอมาอยู่กรุงเทพใหม่ๆ แม่สงมอเตอร์ไซค์ มาให้ทางไปรษณีย์
กำลังออกไปเล่นฟิตเนส ตอน ตี 5 ครึ่ง พอถึง ดันมาเจอตำรวจ อีก โดนมันเรียก 500 บ้าไปแล้ว 200เว้ย แหม มีแอบซุกคู่มือรถผมเข้าป้อม ต้องตามไปทวงอีก ยึดใบขับขี่อีก ต้องไปจ่ายที่ สน. 200 เลยมาโพสด่า ที่ห้อง ไร้สังกัด
และพอดีมีปัญหาเรื่องความรัก เลย มาโพสในห้องสยามสแครว์
ได้คำตอบดีดีมากมาย แต่ท้ายสุด รักก็จบไป เหลือไว้เพียง คราบน้ำตาที่เลอะเต้มห้องนอน ตอนนั้นสิ้นหวังหมดทุกทุกอย่างแล้ว เลยยิงคำถามไปให้พี๋ก๋า โดยเน้นกำชับไว้ตอนท้ายด้วยว่า ขอบคุณครับที่กรุณาตอบ 55
ไม่อยากปลงเลย แต่สุดท้ายปลงตามพี่ก๋า 55

เสียดายที่ถามพี่ก๋า ตอนที่รักจบไปแล้ว

ตอนที่ถามดูจากรูปนึกว่าพี่ก๋าอายุ 26-27

แท้จริงแล้ว พี่ก๋าคือรุ่นใหญ่






 

โดย: เสือย้อมแมว 28 มีนาคม 2555 1:27:11 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับพี่


อิอิอิ



พี่ก๋าเป็นรุ่นใหญ่อะไร
มีแต่พุงใหญ่ครับ
อายุ 27 อยู่ 5555






 

โดย: กะว่าก๋า 28 มีนาคม 2555 6:24:04 น.  

 

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมนะคร้า

 

โดย: mariabamboo 28 มีนาคม 2555 19:57:57 น.  

 

ปอมมาแย้ววววววววววว

มาส่งเสบียงให้คุณแปะ จ้า


มาทานแคนตาลูปปั่น ด้วยกันนะคะ




 

โดย: กาปอมซ่า 28 มีนาคม 2555 21:00:58 น.  

 

ลุงเสือๆ นอนยัง??

แวะมาสวัสดีค่ะ



ไหว้งามๆ

 

โดย: H. sapiens 29 มีนาคม 2555 3:44:05 น.  

 

ยกให้ั้ทั้งจานเลยพี่เสือย้อมแมว


 

โดย: H. sapiens 29 มีนาคม 2555 5:39:41 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ

ตื่นเช้าดีแต๊ๆ 5555




 

โดย: กะว่าก๋า 29 มีนาคม 2555 5:43:45 น.  

 

ยกให้ทั้งจานเพราะยังไม่ได้ทำเลย ให้แต่จานอ่ะ พี่เสือ อิอิ



ชวนๆไปใส่บาตรค่ะ

ไปล่ะค่ะ ไหว้งามๆ ก่อนจากไป

 

โดย: H. sapiens 29 มีนาคม 2555 6:08:18 น.  

 

สมมุติว่าพี่ก๋าเกิดในครอบครัวยากจน
แต่พี่ก๋าชอบทำตัวร่ำรวย ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย
ชอบอยู่สังคมไฮโซ โดยคนในครอบครัวพี่ก๋ายังลำบากอยู่
พี่ก๋าเกิดอายตัวเองที่ไม่นึกถึงความลำบากของครอบครัว
แต่อายที่ต้องบอกคนอื่นว่าเราจน
อายที่ต้องบอกว่าเราไม่มีบ้าน รถ ไม่มีเงิน
อายที่จะให้ผู้อื่นรับรู้ฐานะของตน
กับการคบเพื่อน พี่ก๋าทำใจใหญ่ชอบเลี้ยงคนโน้นทีคนนี้ที

ทำไมเรา present ตัวเองเราต้องเสนอมุมที่ดีที่สุด
เราเข้าไปหาใคร เราต้องเสนอสิ่งที่มีมูลค่าในตัวเราออกไป

กลัวดูถูกหรือ
กลัวไม่ได้รับการยอมรับ กลัว ฯลฯ

เพราะอะไร ?



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 28 มีนาคม 2555
เวลา : 1:40:00 น.




.....................................





พี่ก๋าเคยอ่านบทสัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจแบรนด์เนมชื่อดังระดับโลก
นักข่าวถามว่า


“ทำไมถึงเลือกเป็นตัวแทนขายกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อนี้
ทั้งๆที่ราคาใบหนึ่งแพงระยับ กระเป๋าหนังจระเข้ใบเดียว
ราคา 2 ล้านกว่าบาท”

เธอตอบว่า

“ดิฉันไม่ได้ขายกระเป๋า แต่ดิฉันขายรสนิยม”



.................................



สิ่งนี้คือ การตลาดที่ทำให้เราเชื่อว่า

เราไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ
แต่เรากำลังบ่งบอกตัวตนและรสนิยมผ่านการใช้สมาร์ทโฟน

เราไม่ได้อยู่ในสังคมที่ธรรมดาดๆ
แต่เป็นสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
เราจึงต้องมีบ้านที่ทันสมัย มีรถคันใหญ่ที่ล้ำยุค

มีเพื่อน มีไลฟ์สไตล์ มีความแตกต่าง

ฯลฯ


“รสนิยม” มันเกิดขึ้นเมื่อเราต้องการ “การยอมรับ”

แล้วสิ่งที่คนส่วนใหญ่ใช้เพื่อตัดสินกันว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ
ก็คือ “เปลือกนอก” ที่เราเรียกว่า “รสนิยม” นี่เอง....


เพราะอะไร ?

เพราะมันมองเห็นง่าย ชัดเจน


สวย รวย หรู
หล่อ รวย เก่ง


เปลือกนอกต่างๆเหล่านี้
มองเห็นง่าย รับรู้ง่าย ไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน


แต่เปลือกนอกเหล่านี้
ใช้วัดค่า “ตัวตนภายใน” ได้จริงๆล่ะหรือ ? ......




...........................................




เราอาจมีสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด
มีแท๊บเล็ต โน๊ตบุ๊ค มีคอมพิวเตอร์รุ่นเจ๋ง
แต่แน่ใจแล้วหรือว่ามันช่วยให้เราติดต่อสื่อสารกันดีขึ้น
เราได้ฟังใครบางคนพูดถึงความเศร้าของเขาอย่างลึกซึ้งหรือไม่
เราค้นหาความรักผ่านโลกที่วิ่งเร็วเหนือแสง
โดยเคยหยุดคิดและแยกแยะได้หรือไม่ว่า
โลกไหนคือโลกแห่งความจริงและโลกใดคือโลกสมมติปลอมๆ


เรามีบ้านหลังใหญ่
แต่ในบ้านหลังนั้นมีความอบอุ่นของครอบครัวหรือไม่
มีเสียงเล่านิทานของพ่อแม่ลูกให้ได้ยินบ้างไหม
หรือมีแต่เสียงแอร์ครางฮือพร้อมกับเสียงโหวกเหวกจากละครไร้คุณภาพดังทั้งคืน

เรามีรถคันใหญ่คุณภาพสูง
แต่เราได้ขับมันด้วยสติหรือแค่ขับมันไปด้วยความสะใจไร้สติ


เรามีเงินเป็นกอง มีเสื้อผ้าหรูๆเป็นสิบตู้
มีกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นร้อยใบ
แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้เติมเต็มความสุขของเราได้จริงๆล่ะหรือ



ถ้าสิ่งต่างๆเหล่านี้บอกค่าราคาออกมาได้ว่ามันราคาเท่าไหร่
เราเคยหยุดและคิดบ้างไหม


ว่าตัวตนและคุณค่าที่แท้จริงของเรา
อยู่ตรงที่ใด ?




.........................................





การซื้อข้าวของสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิด
ตราบใดที่เงินในกระเป๋าของคุณมีมากพอ

ของราคาแพง มันก็รับรองรสนิยมและคุณภาพในราคาที่เป็นอยู่

แต่ถ้าจะต้องดิ้นรนจนสุดชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครอง
และการยอมรับในเชิงแค่ไม่อยากให้ใครดูถูก

คงต้องย้อนกลับมาถามว่า

การมีสิ่งต่างๆเหล่านั้นมันทำให้เราได้รับการยอมรับจากคนอื่นอย่างแท้จริงหรือไม่
มันทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงหรือไม่

หรือเป็นเพียงแค่การเติมเต็มความรู้สึกชั่วคราวของตนเอง
แล้วต้องดิ้นรนแสวงหาสะสมไปเรื่อยๆ
ไม่อาจหยุด เพราะตัวตนเราถมไม่เต็มเสียแล้ว
จากความต้องการและความคาดหวังที่เรามีกับตัวเราเอง



.........................................




ที่สุดของการยอมรับ
น่าจะอยู่ที่การยอมรับตัวเอง
ยอมรับและมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงในตัวเรา

ความสุขอยู่ง่าย ใกล้ตัว

เมื่อไหร่ที่เรายอมรับความเป็นจริงของตัวเองได้
ความสุขที่แท้จริงอยู่ไม่ไกล
ไม่ต้องใช้เงินมากอย่างที่คิด
และไม่จำเป็นต้องสนใจกับคำตัดสินที่สังคมมอบให้
หรือไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับสายตาที่มองมาของใครๆ


เมื่อไหร่ที่เราเต็มเปี่ยมในตัวเอง
มองเห็นคุณค่าของตัวเราเอง
เราจะไม่ดูถูกตัวเอง ไม่เหยียดหยามคนอื่น
ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ตัดสินคุณค่าของคนจากสิ่งที่เขามี
แต่เราจะวัดคุณค่าของคนๆหนึ่ง
จากคุณภาพความคิดและวิธีการใช้ชีวิตที่น่าชื่นชมของเขา

นี่ต่างหาก....

คือ “คุณค่า” ที่แท้จริงของคนๆหนึ่ง
ไม่ใช่ “มูลค่า” ของสิ่งต่างๆที่เขาครอบครอง

 

โดย: กะว่าก๋า 29 มีนาคม 2555 7:51:01 น.  

 

เอามาฝากอีกประโยค
จากสมุดบันทึกของพี่ก๋าครับ

.
.
.




ผมไม่กลัวการเป็นคนเชย
ไม่กลัวการเป็นคนตกกระแส
แต่ผมกลัว...
ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง




: มนต์ชีพ ศิวะสินางกูร

(นักร้อง , นักแต่งเพลง)

นิตยสาร : Kid & Family ปีที่ 9 ฉบับที่ 104

 

โดย: กะว่าก๋า 29 มีนาคม 2555 8:16:36 น.  

 

วันนี้ปอมมีไก่ทอด




ทานกับน้ำฝรั่งเย็นๆ



มาฝากคุณแปะจ้า . . . มาทานด้วยกันนะคะ

 

โดย: กาปอมซ่า 29 มีนาคม 2555 19:34:26 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


สวัสดีเช้าวันศุกร์ค่ะ

 

โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว 30 มีนาคม 2555 7:18:25 น.  

 

ตกลงจ้า . . วันนี้พาคุณแปะไปทานขนมไทยด้วยกัน





อร่อยแท้แน่นอน . . . .

 

โดย: กาปอมซ่า 30 มีนาคม 2555 21:21:29 น.  

 

นอนหรือยังคะ คุณเสือย้อมแมว ฝันดีนะคะ

 

โดย: bee_บี 30 มีนาคม 2555 21:22:45 น.  

 

ขอบคุณมากๆครับที่ไปเจิมให้........

"เส้นต่ำกว่า บางทีอาจจะดีกว่าเส้นที่สูงก็ได้"

เห็นด้วยครับ

"ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน" อ่ะครับ


อีกสักประโยดครับ"ไร้วาสนาจึงมีวาสนา มีวาสนาจึงไร้มีวาสนา"

คงเป็นหลักการของศาสนาพุทธเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กระมั้งครับ

ขอบคุณอีกครั้งที่มากระตุ้นความคิดผมครับ

 

โดย: moresaw 31 มีนาคม 2555 7:00:35 น.  

 

แวะมาทักทายค่ะ

 

โดย: amonrat27 31 มีนาคม 2555 7:36:08 น.  

 

แวะทักทายค๊า ^^

 

โดย: ดินสอสีม่วง 31 มีนาคม 2555 8:47:46 น.  

 

รักที่เธอ นั้นให้ฉัน มันมากมาย
ขออยู่เคียง ข้างกายเธอ ยามเหน็บหนาว
จะร่วมทุกข์ ร่วมสุข ทุกเรื่องราว
กับเจ้าสาว ที่แสนดี ของพี่เสือ

**ตอบพี่เสือ**

๐ แต่งโคลงกลอน เป็นด้วย คุณพี่เสือ?
ขอบคุณเผื่อ กลอนนั้น อันชวนสรวล
เปิดเผยโอ่ แบบนี้ มิบังควร
เป็นการชวน แฟนคลับพี่ มารุมยำ


ปล. เพิ่งรู้ว่าพี่เสือแต่งกลอนเป็นด้วยๆ
ปล2. มาเม้นกลอนแบบนี้ เดี่ยวแฟนคลับพี่รุมยำฝ้่ายน้า 555555+

 

โดย: H. sapiens 31 มีนาคม 2555 9:03:24 น.  

 

ขอบคุณนะคะ ที่ให้ความเห็น เคยคิดเหมือนกันค่ะว่า สุดท้ายเราต้องตายจากกันแน่นอน เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับแนวนี้เหมือนกันค่ะ

ความรักไม่มีคำว่าแพ้ชนะหรอกนะคะ เพราะความรักหมายถึงความปรารถนาดี ความรัก คือ การให้ ถ้าเราคิดจะเอาเมื่อไหร่ คิดจะให้ได้ดั่งใจเมื่อไหร่ คิดที่จะเรียกร้องขอสิ่งตอบแทนเมื่อไหร่ เราจะทุกข์ใจเมื่อนั้นเสมอค่ะ

 

โดย: ริเศรษฐ์ 31 มีนาคม 2555 19:33:47 น.  

 


วันนี้ฝนตกที่กรุงเทพ . . . ปอมเลือกเสิร์ฟชา ดอกไม้ให้คุณแปะ . . . เผื่อว่าที่ลำปางจะตกด้วย . . . ร่างกายจะได้อบอุ่นนะคะ




มีขนมปังไส้แครนเบอร์รี่ แบบอุ่นๆ จากเตา ฝีมือปอมเองมาฝากด้วยจ้า





มีความสุขในวันหยุดนี้นะคะ

 

โดย: กาปอมซ่า 31 มีนาคม 2555 20:12:41 น.  

 

ขอเข้ามาขอบคุณที่เข้าไปเยี่ยม ที่บ้าน และเข้ามาอ่านข้อความ แล้วก็อยากแสดงความคิดเห็นค่ะ เคยคิดเหมือนกันว่า เคยสูญเสียคนที่รักไป คือคุณแม่แล้วก็คิดว่า ถ้ามีเหตุการณ์ คล้ายๆๆ กันแบบนี้เกิดขึ้นอีก จะทำอย่างไร กับใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ก็พยายาม หาคำตอบ อยู่หลายครั้ง นะค่ะ แต่ก็ได้คำตอบให้ตัวเองว่า เราต้องอยู่ให้ได้ และ ต้องทนให้ได้เพราะคนเรา มีมา ก็ต้อง มีจาก ไม่ว่าจะจากเิป็น หรือ จาก ตาย แต่ส่วนที่เหลือไว้คือ อะไร

ดังนั้นปัจจุบัน จึงพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เท่าที่ จะทำได้ เพื่อวันข้างหน้าอะไรจะเกิดก็ไม่ต้อง เป้นกังวลว่า เรายังไม่ได้ทำอะไรให้ คนที่เรารักได้ ชื่นใจเลย ขอให้รักจงเจริญ ค่ะ

มีความสุขทุกวันนะค่ะ

 

โดย: dongdee 1 เมษายน 2555 0:01:56 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณเสือ
พักผ่อนอย่างมีความสุขนะคะ
ชิมมะม่วงน้ำปลาหวานกัน อร่อยยยยๆ

คุณเสือ

 

โดย: pantawan 1 เมษายน 2555 1:19:25 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณเสือ
แวะมาทักทาย
มีความสุขกายสบายใจในวันหยุดนะคะ
นอนดึกจัง ทานรอบดึกเดี๋ยวอ้วนนะ
ป่านนี้ตื่นยัง ไปเที่ยวไหนป่าวคะ


 

โดย: pantawan 1 เมษายน 2555 12:42:01 น.  

 



โอ้ .. ดี.ก็อยาก 16-17 อีกครั้งนะคะนั่น
มีความสุขในวันหยุดนะคะ

 

โดย: d__d (มัชชาร ) 1 เมษายน 2555 13:16:28 น.  

 

ฮ่าา ท่าทางเจ้าของบล๊อกจะรักคนง่ายน่ะค่ะ
แอบสงสัยทำไมไม่อัพบล๊อกมั้งล่ะเนี่ย เขียนตั้งแต่
เรียนมวย ตอนนี้ปี 55 คงเป็นมวยไปแล้วล่ะมั้ง เอิ้กๆ

 

โดย: ยัยน้ำตาลเปรี้ยว 1 เมษายน 2555 16:47:38 น.  

 

ปอมมาส่งมื้อดึกจ้า . . . คุณแปะ




หม่ำๆเสริมความอวบ

ราตรีสวัสดิ์จ้า

 

โดย: กาปอมซ่า 1 เมษายน 2555 22:00:55 น.  

 

แวะมาขอบคุณสำหรับ คำอวยพรวันเกิดที่แวะไปให้เจนที่บล็อคค่ะ

ขอให้คุณเจ้าของกระทู้มีความสุขมากๆเ่ช่นกันนะคะ

 

โดย: JenNy & Tristan @ The UK 2 เมษายน 2555 0:13:06 น.  

 

วันนี้ ปอม ชวนคุณแปะ มาทานมื้อค่ำด้วยกัน

เป็นข้าวกระเพรากุ้ง + ไข่เจียว




กับชามะนาวเย็นๆจ้า



จะได้อวบๆ เป็นเพื่อนกัน

 

โดย: กาปอมซ่า 2 เมษายน 2555 20:23:00 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณเสือ
ไม่ได้ไปเที่ยวเลยค่ะ ทำงานและก็ทำงานค่ะ
มีเครื่องดื่มมาฝาก



 

โดย: pantawan 3 เมษายน 2555 0:36:08 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


สวัสดีเช้าวันอังคารค่ะ

 

โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว 3 เมษายน 2555 7:38:46 น.  

 

ทำไมเสือต้องย้อมแมวอะงับ
ทำไมไม่แมวย้อมเสืออะงับ

 

โดย: bee_บี 3 เมษายน 2555 13:13:25 น.  

 

แวะมาทักทายตอนบ่ายๆนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 3 เมษายน 2555 14:38:02 น.  

 

ความรักสวยงามเสมอค่ะ

 

โดย: หวาน หวาน ได้อีก 3 เมษายน 2555 16:35:53 น.  

 

ขอบคุณที่แวะมาอวยพรวันเกิดให้ครับ

 

โดย: Lee (zmake27 ) 3 เมษายน 2555 17:38:48 น.  

 

สวัสดียามค่ำค่ะ คุณแปะ

วันนี้ปอมมีข้าวแช่มาฝากนะคะ

ข้าวสีไม่ค่อยสวย . . เพราะเป็นข้างกล้องงอก
ปอมว่าดีกับสุขภาพมากกว่าข้าวขาวค่ะ



มีความสุข สดชื่น ในฤดูร้อนนี้นะคะ

 

โดย: กาปอมซ่า 3 เมษายน 2555 21:02:48 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณเสือ
สามแก้วไม่อ้วนหรอก จะได้เลือกว่าชอบแก้วไหน

ยกมาฝากอีก

 

โดย: pantawan 4 เมษายน 2555 1:25:30 น.  

 

สวัสดียามค่ำจ้า คุณแปะ

วันนี้ปอมมีข้าวผัดปู + ไข่ดาว



พร้อมเครื่องดื่ม . . . ชาเย็น



มาฝากกัน . . ในวันเวลาดีๆนะคะ . . .

 

โดย: กาปอมซ่า 4 เมษายน 2555 21:27:25 น.  

 

แวะมาทักทายตอนดึกครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 4 เมษายน 2555 22:07:57 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณเสือ
แวะมาเยี่ยม สบายดีไหมคะ

นอนอิ่มแล้วกลางคืนจะนอนหลับไหมเนียะ
วันนี้ไม่เสริฟแระ คุณปอมเสริฟเยอะ เดี๋ยวอ้วนจะไม่หล่อ

 

โดย: pantawan 4 เมษายน 2555 23:26:16 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


สวัสดีเช้าวันพฤหัสบดีค่ะ

 

โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว 5 เมษายน 2555 7:26:33 น.  

 

หวัดดียามเช้าครับน้อง


 

โดย: กะว่าก๋า 5 เมษายน 2555 8:06:03 น.  

 

ผู้ไม่มีอะไรให้กังวล ย่อมมีแต่ความสุข

 

โดย: Author online 5 เมษายน 2555 14:32:13 น.  

 

อิ...อิ...

ไว้คุณแปะน้ำหนักขึ้นครบ 20 โลแล้วปอมค่อยรับผิดชอบนะจ๊ะ

ระหว่างนี้ . . .


ปอมมีกุ้งกระเบื้อง



และชาดอกคาร์โมมายด์



มาฝากนะคะ . . .

มีความสุขกับวันหยุดยาวจ้า

 

โดย: กาปอมซ่า 5 เมษายน 2555 19:34:07 น.  

 

แถวบ้านเจนก็มีที่สอนชกมวย ฝึกมวยไทยอยู่ค่ะ ฝรั่งมาเรียนกันเยอะ

นี่เจนยังคิดว่า ถ้าลูกชายเจนโต จะถามเค้านะ ว่าเค้าสนใจมวยไทยไหม อิอิอิ

 

โดย: JenNy & Tristan @ The UK 5 เมษายน 2555 23:21:03 น.  

 

ฮ่าๆๆๆๆ หม่ำวันละ 6 มื้อ ก็ไม่ต้องหลับต้องนอนแล้วจ้า

ปอมมาชวนคุณแปะทานขนมวันหยุด ค่ะ




สดใสๆ ในวันศุกร์นะคะ

 

โดย: กาปอมซ่า 6 เมษายน 2555 12:14:27 น.  

 

ตอนเด็กหมอให้กินนมกระป๋อง

.
.
.

หมิงหมิงทานนมแม่จนเกือบสองขวบเลยครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 6 เมษายน 2555 16:08:32 น.  

 

โถน้องฝ้าย หายไป ไม่ล่ำลา
ทำให้พี่ มีน้ำตา บนแก้มเสือ
เพราะพี่กิน มะม่วง จิ้มน้ำเกลือ
มันเปรี่ยวเสีย น้ำตา จึงไหลริน


โดย: ซาราฮังโย (เสือย้อมแมว ) วันที่: 6 เมษายน 2555 เวลา:18:58:29 น.

-------------------------------------------------

ต่อไม่ไปอ่ะ... 55555+



มาเยี่ยมพี่เสือ เดียว ฝ้ายคิดกลอนต่อพี่เสือได้เดียวมาเล่นด้วย 555555+

 

โดย: H. sapiens 6 เมษายน 2555 19:31:34 น.  

 

จะไม่เอาอะไรอีกแล้ว
ต่อไปนี้จะตั้งใจเพื่อแม่
ผมจะพยายามเป็นลูกที่ดี


.
.

จดไว้ในใจ
แล้วทำให้ได้นะครับ

พี่ก๋าเชื่อว่าเราทำได้
และเป็นสิ่งที่ควรทำ


ไม่มีใครเปลี่ยนตัวเองไม่ไ่ด้
มีแต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง


 

โดย: กะว่าก๋า 7 เมษายน 2555 8:19:41 น.  

 

แวะมาขอบคุณค่ะ

 

โดย: Calla Lily 7 เมษายน 2555 9:51:28 น.  

 

หวัดดีครับ

พี่ก๋ากำลังนั่งอ่านคำถามแรกที่เราส่งมาให้พี่ก๋าอยุ่เลย 555
กำลังเอามาทำเป็นต้นฉบับลงที่บล็อกอีกรอบครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 8 เมษายน 2555 8:11:06 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 9 เมษายน 2555 6:43:58 น.  

 

ครายยยยยยยยยยยย

ครายบ๊องเจ้าคะ

นี่แนะๆ

ปอมมีมื้อสายๆมาฝากพี่แปะ

เป็นแซนวิช



ทานคู่กับ ชาเขียวร้อนค่ะ




วันนี้อากาศดี . . . สดใสๆจ้า . . หม่ำๆแล้วจะได้อวบๆๆ

 

โดย: กาปอมซ่า 9 เมษายน 2555 10:56:33 น.  

 

พี่ก๋าไม่ได้เล่นน้ำสงกรานต์มาสัก 10 ปีแล้วครับ 555
ไม่ค่อยได้เปียกน้ำกับเขาหรอกครับ

อยู่บ้าน พักผ่อนครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 9 เมษายน 2555 10:58:06 น.  

 

ทำไมต้อง bee_บีอ่ะค่ะ
ทำไมไม่ บี_beeอ่ะค่ะ
.
.
.

มีคนใช้แล้วอะงับ

 

โดย: bee_บี 9 เมษายน 2555 11:08:50 น.  

 

เกิดปีขาลเหรองับ

 

โดย: bee_บี 9 เมษายน 2555 12:42:06 น.  

 

สวัสดีครับ

 

โดย: panwat 9 เมษายน 2555 19:53:04 น.  

 

ผมกลับลำปางก่อนนะครับ แล้วจะมาทักทาย เป็นคราวๆไป งับ จะมาประจำการบ่อยๆหลัง 25 เม.ยไปแล้วนะครับ

 

โดย: เสือย้อมแมว 10 เมษายน 2555 0:04:22 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ

เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 10 เมษายน 2555 6:33:31 น.  

 

มาฝากกลอนถึงน้องบี
ไว้ที่บล้อกพี่ก๋าเลยนะ
เดี๋ยวคิดค่าเช่าพื้นที่ซะเลย 555


 

โดย: กะว่าก๋า 10 เมษายน 2555 7:16:34 น.  

 

อยู่ลำปางหรอคะ เจนอยู่พิโลกค่ะ

บ้านใกล้เรือนเคียงกันเลยเน๊าะ อิอิอิ

 

โดย: JenNy & Tristan @ The UK 11 เมษายน 2555 1:28:06 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 11 เมษายน 2555 6:26:05 น.  

 

ทำไมผู้หญิงรักสวยรักงาม

สมองเชื่อมโยงกับจิตใจหรือไม่

เมื่ออารมณ์หนึ่งหายไปอีกอารมณ์ก็เข้ามาแทนที่
ทำอย่างไรเราจะรักษาอารมณ์นั้นไว้ให้คงอยู่เสมอไป





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 9 เมษายน 2555
เวลา : 21:52:00 น.






“อารมณ์” ความรู้สึกเกิดจาก “ความคิด”
“ความคิด” เกิดจาก “การรับรู้”
“การรับรู้” เกิดจากมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น
ได้รับรส ได้สัมผัส

แล้วนำทุกสิ่งไปคิดต่อที่ “สมอง”
จากนั้นจึงสร้าง “อารมณ์” ขึ้นมา
ว่าจะเกิดอารมณ์เช่นใดหลังจากใช้ความคิดประดิษฐ์ความรู้สึก


ถ้ามองตามรูปการณ์นี้
ถ้าเราไม่อยากเกิดอารมณ์
ก็แค่ปิดช่องทางการรับรู้

ทำหูให้หนวก ทิ่มตาให้บอด ตัดลิ้นทิ้ง
ตัดมือทิ้ง ไม่แตะต้องใคร อุดจมูกเอาไว้ไม่ต้องรับกลิ่น


คำถามคือ ถ้าเราทำอย่างนั้นได้จริง
“การรับรู้” จะไม่เกิดขึ้นจริงๆล่ะหรือ


สมองเชื่อมโยงกับจิตใจไหม ?


คำถามนี้พี่ก๋าคิดว่าถ้ามองให้ง่าย
ก็เหมือนการใช้ “เหตุผล” หรือ “ความรู้สึก” ในการตัดสินใจ

ไม่เพียงแต่ผู้หญิงหรอกนะครับ
ผู้ชายก็เป็นครับ สัตว์โลกทุกชนิดก็เป็น

ในบางสถานการณ์เราจึงต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง
ว่าจะใช้หัวใจตัดสิน หรือใช้สมองคิดค้นหาคำตอบและหนทาง


“อารมณ์” ที่เกิดขึ้นกับเราทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาต
ความพยาบาท ความรื่นเริง ความรื่นรมย์ ความสุข
ความทุกข์ ความหวัง ความดี ความงาม ฯลฯ


ไม่มีอารมณ์ใดที่คงทนถาวรเลย

มันมาแล้วมันก็ไป
แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
ตามแต่ “ข้อมูล” ที่วิ่งเข้ามากระทบตัวเราผ่านทางการรับรู้
และการคิด....

ร่างกายสวยๆ ดอกไม้ รถยนต์คันหรู
หนุ่มหน้าตาดี เสื้อผ้าราคาแพง กระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เราเกิดความอยาก
อยากได้มา อยากครอบครอง อยากรักษาเอาไว้
ถ้าไม่ชอบ ไม่พึงพอใจก็อยากผลักไสไปไกลตัว


แต่ทุกสิ่งที่เราขวนขวายอยากได้มา
มี “ระยะเวลา” ของมัน
และไม่อาจดำรงตัวให้อยู่อย่างคงทนถาวรได้เลย
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งใดก็ตาม



การเฝ้าพยายามรักษาอารมณ์
ก็เหมือนการที่เราหยิบทรายริมหาดทรายขึ้นมากำเอาไว้
ไม่ว่าเราจะกำมือแน่นแค่ไหน
ทรายก็ยังคงไหลลงตามร่องนิ้วอยู่ดี


“อารมณ์ความรู้สึก” ก็เช่นกัน
ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์
รู้สึกดีหรือรู้สึกแย่เพียงใด
เราก็รักษามันเอาไว้ในตัวเราไม่ได้ตลอดไป
ถึงเวลาหนึ่งมันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัยแวดล้อมที่มี



และเราไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งเฝ้าดูอารมณ์
หรือความคิดของตนเองตลอดเวลา
พี่ก๋าคิดว่าให้เราแค่ “รู้ทัน” อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
รับรู้ ปล่อยให้มันคิดและรู้สึกไปตามสัญชาติญาณ
แต่ขอให้เรามีสติกำกับและรู้ทันทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้น
รู้ทันว่าทุกๆสิ่งที่ผ่านเข้ามานั้น....

มันมาแล้วมันก็ไป
ยึดฉวย ยึดถือเอาไว้ไม่ได้เลย


ถ้าบอกเตือนตนไว้ได้บ่อยๆ ทำได้สม่ำเสมอ
เราจะไม่สุขจนล้น หรือทุกข์จนเกินพอดี


แต่จะใช้ชีวิตไปตามที่เป็นด้วยความเข้าใจชีวิตครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 11 เมษายน 2555 8:12:20 น.  

 

: งมงาย :


เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่รอเธอ ฉันจำไม่ได้
ที่จำได้ดีคือฉันมีเพียงเธอ แม้นานสักแค่ไหน

เธออยู่ที่ใดยังรักกันไหม ฉันไม่รู้
แต่ที่รู้คือฉันนั้นยังไม่เปลี่ยนใจ
ยังอยู่ตรงนี้ถึงแม้จะเหงาและเดียวดาย

ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ
ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป
ไม่ว่าใครจะมองว่าฉันงมงาย ฉันก็ยังเหมือนเดิม

เมื่อเธอมีทางชีวิตไม่เหมือนฉัน ฉันห้ามไม่ได้
แต่ฉันจะมีชีวิตเพื่อรอเธอ แม้วันสุดท้าย

เกิดมาได้เจอคนที่ตามหามานานแสนนาน
ทำให้รู้ว่าเธอมีค่ามากแค่ไหน
จะอยู่ตรงนี้ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เหลือใคร


จะรอแค่เธอถึงแม้ใครหาว่างมงาย

ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ
ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป
ไม่ว่านานเท่าไรยังมีเพียงเธอ

(ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันมีเธอคนเดียวในหัวใจ)
ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะรักเธอ


กับเพลง....





: รับได้ทุกอย่าง :

รู้อยู่แก่ใจ ว่าเธอไปไหนมา
เห็นอยู่ตำตา ว่าเธอไปกับเขา
นับได้เกือบเดือน ที่ฉันไม่เจอะเธอแม้เงา
รู้รึเปล่า ว่าฉันคิดมากเท่าใด

แค่หลับตาลง ก็พอนึกภาพออก
ไม่บอกก็รู้ ว่าเธอทำอะไร
เมื่ออยู่กับเขา เธอเองคงจะใจถึงใจ
คิดเมื่อไหร่ มันเหมือนมีดกรีดทุกที

แต่กลับมาเถอะที่รัก ถ้าวันนี้เขาไม่แคร์
จะกลับมาอย่างคนแพ้ ก็ไม่ต้องลำบากใจ
จะไม่เอ่ยถามซักคำ จะไม่ตอกย้ำซ้ำเติมหัวใจ
จะโอบกอดเธอ แม้ว่าเธอเคยกอดใคร
ไม่เป็นไร ฉันรับได้ทุกอย่าง

ฉันจับมือเธอ ด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ
ไม่อยากจะคิด ว่าเหลือซักแค่ไหน
ทุกสิ่งที่ฉัน ได้เคยเฝ้าถนอมด้วยหัวใจ
เธอคงให้ ให้เขาไปหมดแล้ว


ไม่เป็นไร ฉันรับได้ทุกอย่าง



ชายคนที่เป็นแบบเพลงแรกหรือเพลงนี้ใครเศร้ากว่ากัน



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 9 เมษายน 2555
เวลา : 22:02:00 น.







-1-



ในเช้าวันหนึ่งอยู่ดีดีคอมก็ไม่มีเสียง
ชายหนุ่มพยายามซ่อมคอมของเขา
แต่ไม่ว่าจะกดคลิกไปที่ปุ่มใด
คอมก็ไม่มีเสียงใดใดเล็ดลอดออกมา....

เขาลงไดร์ฟเวอร์ใหม่
ลงโปรแกรมเล่นเพลงใหม่อีกครั้ง

แต่คอมยังคงเงียบเสียงเช่นเดิม


เขาโทรไปตามช่างประจำของตนเอง
ช่วงบ่ายช่างเดินทางมาที่บ้าน
ใช้เวลาเช็คและบู๊ทเครื่องใหม่เกือบ 40 นาที
ช่างจึงหันมาบอกเขาว่า

“สงสัยจะเป็นหนักเลยครับ อาจต้องเปลี่ยน Sound card
พรุ่งนี้จะเข้ามายกคอมไปซ่อมให้
ขอเวลาเช็คคอมสัก 3-4 วันนะครับ ”

หลังจากช่างกลับไป
เขานั่งลงแล้วเปิดคอมที่ไร้เสียง
ดูภาพเคลื่อนไหวแต่ไม่มีเสียงใดใดอย่างหงุดหงิดใจ
เพิ่งซื้อมาแท้ๆ ทำไมเสียเร็วแบบนี้

แล้วสายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็น
แจ๊คลำโพงหลุดออกจากตัวลำโพง
เขาหยิบมันเสียบเข้าไป

แล้วเสียงเพลงก็ดังออกมาจากคอม.....







-2-



วันก่อนเขาเปิดตู้เย็น
ค่อยๆนั่งดูห่อขนม ช็อกโกแลต เจลลี่
กล่องน้ำผลไม้ ผลไม้สด

ตรวจวันหมดอายุ
แล้วค่อยๆเลือกออกมาทิ้งลงถังขยะทีละชิ้นๆ

ไม่น่าเชื่อ….มันเยอะอย่างคาดไม่ถึง


ขนมกรุบกรอบบางถุงเปิดทานไม่หมด
เก็บไว้นานเกือบหกเดือน
มันถูกยัดไว้ด้านในสุดของตู้เย็น
แล้วถูกลืมเลือนไป


ผักอบกรอบแบบเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกันสองถุง
ถูกกินทิ้งไว้อย่างละครึ่งถุง
ทิ้งนานจนหมดอายุและไม่กรอบ


เจลลี่หมดอายุไปนานเกือบสามเดือน

นมสดเหลืออีกสองวันจะหมดอายุ



ของทุกอย่างมีวันหมดอายุ
การเก็บรักษาบางสิ่งบางอย่าง
เป็นการเก็บเพื่อรอวันทิ้งเท่านั้นน่ะหรือ ?






-3-



หลายครั้งในชีวิต
คนเรามีเรื่องเศร้า เรื่องราวเจ็บปวดและความทุกข์มากมาย
ตั้งแต่ทุกข์กับเรื่องเล็กๆที่ดูไม่เป็นสาระ
จนถึงความเจ็บปวดระดับลึกไปถึงจิตวิญญาณ


หลายคนเศร้ากับสิ่งที่ตนเองไม่มี
แต่หลายคนเศร้าเพราะไม่เคยรู้ว่าตนเองมีสิ่งนี้
แล้วออกไปเที่ยวเสาะแสวงหามันจากนอกตัว



เราแก้ปัญหาง่ายๆ อย่างยุ่งยาก
แล้วทำให้บาดแผลในใจลุกลามไปด้วยการแก้ไขแบบผิดวิธี
จากนั้นยังจับความทุกข์มาแช่แข็งไว้ในใจ
ปล่อยให้ทุกข์นั้นหมดอายุในใจเรา
กินก็ไม่ได้กิน แต่เก็บมันไว้รกใจ
โดยไม่เคยคิดจัดระเบียบความรู้สึกในใจตนเอง



การปล่อยชีวิตให้จมอยู่กับอดีตที่กลับไปแก้ไขไม่ได้
หรือการฝันลมๆแล้งๆถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
เพ้อไปวันๆว่าคนที่เราเคยรักจะกลับมา
สิ่งที่เราสูญเสียจะมีสิ่งที่ดีกว่าเข้ามาทดแทน
โดยที่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการคิดฝันเพ้อพก
นั้นไม่ต่างอะไรกับการแช่แข็งความทุกข์เอาไว้ในใจตนเองทุกเมื่อเชื่อวัน


คนบางคนจึงต้องทนเจ็บปวดอยู่กับความทุกข์เก่าๆอย่างเนิ่นนาน
เพราะไม่อาจปล่อยวางทุกข์นั้นไปจากความคิดและความรู้สึก


และที่สำคัญไม่เคยหยุดและมองเลยว่า
ความทุกข์ที่เรามีอยู่นั้น....


บางทีมันก็แค่แจ๊คเส้นเล็กๆ
ที่หลุดหลวมไปจากลำโพงแห่งชีวิตเท่านั้นเอง

 

โดย: กะว่าก๋า 11 เมษายน 2555 8:12:43 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณเสือ
ไปเที่ยวอุทัยธานีมา
ซื้อขนมปังสังขยาร้านไพพรรณมาฝากค่ะ




สงกรานต์ไปเที่ยวไหนหรือป่าวคะ

 

โดย: pantawan 11 เมษายน 2555 17:05:12 น.  

 

ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันนะคะ

 

โดย: ปลาทอง9 12 เมษายน 2555 2:08:32 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 12 เมษายน 2555 6:18:55 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


ทักทายกันกับเทศกาลแห่งความสุข
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ

 

โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว 12 เมษายน 2555 7:02:31 น.  

 

เมื่อคนที่เรารัก เขาไม่ให้เราเป็นที่หนึ่งในใจของเขา
เราควรรักเขาต่อไปไหม
ทั้งที่หัวใจมันพยายามบอกให้เลิกราไป

สับสน อารมณ์สองอารมณ์มันตีกันอยู่
ใจหนึ่งก็รู้ว่าเธอน่ารัก เธอคือคนนั้นที่ใจฉันรอมานาน
แต่อีกใจก็คอยเตือนว่ารักนี้มันจบแล้ว
ทำอย่างไรรักมันก็ไม่เหมือนเก่าอีกแล้ว

เหมือนคนติดยา ขาดมันไม่ได้
ต้องย้ายที่หนีไปไหม หนีเพื่อน หนีทุกคนที่เคยรู้จัก
เพื่อที่จะได้ลืมเธอไป

พอมีเธออยู่เรากลับมีความสุข
พอไม่มีเธอความทุกข์มันก็เข้ามาเยือน

ใจหนึ่งล้า และอยากหยุดรัก
แต่ใจหนึ่งยังมีหวัง และสร้างความหวังอยู่เสมอ

บอกกับตัวเองว่า เธอไม่แคร์ เธอไม่แคร์
เธอไม่แคร์เราแล้ว.......

ไม่รู้ว่าเมื่อรักไปแล้ว แต่ท้ายสุดไม่ได้อะไรกลับมา
เธออาจไม่มีใจเลย

ถ้ามันเป็นอย่างนั้นผมจะได้เข้าใจ และตัดใจจากเธอให้ขาด




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 9 เมษายน 2555
เวลา : 22:14:00 น.



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีชายคนหนึ่งซึ่งแอบหลงรักหญิงสาวคนหนึ่งมากมาย
เขาเขียนคำว่า “ฉันรักเธอ” ไว้ที่ผนังบ้านของเขา
ด้วยสีแดงสดซึ่งเป็นอักษรที่ตัวใหญ่มาก


แต่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
หญิงสาวก็ไม่เคยเหลียวแลเขาเลย
เธอมีชายหนุ่มที่เธอรักมากอยู่แล้ว

ชายหนุ่มคนนี้จึงทำได้เพียงแอบรัก
และมองดูคำว่า “ฉันรักเธอ” บนผนังบ้านไปทุกวันอย่างเจ็บปวดใจ



ไม่นานนัก...เขาทาสีขาวทับลงไปบนคำว่า “ฉันรักเธอ”

แล้วเขียนคำว่า “ฉันไม่รักเธอ” ลงไปแทน


แต่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
เขาก็ยังคงรู้สึกดีกับหญิงสาวคนนี้เสมอ


ทุกวันหลังจากกลับมาจากทำงาน
เขาจะนั่งลงแล้วก็มองไปที่ผนังซึ่งมีตัวอักษรขนาดใหญ่สีดำ
เขียนคำว่า “ฉันไม่รักเธอ” เอาไว้
แล้วใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเงาโดยลำพัง.....



นานจนเธอจากไปจากหมู่บ้านนั้น
เกือบจะลืมเลือนเธอไปแล้ว
วันหนึ่งหญิงสาวคนนี้เดินทางกลับมา
วันนี้เขาไม่ได้เป็นชายหนุ่ม
เธอเองก็ไม่ได้เป็นหญิงสาวที่สวยสดงดงามอีกแล้ว

เธอเดินเข้ามาทักทายเขา
พร้อมบอกเล่าเรื่องราวชีวิตคู่ที่ล้มเหลว
บอกเล่าถึงความทุกข์ยากลำบากในช่วงวันเวลาที่ผ่านมา
เขานั่งฟังอย่างเงียบๆ
ราวกับให้โอกาสเธอได้บ่นระบายความทุกข์ในใจออกมาจนหมดสิ้น



แล้วเธอก็สะดุดตากับคำว่า “ฉันไม่รักเธอ” ที่เขียนไว้บนผนัง
เธอถามเขาว่านั่นเขียนให้ใคร เพื่ออะไร ?

ชายหนุ่มไม่รู้จะตอบคำถามของเธออย่างไรดี
ได้แต่เก็บคำถามของเธอกลืนลงคอไปอย่างเงียบงัน

แล้วเธอก็จากเขาไปอีกครั้ง.....




หลายปีที่ผ่านมา...
ชายหนุ่มนั่งมองผนังทุกวัน
ทั้งคำว่า “ฉันรักเธอ” หรือคำว่า “ฉันไม่รักเธอ”
วนเวียนอยู่ในชีวิตของเขามาโดยตลอด


เอาเข้าจริง...ไม่ว่าหญิงสาวจะรู้สึกกับเขาอย่างไร

มันก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้สึกไปเองเลย


ต่อให้เขารักเธอมากเพียงใด
หรือโกรธเกลียดเธอมากแค่ไหน
ถ้าเขาไม่แสดง ไม่พูดบอกออกไป
ความรู้สึกเหล่านั้นย่อมจมหายไปกับวันเวลา
เหมือนถ้อยคำที่เขาเขียนไว้บนผนัง
แล้วนั่งมองมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน



เขานึกถึงคำถามของเธอ....


“ถ้อยคำนั้นเธอเขียนให้ใคร ? เพื่ออะไร ?”


นั่นสิ....เขารักเธอ เขาไม่รักเธอ
นั่นเป็นคำถามของเขาหรือของหญิงสาวกันแน่


ที่สุดแล้วเขาเดินไปที่ผนัง
แล้วหยิบสีขาวออกมาทาทับไปบนคำว่า “ฉันไม่รักเธอ”


ทาสีทับลงไปช้าๆ

และในที่สุด...

ผนังก็กลับมาว่างเปล่าและเป็นสีขาวดังเดิม



 

โดย: กะว่าก๋า 12 เมษายน 2555 7:57:14 น.  

 

วันนี้ตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับอารมณ์ที่สดใส
พอผ่านไปห้าง วันนี้มันแปลกๆทุกอย่างมันเงียบงันไปหมด
ไม่มีผู้คน...จากที่เคยมีมาก็หายเงียบกริบ
มันเศร้าอยู่ในใจ เพราะท้ายสุดแล้วเราก็ต้องพรากจากกันอยู่ดี

อยากมีอารมณ์ที่สดใส อยากมีอารมณ์สนุก ครื้นแครง
อยากหัวเราะ อยากไม่แคร์อะไรเหมือนๆเดิม

รู้สึกว่า..ยังไงมันก็หมุนมาที่เดิม
คือ ความเศร้า น่าเบื่อ หดหู่ อ้างว้างเหมือนเดิม
ตั้งแต่เด็ก มันผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
เหมือนใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ โดยไร้จุดหมาย
ไม่รู้ว่ามีชีวิตไปทำไม และจะเริ่มทำอะไร
ได้แต่เพ้อฝันถึงความสำเร็จ..ที่ไม่เคยมาถึงเลยสักครั้ง
ไม่อยากเดินไปทีละก้าว อยากกระโดดไปให้ถึง
อยากวิ่งตะบี้ตะบันไปให้ถึง ในความต้องการของตัวเอง





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 9 เมษายน 2555
เวลา : 22:26:00 น.






หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดของคนหนุ่มในวัยค้นหาตัวเอง
คือการไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เป็นอะไรได้บ้าง
แล้วจะทำอย่างไรจึงจะเดินทางไปจนถึงสุดทางความฝัน


หลายปีก่อนพี่ก๋าเขียนโศลกสั้นๆเก็บเอาไว้ในสมุดบันทึกว่า

“เราจะตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่
ในที่ที่ไม่มีอยู่ได้อย่างไร”



ฟังดูเป็นคำกวนๆนะครับ
แต่สิ่งที่พี่ก๋าตั้งคำถามกับตัวเองในวันนั้นก็คือ

ชีวิตคืออะไร ?
เราทำอะไรกับชีวิตของตัวเองได้บ้าง ?
แล้วสิ่งที่เราทำมันส่งผลให้อะไรเกิดขึ้นทั้งกับตัวเราและคนอื่น ?


และถ้าจะถามให้ถึงที่สุดของความคิด

เราคงต้องถามตัวเองต่อไปว่า

นอกจากใช้ชีวิตแบบไหน ?

เราอยากตายแบบไหน ?


คนที่ไม่เคยคิดถามตัวเองว่า
ตัวเองจะตายแบบไหน ?
มักจะใช้ชีวิตแบบเลื่อนลอยหงอยเหงา
ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปวันๆกับความสำเร็จที่ไม่มีอยู่จริง


เราอยู่ในโลกที่แข่งขันกันตลอดเวลาด้วยความเร็ว
ข้อมูลข่าวสาร เงินทุนที่มากกว่า และโอกาสทางสังคมที่เหนือกว่า

แต่ไม่ค่อยมีใครถามตัวเองเลยว่าเราจะประสบความสำเร็จไปเพื่ออะไร

นอกจากการได้รับการยอมรับว่าเราเก่ง เจ๋ง รวยและเหนือกว่าคนอื่นๆ
โดยไม่สนใจว่าเราจะรวยหรือประสบความสำเร็จมาด้วยวิธีการใด
เป็นวิธีการที่ถูกต้องและยั่งยืนหรือไม่


ใช่จริงๆละหรือที่ว่าชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่มีแต่ความสุข
ถ้าในวันหนึ่งเราตื่นเช้าขึ้นมา ไปเรียน ไปทำงาน
เจอเพื่อน เจอผู้คนที่ดีน่ารักและรักเรา
เจอแต่เรื่องที่งดงามในชีวิต เจอแต่สิ่งที่ดีงามตลอดเวลา

นั่นเป็นชีวิตที่ดีจริงๆหรือ


คำถามคือ ชีวิตแบบนั้นมันมีอยู่จริงด้วยหรือ


ชีวิตจริงมีด้านที่เศร้าโศก มีคนที่เดินไปฆ่ากันโดยไม่ต้องการเหตุผล
มีความรุนแรงสูญเสียอยู่ตลอดเวลาในทุกมุมโลก
มีเจ้านายจอมโหด มีลูกน้องจอมขี้เกียจ มียาเสพติดทำลายชีวิตเกลื่อนเมือง
มีเพื่อนขี้อิจฉาและชอบการนินทา มีความรักที่ผิดหวังเซซัง
มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การปล้นฆ่าข่มขืน
มีคนที่พร้อมจะเอาเปรียบเราตลอดเวลา มีโรคภัยไข้เจ็บที่ยากจะรักษาให้หาย ฯลฯ


แล้วสิ่งต่างๆเหล่านี้มันทำให้ชีวิตดูย่ำแย่โหดร้าย
จนเราไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไปหรือเปล่า



โลกถูกสลับที่ด้วยความสุข ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา


ถ้าเรามัวจับจ้องแต่ความสุข เราจะปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับความเพ้อฝัน
แต่ถ้าเราจ่อมจมอยู่แต่ด้านที่โหดร้าย โลกนี้ก็คล้ายว่าไม่น่าอยู่อีกต่อไป




เราชอบแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม

“มองโลกในแง่ดี” กับ “มองโลกในแง่ร้าย”

ความจริงมันยังมีอีกมุมหนึ่ง
นั่นคือ “มองโลกตามความเป็นจริง”


ถ้าเรามองเห็น “ความจริง” ที่เกิดขึ้นในทุกขณะ
อย่างที่มันเป็น
ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น

เราจะซึมซับรับรู้ทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง
เราจะรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดถึงวันหนึ่งก็อาจแปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้
ทุกสิ่งที่เราทำมีผลกระทบเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนรอบข้าง

ถ้าเราทำทุกสิ่งด้วยความตั้งใจ
ด้วยความรับผิดชอบ ด้วยความรู้หน้าที่
ต่อให้สิ่งนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ไม่ได้ช่วยเหลือผู้คนเป็นแสนเป็นล้าน

สิ่งนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่งดงามและเป็นประโยชน์กับโลกอยู่ดี




“ความสำเร็จ” ของคนคนหนึ่งในนิยามความหมายของพี่ก๋า
จึงไม่จำเป็นต้องเป็นคนรวยที่สุดในสามโลก
ไม่จำเป็นต้องมีรถคันใหญ่ บ้านหลังโต เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
หรือเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศใดใด


ขอแค่ใครคนนั้นทำทุกสิ่งที่มีประโยชน์
ทำทุกสิ่งที่เขาทำได้อย่างดีที่สุด
รู้จักเสาะหา และแบ่งปัน
รู้จักใช้ชีวิตอย่างรับผิดชอบและรู้จักหน้าที่ของตนเอง


ถ้าทำได้ตามนั้น...ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักหรือกล่าวถึง
เขาก็เป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมแล้วในความเป็นมนุษย์....





“เราจะตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่
ในที่ที่ไม่มีอยู่ได้อย่างไร”



จงใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดในทุกเวลานาที
จงคิดถึงความตายเอาไว้บ้าง
มองโลกตามความเป็นจริง
และอยู่กับสิ่งนั้นด้วยความเข้าใจ


บางทีสิ่งที่เรากำลังตามหา
อาจไม่จำเป็นต้องออก “ค้นหา” จากที่ไหน
ขอเพียงเรา “ค้นพบ” สิ่งนี้ให้เจอได้ที่ในตัวเรา
ก็เท่านั้นเอง....

 

โดย: กะว่าก๋า 12 เมษายน 2555 8:03:54 น.  

 

ความรู้ในโลกนี้มีมากมายหลายแบบเหลือเกิน
จนไม่รู้ว่าจะศึกษาอะไรดี
ศึกษาจนตายก็ไม่รู้ว่าจะศึกษาจบไหม

แต่กับชีวิตจริงนี่ ไม่เคยได้ศึกษาอะไรเลย
ก็มีแค่ที่เรียน เล่นฟิตเนส และไปหาคนรัก
วนซ้ำไปซ้ำมา

เบื่อที่ต้องศึกษาทฤษฎี
จากก่อน ทฤษฎี 90 ปฎิบัติ 10
ตอนนี้อยากเปลี่ยนมาเป็น ทฤษฎี 10 ปฎิบัติ 90 แทน
เบื่อที่ต้องเรียนรู้ทั้งหมด อยากจะหยิบแค่ชิ้นสองชิ้น

ง่วงแล้วนอน นอนแล้วตื่น
ชีวิตมีเท่านี้หรือเปล่าครับพี่ก๋า
ทั้งอารมณ์ต่างๆ ความสุข ความทุกข์
ความสนุก ความน่าเบื่อ ฯลฯ

อารมณ์เหล่านี้มันไม่เคยคงทนเลย
มันเปลี่ยนแปลงไปตาม เหตุและปัจจัย

อยากควบคุมมัน แต่ยังไงก็ทำไม่ได้



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 9 เมษายน 2555
เวลา : 22:37:00 น.




……………………………………..




ชีวิตคืออะไร ?


ชีวิต คือ ของขวัญ....เธอจงรับมันเอาไว้
ชีวิต คือ การผจญภัย...เธอจงออกไปรับมือกับมัน
ชีวิต คือ ความลี้ลับ...เธอจงทำให้กระจ่างแจ้ง
ชีวิต คือ เกม...เธอจงลงไปเล่น
ชีวิต คือ การต่อสู้...เธอจงไปเผชิญหน้ากับมัน
ชีวิต คือ ความงาม...เธอจงเชิดชู ยกย่อง สรรเสริญ
ชีวิต คือ ปมปริศนา....เธอจงแก้ให้ออก
ชีวิต คือ โอกาส...เธอจงฉวยเอาไว้
ชีวิต คือ ความเศร้า....เธอจงลิ้มรสไว้เป็นประสบการณ์
ชีวิต คือ บทเพลง....เธอจงขับขานให้สำราญใจ
ชีวิต คือ เป้าหมาย...เธอจงก้าวไปให้ถึง
ชีวิต คือ พันธกิจ....เธอจงกระทำให้ลุล่วง



: เดวิล แม็กนัลลีย์

จาก : Even Eagles Need a Push




หนังสือ : ข้อคิดเติมหัวใจคุณครู
รวบรวม : Charles McGuire & Diana Abitz
แปล : พิศวาส ปทุมุต์ตรังษี





หนึ่งในวิชาที่สำคัญที่สุด
ก็คือ “วิชาชีวิต”


และในวิชาชีวิตสิ่งที่สำคัญที่สุด
คือวิชา “รู้จักตนเอง”

รู้จักตนเอง---ที่ไม่ใช่รู้จักแค่เราชื่ออะไร เกิดวันเดือนปีอะไร
เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เคยรักเคยเกลียดใครมากี่คน
เรียนจบที่ไหนได้กี่ปริญญา หรือ เรียนรู้ศาสตร์วิชาใดใดมาบ้าง


เหล่าจื่อเคยกล่าวไว้ว่า


“รู้จักคนอื่น เป็นผู้ฉลาด
รู้จักตนเอง เป็นผู้รอบรู้”



เราจะรู้จักตนเองได้อย่างไร

ต้องย้อนกลับไปดู “วิธีคิด” ของตัวเรา

เราคิดอย่างไร เป็นความคิดที่ถูกต้องดีงามแล้วหรือยัง


คำถามสำคัญๆที่จะทำให้เรารู้จักตัวเองก็คือ


เราเกิดมาทำไม ?
เราทำอะไรได้บ้าง ?
แล้วสิ่งที่เราทำจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร ?
ที่สุดแล้วคนเราตายแล้วไปไหน ?
ฯลฯ

มันไม่ได้เป็นคำถามในเชิงปรัชญาซับซ้อนอะไรเลย
แต่เป็นคำถามง่ายๆที่ตอบยาก
ที่ตอบยากเพราะเรามักไม่ค่อยคิดถึงคำถามเหล่านี้
เพราะเราได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ....
และคิดถึงแต่ความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่ยากจะไต่ตามไปถึง




ชีวิตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความสุข ความทุกข์
ความรัก ความฝัน หรือความหวัง


แต่เป็นเรื่องของ “ความเข้าใจ” และ “การยอมรับความจริง”



“ความจริง” อย่างที่มันเป็นเช่นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ต้องพลัดพรากจากคนและสิ่งของที่เรารัก

แต่สิ่งทำให้การเกิด แก่ เจ็บ ตายของแต่ละคนมีความหมายที่แตกต่างกัน
นั่นคือ สิ่งที่เราได้คิด พูด และกระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง



ไม่มีชีวิตใดที่สูงล้ำนำค่า หรือต้อยต่ำจนไร้ค่าความหมาย


คนเราเกิดตายหนึ่งหน....
เราเป็นเจ้าของความตายอย่างเท่าเทียมกัน
เรามีโอกาสที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์
เพื่อที่จะได้คิด พูด ทำสิ่งต่างๆมากมาย



คำถามคือ เราได้รู้ตัวแล้วหรือยัง
ว่าเรากระทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นไปเพื่ออะไร
สิ่งที่เราคิด พูด ทำอยู่มีประโยชน์อย่างไร

ที่สุดแล้ว....
มันจะนำไปสู่การจากลาจากที่งดงามได้อย่างไร




ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งน่ากลัว
เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ยาก
หรือบางที...อาจจะควบคุมไม่ได้เลย


แต่อย่ากลัวเลยครับ ....
แค่เรานั่งเฉยๆสองวินาที
ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นกับเข็มวินาที


อย่ากลัวกับคำถามที่ว่า “ชีวิตคืออะไร ?”
เพราะถ้าเราค้นพบหนทางที่ถูกต้องแล้ว
เราจะถามและตอบตัวเองได้ทันทีว่า


“อะไรคือชีวิต
ชีวิตคืออะไร ?”


 

โดย: กะว่าก๋า 12 เมษายน 2555 8:13:09 น.  

 

ปอมมีข้าวแช่มาฝากนะคะ คุณแปะ

ใส่ช่องแข็งเอาไว้

กลับจากสงกรานต์เมื่อใด พร้อมหม่ำได้ทันทีจ้า

เที่ยวให้สนุกนะคะ




อันนี้เป็นกับข้าว + ผักเคียง



ของหวาน ปอมเลือกเป็น ไอศกรีม น้อยหน่า


 

โดย: กาปอมซ่า 12 เมษายน 2555 22:15:30 น.  

 

สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 13 เมษายน 2555 6:14:44 น.  

 

สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 14 เมษายน 2555 6:25:17 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 17 เมษายน 2555 6:36:57 น.  

 

ถ้าพี่ก๋าเป็นเทพแห่งวินัย
ผมก็เป็นนักผจญภัยแสนขี้เกียจ

ผมเป็นคนที่ทำอะไรแล้วโลเล
เดี๋ยวอยากทำนู่น เดี๋ยวอยากทำนี้
พอเบื่อแล้วก็ทิ้ง ไม่ทำ
เป็นคนขาดวินัยมากชนิดที่เรียกว่า ระยะสุดท้าย
โอกาสรักษาให้หายน้อยมาก

อยากมีวินัยแต่ไม่เคยทำได้เลย
โดนตัวขี้เกียจและตัวสบายมันเกลี้ยกล่อมมอมเมาทุกวัน


ในฐานะพี่ก๋าปราบมันได้แล้ว
โปรดพี่ก๋าจนบรรเลงเพลงปราบมารให้ศิษย์ด้วย




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 9 เมษายน 2555
เวลา : 22:46:00 น.




...............................




พี่ก๋าก็ขี้เกียจเป็นนะครับ 555
บางวันอยากนอนเฉยๆ อยู่นิ่งๆ

โดยเฉพาะบางวันที่ใจสับสน หดหู่ หม่นหมอง
อะไรๆหลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นใจ
ก็อยากจะอยู่นิ่งๆไปเรื่อยๆเหมือนกัน


แต่กับบางสิ่งที่ทำอยู่อย่างเช่น การอัพบล็อก
หรือการสร้างงานเขียนขึ้นมา
ทำไมทำได้ต่อเนื่องยาวนานและไม่เบื่อ


ตอบแบบไม่สร้างภาพเลย
ว่าเป็นเพราะ “ได้ทำในสิ่งที่เรารัก”


จากวันที่เปิดบล็อก
แล้วยังงงๆกับตัวเองอยู่ว่าจะเขียนอะไร
และจะมีคนชอบสิ่งที่เราเขียนหรือเปล่า


หลังจากนั้นก็เขียนบล็อกขึ้นมาเรื่อยๆ
ใหม่ๆบ้าพลังมาก เคยอัพวันเดียว 15 บล็อก
ใครจะอ่านไม่อ่าน ตอนนั้นไม่ค่อยสนใจแล้วครับ 555
เรียกว่าไฟลุกโชน.....


ตอนนั้นเพื่อนบล็อกน้อยมาก

แต่พออัพบล็อกทุกวันและทำอย่างต่อเนื่อง
เพื่อนบล็อกค่อยๆเข้ามาทักทายเรื่อยๆ....
คนใหม่เข้ามา คนเก่าหายไป
หลายคนเป็นพี่เป็นเพื่อนเป็นน้องที่รักกันเหนียวแน่นยาวนาน



สิ่งนี้ทำให้พี่ก๋าตื่นตี 5 ทุกวันเพื่อมาอัพบล็อกได้โดยไม่เคยเบื่อ
ไม่เคยรู้สึกว่าอยากเลิกทำบล็อก

แม้ในวันที่มีปัญหาต่างๆในชีวิต
ก็ยังอยากเข้ามาอัพบล็อกเอาไว้
เว้นแต่ต้องเดินทางไกล หรือหยุดยาวเพื่อใช้เวลากับครอบครัวอย่างแท้จริง

พี่ก๋าจะหยุดและบอกกล่าวเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ



“วินัย” ต้องให้มันเกิดจาก “ความรัก” ครับ
รักสิ่งไหน ต้องทำให้ดีที่สุดอย่างที่เราสามารถทำได้
ลงมือทำอย่างเต็มที่ แม้จะไม่มีผลตอบแทนออกมาเป็นรูปธรรม
อย่างเงินทองหรือชื่อเสียงใดใดก็ตาม



หลายครั้งที่น้องๆบล็อกเกอร์รุ่นใหม่ถามพี่ก๋าว่า
ทำยังไงให้มีเพื่อนเยอะๆ มีคนเข้ามาอ่านบล็อกเราเยอะๆ
ต้องทำบล็อกอย่างไรให้กลายเป็นบล็อกที่ได้รางวัลหรือมีชื่อเสียง


พี่ก๋าแนะนำว่าให้เริ่มต้นจากการเขียนสิ่งที่เราคิด
เขียนบล็อกด้วยความตั้งใจ สร้างบล็อกด้วยความสุข
ด้วยความรู้สึกว่าอยากแบ่งปันประสบการณ์
ใจกว้างเวลาอ่านเม้นท์
อย่าเป็นคนฉุนเฉียวง่ายและมีโลกส่วนตัวสูงเกินไป
ไม่ควรคุยเรื่องการเมืองและศาสนากับคนที่ใจไม่เปิดกว้าง
หัดไปทักทายคนอื่นก่อนบ้าง และเม้นท์ด้วยความระมัดระวัง
โดยเฉพาะเรื่องของภาษาที่ใช้ เพราะตัวอักษรอาจถูกตีความ
ให้คลาดเคลื่อนผิดความหมายจนนำไปสู่การเข้าใจผิดกันได้


ที่สำคัญที่สุดต้อง “มีความสุข” ในการทำบล็อก....


สิ่งที่เรียกว่าความสุขนี้
จะสร้าง “วินัย” ขึ้นในตัวเราโดยไม่รู้ตัว

เหมือนที่พี่ก๋านั่งเขียนงานหมื่นตา ราฟาเอล ตอบคำถามก๋าราณี
วาดพู่กันเดียว ถ่ายรูป เขียนบทกวี เลี้ยงลูก ใช้ชีวิต ฯลฯ



ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิด “วินัย” ขึ้น
หลังจากเราลงมือทำทุกอย่างด้วย “ความรัก”


“ความรัก” จะสร้าง “ความหลงใหล” ขึ้นมา
คุณค่าของสิ่งต่างๆที่เราทำไม่ว่าจะน้อยหรือมาก
จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่า “ความต่อเนื่อง” นี่ล่ะครับ



เวลารักใครแล้วอยากให้เขารัก
เราได้รักเขาอย่างต่อเนื่องและทุ่มเทแล้วหรือยัง ?


อยากให้คนมาอ่านบล็อกเราเยอะๆ
เราได้เขียนบล็อกด้วยความตั้งใจและด้วยความสุขที่สุดแล้วหรือยัง ?


อยากประสบความสำเร็จในชีวิต
เราได้ค้นหาตัวเองจนเจอ
แล้วลงมือทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ?




จะเป็นเทพแห่งวินัย
หรือเป็นนักผจญภัยแสนขี้เกียจก็ไม่สำคัญหรอกครับ

ถ้าอัพบล็อกทุกวันแต่ไม่รู้อัพอะไร
คนอ่านไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการอ่าน
คนเขียนก็เขียนไปแบบไม่มีความสุข
แบบนี้ถึงเขียนทุกวัน วันละ 3 บล็อก
ก็ไม่ต่างอะไรกับการบ่นใบ้ใน status ที่ facebook
ที่คนอ่าน ... อ่านผ่านแล้วก็ลืม


ค่อยๆสร้างขึ้นมานะครับ
“วินัย” ในตนสร้างได้แน่นอน
แค่ขอให้เราค้นหาตัวเองจนเจอสิ่งที่เรารักและหลงใหล
ที่อยากจะทำมันในทุกๆวัน ทุกๆนาที


วันหนึ่งเราอาจกลายเป็นเทพแห่งวินัยก็ได้ใครจะไปรู้


 

โดย: กะว่าก๋า 17 เมษายน 2555 10:22:25 น.  

 

ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น และมองเห็นคุณค่าของเธอ

และยอมรับในสิ่งที่เราเป็นเช่นกัน มองเห็นคุณค่าตัวเองเสมอ

สถานการณ์เปลี่ยน
แต่ใจเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตาม





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 9 เมษายน 2555
เวลา : 22:56:00 น.




......................................





กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีแมวตัวหนึ่งแอบหลงรักเสือตัวใหญ่
ทุกวัน...แมวตัวนี้จะเฝ้าแอบมองดูเสือสาวเดินไปเดินมาในป่า
มันแอบฝันว่าวันหนึ่งแมวและเสือจะได้ครองคู่กัน

แต่แล้วเสือก็ไม่เคยเหลือบแลแมวตัวนี้เลย
เสือสาวรอคอยเสือหนุ่มที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต


วันหนึ่งแมวคิดขึ้นได้ว่า
ที่เสือสาวไม่เคยคิดจะสนใจมัน
อาจเป็นเพราะขนสีดำขลับของมัน
ดูแตกต่างไปจากขนลายพาดกลอนของเสือ

แมวจึงเดินทางไปหาหมาจิ้งจอก
เพื่อขอให้หมาจิ้งจอกช่วยย้อมขนสีดำของมันให้กลายเป็นลายพาดกลอน

“เอาสีแบบลายพาดกลอนเลยนะเพื่อน” แมวย้ำ

“เชื่อมือเหอะน่า ฉันเป็นช่างทำสีขนระดับมือรางวัลเชียวนะ” หมาจิ้งจอกคุย


เวลาผ่านไป 4 ชั่วโมง....
แมวดำถูกย้อมสีขนจนกลายเป็นลายพาดกลอนสีสวยสด
เมื่อชะโงกมองดูเงาของตนเองในลำธาร
แมวรู้สึกพึงพอใจกับสีขนใหม่ของตนเองมาก....


หลังจากจ่ายค่าย้อมสีขนแพงระยับให้กับหมาจิ้งจอกแล้ว
แมวที่ย้อมลายเสือก็เดินทางไปพบกับแม่เสือสาว

แต่อนิจจา....

แม่เสือสาวกลับหัวเราะเยาะใส่หน้าแมวหนุ่มอย่างไม่เกรงใจ
เธอมองดูมันอย่างสมเพชเวทนาก่อนจะพูดสั้นๆว่า

“เป็นแมวก็ไปอยู่ส่วนแมวเถอะไป๊”



แมวหนุ่มเจ็บปวดใจอย่างแรง
ที่แม้จะทุ่มเทลงทุนด้วยการย้อมสีขน
เสือสาวก็ยังไม่เคยมีใจให้เลยแม้เพียงนิดเดียว

มันกลับไปนอนซมซานคลานกลิ้งเกลือกอยู่ในเมืองนานนับเดือน
ใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อยเลื่อนเปื้อน
หมดความหวังและกำลังใจในการใช้ชีวิต


วันเวลาผ่านไป...

ลายพาดกลอนที่ย้อมไว้เริ่มหลุดลอกทีละนิดๆ
ในที่สุดเจ้าแมวหนุ่มก็กลับกลายเป็นแมวดำตามเดิมอีกครั้ง



ช่วงที่มันย้อมสีขนตนเองอยู่นั้น
นอกจากเสือสาวจะไม่ชายตาแล
ยังพบว่าแม้แต่แมวสาวด้วยกันก็พากันรังเกียจ
และมองดูมันเป็นตัวตลกที่ทำตัวผ่าเหล่าผ่ากอ



ตอนนี้....

เจ้าแมวเดินไปที่อ่างน้ำข้างบ้าน
เมื่อชะโงกดูจึงเห็น “แมวขนดำขลับ” ตัวเดิม...
มันได้รู้แล้วว่า การเป็นตัวของตัวเองนั่นล่ะ
ที่ดีที่สุด....




ถ้าเราจะรักใครสักคน
ไม่มีเหตุผลที่เราจะไปบังคับหรือคาดหวัง
ให้คนรักของเราต้องเป็นไปอย่างที่เราต้องการ

เช่นกัน...เราเองก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักใคร

ความรัก...ไม่เคยคิดบังคับใครให้ต้องเปลี่ยนแปลง
แต่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวตนของเราได้โดยไม่ต้องมีใครร้องขอบังคับ
ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “การอยากเป็นคนรักที่ดี เพื่อคนที่เรารัก”

คำถามคือ เราเคยรักใครมากจนรู้สึกแบบนี้แล้วหรือยัง
ความรักที่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจ
แต่ในขณะเดียวกันตัวเองก็อึดอัดเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลงนั้น



จะแมวย้อมเสือ หรือ เสือย้อมแมว
ไม่สำคัญเท่ากับเรารู้ตัวเราเองหรือไม่
ว่าเราเป็นคนรักที่ดีมากน้อยเพียงใด
เราพร้อมที่จะรักและดูแลความรู้สึกของใครคนหนึ่งอย่างแท้จริงหรือไม่
ความรักที่ไม่ได้เป็นเพียงความวาบหวามใจในชั่วขณะ
ไม่ได้เป็นเพียงความประทับใจเพื่อนำไปสู่การครอบครองหวงแหน

แต่เป็นความรักที่ปลดปล่อยทั้งเราและเขา
ให้เป็นอิสระจากการร้อยรัด ไม่เร่งร้อน ไม่เร่งเร้า
และไม่เฝ้าทำลายตัวตนของอีกฝ่าย
เพียงเพื่อให้ตัวเราพึงพอใจ




ก่อนจะไปรักใคร
เคยถามตัวเองบ้างไหม
ว่าเรารักตัวเองอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
ถ้ายังรักตัวเองไม่มากพอ ยังดูแลคนรอบข้างได้ไม่ดี
จะไปมีความรักที่ดีได้อย่างไร



ไม่มี “คนรักที่สมบูรณ์แบบ” ในชีวิตจริง
แต่เราสามารถเป็น “คนรักที่ดีขึ้นในทุกวัน” ได้
ด้วยการเรียนรู้ ยอมรับ ปรับตนเอง



หาคนคนนั้นให้เจอ
คนที่ทำให้เรารู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตนเอง
ไม่ใช่เพื่อให้เธอรักหรือพึงพอใจในสิ่งที่เราเป็น
แต่ทำให้เห็นว่าที่เราอยากทำทุกอย่าง อยากเป็นทุกสิ่ง
ยอมทิ้งแม้ตัวตนเก่าๆ ก็เพราะว่า .... เรารักเธอ.

 

โดย: กะว่าก๋า 17 เมษายน 2555 10:23:05 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 18 เมษายน 2555 5:38:39 น.  

 


มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ

แล้วเดี่ยวนี้ชกมวยเก่งหรือยังครับ?

อิอิ

 

โดย: อาคุงกล่อง 18 เมษายน 2555 22:15:00 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 20 เมษายน 2555 6:17:32 น.  

 

กว่าจะอ่านหมด พอจะเม้นท์ 55555555555555 เม้นท์ไม่ได้ซะงั้น แต่โดยส่วนตัวคิดว่า ไม่รู้สึกอะไรเลยได้คงดี ไม่รัก ไม่หวัง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ให้มันนิ่งๆได้คงดี แต่ 55555555555 เละ ไม่เคยทำได้เล้ยยยยยยยยยยย มันเลย มีครบองค์มาร

 

โดย: ริมน้ำ_ขอบฟ้า (rimnam_kobfa ) 24 เมษายน 2555 10:40:55 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 30 เมษายน 2555 5:31:26 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ


บางที
ฉันก็ไม่ใช่ฉันครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 1 พฤษภาคม 2555 5:09:42 น.  

 

แวะมาทักทายตอนบ่ายๆ
เหมือนฝนกำลังจะตกครับ

คำถามล่าสุดของเรา
พี่ก๋าขอเวลาคิดคำตอบนิดนึงนะครับ

ช่วงนี้มีภารกิจเรื่องการแต่งภาพกว่า 2 พันภาพครับ 555

เสร็จแล้วจะรีบตอบให้ทันทีเลย


 

โดย: กะว่าก๋า 2 พฤษภาคม 2555 13:48:53 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



 

โดย: กะว่าก๋า 4 พฤษภาคม 2555 5:45:11 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 5 พฤษภาคม 2555 6:48:21 น.  

 

สัตว์ที่อยู่ในป่าย่อมมีแต่อันตราย
เพราะมีผู้จ้องหาเหยื่อมาเป็นอาหาร
อยู่ในป่าไม่มีกฎหมาย มีแต่พละกำลัง และพวกมาก
สัตว์ที่เหนือกว่าย่อมได้เปรียบ
สัตว์ที่ตัวเล็กกว่าย่อมเสียเปรียบ

แต่มนุษย์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
บางที่ก็ต้องต่อสู้กับสงครามต่อไป
แต่อีกหลายๆประเทศส่วนมากได้รับการพัฒนาแล้วให้ดีกว่าเดิมที่เป็นอยู่
เรากินเนื้อไก่ เนื้อหมู กุ้ง หอย ปู ปลา เนื้อวัว เนื้อสัตว์ มากมาย
เรานำมาปรุง ต้ม ผัด ทอด หลีกเลี่ยงการคิดว่ามันก็คือชีวิตหนึ่ง
จริงๆแล้วสัตว์เหล่านี้เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์จริงละหรือ



ก่อนมนุษย์เกิดโลกนั้นเป็นอย่างไร
ทุกชีวิตต้องดิ้นรนตามระบบนิเวศที่สร้างมาอย่างนั้นหรือเปล่า
จริงๆแล้วเรามีความแตกต่างกันหรือไม่
คน-สัตว์ ต่างก็ต้องตายเหมือนๆกัน
แล้วมนุษย์คือสัตว์ประเสริฐหรือไม่นะ





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 21 เมษายน 2555
เวลา : 22:01:00 น.






…………………………………..





ในช่วงเทศกาลกินเจ สัตว์หลายตัวคงเบาใจ
ที่มันไม่ต้องเดินเข้าโรงฆ่าสัตว์
แต่หลังจากเทศกาลผ่านพ้น
ชะตาชีวิตมันจะเป็นอย่างไรใครก็รู้....


แล้วในขณะที่บางคนไม่ทานเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู
แต่คีบกุ้ง หอย ปู ปลาเข้าปากโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ

อีกเช่นกัน....ใครบางคนไม่ทานเนื้อ
แต่ถามหาเนื้อเทียม หมูเทียมในร้านอาหารเจ....



ในสารคดีที่พี่ก๋านั่งดู
แม้แต่สัตว์ประเภทเดียวกันก็กินกันเองครับ
อย่างเช่นจักจั่นตัวเต็มวัย
จะกินลูกจักจั่นเพื่อเป็นอาหาร

งู หรือแมงมุมบางตัวก็กินคู่ครองหลังจากผสมพันธุ์เสร็จ



ธรรมชาติจัดสรรความสมดุลให้แก่สรรพชีวิต


สัตว์ที่อ่อนแอจึงวางไข่และคลอดลูกคราวละมากๆ
เพราะส่วนหนึ่งจะตกเป็นอาหารให้กับสัตว์ที่แข็งแรงกว่า

ขณะสัตว์ที่แข็งแรงและตัวใหญ่จะตกลูกคราวละน้อยตัว


สมดุลเหล่านี้ธรรมชาติจัดสรรไว้
แต่ที่มีปัญหา เพราะเราไปทำลายสมดุลนี้โดยไม่รู้ตัว....





คิดดูอีกที “สงคราม” ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาบนโลกนี้
อาจเป็นสงครามที่พระเจ้าสร้างขึ้น
แล้วบ่มเพาะมันไว้ในใจคน
ก็เพื่อให้เราครอบครอง ควบคุม และทำลายประชากรของเราเอง


พระเจ้าหรือธรรมชาติสร้าง “อำนาจ” ขึ้นมาให้กับมนุษย์
ก็เพื่อให้มนุษย์แก่งแย่งแข่งขัน ช่วงชิง
ให้ได้มาซึ่งอำนาจและการครอบครองทุกสิ่งด้วยความรุนแรง ความโลภ และความอยากได้ใคร่มี



ทั้งคนและสัตว์หากไม่มีการเข่นฆ่า ไม่มีการทำลายล้าง
สิ่งใหม่จะเกิดขึ้นมาไม่ได้

นี่อาจเป็นความจริงอันแสนเจ็บปวดที่เราต้องยอมรับ



หากวันหนึ่งนกไม่กินหนอน
หนอนคงเต็มทุ่ง และทำลายผลิตผลทางการเกษตรจนหมดสิ้น

หากงูไม่กินหนู กุ้งไม่กินปลา ปลาไม่กินสาหร่าย คนไม่กินหมู
เสือไม่กินกวาง ช้างไม่กินกล้วย ฯลน

อะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ครับ....


โลกนี้คงเต็มไปด้วยความวุ่นวายของสิ่งที่ล้นเกินความพอดี




“ความพอดี” นี่ล่ะครับ
ที่ทำให้โลกดำรงอยู่ได้



แม้เราจะรู้สึกถึงความโหดร้าย ถึงความไม่ยุติธรรม
ถึงความเจ็บปวด ฯลฯ

แต่เราก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรง
ในเมื่อมันเป็นหนทางแห่งการควบคุมสมดุลตามธรรมชาติ



“วิวัฒนาการ” ที่เกิดขึ้นไม่ว่ากับคนและสัตว์
ล้วนเป็นไปตามกลไกทางธรรมชาติ
เราเปลี่ยนจากลิงที่ยืนสองขา
วิวัฒน์จนกลายเป็นคนเช่นทุกวันนี้
ล้วนมีเหตุผลกลไกและปัจจัยที่ทำให้เป็นเช่นนี้


บางสิ่งเราจำต้องยอมรับ
แม้ไม่ชอบและไม่เชื่อ
เช่น การเข่นฆ่า ทำลายล้าง และการสร้างสงคราม

แต่มองอีกทางหนึ่ง
หากไม่มีการทำลาย
ก็ไม่มีการสร้างสิ่งใหม่
เมื่อไม่มีการสร้างสิ่งใหม่
ก็ไม่เกิดวิวัฒนาการ

เมื่อไม่มีวัฒนาการ..
ถึงจุดหนึ่งเมื่อสิ่งแวดล้อมหรือสภาพอากาศเปลี่ยนไป
สัตว์หรือมนุษย์เผ่าพันธุ์นั้นก็จะถูกทำลายจนสูญพันธุ์
เพราะไม่มีการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง



การทำลายสิ่งที่อ่อนแอกว่า
เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลง




การทำลายควบคู่กับการสร้างใหม่และการพัฒนา
แม้ระหว่างเส้นทางนั้นเราอาจเจ็บปวดอยู่บ้างกับการทำลายล้าง
แต่เราจำต้องยอมรับให้ได้ไม่ว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ถูกทำลาย
หรือกลายเป็นผู้ทำลายเสียเองก็ตาม


เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของ “ชีวิต” นั่นเอง



 

โดย: กะว่าก๋า 5 พฤษภาคม 2555 13:22:17 น.  

 

เราควรจะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรดี
ทั้งด้าน การกิน การนอน การคิด
การพูด การใช้ชีวิตในแต่ละวัน

เราควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี
รู้สึกว่า กินข้าวเร็ว กินเยอะ
หลับดึก นอนน้อย
การกระทำแปลกๆ ในแต่ละวัน
พูดมาก พูดน้อย ไม่พูด
คิดถึงเมื่อวาน คิดเผื่อพรุ่งนี้
เราจะเริ่มอย่างไรให้มันสมดุลดีครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 2 พฤษภาคม 2555
เวลา : 13:53:00 น.





คำสอนที่สั้นที่สุด
ที่พี่ก๋าใช้เตือนตัวเอง คือ



“รู้ว่าอะไรไม่ดี...
อย่าทำ !!!”



แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร
ว่าอะไรไม่ดี ไม่ควรคิด ไม่ควรพูด และไม่ควรทำ


ใครจะมาบอกเราได้....ไม่มีหรอกครับ
ใครจะมาสอนเราได้....ไม่มี
ใครจะมาเปลี่ยนความคิดความเชื่อของเราได้
....ต่อให้คนคนนั้นยิ่งใหญ่ เป็นศาสดา เป็นใครที่เราเคารพที่สุด


เขาเปลี่ยนเราไม่ได้เลย
ถ้าเราไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง




แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เราคิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง

สิ่งนั้น คือ “การมองสิ่งนั้นตามความเป็นจริง”


“ความเป็นจริง” อย่างที่มันเป็นจริงนะครับ
ไม่ใช่ความจริงอุปโลกน์ที่เราสร้างขึ้นเพื่อหลอกตัวเอง….



รักใครแล้วเจ็บปวด
เราไม่รู้จริงๆหรือว่ามันเป็นเพราะอะไร


ไม่มีวินัยในการใช้ชีวิต จมอยู่กับความทุกข์ในอดีต
คิดถึงแต่อนาคตที่เพ้อฝันและเป็นไปไม่ได้
ขี้เกียจ ล่องลอย ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
รักษาสัมพันธ์ที่ดีกับใครไว้ไม่ได้เลย เสพติดความรุนแรงทางอารมณ์
กินข้าวไม่เป็นเวลา นัดใครไปสายตลอดศก
พูดจาหยาบคายตลอดเวลา สกปรกและรกรุงรัง ฯลฯ


เราไม่รู้จริงๆหรือครับ
ว่าเราเป็นคนแบบไหน และมีปัญหาอะไร ?


พี่ก๋าว่าทุกคนรู้ครับว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร
และมีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไขปรับปรุง

แต่สุดท้ายเรายอมแพ้ให้กับ “ความเคยชิน” ที่เราเป็น
เราสร้างเหตุผลปลอมๆขึ้นมาหลอกตัวเอง
ผลัดไปครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเหตุผลที่ว่า

“เดี๋ยวก่อน” “ครั้งหน้าก่อน”
“แล้วจะทำให้ดีขึ้น” ฯลฯ


เรามีข้ออ้างให้กับการผัดผ่อนตัวเองเสมอ

เพราะการปรับเปลี่ยนตัวเอง
มันเสี่ยงต่อความเจ็บปวด
มันยากและต้องใช้ความอดทนที่จะยอมรับความจริงให้ได้
และยังต้องเหนื่อยหนักในการเปลี่ยนแปลง “ความเคยชิน” ที่ฝังอยู่ในความคิดของเรา
จนกลายเป็นนิสัยและสันดานที่ยากจะเปลี่ยนแปลง....


แต่ทุกอย่าง “เปลี่ยนแปลง” ได้ครับ


คำถามคือ เรามีความมุ่งมั่นมากพอที่จะยอมรับความจริง
และพร้อมปรับปรุงแก้ไขตนเองหรือไม่เท่านั้นเอง.....


และถ้าจะมีใครที่เปลี่ยนแปลงเราได้
คำตอบนั้นมีเพียงคำตอบเดียวนั่นคือ


เราต้องเป็นคนลงมือเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ด้วยความเชื่อมั่นว่าเราจะเป็นคนที่ดีขึ้นได้
ได้ด้วย “ตัวเรา” เองครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 5 พฤษภาคม 2555 13:36:12 น.  

 

รู้ทั้งรู้ว่าน้ำอัดลมไม่มีประโยชน์
แต่ทำไมมันยังขายดีนะ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 3 พฤษภาคม 2555
เวลา : 13:40:16 น.




.......................................





เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา
เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา
เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา




มีเรื่องเล่าว่าในสมัยยุคชุนชิวจ้านกว๋อ
มีคนตะโกนว่าลูกชายของหญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้าน
เป็นผู้ร้ายฆ่าคน....

“จงขุยเป็นฆาตกร”

ครั้งแรกที่หญิงชราได้ยินเสียงนี้
นางไม่เชื่อเลยว่าลูกของนางจะเป็นคนร้าย
เพราะจงขุยเป็นบัณฑิตที่รักความสงบ วันๆเอาแต่อ่านตำรา
นางจึงนั่งซักผ้าอย่างใจเย็น

ไม่นานนักก็มีเสียงตะโกนขึ้นอีกว่า


“จงขุยเป็นฆาตกร”


นางเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติ ใจเริ่มหวั่นไหว
และเมื่อมีเสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง


“จงขุยเป็นฆาตกร”


นางจึงวางมือจากการซักผ้าแล้วหนีออกจากบ้านไปในทันที
โดยเชื่อมั่นแล้วว่าลูกของนางกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคน




ทำไมเราต้องมีสมาร์ทโฟน
ทั้งที่ในความเป็นจริงบางคนใช้แค่รับเข้า-โทรออก
ส่งแมสเซจไม่เป็น ใช้เน็ตบนมือถือไม่ได้


ทำไมเราต้องใช้ผงซักฟอกยี่ห้อนี้
ทำไมต้องดื่มน้ำยี่ห้อนี้ มีรถรุ่นนั้นรุ่นนี้
ทำไมต้องอยู่บ้านหลังละ 10 ล้าน
ทำไมต้องส่งลูกต้องเรียนสองภาษา ทำไมหน้ากับรักแร้ต้องขาว
จมูกต้องโด่ง นมต้องโต ทำไมต้องมีบัตรเครดิท
ฯลฯ


“ตัวตน” ของเราถูกสร้างขึ้นจากเสียงตะโกน
และเสียงโฆษณาที่คอยย้ำให้เราคิดและเชื่อว่า


ชีวิตที่ดีและมีคุณภาพ
คือชีวิตที่ต้องเสพสิ่งต่างๆเหล่านี้
ต้องเชื่อ ต้องฟัง ต้องใช้
ต้องมีสิ่งต่างๆเหล่านี้เอาไว้แม้ไม่มีความจำเป็นใดใดเลย.....



เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา
เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา
เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา



แม้แต่ความคิด ความเชื่อในเรื่องของการเมืองการปกครอง
โลกในไซเบอร์ กระดานกระทู้ต่างๆ ฯลฯ
หรือแม้แต่ศาสนาก็เต็มไปด้วยถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อ


ข้อมูลมหาศาลเหล่านั้นพยายาม “ชวน” ให้เราเชื่อ


ปัญหาคือ เรามี “สติ” มากพอที่จะกำกับตัวเอง
ให้เชื่อและคิดอะไรได้บ้างจากข้อมูลมหาศาลเหล่านั้น
เราใจแข็งแค่ไหนกับการตอกย้ำซ้ำๆด้วยโฆษณาชวนเชื่อซ้ำๆซากๆ



รู้ว่าไม่มีประโยชน์
ทำไมยังกิน ยังดื่ม ยังใช้
ยังดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้มี


มีไปทำไม ?
มีไปเพื่ออะไร ?
จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องมี ?


เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา
เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา
เราตกเป็นเหยื่อโฆษณา



ถ้ายังตอบตัวเองไม่ได้
ชีวิตเราก็ยังคงตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาต่อไปอย่างแน่นอน.....

 

โดย: กะว่าก๋า 5 พฤษภาคม 2555 13:56:26 น.  

 

วันนี้พี่ก๋าตอบคำถามเราสามคำถามรวดเลยครับ
หมิงหมิงไปเที่ยวกับมาดามครับ
พี่ก๋าเลยมีสมาธินั่งตอบคำถาม 555

ขอให้คอมไม่เสียหายอะไรมากนะครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 5 พฤษภาคม 2555 17:20:44 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 6 พฤษภาคม 2555 6:17:42 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 8 พฤษภาคม 2555 6:25:24 น.  

 

เพื่อความสวยงาม
ถึงขนาดต้องทำศัลยกรรมเลยหรือครับ
แล้วเวลาแก่มาจะรับได้ไหมกับการเปลี่ยนแปลง
เหี่ยว หุ่น แก่ตัวไป

ทำไมเราถึงชอบความสวยงามจังเลยครับ
ในหนังพระเอกต้องหล่อ นางเอกต้องสวย

ทุกอย่างไม่ว่า รถ บ้าน
ทำไมต้องชอบสวย

โดยเฉพาะผู้หญิงนี่ ทำผมเป็นชั่วโมง
เพื่อความสวยยอมทุกอย่าง
หรือว่าเป็นเพราะผู้ชายชอบความสวยครับ
ผู้หญิงจึงต้องสวย





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 8 พฤษภาคม 2555
เวลา : 1:22:00 น.




.................................





ในโลกของความเป็นจริง
สัตว์แต่ละตัวต่างสร้างลวดลายสีสัน
เพื่อยั่วให้สัตว์ต่างเพศสนใจตัวเอง

สัตว์ตัวเมียจึงมักมีลวดลายสีสันที่สวยงาม
มีลักษณะเด่น มีกลิ่นตัวที่ยั่วยวนใจฝ่ายตรงข้าม

เช่นเดียวกับสัตว์ตัวผู้ที่มักจะแข็งแรง
มีพละกำลังมาก มีเสียงที่ไพเราะ
เพื่อดึงดูดสัตว์เพศเมียให้สนใจตนเอง




.................................





มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

เมื่อมนุษย์เข้าสังคม
สิ่งที่ตนเองต้องการมากที่สุด
เห็นจะเป็น “การยอมรับ” จากชุมชนที่ตนเองสังกัด


การยอมรับจากสังคมจึงต้องแลกมาด้วย

วุฒิการศึกษา จบจากที่ไหน ? สาขาอะไร ? ได้เกรดเท่าไหร่ ?

ชาติตระกูล เป็นลูกเต้าเหล่ากอใด ตระกูลเป็นพ่อค้าวาณิช
หรือเป็นข้าราชการชั้นสูง เป็นเชื้อพระวงศ์ หรือลูกเกษตรกร ฯลฯ

ความร่ำรวย มีเงินในบัญชีธนาคารมากน้อยแค่ไหน ? ทำธุรกิจอะไร ?
เป็นลูกจ้างหรือเจ้าของกิจการ ฯลฯ

ไม่นับรวมไปถึง....ใช้กระเป๋ายี่ห้ออะไร ? ขับรถยี่ห้ออะไร ?
ใช้มือถือรุ่นไหน ? สุดสัปดาห์ไปพักผ่อนที่ใด ?
เที่ยวต่างประเทศปีละกี่ครั้ง ? ฯลฯ


ทั้งหลายทั้งปวงที่เราต่างเหน็ดเหนื่อยในการเสาะแสวงหา
ดิ้นรน ทนทำงาน ก็เพื่อหาเงินให้ได้เยอะๆ
เกิดความเชื่อว่าเมื่อมีเงินก็จะมีความสุข
เมื่อใช้ชีวิตอย่างมีระดับคนจะยอมรับ


การยอมรับแบบนี้
เป็นการยอมรับแบบ “ภายนอก”
คือ การยอมรับตามสิ่งที่เห็นด้วยสายตา
ไม่ใช่การยอมรับด้วยใจ ซึ่งบางสิ่งไม่อาจวัดค่าได้
เพราะไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นในเชิงวัตถุ



.................................




ผู้หญิงสวยไปทำไม ?
พี่ก๋าไม่รู้จะตอบแทนใจผู้หญิงได้หรือเปล่า

แต่ที่ผู้หญิงยอมเจ็บตัว ไปศัลยกรรม ไปทำสวย
ก็อาจเพราะบางส่วนของร่างกาย
มองดูแล้วไม่งามตา ไม่พึงพอใจ
เลยอยากแก้ไขให้ดูดีขึ้น

การตอบสนองความพอใจในตนเอง
เป็นสิ่งที่ทำให้ตนเองมีความสุข
ไม่ใช่สิ่งผิดแต่ประการใด

ไม่ต่างกับผู้ชายที่อยากรวย อยากประสบความสำเร็จ
อยากมีรถสปอร์ตขับ อยากมีแฟนขาวสวยหมวยเอ็กซ์และเป็นดารา




จะทำอะไรกับร่างกายตนเอง
คงไม่ใช่เรื่องผิด หรือควรไม่ควร

แต่สิ่งที่ควรคิดไว้ด้วยก็คือ
เมื่อกายสวยแล้ว ให้ทำจิตใจให้สวยตามไปด้วย
เมื่อหล่อเหลาดูดี ช่วยทำจิตใจให้หล่อตามไปด้วย


อย่าทำให้สวยแต่รูปกาย
แต่ภายในใจอมทุกข์ อมโศก
และสะสมแต่ความไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมี
จนต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆมาปรนเปรอความสุขให้ตนเอง
จนความอยากในความสุข
ต้องกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความทุกข์



มีกลอนบทหนึ่งที่พี่ก๋าชอบมาตั้งแต่เด็กๆ
นั่นคือ


คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยสินทาน ใช่บ้านโต



คนเราหล่อได้ ถึงวันหนึ่งก็ต้องแก่
คนเราสวยได้ ถึงวันหนึ่งก็เหี่ยวแห้งหย่อนคล้อย
จะดึง งัด ขัดถูไปถึง 80 เพื่อให้ยังสวยเต่งตึงไปเพื่ออะไร


พี่ก๋าเชื่อว่า...ถึงวันหนึ่งคนจะจดจำเราได้
จาก “สิ่งที่เราทำ”
ไม่ใช่ “สิ่งที่เราเป็น”

 

โดย: กะว่าก๋า 8 พฤษภาคม 2555 9:16:12 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 9 พฤษภาคม 2555 6:12:54 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 10 พฤษภาคม 2555 6:22:09 น.  

 

วันนี้มีคำถามเรื่อง การเปลี่ยนครับ
คำถามมีอยู่ว่า
เปลี่ยนอะไรดีที่สุด
เปลี่ยน ทรงผม
เปลี่ยน รูปร่าง
เปลี่ยน ผู้คน
เปลี่ยน สถานที่
เปลี่ยน คนรัก,ความรัก
เปลี่ยน นิสัย
เปลี่ยน ความคิด
เปลี่ยน ตัวเองให้เป็นคนไร้หัวใจ
หรือ..ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 8 พฤษภาคม 2555
เวลา : 15:14:00 น.




................................





กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีดินสอแท่งหนึ่งแอบหลงรักมีดพับ
วิธีเดียวที่ดินสอจะทำให้หญิงสาวคนรักพึงพอใจได้
ก็คือ เขาจะต้องฝนปลายดินสอให้ทู่
เพื่อที่มีดพับสาวสวยจะได้บรรจงเหลาปลายดินสอของเขาให้แหลมอีกครั้ง

แม้จะเจ็บปวดจากความเปลี่ยนแปลงนี้
แต่เขาก็ยอม....
ยอมให้เธอค่อยๆเฉือนเนื้อไม้ของเขาไปทีละนิดทีละน้อย


แล้วดินสอแท่งนี้ก็ค่อยๆสั้นกุดลงไปทุกทีๆ...


ที่สุดแล้ว...
เขาก็ถูกเหลาจนหมดแท่ง





.........................






เราอยากเป็นคนรักผู้เสียสละ
และยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา
เพื่อให้คนที่เรารักพึงพอใจหรือเปล่า ?

ไม่ต้องนึกถึงประเด็นผิด-ถูกหรอกนะครับ

เอาแค่ว่าเราถามตัวเองก่อนว่า
เราเปลี่ยนตัวเองไปเพื่อใคร ?
แล้วการเปลี่ยนแปลงนั้นเราต้อง “จำใจ” ทำหรือเปล่า
หรือว่า “เต็มใจ” ที่จะเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าเราจะมีความสุขหรือไม่ก็ตาม



ดินสอจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมันถูกใช้งาน
ถูกนำไปขีดเขียน ถูกเหลาปลายให้แหลม
เพื่อจะได้เขียนอย่างสวยงาม

ดินสอที่ไม่ถูกเหลา ไม่ถูกใช้งาน
แต่ถูกวางอย่างไร้ประโยชน์จะมีความหมายอะไร....



อย่ากลัวความเจ็บปวดเลยนะครับ
ไม่ว่า “การเปลี่ยนแปลง” นั้นจะนำอะไรมาสู่ชีวิตเราบ้าง

อย่ากล้าๆกลัวๆกับเดินไปเพื่อเผชิญหน้ากับ “ความจริง”
ความจริงที่เป็นของมันอย่างนั้นจริงๆ
ไม่ใช่ความจริงที่เราวาดหวังและอยากให้เป็นอย่างที่ใจคิด



ที่สุดแล้วการยอมตัวให้ต้องเจ็บปวดเหมือนดินสอแท่งนี้
แม้ต้องแลกมาด้วยการยอมตน การเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างสุดขั้ว

อย่างน้อยที่สุด...ดินสอแท่งนี้ก็ได้จารึกถ้อยคำบางคำ
ขีดเขียนประโยคบางประโยคเอาไว้ในกระดาษ

และมันได้ทำหน้าที่ “ดินสอแท่งหนึ่ง” อย่างสมบูรณ์แบบแล้วมิใช่หรือ

 

โดย: กะว่าก๋า 10 พฤษภาคม 2555 11:55:08 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 11 พฤษภาคม 2555 6:27:00 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 11 พฤษภาคม 2555 7:43:54 น.  

 



สวัสดี...ยามเช้าค่ะ..^^




 

โดย: Lika ka 11 พฤษภาคม 2555 8:53:25 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 12 พฤษภาคม 2555 6:24:05 น.  

 

รู้สึกว่าช่วงนี้สติหายไปครับ
วันนี้ไปเซเว่น จะเอาเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวไก่ทอดหาดใหญ่
พอแคลชเชอร์เอามาเป็นเบอร์เกอร์ลาบหมูซะได้

หยิบบัตรจอดรถมอเตอร์ไซค์ออกมา
พอขับรถก่อนจะออก อ้าว..บัตรหายไปไหน
ไปเปิดเบาะรถ เก็บไว้ในกระเป๋าตังค์

รู้สึกว่าใจเหม่อลอย ลืมตัวเป็นพักๆ
เป็นได้มาระยะหนึ่งแล้ว

ทำยังไงดีครับ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 10 พฤษภาคม 2555
เวลา : 23:09:00 น.




…………………………………..




พี่ก๋าเคยทำงานยุ่งๆ
แล้วเดินไปเดินมา
นึกขึ้นได้อีกที
เอ....ดินสอหายไปไหน

คราวนี้เริ่มบ่น
เริ่มหงุดหงิดแล้วครับ
งานก็เร่ง
ดินสอก็หาย


สุดท้ายนั่งนิ่งๆแล้วคิดไปเรื่อยๆ
รู้สึกตัวอีกทีถึงได้รู้ว่าเราเป็นคนเอาดินสอเหน็บหูไว้เอง



......................................




วันก่อนนอนไม่หลับ
เลยนอนฟังเสียงฝนเงียบๆในความมืด



รู้ไหมครับ....

หลายครั้งเลย
ที่เราได้ยินเสียงต่างๆ
แต่เราไม่ได้ฟัง
เราฟังเสียงต่างๆ
แต่ฟังอย่างไม่ลึกซึ้ง ไม่ใส่ใจ ไม่ตั้งใจ

เวลาเราฟังอะไรอย่างไม่ตั้งใจ
แม้แต่เพลงที่ไพเราะ
ก็อาจกลายเป็นเสียงหนวกหูน่ารำคาญ

เสียงของลูกที่คอยมาถามคำถามใกล้ๆ
อาจสร้างความน่าเบื่อหน่าย


แต่ถ้าเราตั้งใจฟังเสียงต่างๆให้ดี

ในขณะที่แม่บ่นเรา
เราจะสัมผัสได้ถึงความห่วงใย


ในขณะที่ภรรยาบ่นระบาย
เราจะได้รับรู้ถึงความเครียดความกังวลในใจเธอ


ฯลฯ




ทุกวันนี้เราฟังแต่เสียงที่เราอยากฟัง
หรือบางครั้งเราพูดมากกว่าฟัง
จนทำให้เราพลาดที่จะ “ฟัง” เสียงต่างๆอย่างตั้งใจ


เราไม่ใส่ใจกับสิ่งต่างๆรอบตัว

ที่สุดแล้วแล้วก็ไม่มี “สติ”
หรือใจจดจ่ออยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” ของตัวเราเองเลย




พี่ก๋านอนฟังเสียงฝนตกอย่างตั้งใจอยู่หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ
ได้ยินเสียงน้ำหยดกระทบพื้น ได้ยินเสียงลมวู่หวิว
ได้ยินเสียงสัตว์ร้องแข่งกับเสียงฝน

ที่สุดแล้ว...ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกำลังเต้นในความมืด
ได้ยินเสียงทุกอย่างอย่างชัดเจนเหมือนอยู่ในความเงียบ
สงบ และสงัด….




…………………………………



ลองหาเวลาเงียบๆที่เป็นส่วนตัวในแต่ละวัน
เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเราได้นั่งเงียบๆในความเงียบดูสิครับ

ไม่ต้องหลับตานั่งสมาธิก็ได้
เพราะถ้าใจมันคึกโครม
ต่อให้นั่งกลางป่าช้า
ใจมันก็แส่ส่ายไร้สมาธิครับ


อยู่ท่ามกลางคนเยอะๆก็ทำได้นะครับ
นั่งนิ่งๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดอะไร
จะลองปล่อยให้หูทำหน้าที่ฟังอย่างตั้งใจก็ได้
จะเปิดตาให้มองทุกอย่างอย่างที่มันเป็นก็ได้

อย่าเอาตัว เอาความคิด เอาความรู้สึกของเราใส่เข้าไป
แค่ทำตัวเป็นส่วนหนึ่งในบรรยากาศนั้น

แล้วซึมซับรับรู้ทุกความรู้สึกไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง

อารมณ์แบบนี้จะทำให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน
อยู่กับอารมณ์ ความรู้สึกเบื้องหน้าเราอย่างแท้จริง


และถ้าเราสามารถฝึกปฏิบัติแบบนี้ไปเรื่อยๆ
สมาธิจะเกิดกับเราโดยไม่รู้ตัว
เวลาเผลอตัวเผลอใจ ขาดสติ
เราจะเตือนตัวเองให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะได้เร็วขึ้น


ไม่เชื่อต้องลองทำดูนะครับ

ไม่ยากหรอก

 

โดย: กะว่าก๋า 12 พฤษภาคม 2555 13:50:21 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 13 พฤษภาคม 2555 6:22:39 น.  

 

การศึกษาของเรามันน่าเบื่อนะ
ยุคพี่ก็น่าเบื่อ

พี่ก๋าว่าจะลองเปลี่ยนโลกดูครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 13 พฤษภาคม 2555 18:57:18 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 16 พฤษภาคม 2555 6:32:37 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 17 พฤษภาคม 2555 6:28:41 น.  

 

มีชายคนหนึ่ง จำต้องไปสถานที่ที่หนึ่ง
ซึ่งเขาไม่เคยไป

เขาใช้อินเตอร์เน็ต ศึกษาเส้นทางชั่วครู่
แล้วเขาก็ออกเดินทาง เขาขับด้วยความไม่มั่นใจ
ขับไปสักพัก เลี้ยวซ้าย เขาคิดว่าใช่
แต่เขาหลงทางแล้ว น้ำมันเหลืออีกไม่มาก
เขาควรจะทำอย่างไรดี

หาทางกลับ ลุยต่อ หรือทำอย่างไรดี

เมื่อเราคิดว่าทางนี้ใช่
เมื่อเดินไปมันกลับไม่ใช่

เมื่อเราต้องติดสินใจ
เราจะพุ่งชน หันหลังกลับ
หยุด ขอความช่วยเหลือ

ไม่ว่าความรัก ไม่ว่าสิ่งที่คิด

ชีวิตที่ติดความสบายจนเคยชิน
ชีวิตที่กลัวความลำบาก
เมื่อเราพร้อมที่จะลำบาก เราเสียอะไร

ถ้าพี่ก๋ามีไทม์แมชชีน พี่ก๋าย้อนไปช่วงเวลาอายุ 20 ปี
พี่ก๋าจะอยากลำบาก หรือสบาย ?



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 13 พฤษภาคม 2555
เวลา : 18:04:00 น.


....................................





ตอนที่พี่ก๋าอายุ 20 ปี
กำลังสับสนกับความคิดของตัวเองพอดีครับ
ทะเลาะกับตัวเองบ่อยมาก
ทะเลาะกับความคิดและความฝันของตัวเอง
อยากทำตามสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด

ชีวิตจริงไม่เปิดโอกาสให้เราทำตามความฝันได้ง่ายๆเลยครับ
มีบททดสอบยากๆมาให้ได้ลองพิสูจน์การเติบโตของตนเองอยู่เสมอ




...................................





พี่ก๋ามีเรื่องจะเล่าให้ฟังครับ.....


ชายคนหนึ่งมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นครูและสถาปนิกมาก
เขาตั้งใจเรียน จริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน และมิตรภาพ

หลังจากใช้เวลาเรียน 7 ปี
เขาจบมาทำงานเป็นสถาปนิกหนึ่งเดือน
พ่อเรียกตัวให้ลาออกจากงานมาช่วยงานที่ร้าน

ร้านขายเครื่องหนังซึ่งเป็นงานที่เขาไม่ถนัดเลย
เขาปรับตัวกับงานไม่ได้ ทำงานหนักมาก
สามปีแรกไม่เคยมีวันหยุดแม้แต่วันเดียว
เจอแต่คนและงานที่เขาไม่ชอบ

เขาทรมานอยู่กับสิ่งที่เขาไม่อยากทำอยู่นานหลายปี




.........................................




เรื่องนี้ควรจะดำเนินต่อไปอย่างไร
ชายคนนี้จ่อมจมกับงานที่เขาไม่ชอบ เบื่อโลก
เซ็งชีวิตต่อไปจนแก่

เขาอาจกลายเป็นคนติดเหล้า ติดเซ็กส์
เป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย หาอะไรทำฆ่าเวลาไปวันๆ
ไม่สนใจความก้าวหน้าขอแค่มีเงินใช้ ฯลฯ




......................................





ถ้า “สิ่งที่เราทำอยู่” เป็น “สิ่งที่เราไม่ชอบ”
พี่ก๋าว่าเราเหมือน “คนหลงทาง”
เดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่ถูกทิศถูกทาง

แต่ในเส้นทางที่เราไม่คุ้นเคยนี่เอง
ถ้าเราเปิดใจมองดูให้ดี

เราอาจพบว่ามันเป็น “เส้นทางใหม่” ที่ทำให้เราเติบโต

คนเราไม่อาจเติบโตได้ในสภาวะที่สุขสบาย
และเปี่ยมสุขตลอดเวลา

ความบีบคั้นอารมณ์ ความเจ็บปวด ความพ่ายแพ้
ความสูญเสีย ความผิดหวัง ความพลาดพลั้งต่างหาก
ที่ทำให้เราเติบโต
และเรียนรู้ได้จากความผิดพลาดนั้น


ยิ่งล้ม และยิ่งเรียนรู้วิธีที่จะลุกขึ้น
จะสร้าง “รอยแผล” และ “ประสบการณ์” ให้กับชีวิต

นั่นเป็น “การเติบโต” ที่ดีและยั่งยืนนะครับ



..............................................




ถ้าน้ำมันหมด รถเสีย GPS พังจะทำยังไง
จะนั่งรอความหวังอยู่ตรงนั้นไปอีกนานเท่าไหร่

เปิดประตูรถ แล้วออกเดินสิครับ

เดินไปตามทางบ้าง เดินหลงทางบ้างจะเป็นไรไป

ใครจะไปรู้…..
มันอาจนำเราไปสู่ “เส้นทางใหม่” หรือ “โอกาสที่ดีกว่า” ในชีวิตก็ได้


กล้าแต่ไม่ประมาท

ค่อยๆหาหนทางแก้ไข


ความกลัวทำให้เราหยุดอยู่กับที่ครับ



..................................................




พี่ก๋าไม่เคยคิดย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรเลย
ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด ความผิดหวังอะไรที่เกิดขึ้นไปแล้ว
เพราะเราทำอะไรกับมันไม่ได้อีกแล้ว นอกจากเสียใจ

แต่เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้


เหมือนกับชายคนนั้น
ที่พอวันหนึ่งเขารู้แล้วว่า “เขาทำอะไรได้บ้าง” กับ “สิ่งที่เขามีอยู่”
เขาหยุดพร่ำเพ้อ หยุดโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้
แล้วตั้งคำถามใหม่กับตัวเองว่า

“ฉันจะทำอะไรได้ ในสถานการณ์ที่ฉันเป็นอยู่”


งานที่เขาเคยไม่ชอบ ผู้คนที่เขาเคยเบื่อหน่ายเกลียดชัง
เขาเปลี่ยนมุมมองในการมอง ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน

แต่เขาพยายามมองหา “สิ่งดี” ที่มีอยู่ในงานและผู้คนเหล่านั้น

ที่สุดแล้วเขาพบว่า ….

“ปัญหา” ไม่ได้อยู่ที่สิ่งต่างๆนอกตัว
แต่ปัญหาเกิดจาก “ตัวเขา” นั่นเอง


เขาเบื่อตัวเอง เลยโทษว่าเป็นความผิดของโลก
เขาดูแลความรู้สึกตัวเองไม่ได้ เขาเลยแสดงออกโดยการทะเลาะกับโลกและผู้คน
เขาไม่รู้เท่าทันความคิดจิตใจตนเองเลยเสียเวลาเปลี่ยนแปลงโลก
ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว
แค่เขาเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนวิธีคิดของตัวเอง โลกก็เปลี่ยนแปลงแล้ว

เปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง !!!



.................................




หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของคนเรา
ก็คือ “การค้นพบตัวเอง”

เราเอาแต่ออกเดินทางไป “ค้นหา” ตัวตนจากที่นั่นที่นี่
จากครูบาอาจารย์มากมาย จากการเดินทางมากมายหลายสถานที่

ทั้งที่แท้จริงแล้ว เรา “ค้นพบ” ตัวเองได้
จากในตัวเรานั่นเอง


ขอเพียงรู้จักหยุด ฉุกคิด เรียนรู้จากสิ่งต่างๆ
ทั้งที่ผิดหวัง ล้มเหลว พ่ายแพ้ เจ็บปวด
สูญเสีย เป็นทุกข์ ฯลฯ

สิ่งต่างๆเหล่านี้ให้บทเรียนชีวิตกับเราได้
ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ย้ำปมด้อย ซ้ำเติมความเศร้าในชีวิตเพียงอย่างเดียว


เอาความทุกข์เป็นครู เอาความท้อเป็นพลัง
ที่จะทำให้เราก้าวเดินต่อไปอย่างกล้าหาญ



ความสำเร็จที่ได้มาง่ายๆ อันตรายมากนะครับ
เพราะมันจะทำให้เราประมาทและคิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุดในโลก

แต่ในโลกนี้ไม่มีใครเก่งตลอดกาล ไม่มีใครแพ้ตลอดกาล
ไม่มีใครที่มีความสุขอย่างเดียว โดยไม่มีความทุกข์
ไม่มีใครเลยนะครับที่จะได้อะไรมาง่ายๆ
โดยไม่ต้องสูญเสียอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนตอบแทน




.......................................




พี่ก๋าเคยขับรถหลงทางไปคนเดียว
และทางเส้นที่ขับหลงไป
กลับทำให้ได้พบวิวทุ่งนาที่สวยงามที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต


พี่ก๋าถอนคันเร่ง
วางความกลัวในใจลง
แล้วยืนมองดูทุ่งนาเหลืองอร่ามนั้นอย่างมีความสุข



แน่นอน....เราไม่ควรขับรถหลงทางตลอดเวลา
เพราะมันเสียเวลาชีวิต อาจทำให้เราไปถึงเป้าหมายช้า

แต่ถ้าหลงทางไปแล้ว
ทำไมไม่ลองมองหาสิ่งสวยงามที่อยู่สองข้างทางดูล่ะครับ

ชีวิตก็เป็นแบบนั้นเองครับ
เราเคยเห็น “ความงาม” ของชีวิตบ้างหรือเปล่า ?

ถ้ายัง....

จะกลัวและมัวรออะไรอยู่ครับ

ออกเดินทางกันเลย !!!!!!



 

โดย: กะว่าก๋า 17 พฤษภาคม 2555 7:41:12 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 18 พฤษภาคม 2555 6:35:17 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 19 พฤษภาคม 2555 6:30:42 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 21 พฤษภาคม 2555 6:44:17 น.  

 

สวัสดีค่ะ...ทักทายกันซะหน่อยสำหรับวันทำงานวันแรกของอาทิตย์...^^

 

โดย: Lika ka 21 พฤษภาคม 2555 10:40:29 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 22 พฤษภาคม 2555 6:37:43 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 23 พฤษภาคม 2555 6:39:26 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 24 พฤษภาคม 2555 6:52:50 น.  

 

พี่ก๋ากำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อแมคดีัรึเปล่า
ภาพมันสวยดีครับ
แต่ทั้งชีวิตพี่ก๋าเคยชินกับวินโดว์ครับ 555

จะเปลี่ยนไปใช้แมคไม่ง่ายเลยนะ
โปรแกรมแต่งภาพของพี่ก๋าก็ใช้แต่โฟโต้ช็อปน่ะ


 

โดย: กะว่าก๋า 24 พฤษภาคม 2555 7:24:34 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 25 พฤษภาคม 2555 6:27:11 น.  

 

พี่ก๋าไม่เคยดูซีรี่ย์เกาหลีเลยครับ แหะๆๆๆๆ

แต่คำที่เขียนไว้ในเม้นท์

คมนะ


 

โดย: กะว่าก๋า 25 พฤษภาคม 2555 14:45:12 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 26 พฤษภาคม 2555 6:47:44 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 27 พฤษภาคม 2555 6:30:33 น.  

 

พีก๋าไม่แน่ใจนะ
ว่าเราควรจับปลา่ตรงไหน
ต้นน้ำหรือปลายน้ำ

ทุกที่มีปลาเสมอ
สำหรับคนที่มองเห็น


 

โดย: กะว่าก๋า 27 พฤษภาคม 2555 6:35:05 น.  

 

รอยแผลไม่ได้หายไป
แล้วมันอยู่ไหนนะ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 25 พฤษภาคม 2555
เวลา : 15:17:00 น.






...............................





กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีปิศาจสามตัวชื่อปิศาจแห่งความเศร้า
ปิศาจแห่งความเจ็บปวด และปิศาจแห่งความรวดร้าว


ปิศาจทั้งสามตัวทำหน้าที่ของมันมานับล้านๆปี
ในการทำให้มนุษย์เศร้าเสียใจและไม่มีความสุขในชีวิต

แต่แล้ววันหนึ่ง
เมื่อมนุษย์คนหนึ่งเกิดรับรู้ถึง “ความจริงแห่งชีวิต”

ปิศาจทั้งสามเริ่มวิตกกังวลว่า
มนุษย์คนนั้นอาจบรรลุธรรม
และไม่ถูกครอบงำโดยปิศาจทั้งสามอีกแล้ว



“เราจะทำยังไงกันดีเพื่อน เจ้ามนุษย์คนนี้กำลังท้าทายเรา”

ปิศาจแห่งความเศร้าถามเพื่อนทั้งสองตัว


“ไม่เห็นจะน่ากลัวอะไรเลย เราโยนความรักให้เขาสิ
แล้วกระชากมันกลับในทันที”

ปิศาจแห่งความเจ็บปวดพูดขึ้น



“หรือไม่ก็ให้เขาต้องสูญเสียคนที่เขารักมากที่สุด
แบบไม่ทันตั้งตัวไง” ปิศาจแห่งความรวดร้าวเสนอ


“ใช่ๆๆๆ ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
เราต้องช่วยกันสร้างบาดแผลในชีวิตของเขาให้เยอะที่สุด
โทษฐานที่บังอาจมาท้าทายปิศาจอย่างเรา”


ปิศาจแห่งความเศร้ายิ้มอย่างกระหยิ่มใจในแผนการอันชั่วร้ายของตน





.................................





หลายปีนับจากนั้น
มนุษย์คนนี้ต้องเผชิญความสูญเสียปวดร้าวมากมาย
ความทุกข์โถมทับชีวิตของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า


ธุรกิจล้มละลาย ความรักสลาย เพื่อนฝูงทอดทิ้ง
สิ่งของที่รักถูกขโมย ร่างกายเจ็บป่วยซ้ำแล้วซ้ำอีก
พบแต่คนเอาเปรียบ อยู่ในเมืองที่แบ่งชนชั้น ฯลฯ


ใช่...สิ่งต่างๆเหล่านี้คล้าย “บาดแผล” ในชีวิต
ที่ประทับความเจ็บปวดลงไปบนตัวเขา

แต่มนุษย์คนนี้กลับเอาชนะความเจ็บปวดเหล่านี้ได้
ด้วยการ “ยอมรับ” ....


ยอมรับใน “ความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้”


เมื่อเขายอมรับความเป็นไปอย่างที่มันเป็น
เขาไม่ฟูมฟาย ไม่ด่าทอโชคชะตา
แต่ก้มหน้ารับกรรมและเผชิญสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น
โดยไม่เคยคิดร้องขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดใด




..................................





“เราทำถึงเพียงนี้ เขายังทนอยู่ได้” ปิศาจแห่งความเศร้าวิตก


“เขาแกร่งกว่าที่เราคิด แม้บาดแผลจะเต็มกาย
ความทุกข์ท่วมเต็มชีวิต เขายังทนได้”

ปิศาจแห่งความเจ็บปวดพูดขึ้นมาในเชิงยกย่อง


“ข้าไม่เคยเห็นใครอึดและสู้แบบนี้มาก่อนเลย”

ปิศาจแห่งความรวดร้าวพูดขึ้น


“เราสร้างบาดแผลให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เขาก็ลบรอยแผลต่างๆออกไปจากชีวิตได้เสมอ
หรือว่าเรายังสร้างบาดแผลได้ไม่ดีพอ”

ปิศาจแห่งความเจ็บปวดหงุดหงิด



“แต่เราก็สร้างบาดแผลขึ้นมาทุกชนิดแล้วนี่นา”

ปิศาจแห่งความรวดร้าวแย้ง





ปิศาจทั้งสามตัวเงียบไปชั่วขณะ....


แล้วปิศาจแห่งความเจ็บปวดก็พูดขึ้นมา


“โอ...ข้ารู้แล้ว ข้าว่าเราหยุดสร้างบาดแผลกันเถอะ
เรามีวิธีทำให้เขาเจ็บปวดรวดร้าวได้แล้วล่ะ”


“วิธีไหนล่ะ ?”


ปิศาจแห่งความเจ็บปวดบอกกับเพื่อนทั้งสองว่า


“เราไม่จำเป็นต้องสร้างบาดแผลให้กับเขาตลอดเวลาหรอก
เราแค่ต้องสร้าง “รอยแผลเป็น” ขึ้นมาบ้างน่ะ”


ปิศาจแห่งความรวดร้าวสงสัย


“ขนาดบาดแผลใหญ่ๆ เขายังลบได้
แล้วรอยแผลเป็นจางๆของเจ้าจะทำร้ายเขาได้ยังไง ?”




ปิศาจแห่งความเจ็บปวดยิ้มอย่างผู้มีชัย....


“ก็เพราะข้าจะซ่อนบาดแผลนี้เอาไว้อย่างดีที่สุด
ในที่ที่มนุษย์คนไหนก็ยากจะหาพบน่ะสิ
ต่อให้เขาลบรอยแผลในชีวิตออกไปจนหมด
แต่รอยแผลเป็นจางๆนี้จะไม่มีวันลบเลือนหายไปจากชีวิตเขาได้เลย”


“มันเจ็บปวดขนาดนั้นเลยหรือ แล้วเจ้าจะซ่อนไว้ตรงไหน ?”


ปิศาจแห่งความเศร้าถาม....


“ข้าจะซ่อน “รอยแผลเป็น” นี้ ไว้ในใจมนุษย์
แล้วมนุษย์จะเศร้าทุกครั้งที่คิดถึงมัน
บาดแผลในใจนี่ล่ะ ที่ยากจะลบเลือนที่สุด ฮ่าๆๆๆๆ”



แล้วปิศาจทั้งสามตัวก็ยิ้มอย่างมีความสุข
เพราะที่สุดแล้ว....จะอีกกี่ล้านปีผ่านไป

มนุษย์ก็ไม่เคยลบเลือน “บาดแผลในใจ” ของตนเองได้เลย


 

โดย: กะว่าก๋า 27 พฤษภาคม 2555 7:46:59 น.  

 

เราจะไม่เป็นผู้ชายที่น่าเบื่อ
สำหรับคนที่เรารักได้ยังไงครับ





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 25 พฤษภาคม 2555
เวลา : 15:37:00 น.





........................................






คาถานี้มีอยู่ว่า....



“ไม่อยากเป็นผู้ชายน่าเบื่อ
จงทำในสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ”


อย่าขัดคอ อย่าแย้ง พยักหน้า
แล้วตามใจในทุกสิ่งที่เธอเรียกร้อง

กอดประคองเมื่อยามเธอต้องการ
เวลาเธอผลักไสรำคาญเราก็อย่าหงุดหงิด

อย่าบ่น อย่าต่อว่าเวลาเธอแต่งตัวนาน

อย่าท้อ อย่าทำหน้าเป็นเป็ดป่วย
เวลาพาเธอไปเดินห้าง


ช่วยถือของให้ด้วยเวลาเธอเดินช็อปปิ้ง
จะกี่ชั่วโมงก็ก้มหน้าก้มตาทนไป


อย่าหงุดหงิดเวลาเธอบ่นอยากได้นู่นนั่นนี่
ซื้อได้ซื้อ หาได้หา ทำได้ทำ


เวลาเป็นเมนส์เข้าใจเธอด้วย
ผู้หญิงจะหงุดหงิดมากและขี้บ่นมากในช่วงนั้น


ถ้าเธอถามว่าอ้วนมั้ย ?
ตอบไปเลยว่าไม่อ้วน

ถ้าเธอถามว่ารักฉันเพราะอะไร ?
ตอบไปเลยอย่าลังเลว่าเพราะเธอน่ารัก


หาเวลานั่งฟังเธอเม้าท์มอยด้วย
จะเรื่องที่เราสนใจหรือไม่ ก็จงตั้งใจฟัง
พยักหน้าเห็นด้วยกับเธอบ้าง


ฯลฯ


คาถานี้สำคัญ
ท่องจำวันละสามหนหลังอาหาร
เช้า กลางวัน เย็น


“ไม่อยากเป็นผู้ชายน่าเบื่อ
จงทำในสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ”

 

โดย: กะว่าก๋า 27 พฤษภาคม 2555 8:05:20 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 28 พฤษภาคม 2555 6:21:18 น.  

 

หวัดดีครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 29 พฤษภาคม 2555 7:13:28 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 30 พฤษภาคม 2555 6:22:09 น.  

 


“บาดแผลในใจ” คืออะไรครับ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 27 พฤษภาคม 2555
เวลา : 08:32:00 น.






“บาดแผลในใจ”

คือ อารมณ์ด้านลบในใจเรา
อารมณ์ใดใดที่เกิดขึ้นที่ใจเรา
แล้วเรารู้สึกกับมัน
รู้สึกกับมันย้ำๆ ซ้ำๆ
เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีกในความรู้สึก

เหมือนความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจ
แล้วยากที่จะลบเลือนไปจากความคิด




............................




โดนเขาด่า แม้รู้ว่าไม่จริง
ยังเก็บมาคิดซ้ำๆ คิดให้ใจตัวเองเจ็บปวดเล่นๆ
สุดท้ายก็คิดแค้นจงเกลียดจงชังคนที่พูดถึงเราในแง่ไม่ดี


ทะเลาะกับคนรักด้วยเรื่องเล็กน้อย
แต่เพราะยอมไม่ได้ ต้องการหาคนผิด
เก็บเรื่องราวมาคิดจนวนเวียน
แล้วขยายผลไปดึงเอาความผิดครั้งก่อนเก่า
มาเล่าเติมต่อขยายความไม่หยุด



ผิดหวังกับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย
นั่งคิดว่าทำไมคนพวกนั้นถึงเป็นอย่างนี้
ทำไมเราถึงโชคร้ายอย่างนั้น


ฯลฯ



ลองมองดูดีดีจะเห็นว่า “บาดแผลในใจ” เหล่านี้
มันเป็นเพราะเราเอา “ใจ” ของเราไปฝากไว้ที่คำคน
เอาใจเราไปฝากไว้ที่การกระทำของคนอื่น

พอเขาพูดไม่ตรงใจ ทำไม่ถูกใจ
เราก็โกรธ โมโห ผิดหวัง เศร้าซึม เสียใจ


เขาทำเราเจ็บครั้งเดียว
แต่เราเหนี่ยวความทุกข์มาคิดซ้ำๆย้ำๆไม่หยุดหย่อน

เขาแทงเราครั้งเดียว
เรากลับเอามีดของเขา
มาแทงตัวเองจนบาดแผลเหวอะหวะยับเยิน



...............................





“บาดแผลในใจ”

คือ อารมณ์ด้านลบในใจเรา
อารมณ์ใดใดที่เกิดขึ้นที่ใจเรา
แล้วเรารู้สึกกับมัน
รู้สึกกับมันย้ำๆซ้ำๆ
เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีกในความรู้สึก

เหมือนความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจ
แล้วยากที่จะลบเลือนไปจากความคิด




ใช่ --- ทุกๆบาดแผลล้วนเกิดขึ้นที่ “ความคิด” ของเรา
ไม่อยากเจ็บปวด ไม่อยากเศร้า ไม่อยากทุกข์
ไม่ใช่ให้ต้องหยุดคิดหรือหยุดความรู้สึก


โกรธได้ โมโหได้ ทุกข์ใจได้
แต่อย่าลืมถามตัวเองด้วย
ว่าจะทุกข์ระทมเจ็บปวดรวดร้าวแบบนั้นไปทำไม


เมื่อไหร่ที่รู้ทันความคิด
เราจะรู้ทันความทุกข์
เมื่อไหร่ที่รู้ทันความทุกข์
แม้จะทุกข์ ก็ทุกข์ไม่นาน
เราจะผ่านทุกๆความทุกข์ไปได้
โดยไม่เจ็บปวดฟูมฟายมากนัก

และเราจะตระหนักในความจริงที่ว่า

ไม่มีใครไม่ทุกข์
เพราะทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าอยู่กับทุกข์อย่างธรรมดา
เข้าใจในการเกิดและการดับแห่งทุกข์

เราจะทุกข์น้อยลง น้อยลง
และรู้ว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุกข์

เพราะทุกๆความทุกข์มันมา ...เดี๋ยวมันก็ไป
สุขที่มี ...สักวันก็หมดไป


อยู่กับสุขและทุกข์อย่างรู้ทัน
แล้วเราจะอยู่กับตนอย่างรู้ธรรม

 

โดย: กะว่าก๋า 30 พฤษภาคม 2555 9:27:48 น.  

 

ถึงเวลาถ้าจะต้องมีลูก
เราจะรู้เองครับ
ว่าควรจะเป็นพ่อแบบไหน

พ่อ -- มีสองแบบเองครับ

พ่อที่ดี และพ่อที่ไม่ดี


 

โดย: กะว่าก๋า 30 พฤษภาคม 2555 14:46:41 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 31 พฤษภาคม 2555 6:38:24 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ








 

โดย: กะว่าก๋า 1 มิถุนายน 2555 6:42:30 น.  

 

ทุกวันนี้ เรามีทางเลือกที่ดีกว่าเดิมมาก
มีมากมายเหลือเกิน
จนไม่รู้ว่า จะเลือก จะทำอะไรดี
เพลง บันเทิง ข่าว การเมือง เศรษฐกิจ
สังคม งาน ข่าวสารต่างๆมากมายก่ายกอง
แล้วเราจะเลือกเสพอะไรดีละงับ
ในเมื่อเวลามีจำกัด
เราจำเป็นไหม ที่จะต้องเสพมันทั้งหมด
ท้ายสุดแล้วเราก็หมดลมหายใจ
อะไรที่เราเอาไปไม่ได้เราควรแสวงหามันไหม
ท้ายสุดแล้วถ้าจากโลกนี้ไปแล้ว
ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งติดตัวไป

พี่ก๋าจะเลือกอะไรเหรอครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 29 พฤษภาคม 2555
เวลา : 08:39:00 น.






.................................





ถ้ามีกับข้าวบนโต๊ะร้อยยี่สิบอย่าง
แต่บนนั้นมีกับข้าวที่ทำจากวัตถุดิบที่ไม่มีคุณภาพ
สารอาหารบางอย่างเป็นพิษร้ายแรง
เรายังอยากทานอาหารจานนั้นอยู่ไหม ?


เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวไข่เจียวจานเดียว
แต่ทอดจากไข่ไก่ที่สดจากฟาร์ม
โปะลงบนข้าวสวยหอมกรุ่นที่พึ่งหุงเสร็จใหม่ๆร้อนๆ....


เราอยากทานอาหารแบบไหน ?




.....................................





โลกทุกวันนี้เป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร
เราแข่งขันกันเรื่อง “ความเร็ว” ในการรับรู้
ข้อมูลปริมาณมหาศาลหลากทะลักจนเราแทบไม่มีเวลาแยกแยะ
ว่าอะไรที่ “สำคัญ”
และข้อมูลข่าวสารแบบไหนที่ “ควรรับรู้”

ข้อมูลแบบไหนที่ “ไม่จำเป็นต้องรับรู้”
หรือรู้แล้วก็ไม่มีประโยชน์โภชน์ผลอันใดกับการพัฒนาชีวิตตนเองเลย


“ตัวคัดกรอง” เป็นสิ่งสำคัญมาก
สิ่งนี้คือ “ความคิดและสติปัญญา” ของเรานั่นเอง


ปริมาณข้อมูลมากมายมหาศาลเพียงใดไม่สำคัญ
ขอแค่ตัวคัดกรองทำงานได้ดี
เราจะรู้เองว่าข้อมูลแบบไหนที่เราควรรู้
ข้อมูลแบบไหนที่ควรอ่าน
ข้อมูลแบบไหนที่แม้แต่รับฟังยังไม่ควร


เพราะ “ข้อมูล” ที่เรารับมาทั้งหมด
มันยังต้องถูกส่งผ่านไปยังสมองของเรา
เพื่อประมวลเรื่องราว ครุ่นคิดและยึดติดไปกับเรื่องราวเหล่านั้น



การเมืองเหลืองแดง นักการเมืองโกงกิน พ่อฆ่าลูก
เมียมีชู้กับคนข้างบ้าน คำนินทาระหว่างเจ้านายลูกน้อง
คำด่าทอระหว่างเพื่อน ดาราท้องก่อนแต่ง ข่าวฆาตกรรมหน้าหนึ่ง
ภาพหลุดดารา แอบถ่ายนักเรียน ม.ต้นร่วมรักกับแฟน
ฯลฯ


ข่าวและข้อมูลมากมายเหล่านี้


เราเคยถามตัวเองบ้างไหม
ว่าเราจำเป็นต้องรับและรู้หรือเปล่า
รู้แล้วได้อะไร (นอกจากเอาไปพูดต่อ)
รู้แล้วมันพัฒนาปัญญาอะไรในตัวเราบ้าง
(นอกจากหงุดหงิด ก่นด่าและเกลียดชังคลั่งแค้นผู้คน)


เราเอาแต่ไปรับข้อมูลจากนอกตัว
รับมาแล้วคิด คิดแล้วตัดสิน
อันนี้ดี อันนั้นชั่ว อันนี้ใช่ อันนั้นไม่ใช่




แต่สิ่งสำคัญที่สุดอย่างเรื่องของ “ตัวเรา”

เรากลับไม่รู้อะไรเลย......





..................................





สิ่งที่ควรรู้และสิ่งที่ไม่ควรรู้ในชีวิตคนๆหนึ่งนั้น
มากมายมหาศาลจนท่วมโลก
เราไม่มีเวลาทั้งชีวิตเพื่อไปค้นหาและเก็บจำเรื่องราวเหล่านั้น

ทำไมไม่เอาเวลาในชีวิตมานั่งเพ่งมองดูชีวิตตนเอง
มานั่งดูความคิดของตนเองว่าถูกต้องทางโลกและทางธรรมแล้วหรือยัง
ถ้ายัง...จะทำอย่างไรจึงจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

หยุดด่าทอโลก แล้วกวดขันพัฒนาตนเองดีกว่าไหม ?

หยุดนินทาคนอื่น แล้วปรับปรุงข้อเสียของตนเองดีกว่าไหม ?

หยุดกล่าวโทษสิ่งอื่นและคนอื่นๆ แต่ย้อนมองส่องตน
อะไรที่ทำให้เราล้มเหลว เดินทางผิด ตัดสินใจพลาด
รักษาความรักที่มีไว้ไม่ได้

แทนที่จะด่าทอความมืด
เอาเวลาไปมองหาและจุดแสงไฟขึ้นไม่ดีกว่าหรือ ?




.............................






ตายแล้วไปไหน ?
และนำสิ่งใดไปได้บ้าง ?

ไม่สำคัญเท่ากับ “วินาทีนี้”
วินาทีที่เรายังมี “ลมหายใจ” ยังมีชีวิตอยู่



“เราได้ทำในสิ่งที่ดี และทำในสิ่งที่ควรทำแล้วหรือยัง”



พี่ก๋าคิดว่ามันเป็นคำถามที่สำคัญ
มากกว่าการคิดว่าหลังจากเราตายไปแล้ว
เราจะหลงเหลือหรือนำสิ่งใดติดตัวไป....




เราไม่มีเวลามากพอที่จะไปรู้เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้


ที่สุดแล้ว....ทุกสิ่งที่เรารู้ภายนอกตัวนั้น
เป็นเพียงสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน
รู้แล้วก็ผ่านไป…
รับแล้วก็ยึดครองไว้ไม่ได้

ทั้งความรู้ ความทรงจำ ความรัก ความเกลียดชัง ฯลฯ




ทั้งหมดที่เรารู้น่ะ “จริง” เพียงชั่วขณะ



วันนี้พิสูจน์เชื่อว่าใช่
วันหน้าความจริงนี้อาจเปลี่ยนแปลงไป

แต่สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนคือ



เมื่อไหร่ที่เรารู้จักตนเองอย่างถ่องแท้แล้ว
สิ่งที่เรา “รู้” ไม่ได้มีความหมายอันใดเลย
เท่ากับสิ่งที่เรา “เป็น”



เมื่อไหร่ที่รู้จัก “วาง” สิ่งที่รู้
เราจะได้ “รู้” ในสิ่งที่เราจำเป็นต้อง “รู้”

สิ่งนั้นเราเรียกว่า “การรู้จักตนเอง” อย่างแท้จริง
ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง
ที่เกิดขึ้นมา ดำรงชีวิต แล้วตายไปในชีวิตหนึ่งนั่นเอง



 

โดย: กะว่าก๋า 1 มิถุนายน 2555 9:05:07 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับพี่







 

โดย: กะว่าก๋า 2 มิถุนายน 2555 6:11:36 น.  

 

คนตัวเล็กจะสู้คนตัวใหญ่ได้อย่างไร





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 29 พฤษภาคม 2555
เวลา : 23:11:00 น.





...............................





พี่ก๋าชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์จีน
ในพงศาวดารเหล่านั้นเรื่องราวที่สนุกมากๆ
ส่วนใหญ่อยู่ในยุคชุนชิวจ้านกว๋อ
ซึ่งเป็นยุคที่แผ่นจีนถูกแบ่งแยกออกเป็น 7 รัฐ

การต่อสู้ สงคราม การรบทั้งทางการทูตและในสนามรบ
มีเรื่องราวมากมายถูกจดบันทึกไว้


แน่นอน....เรื่องราวเหล่านั้น
ถ้าเรานั่งอ่านดูดีดี
จะพบว่ารัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แข็งแกร่งที่สุด
บ่อยครั้งก็ไม่ได้รบชนะเสมอไป

บางครั้งความคิดของกษัตริย์ที่คิดจะทำการรบกับรัฐอื่น
ก็ถูกขุนนางของตนเองคว่ำกระดานด้วยคำพูดทัดทานเพียงไม่กี่คำ




.......................................




รัฐฉินอาจรวบอำนาจไว้จนผนึกแผ่นดินจีนเป็นหนึ่ง
แต่ถามว่ามันยั่งยืน ยืนยงไหม....ก็ไม่

ฉินสื่อหวงหรือจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ได้เพียงไม่นาน
ก็สูญเสียอำนาจ ราชวงศ์ของพระองค์สิ้นสูญอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก


คนตัวเล็กจะสู้คนตัวใหญ่ได้อย่างไร ?

รัฐที่อ่อนแอกว่าจะรบชนะรัฐที่แข็งแกร่งกว่าได้อย่างไร ?



คนตัวเล็กนั้นต้องทำร่างกายให้แกร่ง
หมั่นเรียนรู้และทบทวนบทเรียนจากอดีต
สร้างวิธีคิดที่หลากหลายแต่ชัดเจน
ว่าตัวเองต้องการอะไร มองเห็นจุดเด่นจุดด้อยในตน



ที่สุดของการแข่งขัน
ไม่ใช่การลงไปในสนามรบแล้วเข่นฆ่ากันหรอกครับ

แต่คือ การรบโดยไม่รบ
การต่อสู้ที่ไม่ต้องใช้กำลัง ไม่ต้องเข่นฆ่า

สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วย “ปัญญา” ครับ




............................................




ในภาพยนตร์เรื่อง HERO
ซึ่งเป็นการสู้รบกันระหว่างรัฐต่างๆในยุคชุนชิวจ้านกว๋อ

ในฉากจบ....

นักฆ่านิรนามสนทนากับจิ๋นซีฮ่องเต้
นี่คือ ถ้อยคำนั้น......




เพลงดาบขั้นสุดยอด....
ขั้นแรกของเพลงดาบ
ต้องการความเป็นหนึ่งเดียว
ระหว่างคนและดาบ
คนคือดาบ....ดาบคือคน
แม้แต่หญ้าในมือ ยังใช้เป็นอาวุธได้
...ขั้นที่สองของเพลงดาบ
คือ ดาบต้องอยู่ที่ใจ
แม้เพียงมือเปล่า ยังฆ่าได้ในระยะหนึ่งร้อยก้าว
ด้วยดาบที่มองไม่เห็น
....ขั้นสูงสุดของเพลงดาบ
ไม่ต้องใช้ดาบแม้แต่น้อย
ไม่ต้องใช้ทั้ง “มือ” และ “หัวใจ”
มันคือ การมองทุกอย่างอย่างถ่องแท้
....มันไม่ใช่ “การฆ่า”
แต่มันคือ “สันติ”




บางครั้ง....ไม่สู้ ไม่ได้แปลว่ากลัว
แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้นั้น

ที่ไม่รบ ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอหรือขี้แพ้
แต่ชัยชนะบนซากความสูญเสียจะมีประโยชน์อะไร




...................................




หลังจากดูการ์ตูนเรื่องหนึ่งจบ
หมิงหมิงหันมาถามพี่ก๋าว่า

“ป่ะป๊า ดาบอะไรที่คมที่สุดในโลก”

พี่ก๋าตอบลูกไปว่า

“ดาบที่คมที่สุด คือ ดาบที่ไร้ความคม”


ใช่ครับ .... ไม่รบ ไม่เข่นฆ่า
รู้จักให้อภัย ประสานสันติ
ใช้สติ ใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา


นักดาบที่เก่งกาจที่สุดย่อมไม่ใช่นักฆ่าที่หิวกระหายกลิ่นเลือด
แต่เป็นนักดาบที่เก็บดาบไว้ในฝักอย่างสงบนิ่ง
และรู้ว่าสมควรจะชักดาบนั้นออกมาจากฝัก
เมื่อถึงคราวจำเป็นเท่านั้นเอง

 

โดย: กะว่าก๋า 2 มิถุนายน 2555 7:26:39 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 2 มิถุนายน 2555 13:19:24 น.  

 

ยิ่งเกลียด....ยิ่งรัก

มีจริงหรือ





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 30 พฤษภาคม 2555
เวลา : 15:08:00 น.







...........................................






นกตัวหนึ่งไม่เคยบินเลยนับตั้งแต่เกิดมา
มันถูกจับมาเลี้ยงตั้งแต่เป็นลูกนก
ถูกขลิบปีก และถูกจับใส่ไว้ในกรง
มีคนคอยป้อนน้ำ ป้อนข้าว
พูดคุยทักทายเมื่ออยากคุย


นกตัวนี้จะรู้ซึ้งถึงความอิสระ
ยามได้โบยบินในฟ้ากว้างหรือไม่ ?



...........................................




นกตัวหนึ่งเกิดและโตในป่า
มันเรียนรู้ที่จะบิน หากิน และซ่อนตัวหลบจากศัตรู
เผชิญกับพายุฝน ผจญกับความเหน็บหนาวอันร้าวรวด
ชีวิตคือความดิ้นรนที่หนักหน่วง


นกตัวนี้จะอยากเข้าไปอยู่ในกรงทอง
เพื่อใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบ้างหรือไม่ ?




..........................................




ความเกลียดชัง ความรักใคร่ปรารถนา
อยู่ใน “ความคิด”

ฝังอยู่ใน “ความรู้สึก”


ทั้งสองสิ่งเราเรียกว่า “สมอง” และ “หัวใจ”


จะเกลียดหรือรัก
เราก็สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาจากความลวงตา


ความรู้สึกที่เกิดขึ้นน่ะ “จริง”
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับความคิดของเรา --- “ไม่จริง”


เราแค่สร้างมันขึ้นจากความคิด
ไม่ว่าจะรัก ชอบ เกลียด ชัง
อาฆาตมาดร้าย มุ่งมาดปรารถนา
ฯลฯ



เมื่อไหร่ที่เราพิจารณาจนเห็น “ความไม่เที่ยงทน”
ของความรู้สึกเหล่านี้

เราจะมองเห็น “ความไม่เที่ยงแท้” ในทุกอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเรา



เมื่อรู้ความจริงนี้แล้ว
เราจำเป็นต้องกลายเป็นคนไร้อารมณ์
ไร้ความรู้สึก ไร้ความปรารถนาอย่างนั้นหรือ ?


คงไม่ใช่ ----


แต่เขาให้เราอยู่กับ “ความไม่เที่ยงทน” และ “ไม่เที่ยงแท้” เหล่านี้
อย่าง “รู้ทัน”


รู้ว่ามันมาแล้วก็ไป
เมื่อถึงคราวไปต้องปล่อย
ไม่ว่าอารมณ์ความรู้สึกด้านลบหรือบวกแค่ไหน

ถึงเวลา...มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป
ดี ร้าย ร้าย ดี
ยึดฉวยไว้...ไม่ได้เลย




..................................................





เราอยากเป็นนกในกรง
หรืออยากเป็นนกในป่า ?


เราอยากเป็นนกในป่า
หรือนกในกรง ?



อารมณ์เกลียด และ รัก
มีจริง

แต่คนที่กำลังเกลียดและรักนั้น
ไม่มีจริง....


มีแต่ตัวตนสมมติเท่านั้นเอง.



 

โดย: กะว่าก๋า 2 มิถุนายน 2555 13:48:47 น.  

 

สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ
สิบมือคลำ ไม่เท่าอะไรละครับ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 30 พฤษภาคม 2555
เวลา : 15:18:00 น.




..................................






ครั้งหนึ่งมีคนถามหลงปู่ดูลย์ว่า


“หลวงพ่อครับไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ?”


หลวงพ่อตอบว่า


“เกิดพร้อมกัน”




......................................





“ผัสสะ” คือ ช่องทางการรับรู้ของเรา



เล็ก ใหญ่ มาก น้อย
เราสร้างมันขึ้นที่ “ความคิด”


คนมีเงินล้านบาท แต่ซื้อของคราวละแสน
เงินล้านก็ว่าน้อย

คนมีเงินสามพัน แต่มอบสองพันให้พ่อแม่
เงินนั้นนับว่ามาก



เราคิดว่าเรา “รู้”
จากสิ่งที่เรา “รับรู้”


แต่การรู้ที่ว่า
ยังไม่ได้เป็นการรู้อย่าง “ถ่องแท้”


บางครั้งเราแค่อาศัยความเคยชินในการเชื่อ
บางคราวใช้ตำรา ใช้คำสอนครูอาจารย์มายืนยันความเชื่อ


แต่ “ความเชื่อ” ย่อมไม่ใช่ “ความจริง”

แม้แต่ “ความจริง” ในบางเรื่อง
ก็เป็นความจริงแค่เพียง “ชั่วขณะ” (หรือชั่วคราว)



สิบปากว่า สิบตาเห็น
สิบมือคลำ สิบความคิดขยำขยี้
สิบความรู้ที่เรามี
แค่สมมตินี้ --- แค่ชั่วคราว




หลายสิ่งหลายอย่างเป็นความรู้
ที่ผ่านเข้ามาเพื่อให้เราเรียนรู้
เรียนรู้เป็นประสบการณ์
และฝึกวิธีคิด....


แต่ที่สุดของความรู้
คือการปล่อยวางความรู้
คือการรู้เท่าทันว่าสิ่งที่เรารู้ล้วนไม่ยั่งยืนคงทน
ไม่ได้เป็นความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนตลอดไป


เว้นเพียงความจริงแท้แห่งชีวิต
ที่เรียกว่า “สัจธรรม”


“สัจธรรม” คือ ความจริงที่ไม่มีวันผันแปร ไม่เปลี่ยนแปลง
คงทนแน่นอนตลอดไป

เช่น คนเราต้องเกิด ต้องตาย ต้องเจ็บป่วย แก่ชรา
พลัดพรากจากสิ่งของและบุคคลอันเป็นที่รัก (หรือเกลียดชัง)


และสัจธรรมนี้ไม่อาจใช้ตามองเห็น
ไม่อาจรู้ได้ผ่านตำราหรือคำสอน
ไม่อาจไหว้วอนร้องขอจากใครคนใด
ไม่อาจสัมผัสจับต้อง


แต่สัจธรรมมีอยู่….
เราต้องรู้ซึ้งอย่างถ่องแท้
หากอยากพบกับ “ความรู้” ที่แท้จริงแห่งชีวิต


และวิธีเดียวที่เราจะพบได้
ก็ต้องพบด้วยตัวเราเอง.



 

โดย: กะว่าก๋า 10 มิถุนายน 2555 22:17:50 น.  

 

ใกล้เปิดเสรีอาเซียนแล้ว
แวบหนึ่ง คิดว่าทำค้าขาย น่าจะรุ่งแน่เลย
ไม่อยากต้องไปเร่ขอสมัครงานทำ
เลยมาถามว่า ค้าขายอะไรดีครับตอนนี้


ขอบคุณครับ พี่ก๋า




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 30 พฤษภาคม 2555
เวลา : 15:58:00 น.






.......................................







พี่ก๋ายังจำคำถามนั้นได้ดี....
หลายปีก่อนมีน้องนักศึกษามาฝึกงาน
แล้วถามพี่ก๋าว่า

“พี่คะ มีอาชีพอะไรที่ทำแล้วรวยเร็ว สบายๆ ได้เงินง่ายๆบ้าง ?”


พี่ก๋าตอบไปว่า


“มีอยู่สองอาชีพที่รวยเร็ว ได้เงินง่าย
นั่นคือ “ขายยา” กับ “ขายตัว” ครับ”





...........................................




ขายยาเป็นอาชีพที่รวยนะครับ
ไม่ต้องไปขายยาเสพติดก็ได้
ขายยารักษาโรคนี่ล่ะ รวยเร็วแน่นอน
เพราะสถิติบอกไว้ว่าคนไทยบริโภคยาเหมือนบริโภคขนมกรุบกรอบครับ


เรากินยากันพร่ำเพรื่อมาก
โดยไม่สนใจเลยว่ามันจะส่งผลอะไรต่อตับไตไส้พุงของเรา


เข้าไปโรงพยาบาลด้วยอาการปวดหัวตัวร้อน
หมอจ่ายยามา 5 ตัว ค่ายาสองพัน
กินยาสองวันหาย ดีใจ หายเร็ว หมอเก่ง

แต่ไม่คิดเลยว่าการอัดยาเข้าร่างกายมากๆแบบนั้น
อันตรายมากเพียงใด.....




............................................


โลกยุคนี้ต้อง “ขายตัว” ให้เป็นครับ
ขายตัวที่ไม่ได้หมายความว่าต้องไปหลับนอนมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้า

แต่หมายถึงให้เรารู้จัก “ขายความเป็นตัวตน”


ถ้าวันนี้เรายังไม่รู้จักตัวเองดีพอ
ไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไรที่โดดเด่น
ไม่มีความขยัน ไม่มีความอดทน ไม่สู้งาน
ไม่รู้จักปรับตัวกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์กับผู้หลักผู้ใหญ่
ไม่มีความเชี่ยวชาญชำนาญการ
ไม่มีความรู้แบบเฉพาะทางที่โดดเด่น


เราไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้เลยครับ



และทักษะที่สำคัญในการทำงานอีกอย่าง

น่าจะเป็น “ทักษะการพูด” ครับ

เป็นคนเก่ง ทำงานคล่อง
แต่พูดอธิบายแนวคิดของตัวเองไม่เป็น..ก็จบเลย

เสร็จเลยครับ



แต่อย่าเข้าใจความหมายผิดนะครับ

“พูดเก่ง” กับ “พูดมาก” ไม่เหมือนกัน
อย่างแรกสร้างความน่าสนใจ
แต่อย่างหลังสร้างความน่ารำคาญครับ




.........................................





จะทำอาชีพอะไรไม่สำคัญหรอกครับ
แต่ควรตั้งเข็มทิศให้ดี

อย่ามัวแต่คิดว่าจะทำอะไร ค้าขายอะไรแล้วถึงจะรวยเร็ว
รวยง่าย รวยสบาย


ไม่มีอะไรง่ายหรอกครับ ไม่มีอะไรฟรีด้วย

ทุกอย่างต้องลงทุน ต้องพยายาม ต้องต่อสู้
ต้องอดทน ต้องขวนขวาย ต้องเรียนรู้ถูกผิด
ต้องกล้าที่จะรับผิดชอบ ต้องฉลาดในการแก้ไขปัญหา
ฯลฯ



คิดถึง “ความสุข” เอาไว้บ้าง
อย่าคิดแต่จะ “รวย” อย่างเดียว


เพราะจะรวยอย่างเดียวนั้นไม่ยาก
ทำสิ่งทุจริตก็ได้ ขายสิ่งผิดกฏหมายก็ได้
รวยเร็วจะตาย

แต่ถามตัวเองด้วยว่ารวยแบบนั้นมันยั่งยืนรึเปล่า

รวยแบบนั้นสบตาใครได้แบบเต็มตารึเปล่า




งานที่ทำอย่างมีความสุข
มันจะทำให้เราสนุกและอยากตื่นขึ้นมาทุกเช้าเพื่อทำงาน


ไม่ใช่งานที่ให้ผลตอบแทนสูง
แต่ทุกเช้าตื่นมาแล้วไม่อยากลุกจากเตียง
ไม่อยากปลุกตัวเองไปทำงาน
ทำงานไป สมองก็คิดถึงแต่วันหยุด วันลา


แบบนั้นก็คงไม่ไหวนะครับ




...............................



การงานและอาชีพก็เหมือนการปลูกต้นไม้
ตัวเราเหมือนเมล็ดพืช
นอกจากเมล็ดพันธุ์จะต้องมีคุณภาพ
ดินหรือสิ่งแวดล้อมในการทำงานก็ต้องดีตามไปด้วย
หัวหน้าดี เพื่อนรวมงานดี งานท้าทายให้พัฒนาตนเอง
แบบนี้หากทำงานไปเรื่อยๆก็มีแต่พัฒนาฝีมือ พัฒนาความคิด

ไม่ต้องไปเร่งฉีดยา ฉีดปุ๋ย

ถึงเวลาต้นมันสมบูรณ์
เดี๋ยวก็แตกดอกออกผลที่ดีออกมาเองล่ะครับ


ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งรอคอยความสำเร็จในชีวิต
ขอแค่เราชัดเจนกับความคิดของตนเอง
มุ่งมั่นตั้งใจทำงานไปเรื่อยๆ...

“ความสำเร็จที่แท้จริง” ย่อมอยู่ไม่ไกลครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 10 มิถุนายน 2555 22:18:36 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 13 มิถุนายน 2555 7:17:41 น.  

 

วันนั้นเห็นพี่ก๋าแนะนำหนังสือ ดีไซน์รัก ของ osho
พออีกสัปดาห์หนึ่ง มีหนังสือ ปัญญาญาณ osho อีกเล่มหนึ่ง
ออกมาวางขายหน้าแผง เลยซื้อมาอ่านด้วย
พออ่านแล้ว เป็นหนังสือที่ถูกจริตมาก
เพราะโดนใจไปหลายดอก

แต่ก็พยายามเข้าใจในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย
ถ้าเราไม่ต้องการที่จะมีความสุขแบบพระพุทธเจ้า
และไม่ได้อยากรวยเหมือนบิลเกตต์

เราต้องการความสุขพอประมาณในฐานะระดับหนึ่ง
เราควรหยิบหน้าเค้ก แล้วทิ้งที่เหลือไว้ไหมครับ

อยากให้พี่ก๋าลองบรรยายความคิดเห็นที่มีต่อ osho
ทั้งด้านที่ชอบ และ ที่ขัดแย้งกันด้วยครับ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 13 มิถุนายน 2555
เวลา : 07:27:00 น.




.........................................





พี่ก๋าอ่านงานของโอโชทุกเล่มเท่าที่มีแปลในประเทศไทย
อ่านแล้ว “ชอบ”
แต่ “ไม่เชื่อ” ในสิ่งที่โอโชพูดทั้งหมด

ทำไมถึง “ชอบ” แต่ “ไม่เชื่อ”

เพราะถ้าจะให้เชื่อ ต้อง “พิสูจน์” ก่อนครับ
ว่ามัน “จริง”



โอโชเป็นนักคิด นักเขียน นักพูดชาวอินเดีย
หนังสือเกือบทั้งหมดเป็นการถอดความมาจากการบรรยาย
ในสถานที่ต่างๆที่โอโชไปพูดไว้....


ความโดดเด่นของนักพูด นักคิดชาวอินเดียก็คือ
การวิพากษ์ การพูดคุยเชิงตรรกะ
การถาม-ตอบ โต้แย้งกันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยวิธีคิด
ด้วยถ้อยคำ....

ลักษณะการพูดคุยแบบนี้เป็นที่นิยมมากในสมัยโบราณ
เช่น ยุคกรีก และ โรมัน
เป็นการเรียนการสอนในลักษณะการวิพากษ์โต้แย้งกันด้วยเหตุด้วยผล
จนนำไปสู่คำตอบ.....



จุดเด่นที่พี่ก๋าชอบในหนังสือของโอโชก็คือ
มักจะมีชุดความคิดที่แย้งย้อนโยนเข้ามาให้เราคิดตามอยู่เสมอ

หนังสือหลายเล่มที่โดดเด่นของโอโชที่พี่ก๋าชอบ
จึงมีลักษณะพิเศษคือ มักจะโต้แย้งสิ่งที่มีอยู่เดิม
เช่น การนำเอาคำสอนขององค์ศาสดาในศาสนาต่างๆ
มาวิเคราะห์ พิเคราะห์ แยกส่วนและตีความอย่างอิสระ
(สอดแทรกด้วยมุขตลก)


สื่อตะวันตกบอกด้วยซ้ำว่าโอโชคือบุคคลอันตรายทางความคิด
เป็นคนที่เสนอแนวคิดที่สุดโต่งและอันตราย
คงเพราะเขามักนำคำสอนที่มีอยู่ในแต่ละศาสนามาตีความใหม่
มองหาแง่มุมความเชื่อตามความคิดของเขา
ซึ่งมันมักจะผิดแผกแตกต่างไปจากการตีความเดิมๆที่มี


พี่ก๋าว่าการคิดแปลกและแตกต่างนี้เป็นสิ่งที่ดี
มันทำให้เราได้พบแง่มุมใหม่ๆทางความคิด

แต่อย่าลืม ---

“ชอบ” ก็ไม่ได้แปลว่าต้อง “เชื่อ” เสมอไป




.........................................





ชีวิตส่วนตัวของโอโชนับว่ามีปัญหาไม่น้อย
ในขณะที่เขาสอนลูกศิษย์มากมายให้ปล่อยวาง
เป็นอิสระ และรู้จักคิด

ส่วนตัวเขาเองกลับมีปัญหาพัวพันกับยาเสพติด
สะสมรถยนต์หรูเกือบสองร้อยคัน
คบหาสมาคมกับกลุ่มมาเฟีย
สถานปฏิบัติธรรมในอเมริกาที่เขาสร้างขึ้นถูกตั้งข้อครหาว่าเป็นสถานที่มั่วเซ็กส์
และพบว่ามีการใช้ยาเสพติดในสถานปฏิบัติธรรม ฯลฯ


นั่นย่อมเป็นทางเลือกของเราเองแล้ว
ว่าเราจะ “อ่านความคิด” ของโอโช
หรือจะเลือก “ยึดติด” ในภาพลักษณ์และตัวตนที่เขาเป็น....





.............................................





อ่านหนังสือของโอโช
แต่อย่าเชื่อในสิ่งที่เขาเขียน

อ่านตามแล้วคิด คิดอย่างเป็นอิสระ
เรียนรู้สิ่งที่แตกต่างออกไป
แล้วการตีความ การรับรู้และตระหนักใน “ความจริง” ของเรา
จะลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ....




......................................





พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราปฏิเสธความสุข
และหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์เพื่อบรรลุธรรม

การตีความตามความเข้าใจของเราหรือของใคร
ควรเป็นไปเพื่อกระตระหนักรู้ทีละนิด ทีละน้อย


อย่าใช้ “ความคิด” ที่เรามีอยู่
ตัดสินถูกผิดในคำสอน



ปัญญาที่ขาดศรัทธา คือ ความแห้งแล้ง
ศรัทธาที่ขาดปัญญา คือ ความงมงาย



ถ้าสนใจโอโช ลองอ่านงานของกฤษณมูรติ ควบคู่ไปด้วย
ท่านเป็นนักคิดในยุคสมัยเดียวกันกับโอโช
ใช้วิธีการสอนที่เหมือนกันคือการถามตอบกับลูกศิษย์

แล้วเราจะพบความเหมือนในความต่าง
พบความต่างในความเหมือน


นักคิดทุกคน ศาสนาทุกศาสนายังมีความแตกต่างในตัวเอง
พุทธมีหินยาน และมหายาน
คริสต์มีโปรแตสแตนท์และคาทอลิก
อิสลามมีชีอะห์และสุหนี่
ในแต่ละนิกายยังแยกย่อยออกไปนับร้อยนับพันรูปแบบ


นี่คือรูปแบบการเรียนรู้ รูปแบบความคิด รูปแบบความเชื่อ


ยิ่งเราเรียนรู้ถึงความแตกต่างได้มากเท่าไหร่
เราจะเรียนรู้ถึง “ความไม่แตกต่าง” ในสิ่งต่างๆที่ปรากฏ




.............................................




พี่ก๋าชอบอ่านหนังสือของโอโช
“ชอบ” แต่ไม่ได้ “เชื่อ”



เพราะที่สุดของความเชื่อ
พี่ก๋าคิดว่าเราควรสร้างมันขึ้น
จาก “ความคิด(ปัญญา)” และ “ความเชื่อ(ศรัทธา)”
ของตัวเราเอง




 

โดย: กะว่าก๋า 14 มิถุนายน 2555 22:05:13 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 15 มิถุนายน 2555 6:18:15 น.  

 

มาทักทายยามเช้า

วันนี้อากาศร้อนน่าดูเลย

แดดเปรี้ยงงงงง

 

โดย: เด็กน้อยตัวแสบ 15 มิถุนายน 2555 8:35:02 น.  

 

สวัสดีครับ

น้องเค้าน่ารักดีนะครับ
อึ๋มดีด้วย

ส่วนจะมีสิทธิ์มั้ย
ขึ้นอยู่กับน้องเสือย้อมแมว
และขึ้นอยู่กับน้องเค้านะครับ
ว่าจะมารักกันได้มั้ย

ในความรักไม่มีคำว่าไม่มีสิทธิ์หรอก
นางงามจักรวาลก็ต้องการความรักครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 16 มิถุนายน 2555 8:08:29 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ

นิทานส่วนใหญ่พี่ก๋าอ่านให้หมิงหมิงฟังครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 18 มิถุนายน 2555 5:30:57 น.  

 

ถ้าตามโอโชบอก ความคิดอยู่ตรงข้ามกับปัญญา
ปัญญาและความคิด คือสิ่งเดียวกันเหรอครับ

การแบ่งความคิดที่แตกต่าง ขัดแย้งกัน
มันช่วยให้เรามองเห็นได้หลากหลายกว่าเหรอครับ

osho เป็นแค่ความเชื่อรูปแบบหนึ่งหรือครับ


ทางไหนถูก ทางไหนผิด
ขึ้นอยู่กับปัญญาและศรัทธาในตัวเราเองหรือเปล่าครับ


ในขณะที่เขาสอนลูกศิษย์มากมายให้ปล่อยวาง
เป็นอิสระ และรู้จักคิด

ส่วนตัวเขาเองกลับมีปัญหาพัวพันกับยาเสพติด
สะสมรถยนต์หรูเกือบสองร้อยคัน
คบหาสมาคมกับกลุ่มมาเฟีย

ประเทศไทยก็มีคล้ายๆกันนะครับ


อย่างเช่นหนังสือ เฟซบุ๊ก ปรากฏการณ์ เปลี่ยนโลก

เนื้อหาเล่าเรื่องตั้งแต่มาร์ค กำลังทดลองทำโปรแกรมอยู่
จน facebook เติบโตขึ้นเรื่อย จนมีอิทธิพลไปทั่วโลก
แต่ดูเขาแล้วไม่เคยสนใจทำธุรกิจเลย
สนแต่ว่ามันจะมีประโยชน์อย่างไร
อะไรทำให้หนุ่มคนนี้ตัดสินใจได้ถูกต้องครับ

พี่ก๋าคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง
ที่เราควรหัดลองทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 14 มิถุนายน 2555
เวลา : 23:30:00 น.





.........................................






พี่ก๋าไม่แน่ใจว่าโอโชเคยกล่าวเอาไว้หรือเปล่า
ว่าความคิดตรงกันข้ามกับปัญญา


แต่พี่ก๋าคิดว่า “ปัญญาและความคิด”....เป็นสิ่งเดียวกัน


เป็นคู่ตรงข้ามที่แนบสนิท แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียว
เฉกเช่นเดียวกันกับกระดาษหนึ่งแผ่นที่มีด้านหน้าด้านหลัง
เราแทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของช่องว่างระหว่างด้านทั้งสอง


สุขและทุกข์ เศร้าและสนุก เกิดและตาย ฯลฯ


สภาวะเช่นนี้แตกต่างแต่ไม่แตกแยก

ปัญญาและความคิดก็เช่นเดียวกัน

แต่ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพ
คงต้องกล่าวว่า “ความคิด” คือ สิ่งที่เราสร้างขึ้นจากสมองของเรา
สมองสร้างขึ้นจากการรับข้อมูลผ่าน 5 ช่องทาง
ทางหู ตา ลิ้น จมูก ผิวสัมผัส
ข้อมูลที่รับมาทั้งหมดถูกส่งต่อไปยังสมอง
เพื่อทำหน้าที่คิด....


คิด คิด คิด ทั้งในทางที่ชอบและไม่ชอบ
ทั้งในความเชื่อว่าใช่และไม่ใช่


แต่ “ปัญญา” ในทางธรรม
ไม่ได้เกิดจาก “การคิด” หรือ “ความคิด”
แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวเรา
สร้างขึ้นไม่ได้

เหมือนพระอาทิตย์ที่เราสร้างขึ้นไม่ได้
แต่เรารู้ถึงการมีอยู่ของแสงสว่าง
แสงสว่างที่เจิดจ้า แต่ที่มันดูหม่นหมองมัว
ไม่ใช่ว่าแสงสว่างลดลง
แต่เป็นเพราะมีเมฆดำมาบดบังดวงอาทิตย์

“ปัญญา” ก็เช่นเดียวกัน มันกระจ่างแจ้งใสแจ่มมาตั้งแต่ต้น
แต่ที่คนเราหรือสัตว์ต่างๆแสดงออกซึ่งปัญญาที่ไม่เท่าเทียมกัน
ไม่ใช่เพราะปัญญาไม่เท่ากัน
แต่เป็นเพราะ “สิ่งที่มาบดบัง” ต่างหากที่หม่นทึบต่างกัน


เราเรียกสิ่งที่มาบดบังปัญญาหรือจิตเดิมแท้นี้ว่า
“กิเลส” “ความเขลา” “อุปทาน” หรือ “อวิชชา” นั่นเอง





........................................






การมองเห็นสิ่งที่แตกต่างไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้น
แต่การมองเห็นสิ่งที่แตกต่างอย่าง “รู้เท่าทันความเป็นจริง”
ทำให้เราเกิดความฉลาด


การรู้สึกถึงความสุขและความทุกข์
ไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้นหรือโง่ลง
แต่การรู้ทันว่าทั้งสุขและทุกข์ที่เราเผชิญอยู่นั้น
ไม่มีสิ่งใดเลยที่เที่ยงแท้คงทน
การรับรู้แบบนี้ทำให้เราเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า “ปัญญา”


นี่คือความแตกต่างระหว่าง “ความรู้” กับ “ปัญญา”





.......................................





สิ่งที่โอโชบรรยายหรือเขียนไว้ในหนังสือ
คือการนำเสนอแนวคิดในอีกรูปแบบหนึ่ง
รูปแบบความคิด ความเชื่อของเขามีรากฐานมาจากการศึกษา
ในหลักปรัชญาและศาสนาของหลากหลายสาขาวัฒนธรรม
นี่คือข้อดีของนักคิด....
เมื่อรักที่จะคิด ต้องรักในการแสวงหาความรู้
เมื่อมีความรู้ที่หลากหลาย ต้องรู้จักนำมาแยกย่อย
และหาจุดด้อยจุดดีจากความคิดคำสอนของปวงปราชญ์เหล่านั้น

แต่อย่างที่พี่ก๋าเคยบอกไว้ในคำถามของเราครั้งก่อน

“ชอบ” ก็ไม่ได้หมายความว่าต้อง “เชื่อ”

ถ้ามีข้อความใดหรือประโยคใดของโอโชที่เราชอบ
ลองย้อนกลับไปตรวจสอบความคิดความเชื่อของเราด้วย
ว่าเราชอบ หรือเราเชื่อในประโยคนั้นเพราะว่าอะไร

และเมื่อเวลาผ่านไป...
ไม่แน่ประโยคที่เราเคยชอบ
อาจเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตและวุฒิภาวะของเรา


นั่นเป็นสิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นกับ “องค์ความรู้” ทั้งหลายในโลกนี้
ความรู้ที่มนุษย์เราค้นพบหรือสร้างขึ้น
ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน เที่ยงแท้ ถาวรตลอดไป


เมื่อโลกและยุคเปลี่ยนผันไป
การรับรู้ การค้นคว้าใหม่ๆ วิทยาการใหม่ๆ
ทำให้เราได้รู้ว่าความรู้ที่เราเคยว่ารู้ ความคิดที่เราเคยเชื่อ
เมื่อถึงวันหนึ่ง ยุคหนึ่ง อาจไม่ใช่ “ความรู้” ที่ถูกต้องชัดเจนเสมอไป......




........................................




แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร
ว่าความคิดใดถูกต้อง ความคิดใดผิดพลาด
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้ใดที่ถูกต้อง
ความรู้ใดที่ผิดพลาด
หากเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ

แม้แต่ผู้รู้ที่เราเชื่อว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ
บางทีก็อาจนำเสนอความรู้ที่ผิดพลาดออกมาให้คนรับรู้อยู่เสมอ

เราจะทำอย่างไร ?
เราจะเชื่ออย่างไร ?



สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้
และเป็นสิ่งที่ดีมากนั่นคือ กาลามสูตร

อย่าเชื่อเพียงเพราะผู้พูดเป็นครูบาของเรา
อย่าเชื่อความคิดที่ถูกส่งต่อกันมา
อย่าเชื่อโดยอ้างจากตำรา ฯลฯ


ที่สุดแล้วพี่ก๋าเคยตอบตัวเองด้วยซ้ำ
ว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
อย่าเชื่อในกาลามสูตร
แต่ให้ลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบอกกล่าวกับเรานั้น
เป็นความจริงที่จริงแท้เพียงใด





...................................




หนทางแห้งการรู้แจ้ง
ไม่มีใครพาเราไปได้ จูงมือไปส่งไม่ได้
ทำให้รู้แจ้งก็ไม่ได้
ทำได้เพียงแนะนำ บอกสอน
แต่สุดท้ายแล้วเราเองที่ต้องเป็นคนลงมือปฏิบัติ
ปฏิบัติในรูปแบบใด วิธีใดก็ได้
ขอเพียงเดินทางไปอย่าง “ถูกทิศ” และ “ถูกทาง”
เพื่อที่มันจะนำเราไปสู่หนทางที่ “ถูกธรรม”





.........................................





ไม่ว่าจะเป็นโอโช สตีฟ จ๊อบส์ มาร์ค ซัคเคอเบิร์ก
กฤษณมูรติ มหาตมะคานธี บิล เกตต์ ฯลฯ



ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน
คือ ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะความบังเอิญ
ทุกคนชัดเจนในความคิดที่ตนเองกำลังสร้างทำอยู่
สิ่งนั้นก่อเกิดเป็น “ตัวตน”


แต่สิ่งที่เราต้องครุ่นคิดให้ดี
ทุกๆคนไม่ได้มีแต่ด้านที่ประสบความสำเร็จ
ไม่ได้มีแต่ด้านดีงามที่สวยหรูและยิ่งใหญ่

บางคนประสบความสำเร็จบนคราบน้ำตา
และการแตกหักกับเพื่อนสนิท


บางคนเป็นเจ้านายที่โหด เลือดเย็นและฉกฉวยไอเดียของลูกน้องไปเป็นของตัวเอง


บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจแสนล้าน
แต่เย็นชาและสร้างบาดแผลทางใจกับลูกเมียตลอดเวลา


ไม่มีใครบอกหรอกครับว่าตัวเองโหด หยาบคาย เลือดเย็น
ฉกฉวย เขี้ยว เอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ


ภาพที่คนอื่นนำเสนอให้เรารับรู้
จึงมักมีแต่ด้านที่ดีงาม ความสำเร็จระดับโลก
หรือเป็นแนวคิดที่น่ายกย่อง น่าดำเนินรอยตาม





....................................





จงเป็นอย่างที่เราเป็น
และเป็นสิ่งนั้นอย่างดีที่สุด


พี่ก๋าคิดว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเรา
เป็นคนธรรมดาที่มีความสุขกับการใช้ชีวิต
เป็นคนที่ปรับความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง
ให้ดีขึ้นในทุกๆทาง ในทุกๆโอกาสที่ทำได้

อะไรที่เป็นนิสัยที่ไม่ดี เมื่อรู้แล้วค่อยๆแก้ไขไปเรื่อยๆ
จะใช้เวลากี่วันกี่ปีก็ต้องทำ
ทำเพื่อให้ชีวิตที่ได้เกิดมาในครั้งหนึ่ง
มีประโยชน์กับคนอื่น
และสร้างสิ่งดีงามให้กับตัวเอง




.................................





เราอาจกำลังพยายามค้นหาตัวเอง
อยากค้นหาทางเดินที่ทำให้ตัวเองมีความสุข
มีความรักที่ดีสมบูรณ์แบบ มีชีวิตที่สดใสเปี่ยมสุข
ร่ำรวยและประสบความสำเร็จในทุกๆทาง


แต่พี่ก๋าคิดว่าชีวิตโดยตัวมันเองคือความทุกข์
เราอยู่กับความทุกข์ที่มีตลอดเวลา

ปัญหา คือ เราไม่จำเป็นต้องไปนั่งพยายามขจัดความทุกข์ที่มี
ให้พ้นไปจากชีวิตของเรา
นั่นเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า
เพราะทุกข์อย่างหนึ่งจากไป ทุกข์อื่นๆก็เข้าคิวและทยอยตามมาเป็นขบวน



ชีวิตที่มีความทุกข์ คือ ชีวิตที่ปกติ
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยู่ร่วมกับความทุกข์ที่มีอย่าง “รู้ทัน”
“เข้าใจ” และ “ยอมรับ” ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

เราจะมี “ความสุข” โดยไม่ต้องออกไปแสวงหาสิ่งใดที่ไกลตัวเลย




....................................




ไม่ต้องไปพยายามสร้างความแตกต่าง
แค่ยอมรับในความแตกต่างที่มีและอยู่ร่วมกับสิ่งนั้นอย่างเข้าใจ

พี่ก๋าคิดว่าในชีวิตของคนๆหนึ่ง
ถ้าเข้าใจและเดินตามหลักการนี้ไปเรื่อยๆ
น่าจะนับได้ว่าคนๆนั้นประสบความสำเร็จแล้วในความเป็นมนุษย์
เป็นมนุษย์ที่ดีและมีชีวิตที่เปี่ยมความหมาย

ในระนาบนี้ “คุณค่าของชีวิต” ที่มี
ย่อมไม่แตกต่างไปจากคนที่ร่ำรวยล้นฟ้า
หรือคนที่มีอำนาจวาสนายิ่งใหญ่ล้นโลกแต่อย่างใดเลย






 

โดย: กะว่าก๋า 18 มิถุนายน 2555 7:34:45 น.  

 

ความอยากเกิดขึ้นมากมาย
อยากได้คนโน้นคนนี้เป็นแฟน
อยากมีรถ มี บ้าน
อยากหุ่นดี ผิวขาว หล่อ ล่ำ

โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่า

เวลาในชีวิต เราลดน้อยลงไปทุกขณะ

ตั้งแต่เกิดมา มันรอวันแตกดับ

แต่ทำไม เราคิดว่า ชีวิตมันยืดยาว

เพียงไม่นานจากเด็ก กลายเป็นหนุ่ม
และต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ในที่สุด

เราค้นหา ค้นพบ
และที่สุดแล้วเวลาก็ทำให้ทุกอย่างหายไป
อยู่ต่างที่ ต่างถิ่น ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนเดิม

วันนี้สุข พรุ่งนี้ทุกข์
อีกวันกลับสุข แล้วก็ทุกข์

เหมือนอยู่ในห้องที่ปิดตาย
ไม่มีทางออก แต่ก็อยากไป



----------------------------------------------




เราจะมีความเชื่อแบบใด
เราจะให้ใครนำทางชีวิต
การกระทำ
คำพูด
ความคิด
ความรู้สึก
สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน

แต่สิ่งที่รู้ ไม่มีอะไรเลยที่เหมือนกัน
แม้ว่าจะเป็นรถรุ่นนี้ห้อเดียวกัน
แต่มันก็ต่างกันอยู่ดี
ผู้หญิงทุกคนก็มีอะไรเหมือนๆกัน
แต่ก็มีอะไรต่างกันออกไปอยู่ดี
เราควรจะทำอะไร ทีละอย่าง
หรือทำไปพร้อมๆกันดีครับ





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 14 มิถุนายน 2555
เวลา : 23:44:00 น.






........................................






วันก่อนพี่ก๋ารดน้ำต้นไม้ที่บ้าน
สายยางยาวมากนะครับ
แต่สายยางก็พันกันนัวเนียยุ่งเหยิง
ยิ่งฝืนดึง ยิ่งกระชากเท่าไหร่ ยิ่งพันกันมากขึ้น

ที่สุดแล้วพี่ก๋าต้องดึกปลั๊กไฟออก
แล้วค่อยๆนั่งแก้สายยางที่พันกันอย่างช้าๆ

แก้จากต้นทางบ้าง แก้จากทางปลายบ้าง
สอดปลายสายยางขึ้นลง บิดซ้ายบิดขวา

ในที่สุดก็แก้สายยางพันกันสำเร็จ
แล้วต้องมาเก็บเรียงสายยางใหม่
ให้ขดซ้อนกันเป็นชั้นๆ
เพื่อจะได้ดึงอย่างสะดวกในการรดน้ำครั้งต่อไป....




....................................





“ความอยาก” เป็นสิ่งที่ดีนะครับ
เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เราอยากใช้ชีวิต
อยากมีเมียสวยขาวอึ๋ม อยากมีบ้านหลังใหญ่
อยากมีรถหรู อยากมีชีวิตเหนือระดับ อยากเป็นคนดัง ฯลฯ

ไม่ผิดหรอกครับ ไม่ใช่ความผิดใดใดเลย
เป็นความอยากขั้นพื้นฐานของมนุษย์


แต่อย่าลืมสังเกตตัวเองเป็นระยะๆ
ว่าตอนนี้ชีวิตเรายุ่งเหยิงพัวพันมากมายเพียงใด


ความอยากที่มากเกินไป
ก็ทำร้ายชีวิตนะครับ


แล้วยิ่งถ้าไม่รู้จัก “หยุด” เพื่อแก้ปมที่พัวพันยุ่งเหยิง
ก็มีโอกาสสูงเลยที่ในบั้นปลาย
เราจะมีความทุกข์มากกว่ามีความสุข
ทั้งๆที่เราแสวงหาและครอบครองสิ่งต่างๆมากมาย
แต่สิ่งต่างๆเหล่านั้นก็ไม่อาจเติมเต็มหรือทำให้เรารู้สึกอิ่มกับสิ่งที่มีได้เลย




.......................................





สายยางที่วางอยู่
มันพันกันเองไม่ได้
ชีวิตเราก็เหมือนกัน
มันเป็นปัญหา เกิดปัญหาขึ้นได้
ไม่ใช่จากใคร....จากตัวเราเองล้วนๆเลยครับ



การกระทำ คำพูด ความคิด ความรู้สึก
ทุกสิ่งที่เราสร้างขึ้น ที่เราทำให้มันเป็นไป
เกิดจากความอยากภายในตัวเราทั้งนั้น



เราจะทำสิ่งใดทีละอย่าง สิบอย่าง หรือร้อยอย่างคงไม่สำคัญ
สำคัญที่เราได้ลงมือทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
เราได้ให้ความหมาย ได้ให้ความสำคัญ
ได้ใส่ความมุ่งมั่น ความชัดเจน ความตั้งใจ ความใส่ใจ
ลงไปในสิ่งที่เราทำอยู่แล้วหรือยัง


ถ้าเราเรียงสายยางชีวิตอย่างดีที่สุดแล้ว
เวลาจะลากสายมารดน้ำต้นไม้มันจะง่ายและดึงได้ไกล
ใช้งานเสร็จก็เก็บได้ง่าย

ที่สำคัญต้นไม้ได้น้ำเพียงพอ
ก็จะเจริญงอกงามอวดดอกออกผลอย่างมากมาย


“ชีวิต” เราก็แบบนั้นเลยครับ

รดน้ำอย่างตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ
ต้องรู้จัก “วิธีการดึง” และ “วิธีการเก็บสายยาง” ด้วยครับถึงจะดี




 

โดย: กะว่าก๋า 18 มิถุนายน 2555 7:35:25 น.  

 

ในแม่น้ำ มีฮิปโป จระเข้ และ สัตว์อื่นๆ

ตอนแรกนั้นฮิปโปเป็นใหญ่
แต่ไม่นานแม่น้ำก็เริ่มแห้งขอด
สัตว์หลายชนิดออกไปหาแหล่งน้ำแหล่งใหม่
เพียงไม่นานก็ตายกลายเป็นกระดูก

แต่จระเข้บางตัวนั้น หลบตามพุ่มไม้บ้าง
กลิ้งอยู่ในโคลนบ้าง อยู่บนบกบ้าง
จระเข้บางตัวไปหลบอยู่โพรงข้างๆแม่น้ำที่แห้งไป
จระเข้พวกนั้นไม่ขยับตัว รักษาความชื้นในร่ายกายไว้
รอสายน้ำจากที่สูงกว่าไหลกลับมาอีกครั้ง
ส่วนจระเข้ที่เหลือนั้นตายกลายเป็นกระดูกหมดแล้ว


ผมเลยสงสัยว่าจระเข้ 3-4 ตัวนี้
ทำไมจึงคิดแตกต่างจากตัวอื่นๆ
หรือนี่เป็นวิวัฒนาการของสัตว์ที่ฉลาดและแข็งแกร่งกว่า
ทำไมสัตว์ที่อ่อนแอ อายุสั้น เช่น ยุง
กลับทำร้ายคร่าชีวิตมนุษย์ได้มากกว่าสัตว์ใดในโลกเลย
และเราไม่สามารถต่อกรกับมันได้เลย
มันมีอยู่ในทุกที่ ทุกบ้าน
หรือแท้จริงยุงคือสัตว์ที่แกร่งกว่ามนุษย์




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 16 มิถุนายน 2555
เวลา : 07:31:00 น.





……………………………….







เมื่อก่อนพี่ก๋าเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์
ไม่สนใจเรื่องราวของไดโนเสาร์เลย

จนมีลูก...แล้วหมิงหมิงสนใจเรื่องของไดโนเสาร์มาก
พี่ก๋าเลยต้องมาสนใจอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับไดโนเสาร์
นั่งเล่าเรื่องราวต่างๆในยุคต่างๆให้ลูกฟัง


จากที่เคยไม่ชอบและไม่เชื่อในเรื่องของไดโนเสาร์
ก็จำต้องสนใจและใฝ่ที่จะรู้เรื่องราวเหล่านั้น


สิ่งที่น่าสนใจมากๆก็คือ
ในยุคหนึ่งเมื่อหลายล้านปีก่อน
โลกมนุษย์ไม่ได้เป็นของมนุษย์
พื้นที่บนโลกไม่ได้ถูกจับจองโดยมนุษย์
หากแต่เป็นโลกของเจ้าพวกกิ้งก่าดึกดำบรรพ์เหล่านี้


เป็นเวลานับล้านปีที่พวกมันครอบครองดินแดนต่างๆบนพื้นโลก
มีวิวัฒนาการจากสัตว์ที่อยู่ในน้ำ จนเรียนรู้ที่จะหายใจ
ปรับตัวและคลานขึ้นมาอยู่บนบก

ที่สุดแล้วแม้แต่สัตว์บางชนิดก็ปรับปรุงสายพันธุ์ของตนเองไปตามสภาพแวดล้อม
บางชนิดมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้น คอยาว ขาแข็งแรงและวิ่งเร็ว
บางชนิดกลายเป็นสัตว์กินเนื้อ เป็นนักล่าที่ต้องฆ่าเพื่อความอยู่รอด





สัตว์ขนาดใหญ่และเล็ก แข็งแรงและอ่อนแอเหล่านี้
เหตุใดในวันหนึ่งมันจึงหายไปจนสูญพันธุ์ไปจากโลกจนหมดสิ้น....


น่าสนใจนะครับ


การคาดเดาจากซากฟอสซิลและจินตนาการทางวิชาการ
ทำให้เชื่อได้ว่าไดโนเสาร์เหล่านี้สูญพันธุ์ไปเพราะมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่
พุ่งเข้าชนโลกจนทำให้เกิดภูเขาไฟประทุ
เกิดหลุมบ่อขนาดใหญ่ แผ่นดินไหว แผ่นดินเคลื่อนตัว
และเกิดฝุ่นควันที่เกิดจากการระเบิดปกคลุมโลกนานนับปี
จนในที่สุดโลกไร้ตะวันก็ทำให้สัตว์นับล้านตัวสูญพันธุ์ไปจนหมดสิ้น
เพราะปรับตัวกับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม
ที่เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันไม่ได้นั่นเอง





ในวันที่โลกเกิดภัยพิบัติ
“สัญชาตญาณ” ในการเอาตัวรอดและรักษาชีวิต
ก็ไม่อาจช่วยเจ้าพวกไดโนเสาร์ให้รอดชีวิตได้


แต่สัตว์ตัวเล็กอย่างหอยบางชนิดในทะเลตระกูลแอมโมไนท์
หรือแม้แต่แมลงสาบที่ผู้หญิงเกลียดกลัว
กลับรอดตายและดำรงสายพันธุ์ของมัน
ข้ามผ่านกาลเวลานับล้านปีมาได้โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านรูปลักษณ์หรือสายพันธุ์ของมันเลย


คำถามคือ เจ้าสัตว์เหล่านี้มันแข็งแกร่งกว่าไทรันโนซอรัสหรือ ?
มันปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงได้อย่างไร ?
มันอยู่ในที่ที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงฉับพลัน
หรือแม้แต่เติบโตในบริเวณที่มีอาหารน้อยมาก
หรือไม่มีแหล่งน้ำสะอาดได้อย่างไร ?



ในวันที่มนุษย์กำลังวิตกกับคำทำนายเรื่องโลกแตก
วิกฤตโลกร้อนหรือสภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงในบางพื้นที่ของโลก


คงทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่าสัตว์ที่ดูสกปรกและอ่อนแอเหล่านั้น
มันรอดตายมาจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้อย่างไร.....



คนมักจะคิดว่าเราคือสัตว์ที่ฉลาด
เป็นวิวัฒนาการที่สูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
เป็นคนที่เอาชนะธรรมชาติและเสกสร้างสิ่งต่างๆตลอดจนเทคโนโลยีมากมาย

แต่สิ่งที่มนุษย์ไม่มีวันเอาชนะได้
ก็คือ การต่อกรกับธรรมชาตินั่นเอง....


ธรรมชาติแห่งความเป็นจริง
ธรรมชาติที่แสดงให้เราดูผ่านบทเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
ทุกสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นนั้นไม่มีสิ่งใดที่คงทนถาวรตลอดไปเลย


โลกยุคหนึ่งเคยมีไดโนเสาร์...แล้วก็หมดไป
โลกยุคต่อมามีมนุษย์โครมันยอง มีช้างแมมมอส
มีคนป่า มีสัตว์แปลกๆสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา

ในขณะที่สัตว์พันธุ์ใหม่ถูกค้นพบ
สัตว์หลายชนิดก็สูญพันธุ์หายไปจากโลก
หลงเหลือเพียงรูปวาดหรือรูปถ่ายให้คนรุ่นหลังได้รับรู้



ถึงวันหนึ่ง....


มนุษย์ก็จะเป็น “สิ่งหนึ่ง” ที่เคยเกิดขึ้น
เคยดำรงอยู่ และสูญสลายไป

พี่ก๋าเชื่อเช่นนั้น ....


นี่ไม่ใช่ความกลัวที่ทำให้เรายอมสยบกับชีวิต
แต่ทำให้เราได้รู้คิดว่าชีวิตคือความไม่จีรังยั่งยืน
เรามาตัวเปล่า และกลับไปตัวเปล่า
เวลาในชีวิตจงนำมาใช้ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ที่สุด


สิ่งที่เราควรกลัว
ไม่ใช่ไปหวาดกลัวต่อคำทำนายว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่
หรือไปหวาดกลัวว่าภัยธรรมชาติร้ายแรงจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ที่ไหน อย่างไร
เราไม่จำเป็นต้องวิ่งหนีความตายเหมือนคนวิ่งหนีเงาตัวเอง

แต่สิ่งที่เราสมควรทำคือ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต

อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด

เหมือนที่น้องบอกไว้
มนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ได้ฉลาดที่สุด
เพราะเราก็อาจตายได้ด้วยยุงตัวเล็กๆ
หรือเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรายังค้นพบวิธีรักษาไม่เจอ


ไดโนเสาร์ที่เคยครองโลก
สุดท้ายยังสูญพันธุ์ไปจนหมดโลก



แล้วเราเป็นใคร
ถึงจะคิดว่าตนยิ่งใหญ่ไปได้ตลอดกาล
จนไม่มีวันสูญสิ้นไปจากโลกนี้


เหมือนสิ่งที่ประวัติศาสตร์เคยบอกเรา
ทุกสิ่งเคยเกิดขึ้น เคยดำรงอยู่
และถึงวันหนึ่งมันก็เสื่อมสลายไป


จะกลัวทำไมกับการแตกดับของสรรพสิ่ง
ในเมื่อมันเป็นความจริงอันเที่ยงแท้ที่เราไม่อาจหนีได้พ้น

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง
จะดูแลตัวของมันเอง

 

โดย: กะว่าก๋า 18 มิถุนายน 2555 23:17:50 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 19 มิถุนายน 2555 6:52:00 น.  

 

เวลามีความรัก จิตเราเรียกร้องความสมบูรณ์
ต้องมีเงิน มีทอง คู่ควรกับการยอมรับ
เงินเป็นส่วนหนึ่งของความรักไหม
ถ้าหากเราเอารถยนต์เก็บไว้บ้าน
ปั่นจักรยาน เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ
พกเงิน ไป 300 ไปจีบสาวที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนม
ดูสวยเซ็กซี่ เอานิสัยอย่างที่เราเป็น
(แม่ผมบอกว่าหน้าตา นิสัยท่าทางเหมือนพระเอกเรื่องปิ่นอนงค์ มาก )

มันจะดีกว่าที่เราขับรถหรูไปรับเธอพร้อมเงินสดไหมครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 18มิถุนายน 2555
เวลา : 23:22:00 น.




.....................................





คำถามนี้ทำให้พี่ก๋านึกถึงตัวละครในนิยายไทยครับ
พระเอกนางเอกปลอมตัวค้นหารักแท้
ละครไทยส่วนใหญ่มักจบตอนอวสานแบบสุขสม
แต่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่ยังไม่รู้อนาคตนะครับ


พระเอกนางเอกรักกัน
หลังจากได้รู้ว่าพระเอกเป็นคุณชายปลอมตัวเป็นคนยากจน เป็นคนสวน
ส่วนนางเอกก็เป็นหลานสาวของเจ้าคุณป้าผู้รับมรดกหมื่นล้าน
แต่ปลอมตัวเป็นคนชั้นรากหญ้า เป็นแม่ค้าอยู่ในตลาด พักอยู่กลางสลัม


ตอนยังไม่รู้ความจริงก็แค่แม่เง้าแม่งอน
งอนกันไปโกรธกันมา
แต่พอรู้ความจริงทั้งหมดที่เฉลยในตอนสุดท้าย
พระ-นางก็กลับมาครองรักกันอย่างสุขสมใจ

และละครก็มักจะจบลงตรงนั้น


แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างนั้นเลย.....




...........................................




หลายวันที่ผ่านมาพี่ก๋าเจอคนรู้จักสองสามคน
เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว
แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดและเปลี่ยนไป
คือทั้งหมดแต่งตัวดีขึ้น ร่ำรวยขึ้น
ท่าทางการพูดจาฉาดฉาน ไม่กลัวคน
จะใช้คำว่าไม่นอบน้อมและเย่อหยิ่งก็ได้


นั่นทำให้พี่ก๋านึกถึงคำพูดของอาแปะ
เราคุยกันเรื่องของความร่ำรวย
และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของคนที่ร่ำรวยและเป็นเศรษฐีก็คือ


หนึ่ง...มักจะกลายเป็นคนลืมตัว

คนเราพอประสบความสำเร็จมากเข้า
มักจะลืมว่าตนเองมาจากไหน
และประสบความสำเร็จมาได้อย่างไร
เหมือนฮ่องเต้จีนที่พอรบชนะตั้งราชวงศ์ของตนได้
ก็ไล่ฆ่าขุนพลที่ร่วมลำบากผ่านศึกมากด้วยกัน
เกิดความระแวงว่าคนใกล้ชิดจะมาทึกทักยึดอำนาจ
หรือแบ่งผลประโยชน์ไปจากตนเอง....
เข้าทำนอง “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”



สอง....มั่นใจในตนเองสูงจนไม่ฟังใคร

ยิ่งประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่
ก็ดูเหมือนจะยิ่งมั่นใจในความคิดของตนเอง
เวลาพูดกับคนอื่นจึงมักไม่มองสีหน้าคน
ไม่สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร
ใช้ถ้อยคำถางถาก ดูถูกความคิดคนอื่น
หลายคนเป็นเผด็จการทางความคิด
เพราะคิดว่าตนเองเจ๋งที่สุด เก่งที่สุด



สาม.....ยิ่งรวย ยิ่งโลภ ไม่รู้จักพอ

ความรวยและเงินในบัญชีที่เพิ่มขึ้น
แทนที่จะทำให้มีความสุขในชีวิต
และแบ่งปันความสุขของตนให้คนอื่น
กลับคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้เงินงอกเงย
จะทำอย่างไรให้เสียภาษีน้อยที่สุด
ทำอย่างไรให้มีต้นทุนการผลิตที่ลดต่ำลง
ส่วนคุณภาพสินค้าจะลดลงอย่างไรก็ยอม
แค่ขอให้ขายสินค้าได้มากขึ้น มีรายรับมากขึ้น






น่าแปลกนะครับว่าทั้งสามคนที่พี่ก๋าพบเจอในวันเดียวกัน
ทุกคนเป็นคนรวยมาก....แต่ดูไม่มีความสุข

คนแรกเกรี้ยวกราด ตวาด และใช้คำพูดกับคนที่ด้อยกว่าแบบไม่ให้เกียรติคน
คนที่เคยน่ารักยิ้มแย้ม กลับกลายเป็นคนที่เรียกร้องนู่นนั่นนี่ตามใจตนเอง
เธอมานั่งปรึกษาพี่ก๋าว่าถ้ารู้ว่ารวยแล้วทุกข์แบบนี้
ขอกลับไปมีเงินแค่พอกินพอใช้แต่มีความสุขในครอบครัวดีกว่า


อีกคนบ่นว่าลูกน้องที่มีอยู่ไม่ได้ดั่งใจ
ทำงานไม่ได้เรื่อง ไม่มีสมอง ไม่มีวิสัยทัศน์
เขาอยากจะพัฒนาศักยภาพของลูกน้องให้ไปถึงขีดสูงสุด
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ยินเสียงบ่นจากลูกน้องตัวเอง
เหมือนที่พี่ก๋าได้ยิน
ลูกน้องของเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้เจ้านายพบเจอตัวได้ยากมาก
มีขั้นตอนวุ่นวายต้องผ่านเลขาฯ ต้องร่างจดหมายขอเข้าพบ
เมื่อก่อนกับตอนนี้ที่ต่างกันมาก คือ เจ้านายเขี้ยวขึ้น
รักษาผลประโยชน์ของตนเองสุดชีวิต
แต่ตัดเงินเดือนและรายได้ของลูกน้องจนหมดแทบไม่เหลือ
ไม่มีน้ำใจ ไม่ไต่ถามพูดคุยไถ่ถามความรู้สึกของผู้ร่วมงาน
เอาแต่ความคิดของตนเองเป็นใหญ่
ออกกฎบังคับพนักงานอย่างไม่เป็นธรรม
ให้พนักงานเสนอไอเดีย แต่ไม่เคยเอาไปใช้
หรือเอาไอเดียไปใช้แต่บอกว่าเป็นความคิดของตัวเอง
ฯลฯ

ลูกน้องบอกว่าตอนที่บริษัทยังเล็กๆ
ไม่เห็นเจ้านายเป็นแบบนี้เลย
ตอนนี้ตึกสำนักงานใหญ่โตมูลค่าหลายร้อยล้าน
แต่ลูกน้องที่รักเขาจริงแทบไม่เหลือสักคน





..............................................





ความร่ำรวยไม่ใช่ความผิดบาป
แต่การลืมตัว ลืมตนนั่นต่างหากที่ผิด


ความรวยเป็นเพียงแค่เปลือก
ที่คนในสังคมเลือกที่จะมองคนๆหนึ่ง
เพื่อใช้ตัดสินสิ่งที่เขา “เป็น”
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนๆนั้น “มี” อยู่หรอกครับ



เงินแสนล้านไม่ได้เป็นหลักประกันว่าความรักของเขาจะราบรื่นตลอดไป
ยิ่งรวย...ยิ่งเรียกร้อง ยิ่งคาดหวังว่าตนเองต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด
ดารา นางแบบหรือนางงาม 100 คนที่เราหลับนอนด้วย
เพราะหวังเงินที่เรามีอยู่
ไม่ได้มีคุณค่าเท่ากับการได้กอดนอน
หลับและตื่นนอนตอนเช้าขึ้นมาพร้อมกับคนที่เรารักและรักเราหรอกครับ




บ้านหลังใหญ่ก็สร้างความอบอุ่นในครอบครัวให้เราไม่ได้

เงินซื้อเวลาในชีวิตกลับมาไม่ได้ในยามที่เราป่วยไข้เจ็บหนัก


มีคนเคยพูดไว้ว่า


“เงินซื้อหมามาเลี้ยงได้
แต่ซื้อการกระดิกหางของมันไม่ได้”




ถ้าเราจะต้องรักใครสักคน
แล้วทดสอบเธอหรือเขาด้วยการปลอมตัว โกหก
เพื่อทดสอบหัวใจของใครคนนั้น

พี่ก๋าว่าเราก็ล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
ในสิ่งที่เรียกว่า “ความไว้ใจ” และ “ความซื่อสัตย์”


ถ้าใครจะรักเราสักคนด้วยเหตุผลต่างๆ
นับตั้งแต่รักเราเพราะหล่อสวย เอ็กซ์เซ็กส์จัด
หรือรวยล้นฟ้ามหาเศรษฐี การศึกษาดีมีโพรไฟล์แจ่มแจ๋ว ฯลฯ
ก็ว่ากันไป


แต่เราควรเริ่มต้นด้วย “ความจริงใจ”
ดำเนินความรักด้วย “ความจริงจัง”

จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาปลอมตัวเป็นคนสวน
หรือปลอมตัวเป็นแม่ค้ากลางตลาดเพื่อพิสูจน์รักกับใครสักคน


 

โดย: กะว่าก๋า 19 มิถุนายน 2555 13:33:05 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



 

โดย: กะว่าก๋า 20 มิถุนายน 2555 7:10:07 น.  

 

พี่ก๋าไม่เคยเล่นเกมส์ออนไลน์เลยครับ
จะให้บอกว่าดีไม่ดีอย่างไร
ก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 20 มิถุนายน 2555 12:42:10 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 21 มิถุนายน 2555 7:14:17 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 22 มิถุนายน 2555 5:34:34 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 23 มิถุนายน 2555 7:10:23 น.  

 

รับทราบครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 23 มิถุนายน 2555 7:51:12 น.  

 

รับคำถามเอาไว้นะครับ
เดี๋ยวพี่ก๋าตอบให้ครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 23 มิถุนายน 2555 9:09:47 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 24 มิถุนายน 2555 6:46:25 น.  

 

พักนานแค่ไหนก็ได้ครับ
แต่สุดท้ายก็ควรจะเดินทางต่อไป


 

โดย: กะว่าก๋า 24 มิถุนายน 2555 7:15:40 น.  

 

พี่ก๋าว่าถ้ารวมอาเซียน

แล้วประเทศเราติดสถานะล้มละลายเหมือนประเทศกรีซ

เราจะแก้ไขยังไงครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 23 มิถุนายน 2555
เวลา : 8:22:17 น.





................................................





ช่วงนี้พี่ก๋าต้องกลับมาอ่านสามก๊กเพราะหมิงหมิงสนใจ
ลูกถามว่าทำไมต้องเป็นสามก๊ก
แล้วสุดท้ายก๊กหรือประเทศทั้งสามเป็นอย่างไร ?


คำตอบนี้พี่ก๋าสนใจมาก.....
ส่วนตัวได้อ่านสามก๊กจบไปหลายรอบ หลายเวอร์ชั่น
ส่วนใหญ่อ่านเป็นการ์ตูน.....




สามก๊กเกิดจากการแตกประเทศออกมาจากประเทศซึ่งเคยรวมเป็นหนึ่ง
แต่พอฮ่องเต้อ่อนแอ ราชวงศ์เสื่อมโทรม
ขุนนางที่เก่งกาจจึงตั้งตัวตั้งตนเป็นฮ่องเต้

จากนั้นก็แย่งชิงอำนาจกันทั้งเล่าปี่ ซุนกวนและโจโฉ


หลายคนบอกว่าเรื่องราวในภาคการต่อสู้ การรบพุ่งทำสงคราม
นั้นเป็นเรื่องที่สนุกสนาน เต็มไปด้วยกลยุทธ์พิชัยศึก
ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจและอื่นๆ.....


แต่พี่ก๋ากลับสนใจเรื่องราวหลังจากนั้น
พี่ก๋าสนใจเกร็ดช่วงที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงหรือสนใจ
นั่นคือ สุมาอี้และตระกูลของเขา
รวมรวมแผ่นดินทั้งสามให้กลับรวมเป็นหนึ่งอีกครั้งได้อย่างไร ?




..................................................





การรวมตัวกันของประเทศในยูโรโซน
เป็นไปด้วยเหตุผลเดียว นั่นคือเพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางการค้า
ระหว่างประเทศในยุโรปกับอเมริกา

แนวคิดที่ว่าประเทศต่อประเทศ
ไม่สามารถสร้างงบดุลการค้าให้เกิดกำไรได้เลย
เวลาประเทศเล็กๆไปต่อรองผลประโยชน์ทางการค้ากับประเทศใหญ่ๆ
มักถูกกดราคา ถูกบีบด้วยสัญญาต่างๆที่ไม่เป็นธรรม


ดังนั้นการรวมประเทศเล็กๆเข้าด้วยกัน
“เสียง” ในการต่อรองจะดังมากขึ้น
เป็นปึกแผ่นมากขึ้น


แต่ถ้าเราดูลงไปในรายละเอียด


เราจะพบว่า...ในขณะที่ประเทศเล็กๆต่างพยายามรวมตัว
เพื่อต่อรองกับประเทศใหญ่ๆอย่างอเมริกา หรือ จีน

ในกลุ่มยูโรโซนเองยังแตกแยกเป็นกลุ่มประเทศย่อยๆ
ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน อิตาลีกลายเป็นพี่เบิ้ม
ในกลุ่มประเทศยูโรโซนเล็กๆทั้งหลาย

เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ด้านการเงินและการปล่อยกู้เงิน
ประเทศเล็กเหล่านั้นจึงล้มระเนระนาดไปก่อน
ที่สุดแล้วก็ดึงให้ประเทศใหญ่ที่เหลือพลอยบาดเจ็บเสียหายไปด้วย




.............................................




การจับมือและลงทุนกันระหว่างประเทศในอาเซียน
หากเป็นไปเพียงเพื่อหวัง “ต่อรองด้านการค้า” เพียงอย่างเดียว
รับรองได้ว่าโอกาสพังทลายทางเศรษฐกิจมีสูงเหลือเกิน
ทั้งการตั้งสกุลเงินใหม่ ทั้งการเลือก “ผู้นำ” ในกลุ่ม
เพื่อไปเป็นตัวแทนต่อรองด้านการค้ากับประเทศหรือกลุ่มประเทศต่างๆ
นับเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด....
หากเหลียวมองดูในปัจจุบัน เราจะพบว่า
ในอาเซียนเองแต่ละประเทศยังสุม “ปัญญาภายใน” ประเทศตัวเองมหาศาล
ปัญหาส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแก้ไขเลย เช่น ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณูปโภค สาธารณูปการ
ปัญหาด้านการศึกษา ปัญหาการสื่อสารด้วยภาษากลางระหว่างประเทศ
ปัญหาด้านกฎหมายและภาษี
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ในโครงสร้างเศรษฐกิจ ฯลฯ


เรามุ่งหวังว่าจะทำการค้าแบบเสรี

แต่ถ้าในความอิสระนั้นต่างคนต่างทำ
การรวมกลุ่มอาเซียนก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากไปกว่า
การพยายามหาตลาดใหม่ๆ โดยคาดหวังว่าการรวมกลุ่มประเทศ
จะทำให้เรามี “เสียง” ต่อรองที่ดังขึ้นในระดับโลก



แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ หากเราไม่มีผู้นำที่ชัดเจน ไม่มีแนวนโยบายที่ชัดเจน
สิ่งที่ตามมาก็คือ การแข่งขันกันเองระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน
จะยิ่งรุนแรงและขัดแย้งกันเอง
เพราะสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่คือ สินค้าที่เราผลิตนั้น
ไม่ได้มีความแตกต่างหลากหลายใดใดเลย
หลายๆตัวสินค้าของแต่ละประเทศเป็นคู่แข่งในตลาดเดียวกันด้วยซ้ำ



..........................................




ในการทำการค้ากับประเทศจีนนั้น

เราอาจมองว่าเรากำลังติดต่อกับ “เอกชน”
แต่แท้จริงแล้วเอกชนของจีนนั้นถูกผนวกเอาไว้ด้วยการลงทุนจากภาค “รัฐ” ทั้งสิ้น


เช่น การทำการค้าด้านผลไม้ระหว่างไทยกับจีน

ถึงเวลาหน้าผลไม้ พ่อค้าแม่ค้าจากจีนจะมาที่เมืองไทย
แล้วติดต่อซื้อขายผลไม้ โดยมีตัวแทน หรือ “ผู้นำ” ที่เก่งที่สุด
เป็นตัวแทนการเจรจาต่อรองราคา

จากนั้นบริษัทที่ตามมาซื้อทั้งหมด
จะรับซื้อผลผลิตการเกษตรในราคาเดียวกัน


การค้าแบบนี้เหมือนแยกกันซื้อ
แต่แท้จริงแล้วเป็นการซื้อขายผ่านระบบทุนเบ็ดเสร็จ
ซึ่งมีความรวดเร็วและเป็นเอกภาพมากกว่า
แถมทุนหนา...มหาศาลจากรัฐบาลจีนซึ่งมีเงินคงคลังมากที่สุดในโลก


กรณีเดียวกัน....

เวลาตัวแทนการค้าบ้านเราไปติดต่อซื้อสินค้าจากจีน

เราไป 50 บริษัท แต่ 50 บริษัทของเรา
ต่างคน ต่างซื้อ ต่างคน ต่างต่อรอง

ที่สุดแล้วพลังและอำนาจในการต่อรองก็ไม่เหลือ
ไม่สามารถสร้างผลกำไรสูงสุดได้ตามที่ตนเองต้องการ




..........................................




กลับมาที่คำถามว่าทำไมในยุคนั้นประเทศถึงแตกออกเป็นสามก๊ก
นั่นเป็นเพราะว่าผู้นำขาดความเข้มแข็ง ฮ่องเต้และราชสำนักอ่อนแอ


แต่พอถามว่าเพราะเหตุใดทั้งสามก๊กจึงล่มสลายและถูกรวบให้กลายเป็นหนึ่งอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะว่าผู้นำที่เคยเข้มแข็ง
สุดท้ายก็กลับอ่อนแอ




ในการริเริ่มโครงการรวมอาเซียนนั้นคงไม่ต่างกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์


หากแต่ละประเทศไม่หันกลับไปสร้างความเข้มแข็งและคุณภาพ
ให้กับประชาชนของตนเองก่อน


แล้วมามุ่งแสวงหาการหลวมตัวแบบหลวมๆ
เพื่อหวังผลด้านตลาดการค้าการลงทุนแบบเสรี


เราคงไม่ต่างอะไรกับ “เสียงเล็กๆ” ที่ถึงตะโกนไป
ก็ไม่มีประเทศยักษ์ใหญ่สนใจ

เพราะในเสียงที่ดูเหมือนเป็นหนึ่ง
เป็นเพียงเสียงแตกๆเล็กๆที่แหบพร่าเท่านั้นเอง



 

โดย: กะว่าก๋า 24 มิถุนายน 2555 7:56:42 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 25 มิถุนายน 2555 6:39:24 น.  

 

ไม่รู้พี่ก๋าจะดิ่งไหวรึเปล่านะครับในตอนนี้ 555
ตอนยังโสด
พี่ก๋าไปเล่นรถไฟเหาะตีลังกาคนเดียว
กรี๊ดสติแตกเลย 5455
แต่มันโคตรจะมันเลยครับ

มาดามไม่กล้าเล่นน่ะ
พีก่๋าเลยเล่นคนเดียวซะเลย 5555


 

โดย: กะว่าก๋า 25 มิถุนายน 2555 8:20:57 น.  

 



ฮัลโหล..วันจันทร์ มีความสุขตลอดวันนะค่ะ..^^"



 

โดย: Lika ka 25 มิถุนายน 2555 10:14:41 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 26 มิถุนายน 2555 6:39:22 น.  

 


มีความสุขสดชื่นตลอดวันนะค่ะ..^^"


 

โดย: Lika ka 26 มิถุนายน 2555 8:58:43 น.  

 

ผู้หญิงไม่รักเราเพราะเราน่าเบื่อ
บางทีอาจไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง

ผู้ชายบางคนที่อยู่ใกล้แล้วตื่นเต้นตลอด
ผู้หญิงก็เลิกครับ 555

มันไม่แน่นอนเลย

ของแบบนี้
เหมือนแม่เหล็กครับ

มันจะมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างดึงดูดกันอยู่
และเราต้องหาคนๆนั้นให้เจอ


 

โดย: กะว่าก๋า 26 มิถุนายน 2555 9:26:37 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 27 มิถุนายน 2555 6:39:44 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 27 มิถุนายน 2555 10:56:25 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 28 มิถุนายน 2555 6:31:01 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณเสือย้อมแมว

ตอนนี้ชกมวยเก่งแล้วสิเนี่ย

ขอบคุณที่แวะไปชมบล๊อกค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ

 

โดย: พจมารร้าย 28 มิถุนายน 2555 14:25:53 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 29 มิถุนายน 2555 5:32:08 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 30 มิถุนายน 2555 6:46:37 น.  

 

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 1 กรกฎาคม 2555 6:31:51 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 2 กรกฎาคม 2555 6:42:30 น.  

 

ขอโทษจ๊ะ ห่าง หายไปนาน..
งานเยอะมาก จนเหนื่อยล้า ไม่ได้มาทักทาย

ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกัน...
ขอบคุณมิตรภาพดี ๆ
...ของเพื่อนบ้านใจดี...แบ่งความสุขให้กันตลอดเลย...


สุขสันต์ "วันธรรมดา......ที่บังเอิญว่าพิเศษ"




. . . ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . .

. . . พอใจในสิ่งที่ตนมี . . .

. . . เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก . . .

*~*~*~*...ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..*~*~*~*


 

โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* 2 กรกฎาคม 2555 15:18:14 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 3 กรกฎาคม 2555 5:53:27 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 4 กรกฎาคม 2555 6:53:35 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 5 กรกฎาคม 2555 6:43:24 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 7 กรกฎาคม 2555 6:00:49 น.  

 

ความรัก เงิน เวลา ความตาย
ให้พี่ก๋าอธิบาย 4 อย่างนี้
โดยแต่ละอย่าง มี 4 มุม




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 6 กรกฎาคม 2555
เวลา : 20:51:00 น.





พิจารณาที่ตั้งทั้งสี่แห่งจิตหรือตัวตนของเรา



“ตัวตนของเรา” อันเกิดจากการรวมตัวของสิ่งต่างๆดังนี้




กาย --- รูปลักษณ์ที่เป็นอยู่ สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม ฯลฯ


เวทนา --- ความรู้สึกทั้งมวลที่เกิดขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง ฯลฯ


จิต --- ความคิดที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความคิดในด้านดี ด้านร้าย ด้านขาว ด้านดำ ด้านสว่าง ด้านมืด ฯลฯ


ธรรม --- สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเราอันครอบคลุมอยู่ในโลกธรรม 8
สุขและทุกข์ มีลาภและเสื่อมลาภ มียศและเสื่อมยศ
นินทาและสรรเสริญ


พึงสังวรณ์ไว้ว่าทั้งสี่อย่างนี้



ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร
ไม่มีสิ่งใดที่เราครอบครองและไม่สูญเสีย
ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นของเราอย่างแท้จริง

แม้แต่ตัวเราก็ไม่เที่ยงทน
เราเกิด เราแก่ เราเจ็บป่วย
และเมื่อถึงวันหนึ่งเราก็ตาย


ตายแล้วก็ไปเวียนว่ายตายเกิดในรูปลักษณ์ใหม่
แต่นำจิตดวงเดิมตามไปด้วย

เหมือนหยดน้ำที่ระเหยขึ้นไปบนฟ้ากลายเป็นฝน
จากฝน....ตกลงมาบนแอ่งน้ำในรอยกีบเท้าควายบ้าง
ไปตกลงในหนองน้ำบึงเล็กบ้าง
ไปตกในมหาสมุทรกว้างใหญ่สุดหยั่งบ้าง


แต่ทั้งหมดก็เป็น “หยดน้ำ”


เว้นแต่หยดน้ำหยดนี้เลือกที่จะระเหยเหือดแห้ง
หลอมรวมกับดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงร้อน

รวมตัวเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ
รวมตัวกับสิ่งที่เป็นผู้สร้าง
เมื่อนั้นจะไม่มีการเกิด ไม่การเจ็บ ไม่มีการแก่
และไม่มีการตาย






........................................





{ ความรัก }


กาย --- สวย หล่อ ยั่วเย้า หนั่นแน่น กลมกลึง ฯลฯ

เวทนา --- อยากได้มาครอบครอง อยากสัมผัส อยากจับต้อง ฯลฯ

จิต --- ครุ่นคิด คำนึง ใฝ่ฝันถึง ได้ครอบครอง อยากผลักไส ฯลฯ

ธรรม --- ได้มา...พึงพอใจ เสียไป...โศกเศร้าใจ ฯลฯ






{ เงิน }



กาย --- เศษกระดาษที่คนสมมติค่า

เวทนา --- อยากมีเยอะๆ ยิ่งมีเงินเยอะ จะยิ่งมีความสุข ฯลฯ

จิต --- เงินดลบันดาลทุกสิ่ง

ธรรม --- ได้มา..เสียไป เคยรวย...เคยจน ฯลฯ






{ เวลา }


กาย --- สมมติขณะที่มนุษย์สร้างขึ้น

เวทนา --- เวลาเป็นตัวบีบความรู้สึก

จิต --- คุณค่าของเวลาไม่ได้เกิดจากการมองเห็น
แต่อยู่ที่การใช้เวลาไปทำสิ่งใดให้เกิดคุณค่า

ธรรม --- เวลามากเกินไปสำหรับคนที่ไม่มีอะไรทำ
เวลาน้อยเกินไปสำหรับคนที่มีอะไรให้ทำมากเกิน
แต่ทั้งหมดทั้งมวล....เวลามีเท่าเดิม







{ ความตาย }


กาย --- ทารก เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่


เวทนา --- ตอนเป็นเด็กก็รู้สึกว่าอยากโตเป็นผู้ใหญ่
พอเป็นผู้ใหญ่ก็อยากกลับเป็นเด็กอีกครั้ง


จิต --- ความคิดเป็นตัวบ่งบอกคุณภาพของคนๆหนึ่ง...ไม่ใช่ตัวเลขอายุ


ธรรม --- ดีหรือชั่ว จนหรือสูงศักดิ์ สุดท้ายก็ตาย
ความตายคือความเท่าเทียมที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์ทุกคน





..............................................





ความรัก เงิน เวลา ความตาย


ทั้งสี่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ
และเป็นสิทธิ์อันเท่าเทียม
ที่ในท้ายที่สุด....
ธรรมชาติจะเรียกคืนกลับสิ่งนี้และทุกสิ่งไปจากเราจนหมดสิ้น



รักแค่ไหนก็ต้องจากกัน
ไม่ว่าจากกันตอนที่ยังรัก หรือจากกันทั้งที่เกลียดชัง


เงินที่มีใช้ได้แค่ขณะมีชีวิต
ตายไปแล้วเอาติดตัวไปไม่ได้
ยามเจ็บป่วยแม้เอาเงินมากองเท่าบ้านก็แลกสุขภาพที่แข็งแรงคืนกลับมาไม่ได้



เวลาที่ว่าเยอะหรือน้อย
สุดท้ายแล้วธรรมชาติก็ให้เวลามาให้คนทุกคนได้ใช้อย่างเท่าเทียม
“คุณภาพ” ในการใช้เวลาเหล่านั้นเพื่อทำสิ่งต่างๆนั่นต่างหาก
ที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆที่แตกต่างกัน





และความตาย...คือความเท่าเทียม
ทุกคนเกิดมาต้องตาย
ไม่มีใครไม่ตาย
ตายแบบไหนไม่มีใครรู้
เราอยู่กับความตายในทุกลมหายใจเข้าออก

เราไม่รู้เลยว่าเราจะตายในวินาทีไหน
แต่ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดแล้ว
ไม่มีอะไรที่เราจะต้องเสียใจหากเราตาย

ความตายไม่ใช่ความน่ากลัว
แม้จะเจ็บปวดสูญเสียอยู่บ้าง
แต่เราก็หนีมันไปไม่พ้น
และต้องทนอยู่กับมันให้ได้
เพราะมันเป็น “ความจริง” ที่เราไม่อาจหนีได้พ้นนั่นเอง


 

โดย: กะว่าก๋า 7 กรกฎาคม 2555 13:01:44 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 8 กรกฎาคม 2555 6:15:38 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับ

อ่านกับเขียน
พี่ก๋าชอบพอๆกันครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 9 กรกฎาคม 2555 6:42:39 น.  

 

พี่ก๋าเลือกลดพุงครับ 55555


 

โดย: กะว่าก๋า 9 กรกฎาคม 2555 17:36:03 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 10 กรกฎาคม 2555 6:58:54 น.  

 

ปวดใจ พี่ก๋ายังรู้สึกถึงความหมายของคำนี้ไหมครับ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 9 กรกฎาคม 2555
เวลา : 17:37:00 น.




....................................




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

แมวตัวหนึ่งแอบหลงรักเสือดาวสาว
แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้
แต่เจ้าแมวตัวนี้ก็ยังคงแอบหวังเล็กๆในใจ

หวังว่าวันหนึ่งเสือดาวจะหันมามองแมวบ้านๆอย่างมันบ้าง

แต่การรอคอยในสิ่งที่เป็นได้ยาก
ช่างแฝง “ความเจ็บปวด” เกินคาดคิด

ความเจ็บปวดเช่นนี้....
ใครไม่เจอ ใครไม่รู้

ถึงรู้ก็อธิบายให้ใครรับรู้เหมือนกับที่เรารู้สึกไม่ได้




.............................




“ความรัก” เป็นสิ่งสำคัญ
แต่ไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

กรอบที่เราพยายามล้อมเอาไว้
เพื่อให้โลกในนั้นมีเพียง “เราสองคน”

บางครั้งก็สร้างความปวดใจให้มากเกินจริง....



เพราะเมื่อเรายก “กรอบ” หรือ “กรง” ที่เรียกว่าความรักนี้ออกไป
เราจะพบว่าโลกรอบตัวเรานั้น
ทั้งกว้าง ใหญ่ และลึกล้ำเกินกว่าที่เราคาดคิด


เพียงแต่ที่ผ่านมา
เราไปนั่งอยู่ในกรอบที่คับแคบ
ที่เรียกว่า “ความรักและการครอบครอง”
จนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความรู้สึกของตัวเอง



.................................




โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลย...

แมวเคยตัดพ้อกับตัวเอง
มันรักเสือสาว แต่เสือดาวไม่เคยรักตอบ

เสือดาวรักกับเสือดาว
แมวควรรักกับแมวเท่านั้นหรือ ?


บางทีมันแค่สงสัย
ว่าเราจะข้ามกรอบกรงที่กักขังความเชื่อเหล่านั้นไปได้อย่างไร ?



.....................................




มีเรื่องเล่าว่าหลังจากนั้นไม่นานนัก
แมวหนุ่มก็หายตัวไป .....

เสือดาวสาวแต่งงานกับเสือดาวหนุ่มที่เธอรัก
ทั้งคู่ไม่ได้มีความสุขอย่างที่ใครๆคิด
หลังจากมีลูกน้อยด้วยกันสองตัว
ชีวิตคู่ก็ล่มสลาย ความรักไม่หวานแหววเหมือนก่อน
ชีวิตคู่จบลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมความเกลียดชัง



มีคนเห็นแมวหนุ่มอยู่ที่ไหนสักแห่งซึ่งอยู่ไกลออกไป
เขาไม่ได้แต่งงานกับแมวสาว

แต่มีคนเห็นแมวหนุ่มควงอยู่กับหนูสาวสุดฮ็อต
ใครเห็นก็ต่างไม่เชื่อว่าทั้งคู่จะรักกันได้
เพราะความแตกต่างอย่างสุดขั้ว



บางทีคนคงแค่สงสัย
ว่าเราจะข้ามกรอบกรงที่กักขังความเชื่อเหล่านั้นไปได้อย่างไร ?



“ความรัก” เป็นสิ่งสำคัญ
แต่ไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต


แมวหนุ่มไม่ได้มองอะไรไปไกลกว่า “การทำวันนี้ให้ดีที่สุด”

มันอาจไม่ได้สำคัญเลยว่าเราจะได้รักกับใคร ลงเอยกันอย่างไร

การทำวันนี้ ชั่วขณะนี้ให้ดีที่สุด….
อาจเป็นคำตอบทั้งหมดของความรักที่เป็นอิสระ
และไม่ทำร้ายตัวเอง



 

โดย: กะว่าก๋า 10 กรกฎาคม 2555 9:45:32 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



 

โดย: กะว่าก๋า 11 กรกฎาคม 2555 6:36:08 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 12 กรกฎาคม 2555 6:42:52 น.  

 

ดิ้นรนและมุ่งไปสู้เป้าหมายที่มีค่าสำหรับเรา

เช่น เราชอบ ญ คนหนึ่ง เราต้องพยายามใช่ไหมครับ เพื่อครอบครองเธอ

.
.
.

แค่เราคิดครอบครองเธอก็ผิดแล้ว
เธอไม่ไ่ด้เกิดมาเพื่อเป็นของเรา

ไม่ใช่ตั้งแต่เกิด
จนแม้อยู่กับเรา
หรือตายไปจากเรา

เธอไม่เคยเป็นของเรา
ไม่เคยเป็นของใคร

เธอเป็นของตัวเธอเองครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 12 กรกฎาคม 2555 23:11:48 น.  

 

แวะมาทักทายค่ะ

 

โดย: dao_venut 17 กรกฎาคม 2555 17:23:22 น.  

 

หนีไปไกลแค่ไหน
หนีไปนานเท่าไหร่
หนีไปเมื่อไหร่
หนีไปยังไง..ก็หนีความจริงไม่พ้น
หนีความจริง..ไม่ได้

สุดท้าย เมื่อความจริงมาถึง
จะทำอะไรได้ นอกจากรอรับมัน

ในเมื่อความจริงฉันไม่สามารถเป็นอย่างใจหวัง
ฉันไม่มี ฉันไม่มี ฉันกลัว ฉันกลัว
เมื่ออยู่กับความจริงแล้วต้องปวดใจ
ขออยู่กับสิ่งลวงหลอกแล้วสุขหัวใจ
ได้ไหม ...ในเมื่อโลกที่งดงามในใจฉัน
มันตรงข้ามกับความจริง

ฉันจะข้ามผ่านสิ่งที่เลวร้ายไปได้อย่างไร

ไฟในกายฉันมันใกล้มอดแล้ว

เงิน....ให้ฉันและเธอรักกันไม่ได้
แต่..มันก็ทำให้ฉันอยู่ใกล้เธอได้

พี่ก๋าว่าจริงไหม



คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 16 กรกฎาคม 2555
เวลา : 04:22:00 น.




......................................






กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

เด็กน้อยคนหนึ่งในวัยสามขวบ
เขามองอะไรรอบตัวก็เป็นเรื่องสนุก
นั่งมองดูลูกอ๊อดว่ายไปมาในบึงน้ำเล็กๆได้คราวละเป็นชั่วโมง
วิ่งไล่จับแมงปอ เด็ดดอกหญ้าเอามาทำเป็นลูกธนู
เล่นขุดดินแล้วเอาน้ำหยอดใส่หลุมก็ตื่นเต้นราวกับผู้ใหญ่ขุดอุโมงค์ยักษ์ ฯลฯ


เมื่อเวลาผ่านไป....


กิจกรรมง่ายๆใกล้ตัวเริ่มไม่สนุก
เวลาเด็กชายชวนพ่อแม่ไปเล่นรอบๆบ้าน
พ่อแม่บอกแต่ว่า

“พ่อไม่ว่าง แม่ไม่ว่าง ๆๆ”
“ไปเล่นเองเลยลูก”
“เล่นอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นสนุกเลย”
“เปื้อนไปหมดแล้วเสื้อผ้ายิ่งซักยากๆอยู่”

ฯลฯ



เด็กน้อยเริ่มเบื่อ
เริ่มไปหาของเล่นที่ราคาแพงขึ้น
น่าตื่นตาตื่นใจกว่าของเล่นใกล้ตัวจากธรรมชาติ

เมื่อเบื่อจากของเล่น เขาหันเข้าหาเกมส์คอมพิวเตอร์
เกมส์นี้เบื่อ ก็หันไปหาเกมส์ใหม่
แต่ความเบื่อในใจไม่เคยลดน้อยลงเลย



หลายสิบปีผ่านไป....



เด็กน้อยกลายเป็นเด็กหนุ่ม


เด็กหนุ่มผู้รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งต่างๆรอบตัว
หนังเรื่องดัง เพลงฮิต คลิปฉาว คลิปโป๊ดารา
เฟซบุ๊ค บล็อก หนังสือ การท่องเที่ยว
การเรียน การทำงาน ฯลฯ

สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่เคยลดความน่าเบื่อหน่ายในชีวิตได้เลย


บางเวลาเขารู้สึกว่า “ชีวิตนี้มันช่างเบาหวิวเหลือทน”




.........................................




ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกแล้ว
แต่กลายเป็นชายวัยกลางคน
เขามีภรรยาและมีลูกสองคน

เขาเบื่อชีวิตที่ซ้ำซากจำเจมาก

ภรรยาอยู่ด้วยกันมานานจนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นในชีวิตคู่
นึกถึงวันแรกที่เขาตัดสินใจเดินเข้าไปขอเบอร์โทรของเธอ
มันบ้ามาก --- เขาคิด
เห็นหน้าเธอแล้วเขากินไม่ได้นอนไม่หลับ
ทุกสิ่งที่เป็นตัวเธอทำให้เขาคลั่ง คิดถึง กระวนกระวาย หึง หวง
อยากครอบครอง หลังจากใช้เวลาคบหากันมาหลายปี
เขาและเธอแต่งงานกัน มีลูกด้วยกัน


ความตื่นเต้นในความรักตอนนั้น...หายไปไหนเสียแล้วในตอนนี้

ทำไมเธอขี้บ่นมากขึ้น ทำไมเธอหงุดหงิดง่ายจริง
ร่างที่เคยสาวและสวยที่เขาอยากลูบไล้ป่ายปีน
กลับคล้อยเคลื่อนและหย่อนยาน
เขาเองไม่ได้เป็นชายหนุ่มรูปงามนามเพราะอีกแล้ว

พุงพลุ้ยกับสารพัดโรคที่รุมเร้าทำให้เขาไม่ได้เป็นนักรักที่น่าภาคภูมิใจอีกแล้ว



กับลูกๆไม่ได้พูดคุยกันมานานมาก
เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกเรียนคณะอะไรอยู่
อยู่มหาวิทยาลัยไหน จบแล้วอยากทำงานอะไร
มีแฟนหรือยัง ?

เขาไม่เคยถามและไม่อยากรู้เรื่องของลูกเลย

กลับเข้าบ้าน...แยกย้ายเข้าห้องของใครของมัน
ลูกมีโลกส่วนตัว
เมียมีโลกส่วนตัว
และเขามีโลกส่วนตัว




.................................................




“ชีวิตของฉันน่าเบื่อและเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือเท่าที่ผ่านมา ?”

ชายชราถามคำถามนี้กับตัวเอง.....

ลูกหายไปอยู่ทีไหนแล้วหนอ ?
เกือบสิบปีที่ลูกไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลย
โทรมานานๆครั้ง แต่แทบไม่ได้คุยกัน
บทสนทนาจบลงด้วยการตัดพ้อและกล่าวโทษถึงความไม่เอาไหนของอีกฝ่าย


เมียที่เคยรักเธอขอแยกทางกับเขาไปเมื่อสามปีก่อน

เธอเป็นโรคซึมเศร้า
ส่วนเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย

เงินที่เก็บมาทั้งชีวิต ถูกนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว
โรครุมเร้าเต็มไปหมดทั้งกายและใจ




.......................................................




เด็กน้อยคนนั้นมองดูกิ่งไม้เล็กๆในมือ
จินตนาการถึงดาบอัศวิน
ทำให้เด็กน้อยเผลอตัวหัวเราะออกมาเอิ๊กอ๊าก


ชีวิตนั้นน่าเบื่อ เต็มไปด้วยความคาดหวังเป็นเป็นไม่ได้

หรือแท้จริงแล้ว ชีวิตคือความสนุกสนานในทุกช่วงชีวิต
เพียงแต่เราเอาความทุกข์ไปกดทับความสุขจนมันขยับกายเคลื่อนไหวไม่ได้


ทั้งความสุขในการใช้ชีวิต ความคิด การงาน การเรียน และความรัก

ถูกเราผลักใสออกไปจากชีวิต
ด้วยเหตุที่เราไม่คิดถึง “ความจริง” อย่างที่มันเป็น

เรามองไม่เห็นแง่งามของสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่

แต่เฝ้าพยายามไปเพียรหาสิ่งต่างๆนอกตัวอย่างที่เราคาดหวัง
และความคาดหวังส่วนใหญ่เหล่านั้นเราไม่เคยไปได้ถึง
หรือยากที่จะเป็นไปได้จริง


ที่สุดแล้ว..........
เรากลายเป็นคนที่เจ็บปวดกับความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้
และคอยเผลอทำลายสิ่งดีดีที่เรามีอยู่โดยไม่รู้ตัว....




............................................





เด็กน้อยมองดูเหรียญห้าบาทในมือ

ห้าบาทจะไปซื้ออะไรได้
ขนมถุงเดี๋ยวนี้ถุงละ 15 บาท 30 บาท
ของเล่นราคาเป็นพัน


เด็กน้อยตัดสินใจเดินไปหายายคนหนึ่งซึ่งนั่งขายของอยู่ริมทาง

“ดอกไม้เท่าไหร่ครับยาย” เด็กน้อยถาม

“ห้าบาทจ๊ะหนู” ยายตอบ

เด็กน้อยยื่นมือรับดอกไม้ ก่อนจะจ่ายเงินเขาบอกว่า

“ผมจะซื้อดอกไม้ไปให้แม่ไหว้พระครับ”

เด็กน้อยยิ้มแล้วเดินจากไป


 

โดย: กะว่าก๋า 20 กรกฎาคม 2555 7:49:50 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ

ผู้ฟังบางครั้งต้องไปรู้เองครับ
ฟังอย่างเดียว
ถึงฟังจากผู้รู้
ก็ไม่ไ่ด้ทำให้ตนเองรู้ตามไปด้วยครับ



 

โดย: กะว่าก๋า 23 กรกฎาคม 2555 7:18:46 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 24 กรกฎาคม 2555 6:53:05 น.  

 

พี่ก๋าไม่เคยดูซีรีย์เกาหลีแม้แต่เรื่องเดียวเลยครับ 555
ไม่ได้ดูละครไทยด้วยครับ

ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือกับดูหนังดีวีดีเสียมากกว่าครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 24 กรกฎาคม 2555 7:03:05 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 25 กรกฎาคม 2555 6:26:58 น.  

 

:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::





หากคุณอยากได้บางสิ่งที่คุณไม่เคยได้
คุณต้องทำบางสิ่งที่คุณไม่เคยทำ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 23 กรกฎาคม 2555
เวลา : 23:33:00 น.




………………………………………






“ไปไหม” ฉันชวน
“ไปไหน ?” เธอถาม
“ไปเที่ยว” ฉันบอก
“เที่ยวที่ไหน ?” เธอสงสัย
“ไปเถอะน่า ไปถึงที่เดี๋ยวก็รู้เอง”
“ไม่เอา...บอกมาก่อนว่าจะไปทีไหน ?” เธอคาดคั้น
“ทำไมต้องรู้ก่อนถึงจะไป”
“ก็จะได้รู้ว่าอยากไปรึเปล่าไง”
“มันดีอยู่แล้วน่า”
“ดีของเธอ ไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องเห็นดีด้วยนี่นา”




..............................................





หลายปีผ่านไป....


ฉันกลายเป็นนักเดินทางผู้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก
ได้เห็นเมืองแปลกสวยงาม
ได้พบเจอผู้คนมากมายหลากหลายวัฒนธรรม
ได้เห็นโลกในมุมต่างๆ


เธอมีความสุขอยู่ในเมืองเล็กๆที่สงบเงียบ
ไม่ต้องการไปไหนไกลเกินกว่าสองขาจะพาไปถึง
เธอค้นพบสิ่งที่สวยงามในมุมเล็กๆของสวนหลังบ้าน
มอบรอยยิ้มให้เด็กตัวเล็กๆที่เดินสวนทาง




................................................




“ไปไหม” ฉันชวน
“ไปไหน ?” เธอถาม
“ไปเที่ยว” ฉันบอก
“เที่ยวที่ไหน ?” เธอสงสัย
“ไปเถอะน่า ไปถึงที่เดี๋ยวก็รู้เอง”
“ไม่เอา...บอกมาก่อนว่าจะไปทีไหน ?” เธอคาดคั้น
“ทำไมต้องรู้ก่อนถึงจะไป”
“ก็จะได้รู้ว่าอยากไปรึเปล่าไง”
“มันดีอยู่แล้วน่า”
“ดีของเธอ ไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องเห็นดีด้วยนี่นา”
“คราวนี้ฉันจะท่องโลกกว้างอีกรอบ ไม่สนใจจริงๆเหรอ ?”
“ไม่เลย ฉันชอบเมืองเล็กๆแห่งนี้อยู่แล้ว”
“โลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่เธอคิดนะ” ฉันพยายามเชื้อชวน
“ฉันไม่ชอบทางกว้าง ทางแคบๆแต่รื่นรมย์เหมาะกับฉันมากกว่า”
“ยังไม่เคยออกไปเดินทางเลย จะรู้ได้ยังไงว่าชอบไม่ชอบ”
“แล้วเธอล่ะ...เธอไม่เคยหยุดเดินทาง เพื่ออยู่กับเมืองนั้นอย่างแท้จริง
เธอรู้ได้อย่างไร ว่าตัวเองรู้จักเมืองนั้นอย่างดีที่สุดแล้ว”
“ฉัน....” ฉันไม่มีคำถามที่จะถามต่อ
แต่สุดท้ายยังเค้นถามได้อีกคำถาม “ไม่ไปจริงๆเหรอ”
“ไม่ไป” เธอยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น




...............................................




หลายปีผ่านไป


ชายหนุ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง
เขาลงหลักปักฐานในเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง
ทำงานและมีความสุขกับครอบครัวเล็กๆของเขา

ส่วนหญิงสาวเลือกที่จะออกเดินทางเป็นครั้งแรก
เธอไปยังเมืองที่เธอไม่คุ้นเคย ไปไกลกว่าที่ชายหนุ่มเคยเดินทาง
“หากคุณอยากได้บางสิ่งที่คุณไม่เคยได้
คุณต้องทำบางสิ่งที่คุณไม่เคยทำ”



คนหนึ่งเดินทางจนเหนื่อยแล้วจึงหยุด
คนหนึ่งหยุดมานาน เพื่อรอเวลาที่จะออกเดินทาง



 

โดย: กะว่าก๋า 25 กรกฎาคม 2555 7:43:42 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



 

โดย: กะว่าก๋า 26 กรกฎาคม 2555 6:44:05 น.  

 

จริงด้วยครับ
วินาทีเดียวเอง


 

โดย: กะว่าก๋า 26 กรกฎาคม 2555 6:57:33 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 27 กรกฎาคม 2555 6:48:23 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



 

โดย: กะว่าก๋า 28 กรกฎาคม 2555 6:46:01 น.  

 

ขอให้ลดน้ำหนักได้เยอะๆนะครับ 555

 

โดย: กะว่าก๋า 28 กรกฎาคม 2555 8:23:02 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 29 กรกฎาคม 2555 6:42:34 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 29 กรกฎาคม 2555 22:01:54 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 30 กรกฎาคม 2555 6:31:23 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 1 สิงหาคม 2555 6:50:59 น.  

 

ไม่ต้องเข้าใจ
แค่รู้สึกก็พอครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 1 สิงหาคม 2555 9:17:32 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ

เดี๋ยวไปตอบคำถามเราที่กรุ๊บ "สารถึงพี่ก๋า" นะครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 2 สิงหาคม 2555 7:06:35 น.  

 

สายแล้วจึง รู้ตัวว่า โดนวางยา

.
.

.
อ้าว --- ที่แท้โดนมอมยารูดทรัพย์นี่เองนะครับ 555





ปล.พี่ก๋าตอบคำถามเราแล้วนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 2 สิงหาคม 2555 7:32:39 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 3 สิงหาคม 2555 6:52:58 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 4 สิงหาคม 2555 6:18:19 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 5 สิงหาคม 2555 6:39:29 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 6 สิงหาคม 2555 6:33:23 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 7 สิงหาคม 2555 6:31:39 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 10 สิงหาคม 2555 5:41:36 น.  

 

ฮ่าๆๆๆ


เรียกลุงเลยเหรอ

พี่ก๋าเพิ่ง 27 เองเน้อ 5555


 

โดย: กะว่าก๋า 10 สิงหาคม 2555 7:00:02 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 12 สิงหาคม 2555 6:47:52 น.  

 

:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::




อิทธิบาท 4 เพียงอย่างเดียว
ใช่หนทางไปสู่ความสำเร็จหรือไม่
และถ้านำมาใช้กับความรัก
กับคนที่เรารักอย่างไม่ลืมหูลืมตาเพียงคนเดียว
มันอาจจะสำเร็จครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 12 สิงหาคม 2555
เวลา : 07:12:00 น.




*************************



อิทธิบาท 4

(คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ
คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย

- path of accomplishment; basis for success)




1. ฉันทะ

(ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ
และปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป

- will; aspiration)



2. วิริยะ

(ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม
เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย

- energy; effort; exertion)



3. จิตตะ

(ความคิด คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและสิ่งนั้นด้วยความคิด
เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป

- thoughtfulness; active thought)



4. วิมังสา

(ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง
คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล
และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น
มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น

- investigation; examination; reasoning; testing)


อ้างอิงจาก : พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต).
"พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม".



……………………………………




มีถนนอย่างเดียว
สามารถพาเราไปถึงเป้าหมายการเดินทางได้ไหม ?



.....................................



ถ้ามีถนน แต่ไม่มีรถ
ถ้ามีรถ แต่ไม่มีน้ำมัน
ถ้ามีน้ำมัน แต่ขับไม่เป็น
ถ้าขับเป็น แต่ไม่รู้เส้นทาง
ถ้ารู้เส้นทาง แต่ไม่กล้าขับ
ฯลฯ


หนทางแห่งความสำเร็จคืออะไร ?
คือเป้าหมายหรือจุดหมายแห่งการเดินทางเพียงเท่านั้นหรือ ?



.......................................



ความรักเริ่มต้นตรงที่ใด ?

ที่การรู้จัก
แล้วจบลงตรงการครอบครองอย่างนั้นหรือ ?
หรือไปจบลงตรงการเลิกรา การลาจาก ?


อะไรคือนิยามความสำเร็จของความรัก ?



.....................................



ความรักคือการเรียนรู้

เรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเอง
เพื่อจะได้รักคนอื่นอย่างที่เรารักตัวเอง

ถ้ายังไม่รู้จักตัวเอง
ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่รู้จักทาง ไม่รู้จักรถที่ตัวเองขับ
ไม่รู้ว่ารถยังขับได้ไหม มีน้ำมันหรือไม่
และที่สุดแล้วรถคันนี้ใครเป็นเจ้าของ ฯลฯ


ร้อยคำสอนทางธรรมหรือพันตำราการขับขี่ก็ไร้ค่า
ถ้าเราไม่ลงมือขับ

แล้วต้องขับอย่างตั้งใจด้วย
ไม่ใช่ขับไปทั้งๆที่ไม่มีความรู้ ไม่เคยฝึกฝน
แบบนี้อันตรายและอาจไปตายตรงกลางถนน


“คนขับรถได้” กับ “คนขับรถเป็น” ไม่เหมือนกัน
คนหนึ่งขับไปได้โดยไม่มีความรู้มากนัก ไม่รู้จักรถที่ตัวเองขับ

ส่วนคนขับรถเป็น รู้จักรถ รู้ความพร้อมของตนเอง รู้กฎจราจร
ระมัดระวังในการขับขี่ มีวินัยและมีน้ำใจบนท้องถนน



........................................




ถ้าใครสักคนจะขับรถแบบ “ไม่ลืมหูลืมตา”
เดาได้ไม่ยากครับว่าคงไปจบลงตรงอุบัติเหตุ

ความรักก็เหมือนกัน...
เรารักใครแบบ “ไม่ลืมหูลืมตา” ไม่ได้ครับ

ต้องฟังให้ดี ต้องดูให้ดี
เปิดหู เปิดตา เปิดใจ

ทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะมีอะไรวิ่งตัดหน้าเราบ้างหรือเปล่า
ถนนข้างหน้าสภาพเป็นอย่างไร มีรถอะไรวิ่งตามมา ฯลฯ


ความรักและการขับรถ
ต้องการ “สติ” ในการควบขับมากจริงๆ

ถ้าเราไม่อยากทิ้งชีวิตทั้งชีวิต
ไปกับอุบัติเหตุที่น่าสะพรึงกลัวที่รอเราอยู่ในทุกวินาที

 

โดย: กะว่าก๋า 12 สิงหาคม 2555 8:10:38 น.  

 

สวัสดีครับ
ขอบคุณที่แวะเข้าไปชมครับ
หน้าฝนแล้ว...ลำปางหนาวยังครับ อิอิ
มีความสุขในวันหยุดนะครับ.

 

โดย: หมุนตามไมล์ 12 สิงหาคม 2555 23:59:03 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 13 สิงหาคม 2555 6:59:53 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 14 สิงหาคม 2555 6:29:54 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 15 สิงหาคม 2555 6:45:17 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 16 สิงหาคม 2555 6:48:44 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 17 สิงหาคม 2555 6:06:46 น.  

 


***** พี่ก๋าขอตอบสองคำถามนี้ในคำตอบเดียวเลยนะครับ
แต่ไมไ่ด้คัดคำถามมาลงเอาไว้ด้วย
เพราะเห็นว่าค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าของคำถามน่ะครับ




:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::




ต้องรวยเท่านั้นหรือครับ
ผู้หญิงสวยๆ ถึงจะชอบ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 14 สิงหาคม 2555
เวลา : 18:40:00 น.




*************************




หนึ่งในคำถามที่พี่ก๋าไม่อยากตอบเลย
ก็คือ คำถามความรักที่พยายามจะสรุปแบบเอาเป็นเอาตายให้ได้ว่าใครผิด


“ผิด” ในความหมายนี้
น่าจะหมายถึงว่า “ถูกใจ” กับคำตอบหรือไม่เท่านั้นเอง

ถ้าคนตอบคำถามตอบตรงตามใจคิด
นั่นเป็นคำตอบที่ถูก

แต่ถ้าตอบแตกต่างออกไป
นั่นเป็นคำตอบที่ผิด


ต้องแยกให้ออกนะครับ

“ความรัก” กับ “ชีวิตรัก” มันคนละส่วนกัน

เป็นสองส่วนที่อยู่ร่วมกัน

และส่วนที่คนสองคนเขาสร้างเรื่องราวขึ้นมาด้วยกันนั้น
เราไม่มีทางเข้าไปรับรู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างแท้จริงได้เลย...



............................



ช่วงนี้หมิงหมิงลูกชายพี่ก๋าชอบนั่งดูการ์ตูนกันดั้มสามก๊ก
พี่ก๋าเลยได้นั่งดูด้วยตลอด
มีตอนหนึ่งที่น่าสนใจมาก
นั่นคือ ฉากที่เล่าปี่ซึ่งในตอนนั้นเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว
ถูกกองทัพอ้วนสุดเข้ายึดหมู่บ้าน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเล่าปี่ดูแลเอาใจใส่ชาวบ้านเป็นอย่างดี
ช่วยทำนาทำไร่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประชาชน

ในขณะที่ขุนศึกต่างๆ
ต่างออกรบกันไม่หยุดหย่อนเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่

ในที่สุดอ้วนสุดก็นำทัพมายึดเมืองชีจิ๋วได้
ชาวบ้านต้องหนีตายกันอลหม่าน

โจโฉที่ผ่านมาทางนั้นจึงได้ช่วยเหลือชาวบ้านและเล่าปี่เอาไว้ได้

ฉากที่สองตัวเอกแลกเปลี่ยนความคิดกันน่าสนใจมาก
โจโฉยื่นข้อเสนอให้เล่าปี่มาเป็นมือขวาของตนเอง
มอบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ให้กวนอูและเตียวหุย
แต่มีข้อแม้ว่าเล่าปี่จะต้องเลิกนึกถึง “ประชาชน”
เพราะโจโฉได้ตำหนิเล่าปี่ว่า
คนที่พรากความสงบสุขและรอยยิ้มไปจากชาวบ้าน คือ เล่าปี่ !!!

“ถ้าเจ้าเข้มแข็งเหมือนข้า
บ้านเมืองจะสงบสุขและไม่มีใครกล้ามารุกราน
ความสงบสุขที่แท้จริง ต้องมาจากผู้นำที่เข้มแข็ง” โจโฉกล่าว


ที่สุดแล้ว...เล่าปี่ยังเชื่อมั่นในอุดมคติของตนเอง
เขาเลือก “คนอื่น” ก่อนเลือก “ตัวเอง”
เขาเชื่อมั่นใน “ความอ่อนโยน” มากกว่า “ความแข็งกร้าว”




.....................................




คนหนึ่ง...นึกถึง “คนอื่น” ตลอดเวลา
อีกคนนึกถึงแต่ “ตัวเอง”

ทั้งโจโฉและเล่าปี่เป็นผู้นำที่ดีในคนละแบบ
มีข้อเสียที่แตกต่างกัน

แต่ใครจะบอกได้ว่า “ผู้นำ” แบบไหนที่เก่งกว่าหรือดีที่สุด ?

เพราะสุดท้ายแผ่นดินที่ทั้งสามผู้นำแย่งชิงกันมาตลอดชีวิต
กลับถูกตระกูลสุมายึดครองและรวบรวมแผ่นดินจนกลายเป็นหนึ่งเดียว



..........................................




เวลาเรามองความรักของคนอื่น
เราเข้าไปเรียนรู้ได้
แต่อย่าตัดสิน

เพราะเบื้องหลัง “ชีวิตคู่” ของเขา
มีอะไรตั้งมากมายที่เราไม่รู้
หรือรู้...แต่รู้ไม่จริง


การเอา “ข้อมูล” ที่เรารู้เพียงด้านเดียว
มาตัดสินถูกผิดดีชั่วในตัวคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม


เหมือนเรากินข้าวมันไก่ ชอบข้าวมันไก่
แล้วบอกกับทุกคนว่า ข้าวมันไก่นี่ล่ะที่อร่อยที่สุดในโลก
ไม่มีอะไรจะอร่อยไปกว่าข้าวมันไก่อีกแล้ว

ทั้งที่ความจริงแล้ว...ข้าวมันไก่แค่ถูกปากถูกใจเราที่สุดเท่านั้นเอง

อาหารที่เราว่าอร่อย คนอื่นอาจจะไม่ชอบก็ได้
อาหารที่คนอื่นชอบ ก็ใช่ว่าเราจะต้องชอบตามไปด้วยเสมอไป



...........................................



พี่ก๋าไม่ชอบอ่านข่าวบันเทิงเตียงร้าวเตียงหัก
ใครรักใครเลิกกับใคร ได้กันตอนไหน แล้วจะจากกันเมื่อไหร่
ทำไมคนนั้นมีเมียน้อย ทำไมคนนี้ซ่อนกิ๊ก ฯลฯ


พี่ก๋าคิดว่าสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้จัก “ตัวเอง”
วันนี้เราดูแล “ความรักของเรา” เองอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง

รู้เรื่องคนอื่นให้น้อย
แต่รู้เรื่องตัวเราให้เยอะ

ปัญหาในความรู้สึกที่เราเองก็มี
ไปจัดการให้ได้ ไปทำให้ดีก่อน


ปัญหาของคนอื่นอย่างมากที่สุดเป็นได้แค่ “บทเรียนสอนใจ” เรา

การรับรู้ปัญหาของคนอื่นแล้วมาหงุดหงิด
คอยนั่งวิจารณ์ หรือตัดสินคนอื่นจากมุมมองของเรา
จะมีความหมายหรือมีประโยชน์อะไร

เรื่องบางเรื่อง ปัญหาบางปัญหา
ไม่สามารถแก้ได้ด้วยคำแนะนำ คำวิจารณ์
หรือการแสดงความคิดเห็นของคนอื่น

แต่ปัญหานั้นเราต้องแก้ไขด้วยตัวเราเอง
เพื่อให้มันผ่านไปเป็น “ประสบการณ์” และ “ฉากชีวิต” หนึ่ง
ที่เราต้องเผชิญหน้าและกล้าที่จะลงมือแก้ไขสิ่งต่างๆ
เพื่อให้มันกลับมาสู่เส้นทางแห่งความถูกต้องดีงาม


ย้ำนะครับ....ว่าต้องด้วย “ตัวเราเอง”


...................................




ใครจะรักกัน รักแบบไหน
มีมาตรฐานในการเลือกคู่ครองอย่างไร
ชอบคนรวย รักสาวอกใหญ่
อยากมีกิ๊กเยอะๆ อยากมีแฟนเป็นดารา
ชอบคนดัง อยากมีเมียเด็ก ฯลฯ


เหล่านี้เป็นเพียงแค่ “เปลือกนอก” ของความรัก
เป็นรูปแบบที่เหมือนกับรสนิยมในการกินอาหาร

ซึ่งไม่มีถูกผิดหรอกครับ ไม่มีอาหารจานใดที่อร่อยที่สุดในโลก
มีแต่ถูกใจเราหรือไม่ถูกใจเท่านั้นเอง

อาหารที่ว่า “อร่อยที่สุด” กินสามมื้อสักสามอาทิตย์ติดกัน
รับรองไม่มีใครอยากกินต่อแน่ๆ

ความรักก็เหมือนกัน
ถ้าเราคิดว่ามันเหมือนอาหารที่กินแล้วเบื่อ เบื่อก็เปลี่ยนคน
ต่อให้นอนกับผู้หญิงสวยๆทั้งโลก
เราก็ไม่มีวันเติมเต็มความรู้สึกของตัวเองได้


และถ้าตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจความรัก
ไม่รู้ว่าจะรักใครไปเพื่ออะไร
และควรทำอย่างไรถึงจะเป็นคนรักที่ดี

เราไม่มีวันรักคนอื่นได้
ถ้าเรายังรักตัวเองไม่เป็น
และเป็นที่แน่นอนว่าถ้าเรายังรักตัวเองไม่เป็น
เราก็ไม่อาจเป็นคนรักที่ดีสำหรับใครได้เลย




 

โดย: กะว่าก๋า 17 สิงหาคม 2555 9:22:05 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 18 สิงหาคม 2555 6:51:52 น.  

 

:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::




คนไม่มีรองเท้าใส่หยุดเศร้าใจ
เมื่อเขามองออกไป
แล้วเห็นคนไม่มีขากำลังคลานอยู่บนพื้น

เราอาจมีรองเท้านับร้อยคู่
คำถามคือ
รองเท้าเหล่านั้นนำเราไปสู่หนทางใด ?



เขียนโดย : กะว่าก๋า



สำหรับพี่ก๋า รองเท้านำไปที่ใดครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 17 สิงหาคม 2555
เวลา : 11:54:00 น.





*************************





ชายคนหนึ่งปรารถนาที่จะรู้ซึ้งใน “ความจริงแห่งชีวิต”
หลายปีที่เขา “ค้นหาตัวเอง” ผ่านการเรียนรู้
การลงมือทำ และการเดินทาง


ชายหนุ่มเชื่อมั่นว่า “การเดินทาง”
คือสิ่งที่จะทำให้เขาพบกับ “สัจธรรมแห่งความเป็นจริง”


เขาจึงเริ่มต้นออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ
ทั้งเมืองที่งดงาม เมืองที่เจริญรุ่งเรือง
ไปจนถึงซากเมืองโบราณในอดีต

แต่ละแห่งมีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ให้ “ค้นหา” และ “เรียนรู้”



จากนั้นชายหนุ่มเริ่มเดินทางไปยังเมืองที่เจริญล้ำนำสมัย
หรือนั่งปล่อยเวลาชีวิตให้อ้อยอิ่งเคลื่อนผ่านอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร



บางแห่งเขากลายเป็น “นักท่องเที่ยว”
ผู้มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างรายรอบตัว

บางคราวเขากลายเป็น “นักเดินทาง”
ผู้ไม่รู้เลยว่าจุดสิ้นสุดของการค้นพบสิ่งใหม่อยู่ตรงที่ใด




วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จากเด็กหนุ่มผู้สนุกกับการแสวงหาคำตอบ
เขากลายเป็นชายชราผู้เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง


หลายครั้งเขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
ว่าตนเองเคยปรารถนาที่จะเข้าถึง “ความจริงแห่งชีวิต”



“การใช้ชีวิต” ไปในแต่ละวัน
การเดินทางในแต่ละนาที
ทำให้เขา “ลืม” จุดหมายไปเสียสิ้น
คิดอยู่แต่ว่าระหว่างการเดินทางนั้นเขาได้พบเห็นอะไรบ้าง
อะไรคือสิ่งสวยงามที่ได้ค้นพบและเก็บมาเป็นประสบการณ์ชีวิต



ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
เขาแทบไม่ได้เดินทางไปไหนอีกเลย



ในวัยชรา....เขานั่งทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมา
บางคราวเอาอัลบั้มรูปเก่าๆมาเปิดดูแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีต
บางครั้งในทีวีหรือหนังสือมีเรื่องราวของเมืองหรือสถานที่ที่เคยไปเยือน
เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว




การเดินทางสร้างชีวิต
หรือชีวิตสร้างการเดินทาง


เขาไม่แน่ใจ....

แต่การเดินทางทั้งหมดที่ผ่านมาของเขา
การ “ค้นหา” สิ่งต่างๆที่เขาคาดหวัง
ทำให้เขาได้พบ “คำตอบหนึ่ง” ที่นำไปสู่อีก “คำตอบหนึ่ง”
แต่ไม่ใช่ “คำตอบสุดท้าย” อย่างที่ใจของเขาต้องการเลย



ชายชรานั่งนิ่งๆ...
แล้วนึกใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมา


ใช่ --- เรามัวแต่เสียเวลาเดินทางเพื่อ “ค้นหา”
ทั้งที่แท้จริงแล้ว...สิ่งที่เราต้องการนั้นอยู่ในตัวเราตลอดเวลา
และรอให้เรา “ค้นพบ” สิ่งนี้ในตัวเอง


ชีวิตคือการค้นพบ
ไม่ใช่การค้นหา

ชีวิตไม่ใช่การเดินทางเพื่อตามหา
แต่ให้ค้นพบความศรัทธาที่อยู่ในใจตน



ชายชราได้รู้ในวันนั้นเอง
ว่าเขาใช้เวลาทั้งชีวิต
เพื่อออกตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

ส่วนสิ่งที่จริงแท้และแน่นอนที่สุด
อยู่ภายในตัวเขาเอง
อยู่ตรงนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา


เขายิ้ม – ใช่ว่าการเดินทางที่ผ่านมาจะสูญเปล่าเสียหน่อย
นั่นเป็นร่องรอยของลายแทงที่จะนำเราไปสู่ความรู้
และคำตอบที่รอคอย.....



ชายชรานึกถึงคำถาม-คำตอบ
ที่หลานชายสองคนของเขาถามตอบกันเมื่อวันก่อน.....



หลานชายคนที่หนึ่ง : นายรู้ไหมว่ารองเท้านำเราไปที่ใด ?
หลายชายคนที่สอง : ที่ที่เราอยากไปไง
หลายชายคนที่หนึ่ง : แล้วสถานที่นั้นอยู่ที่ไหน ?
หลานชายคนที่สอง : อยู่ที่ใจ อยู่ที่ใจ


 

โดย: กะว่าก๋า 18 สิงหาคม 2555 8:21:54 น.  

 

เที่ยวเผื่อพี่ก๋าด้วยนะครับ
พี่ก๋ายังทำงานอยู่เลยครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 18 สิงหาคม 2555 12:52:54 น.  

 

:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::



คนหนึ่ง...นึกถึง “คนอื่น” ตลอดเวลา
อีกคนนึกถึงแต่ “ตัวเอง”

ทั้งโจโฉและเล่าปี่เป็นผู้นำที่ดีในคนละแบบ
มีข้อเสียที่แตกต่างกัน

แต่ใครจะบอกได้ว่า “ผู้นำ” แบบไหนที่เก่งกว่าหรือดีที่สุด ?

เพราะสุดท้ายแผ่นดินที่ทั้งสามผู้นำแย่งชิงกันมาตลอดชีวิต
กลับถูกตระกูลสุมายึดครอง
และรวบรวมแผ่นดินจนกลายเป็นหนึ่งเดียว

เหมือน A หล่อ
B รวย
C ดัง

ไม่มีใครกินใครลง
ก็เลยเสร็จ D ซึ่งเป็นคนดีใช่ไหมครับ






คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 17 สิงหาคม 2555
เวลา : 11:54:00 น.




*************************




พี่ก๋ากลัวคำสอนที่คอยบอกสอนให้เราเป็น “คนดี” มากที่สุด
พอเราเชื่อว่า “คนดี” ทำอะไรก็ไม่ผิด
อันนี้อันตรายมากนะครับ

เพราะคนดีคนนั้น อาจใช้ความดีของเขาตัดสิน
และลงทัณฑ์คนอื่นอย่างโหดร้ายที่สุด

เขาอาจกลายเป็นผู้นำที่โหดร้ายยิ่งกว่าผู้นำที่เป็นทรราชย์เสียอีก
เพราะเชื่อว่าตนเองเป็นคนดี ตัดสินทุกอย่างจากความถูกต้อง
และสิ่งที่คนดีตัดสินใจทำลงไป ย่อมเป็นสิ่งดีงาม....



เหมือนคนที่ทำร้ายกันด้วยความเชื่อและศรัทธา

พอหาเหตุผลมาอ้างอิงความเชื่อของตนเองได้
อะไรที่ลงไปก็ไม่มีวันผิด

สงครามศาสนาเกิดขึ้นด้วยความเชื่อแบบนี้



..................................



ไม่ว่าจะเป็นผู้นำที่นึกถึงตนเองตลอดเวลา
หรือผู้นำที่คิดถึงแต่ประชาชนเป็นอันดับแรก

สิ่งหนึ่งที่เราต้องใคร่ครวญให้มาก
พี่ก๋ากลับคิดว่าคือการทำอย่างไร
ให้ประชาชนอยู่ได้โดยพึ่งพิงและพึ่งพาผู้นำให้น้อยที่สุด
ถ้าภาคประชาชนเข้มแข็ง มีสติปัญญา
เราอยู่ได้โดยแทบไม่ต้องพึ่งพานักการเมืองหรือผู้นำเลยครับ

ไม่ว่าใครมาเป็นผู้นำ
ไม่สำคัญเท่ากับประชาชนดูแลตัวเองได้หรือไม่


พี่ก๋าทำธุรกิจการค้า
ไม่เคยหวังพึ่งรัฐบาลเลยครับ
อะไรที่เราทำได้ เราทำเองก่อน
ไม่เรียกร้อง ไม่ต้องการความช่วยเหลือ

ขอแค่อย่าทำสถานการณ์ที่มันเป็นปกติให้เลวร้ายด้วยการเมือง
ด้วยการแย่งชิงผลประโยชน์เท่านั้นก็พอใจแล้ว


รัฐบาลที่คิดแต่ป้อนการช่วยเหลือให้ประชาชนตลอดเวลา
จะทำให้ประชาชนง่อยเปลี้ยเสียขาและไม่คิดช่วยเหลือตนเอง

คิดแต่ว่าถ้าราคาผลผลิตการเกษตรไม่ดี ฉันก็รวมคนไปตั้งม็อบ
ถ้าการเมืองไม่เป็นไปอย่างฉันคาดหวัง ก็รวมพลลากคนไปประท้วง

ใช้กฎหมาย ใช้กฎหมู่
ที่สุดก็ใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน

บ้านเมืองพังทลายเหลวแหลกไปจนหมดสิ้น
ด้วยเหตุผล วิธีคิดและวิธีการเช่นนี้เอง



..................................



โจโฉและเล่าปี่ หรือซุนกวน
เก่งเพียงใด ยิ่งใหญ่แค่ไหน
เมื่อสิ้นสุดการสู้รบ
พวกเขาสูญเสียทุกสิ่งที่เคยปรารถนา
โดยมีคนในตระกูลสุมาที่ได้ครอบครองแผ่นดิน
ก่อนจะถูกผลัดราชวงศ์ไปในเวลาไม่นานนัก
เนื่องจากล้มเหลวในการปกครอง....


ที่สุดแล้วระบบฮ่องเต้ในประเทศจีนก็ล่มสลายไป
โดยมีระบอบสังคมนิยมเข้ามาแทนที่....



................................



สนามรบแห่งการปกครอง
ไม่ใช่สนามแห่งการอวดอ้างแสดงคุณธรรม


ในสนามการค้าโลก
จะค้าขายกับโจรต้องใช้วิธีแบบโจร
ถึงจะไม่เสียเปรียบเขา


เป็นคนดีน่ะดี
แต่ต้องดีแบบรู้ทันคนด้วย

ต้องฉลาดและรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้

ไม่ใช่ตะแบงไปวันๆว่าฉันเป็นคนดี
ฉันไม่มีวันทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม

แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำลงไป
ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ตนด่าเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


หล่อ รวย ดัง ดี เป็นแค่ “คุณสมบัติ”
แต่ถ้าไม่มีปัญญาและความเฉลียวฉลาด
ที่จะนำ “คุณสมบัติ” ไปแปรเปลี่ยนให้กลายเป็น “สมบัติ”
เพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้ร่วมชื่นชมและครอบครอง


“คุณสมบัติ” นั้นก็เป็นเสมือนจดหมายแนะนำตัว
หรือสมุดคู่มือการใช้งานที่เล่าบอกรายละเอียดที่ดีต่างๆมากมาย

แต่ไม่สามารถนำไปใช้งานจริงได้เลยแม้แต่ข้อเดียว

 

โดย: กะว่าก๋า 18 สิงหาคม 2555 21:18:34 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 19 สิงหาคม 2555 6:44:01 น.  

 

:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::



ทุกสิ่งไม่เที่ยงใช่ไหมครับพี่ก๋า
ไม่ว่าเงิน เพื่อน ความรัก ครอบครัว ชีวิต เรื่องดีร้าย
เราแสวงหาความสุขชั่วคราว
และท้ายสุดก็เหลือเพียงความว่างเปล่า

ครั้งหนึ่งเราเคยมี เคยรัก
เคยครอบครอง เคยผูกพัน
สุดท้ายเหลือไว้ความทรงจำใช่ไหมครับ

เราจะถูกลืม และเริ่มเรื่องราวต่างๆทั้งหมด

ถ้าพระเจ้าหรือธรรมชาติให้พรผม 1 ข้อ
ผมจะขอนำเรื่องราวในชีวิตทั้งหมดติดตัวไปด้วย
เพราะมันคือผม เมื่อไม่มีมัน แล้วผมจะเป็นอะไร
ทั้งความทรงจำเก่าๆที่เลือนราง
และความทรงจำใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา

บางทีสิ่งที่เราไม่อาจรู้คำตอบ มันก็ทำให้เรากลัว
พี่ก๋ากลัว การพลัดพรากไหมครับ




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 18 สิงหาคม 2555
เวลา : 16:22:00 น.




****************************

ทุกสิ่งไม่เที่ยงใช่หรือไม่ ?

ใช่ครับ --- แต่ต้องแยกออกเป็นสองสิ่ง

คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ในทางธรรมเราเรียกสองสิ่งนี้ว่า
“โลกุตรธรรม” และ “โลกธรรม”


โลกุตรธรรม คือ ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
อยู่นอกเหตุเหนือ อยู่เหนือกาลเวลา
เช่น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยล้านปี
เราก็หลีกหนีความจริงนี้ไปไม่พ้น
ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของใดใด
ล้วนตั้งอยู่ในกฎแห่งความเสื่อมสลาย
ไม่อาจหนีพ้นความเปลี่ยนแปลงได้เลย



ส่วนโลกธรรมคือ ความเป็นจริงแห่งห้วงทุกข์
โลกะ แปลว่า ห้วงทุกข์
ธรรมะ แปลว่า ความเป็นจริง

ความเป็นจริงแห่งห้วงทุกข์เราแบ่งได้เป็น 8 อย่าง
คือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ
สรรเสริญ นินทา และ สุข กับทุกข์

ทั้งหมดเป็นคู่ตรงข้ามกันเหมือนสีขาวและดำ

ได้มาและเสียไป เสียไปและได้มา
เป็นแบบนี้วนเวียนไปไม่สิ้นสุด

ถ้าเราถามว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่เที่ยงใช่ไหม ?
ต้องตอบว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงทน คือ “โลกธรรม” ครับ

ส่วนโลกุตรธรรมนั้นยั่งยืน คงทนตลอดไป
ไม่มีใครรู้ว่า “สิ่งนี้” เกิดขึ้นเมื่อใด
ไม่มีใครรู้ว่า “สิ่งนี้” จะสูญสลายไปเมื่อใด
“สิ่งนี้” สร้างอะไรมาบ้างแล้ว สร้างมานานเท่าไหร่
และจะสร้างอะไรต่อไป….


แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลกธรรมนั้น
มีความเสื่อมเป็นที่ตั้ง เมื่อถูกสร้างให้เกิดขึ้นมา
ก็นับวันรอวันเสื่อมสลาย วันผุพัง และวันพรากจาก


ในการเรียนรู้ธรรมะ
สิ่งที่เราต้องรู้ คือ รู้ในความเสื่อมแห่งโลกธรรม
แล้วยอมรับและอยู่กับมันให้ได้

ส่วนโลกุตรธรรมะนั้นไม่จำเป็นต้องไปรู้ หรือเสียเวลาไปค้นหา
เพราะเมื่อรู้แจ้งในโลกธรรม
ก็จะรู้แจ้งในโลกุตรธรรมไปโดยอัตโนมัติ



.................................



“เรื่องราวในชีวิต” ที่เราปรารถนาจะนำติดตัวไปด้วย
ในทางธรรมเรียกสิ่งนี้ว่า “กรรม” หรือ “สัญญา”
ในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า “ดีเอ็นเอ”

เป็น “ความเคยชิน” ที่ถูกสร้างขึ้น สั่งสมอยู่ในตัวเรา
ข้ามภพข้ามชาติไปเรื่อยๆ....

เหมือนกับ “ความคิด” หรือ “จิต” ของเราเป็นพลังงานไฟฟ้า
นิสัย สันดานของเราเป็นเหมือนพลังงานไฟฟ้า
เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้
แต่มันเป็น “พลังงาน” ที่อยู่ในตัวเรา

พลังงานไฟฟ้าท่องไปเรื่อยๆตามสายไฟ
เมื่อไฟฟ้าเข้าสู่ตู้เย็น มันให้ความเย็น
เข้าไดร์เป่าผม ให้ความร้อน
เข้าหลอดไฟสีขาว ให้ไฟสีขาวนวล
เข้าหลอดไฟสีแดง ให้แสงร้อนแรงแสบตา
ฯลฯ


เช่นเดียวกัน จากร่างหนึ่ง
เราเดินทางไปสู่อีกร่างหนึ่ง
เปลี่ยนจากหมาเป็นคน จากคนเป็นนก จากนกเป็นผู้หญิง
จากผู้หญิงเป็นกษัตริย์ ฯลฯ

แต่สิ่งที่เรานำติดตัวไปด้วย
ไม่ว่าจะเปลี่ยน “รูปลักษณ์” เป็นสิ่งใดก็ตาม
คือ อุปนิสัยหรือความเคยชินนั่นเอง


คนที่โกรธง่าย โมโหร้าย
คนที่อารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี มีความสุข
บางคนชอบทานปลา บางคนเกลียดแมว
บางคนเก่งกาจทางดนตรี
บางคนมีพรสวรรค์ในทางกีฬา ฯลฯ


ทุกสิ่งเป็นการนำสิ่งที่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมาใช้ทั้งสิ้น


“ความยึดติดในตัวตน” สร้างอุปนิสัยและความเคยชินขึ้นมาในตัวเรา
ทั้งด้านดีและด้านลบ
สั่งสมและสะสมมาเนิ่นนานนัก
ก่อนแสดงออกมาเป็น “ตัวตน” หรือ “อัตตา” ของคนๆนั้นนั่นเอง



......................................



“การพลัดพราก” เป็นความจริงแท้แห่งชีวิตที่เราไม่อาจปัดปฏิเสธได้

ถึงวันหนึ่งพี่ก๋าก็ต้องจากไป
คนที่รักและคนที่เกลียดชังก็ต้องลาจากกัน

การพลัดพรากเจ็บปวด
แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือการไม่รู้ในหลักความเป็นจริงแห่งชีวิต


การไม่ยอมรับความจริงว่าคนทุกคนต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ต้องพลัดพรากจากสิ่งของและบุคคลอันเป็นที่รัก
จะทำให้เราใช้ชีวิตโดยประมาท
ประมาทคือ ไม่ยอมรับว่าทุกสิ่งที่กล่าวมาเป็นสิ่งธรรมดา
ที่ต้องเกิดกับ “ทุกคน” บนโลกนี้

ถ้ารับความจริงไม่ได้
เราก็เจ็บปวดไปกับความสูญเสีย

แต่ถ้าเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตได้
เมื่อเกิดความสูญเสีย เราเสียใจ
แต่เสียใจอยู่ในหลักการแห่งความเป็นจริงว่า
สิ่งนี้ไม่มีใครหลีกพ้นได้เลยสักคน
ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร


การใช้ชีวิตโดยไม่ประมาทจะทำให้เรารู้ว่า
การทำสิ่งต่างๆอย่างดีที่สุด
การได้รักใครอย่างดีที่สุด
นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราไม่ต้องสำนึกเสียใจในวันจากลา

การได้ใคร่ครวญและทบทวน ย้อนมองส่องตน
ว่าเรามีสิ่งใดที่ดี และยังมีข้อเสียใดที่ควรแก้ไข
จะทำให้เราใช้ชีวิตเพื่อที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
..ดียิ่งขึ้นไปในแต่ละวัน



การใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด
ทำให้เราไม่ต้องเสียใจเมื่อถึงเวลาแห่งการจากลา

และเมื่อเราได้ทำทุกสิ่งอย่างดีที่สุดแล้ว
เราจะวาง “ตัวตน” ทั้งหมดของเราได้

เมื่อวาง “ตัวตน” ลงแล้ว
ยังเหลือสิ่งใดให้เราต้องจดจำหรือเจ็บปวดอีกเล่า


หลักการของศาสนาพุทธที่สอนในเรื่องของการนิพพาน
จึงเป็นการฝึกฝนตนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เพื่อให้เข้าถึงความเป็นจริงแห่งชีวิต
เมื่อเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต
เมื่ออยู่กับความเป็นจริงแห่งทุกข์อย่างเข้าใจ
เราจะเบื่อหน่ายในการเกิดและเวียนว่าย

เมื่อเบื่อหน่ายอย่างถึงขีดสุด
จิตหรือความคิดของเราจะปล่อยวางทั้งสุขและทุกข์
ปล่อยวางโลกธรรมทั้งหมดเพื่อมุ่งเข้าสู่ความว่างเปล่า

สภาวะจิตตรงนั้นเป็นการทำลายซึ่ง “ตัวตน”
เป็นการสลาย “ความคิด” หรือ “จิต”
ที่คิดแต่จะเวียนว่ายตายเกิด
อยากเกิดเป็นคนนั้นคนนี้ อยากเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
อยากรัก ชอบ ชัง คนนั้นคนนี้ ฯลฯ



เมื่อไม่มีการเกิด จะมีการตายได้อย่างไร
เมื่อไร้แล้วซึ่งความคิด
จิตจะเกาะกุมซึ่งสิ่งใด

เมื่อไร้สิ่งใด
ก็ว่างเปล่า ... ไร้ตัวตน


 

โดย: กะว่าก๋า 19 สิงหาคม 2555 9:13:36 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ

ตื่นเช้าดีนะครับวันนี้




 

โดย: กะว่าก๋า 20 สิงหาคม 2555 6:26:41 น.  

 

:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::



สงบและเงียบคือสิ่งที่ดีที่สุด
ใช้ชีวิตแบบเงียบสงบและราบรื่นมาโดยตลอด

ถ้าเราถือคติแบบนี้
มีคุณและโทษอย่างไรบ้างครับ

เราจำเป็นต้องมีฝันอันยิ่งใหญ่ไหมครับ



ถึงจะปีนเทือกเขาเอเวอเรสต์
หรือทำสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้
ถ้าสิ่งที่เราตามหามันอยู่ไกลเกินกว่าจะไขว่คว้า

ถ้าหากพี่ก๋ามีฝันอันยิ่งใหญ่
ฝันนั้นคืออะไร




คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 18 สิงหาคม 2555
เวลา : 21:54:00 น.




****************************



พี่ก๋าไม่เคยฝันอะไรมานานมากแล้ว
ทั้งฝันกลางคืนและฝันกลางวัน

ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรที่ยิ่งใหญ่
ไม่ได้มีแผนการอะไรทั้งแผนประจำวัน แผนประจำปี

ไม่ได้สนใจเรื่องของ “จุดหมาย”
แต่สนใจเรื่องราวระหว่าง “การเดินทาง




...........................



สงบและราบรื่นคืออะไรครับ ?

ชีวิตที่มีแต่ความสุขมีจริงล่ะหรือ ?

หนีไปอยู่กลางหุบเขา
ที่นั่นมีแต่ความสงบจริงๆหรือเปล่า ?


นักบวชที่บวชแต่กายไม่ได้บวชจิต
ต่อให้ถือเพศบรรพชิต
ก็ยังไม่อาจเข้าถึงธรรม


ถ้าใจสงบ
อยู่ท่ามกลางคนนับล้าน
ใจก็ไม่ตื่นตระหนก ไม่สั่นไหวไปตามสิ่งเร้า


ถ้าพูดถึงความสงบ
ต้องชี้ให้ชัดว่าเป็นเรื่องของ “จิตใจ”
ไม่ใช่เรื่องของ “กาย” หรือ “สภาพแวดล้อม” ที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา



..................................




ถ้าชีวิตคนเรามีอายุขัยประมาณ 70 ปี
พี่ก๋าก็ปักหมุดไมล์เกินค่อนชีวิตไปแล้ว

อะไรคือเป้าหมายหรือความฝันอันยิ่งใหญ่ ?

ตอนนี้พี่ก๋าไม่มีคำตอบเลยครับ
แค่ทำทุกอย่างที่กำลังผ่านเข้ามาในชีวิต
แค่ทำนาทีที่กำลังผ่านไปให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง


พี่ก๋าไม่ได้คิดอะไรไกลเกินกว่าสายตาตัวเองจะมองเห็น
แค่ทำสิ่งที่มองเห็นเบื้องหน้าให้ดีที่สุดยังทำไม่ได้
จะไปเสียเวลาคิดเปลี่ยนฟ้าพลิกแผ่นดินทำไมครับ
ถ้าแค่ตัวเองยังดูแลความรู้สึก ดูแลความคิดของตนเองยังไม่ได้
จะไปตั้งปณิธานใหญ่ยิ่งทำไมให้ตัวเองต้องผิดหวังและเจ็บปวด


ถ้าไปถามเศรษฐีพันล้านในวันที่เขายังยากจนข้นแค้น
จะมีใครกล้าพูดหรือครับว่าสักวันผมจะรวยเป็นมหาเศรษฐี
ถ้าพูดหลังจากรวยก็ว่าไปอย่าง
แต่เกือบทั้งหมด....เขาไม่เสียเวลาฝันหรอกครับ
แต่ “ลงมือทำ”
ทำจนสุดกำลัง ทำจนสุดชีวิต

คนที่มัวแต่คิด มัวแต่ฝัน
จะสูญเสียเวลาอันมีค่าที่จะพัฒนาตนเอง


.....................................



เวลาเดินขึ้นดอย
พี่ก๋าเป็นคนเดินช้ามาก
แล้วไม่ค่อยมองยอดดอย
แต่มองปลายเท้าตัวเอง

พยายามไม่คิดถึงจุดหมาย
แต่เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก
หยุดชื่นชมความงามรอบตัว
สูดหายใจแรงๆ เอาอากาศสะอาดเข้าปอด
ปาดเหงื่อบ้าง นั่งหอบบ้าง


“เดินทีละก้าว เคี้ยวข้าวทีละคำ”


นี่คือวิธีคิดของพี่ก๋าในการใช้ชีวิต




ฝันที่ยิ่งใหญ่---ไม่มี
ปณิธานที่มุ่งมั่น---ไม่มี


ใครจะเป็นใหญ่เป็นโต
ใครจะโหยหาความสำเร็จ ชื่อเสียง เงินทอง
ใครมีความสุขกับสิ่งใดก็ทำไปเถอะครับ

ขอให้เรารู้ว่าเราต้องการอะไร
และเดินทางไปตามความคิดความเชื่อนั้นให้สุดทาง
แค่อย่าลืมว่าก่อนถึงเป้าหมาย
มันมีเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้และค้นหา


จะดีกว่าไหมถ้าจะได้หยุดชื่นชมความงามต่างๆที่อยู่รายรอบกาย
เรื่องดีเรื่องร้ายก็คล้ายครู
ที่สอนให้เราเติบโตอย่างยั่งยืน

จะรีบวิ่งไปสู่จุดหมายทำไม
หากใครถามว่าเห็นอะไรบ้างระหว่างทางที่ผ่านมา
แล้วเราก็บอกใครไม่ได้เลยว่าเราได้ผ่านได้เห็นอะไรมาบ้าง
เพราะมัวแต่สาละวนกับการวิ่งเข้าสู่เส้นชัย
จนหลงลืมความสวยงามของการเดินทางไปจนหมดสิ้นนั่นเอง

 

โดย: กะว่าก๋า 20 สิงหาคม 2555 22:12:18 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 21 สิงหาคม 2555 6:45:33 น.  

 

คงไม่มีใครสามารถตอบแทนตัวฉันได้
ฉันต้อง ไปลองดูด้วยตัวเอง ใช่ไหมครับพี่ก๋า

.
.

ใช่ครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 21 สิงหาคม 2555 9:11:22 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 22 สิงหาคม 2555 6:48:26 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 23 สิงหาคม 2555 6:47:28 น.  

 

แล้ว สมองซีกซ้าย กับสมองซีกขวาละคับ
เราจะใช้มันอย่างไรดี อิอิ

.
.
.

ใช้คิดแต่เรื่องที่ดี
พูดแต่เรื่องที่ดี
และทำแต่เรื่องที่ดีครับ


อิอิอิ

พี่ก๋ามาตอบให้เลยนะครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 23 สิงหาคม 2555 12:45:12 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 24 สิงหาคม 2555 6:49:18 น.  

 

เดี๋ยวไว้เรามีแฟน
พอแฟนแต่งตัวโป๊ออกนอกบ้าน
พี่ก๋าว่าเราก็มีเคืองนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 24 สิงหาคม 2555 11:28:46 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 25 สิงหาคม 2555 6:41:44 น.  

 

พี่ก๋ามีลูก
เิงินก็สำคัญครับ

แต่เวลาที่มีให้ลูกสำคัญกว่า


 

โดย: กะว่าก๋า 25 สิงหาคม 2555 21:44:48 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 26 สิงหาคม 2555 6:43:31 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ



 

โดย: กะว่าก๋า 27 สิงหาคม 2555 6:49:20 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 28 สิงหาคม 2555 6:24:31 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 29 สิงหาคม 2555 6:55:28 น.  

 

อย่ามาต่อยเค้านา

 

โดย: mariabamboo 29 สิงหาคม 2555 12:10:08 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 29 สิงหาคม 2555 21:38:21 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 30 สิงหาคม 2555 6:53:16 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ

เมื่อวานมีเพื่อนบล็อกมาเม้นท์ไว้ยอะมาก
เราลองนั่งอ่านดูนะครับ
พี่ก๋าชอบเม้นท์อยู่หลายอันเลยครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 31 สิงหาคม 2555 6:51:32 น.  

 

มาดามจะซื้อให้
แต่พี่ก๋ายังอยากให้เครื่องเก่าอยู่ครับ

แมคน่าจะเหมาะกับการทำหนังสือครับ

แต่พี่ก๋าเสียดายเงิน 555

เครื่องเก่ายังพอทำงานได้ดีอยู่เลย


 

โดย: กะว่าก๋า 31 สิงหาคม 2555 6:54:56 น.  

 

:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::



ผมชักสับสนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ
หรือถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
กับเหตุการณ์ที่มันปะติดปะต่อกันอย่างแนบเนียนเหลือเกิน

ผมไม่แน่ใจว่าเคยถามไปแล้วหรือยัง
สุดท้ายเราเลี่ยงที่จะสู้กับปัญหา
แต่ปัญหาก็ไม่ยอมหายไปไหน
มันเป็นเงาตามตัวเราตลอดมา
มีโอกาสเมื่อไหร่ มันจะโผล่มาเสมอ


ผมเคยรักหญิงคนหนึ่ง บวกกับปัญหาชีวิตของผมเอง ความสัมพันธ์มันร้าวลึกเข้าไปถึงข้างใน
ผมจะรับมันอีกไม่ไหวแล้ว
ผมจึงเลือกสร้างกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กมาต้านเอาไว้
มันช่วยให้ผมไม่ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้
แต่เวลาก็ผ่านมานาน บาดแผลนี้ก็ยังไม่ได้หายไป
ผมเจอเธออีกครั้ง ผมเหมือนคนเย็นชากับทุกสิ่ง ไร้หัวใจ
ผมรู้ดีว่าความทรงจำมันลางเลือนไปหมดแล้ว
แต่มันยังทิ้งรอยแผลเอาไว้

แล้วผมจะหาทางออกอย่างไร
หรือต้องกลับไปทางเข้า








คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 29 สิงหาคม 2555
เวลา : 18:13:00 น.




*****************************





จำพระเอกเกาหลีสองคนที่พี่ก๋าเคยเล่าไว้ในครั้งก่อนไหมครับ
“กำไม่แบ” กับ “แบไม่กำ”

กำไม่แบ --- คนนี้เวลาพบเจอความทุกข์
จะกำความทุกข์เอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
ทุกข์นั้นเลยแนบสนิทแน่นกับชีวิต
เพราะเจ้าตัวถือและแบกทุกข์นั้นตามไปด้วยในทุกหนแห่ง

ส่วน แบไม่กำ ---- เลือกที่จะวางความทุกข์ลง
แล้วใช้ชีวิตไปกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา
ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญหรอกครับ
มันมี “เหตุ” และ “ปัจจัย” เกื้อหนุนให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้น





.......................................




เหมือนปลูกต้นมะม่วง
ผลที่ได้ย่อมต้องเป็นลูกมะม่วง
นี่คือ “เหตุปัจจัย”

แต่มะม่วงต้นนี้จะหวานหรือเปรี้ยว
อันนี้ขึ้นอยู่กับ “สภาพแวดล้อม”


ปลูกมะม่วงในวันนี้
แล้ววันพรุ่งนี้มานั่งรอว่าเมื่อไหร่ดอกจะออก ผลจะเกิด
เราคงเครียด หงุดหงิด และกระวนกระวายแน่ๆ

สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่การนั่งรอ
แต่คือการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่การคัด “เมล็ดพันธุ์”
นั่นเป็นตัว “เหตุปัจจัย” ที่จะบอกว่า
ผลของมะม่วงต้นนี้จะดีหรือแย่ เปรี้ยวหรือหวานหอม



สิ่งที่สำคัญลำดับต่อมา คือ การดูแล “สภาพแวดล้อม” ให้ดี
ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน กำจัดแมลงศัตรูพืช ตัดแต่งกิ่ง ฯลฯ



“เหตุปัจจัย” ไม่ดี ต่อให้ดูแล “สภาพแวดล้อม” ดีอย่างไร
คุณภาพของผลิตผลย่อมไม่มีทางดีได้

มะม่วงเปรี้ยวปลูกแล้วหวังว่าจะกลายพันธุ์
กลายเป็นมะม่วงหอมหวาน
ย่อมยากมากที่จะเป็นไปได้



..................................


เมื่อเกิด “ปัญหา” ขึ้นในชีวิต

หลายคนพยายามแก้ไขที่ “สภาพแวดล้อม”
โดยหลงลืมไปว่า ต้นเหตุผลกรรมที่แท้จริงนั้น
อยู่ที่ “เหตุปัจจัย”


หลายคนจึงไปแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ”
แทนที่จะเข้าไปดูต้นตอของปัญหาที่ “ต้นเหตุ”


แก้ปัญหาผิดจุด....
ปัญหาจะถูกแก้ไขเยียวยาได้อย่างไร...




..............................




ความรักที่ผิดหวัง เรื่องราวที่เจ็บปวดช้ำชอก
มันมีทั้ง “เหตุปัจจัย” และ “สภาพแวดล้อม”

เราแยกออกหรือไม่ว่า
สิ่งใดคือต้นเหตุ สิ่งไหนคือปลายเหตุ

“ต้นเหตุ” ของความผิดหวังในความรัก
แทบทั้งหมดเกิดจาก “ตัวเรา”


“ตัวเรา” คือ ความคาดหวังและการแสดงออก
สิ่งต่างๆที่เราทำ เราทำเพื่อใคร ?
เพื่อตัวเรา หรือเพื่อคนที่เรารัก

ทำไมเขาหรือเธอถึงไม่รักเรา ?

เรายอมรับในสิ่งที่เขาหรือเธอเป็นอยู่หรือไม่

ฯลฯ

คำถามเหล่านี้ให้เราถามตัวเองก่อน
แล้วลองเปลี่ยนจุดยืนไปถามในมุมของเขาและเธอบ้าง

นึกออกไหมครับ

ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งจะไม่รักเรา
เรามักมีคำตอบในใจอยู่คนเดียว
ว่าเธอไม่รักเราเพราะเราจน เราไม่รวย
เรียนไม่เก่ง การงานไม่ดี ไม่หล่อ เราใจร้อน ขี้บ่น
เป็นคนเลื่อนลอยดูไม่มีอนาคต ไม่เร้าใจ ฯลฯ


ลองเปลี่ยนมุมมองไปเป็นเธอ
แล้วลองตอบคำถามเดียวกันนี้ดู
บางทีคำตอบที่เราได้
อาจไม่ได้เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
ที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งไม่รักเรา....




.......................................




นอกจาก “กำไม่แบ” และ “แบไม่กำ” แล้ว
พี่ก๋าว่าในชีวิตคนเราควรมีพระเอกอีกคนครับ
คนนี้มีชื่อว่า “จำไม่ทำ” ครับ


พบเจอความทุกข์ในชีวิต
แบกๆ กำๆ มันไว้ให้ตัวเองเจ็บปวดอย่างเนิ่นนาน
ทุกข์ทรมานแบบ “กำไม่แบ”


เมื่อถึงวันหนึ่งรู้จักวางปัญหานี้ลงเหมือน “แบไม่กำ”

ก็ควรเรียนรู้ด้วยว่าเราเจ็บปวดจาก “ความคิด” ของตัวเราเอง
ค้นให้เจอว่าความคิดแบบใด
ที่ทำให้เรามองไม่เห็น “ต้นตอ” ของปัญหาที่แท้จริง


เมื่อพบ “สาเหตุ” ที่แท้จริงแล้ว
จงจำเอาไว้ด้วยว่าอะไรที่ทำให้ต้องพบกับความผิดหวัง
ความเสียใจ และความปวดร้าว


หยุดเข้าข้างตัวเอง
และอย่ามัวแต่โทษคนอื่น

เราต้องรู้แน่ๆครับว่าปัญหานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
และจะทำอย่างไรให้มันไม่กลับมาทำร้ายความรู้สึกของเราอีก

“จำไม่ทำ” คือ ให้เรียนรู้จากความผิดพลาด
ให้อภัยตัวเอง แล้วเริ่มต้นใหม่เสีย

อย่าเอาชีวิตไปทิ้งทั้งชีวิต
เพียงเพราะมันมีบาดแผลแค่นิดเดียว

รักร้าวไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
เราเริ่มต้นใหม่ได้....

ใช่ --- มันยากที่จะเริ่มใหม่
แต่ถ้าเริ่มต้นใหม่ได้ มันก็ไม่ยาก


จดจำความผิดพลาดไว้เป็นบทเรียนสอนใจ
แล้วอย่าทำสิ่งนี้อีกซ้ำสองกับคนใหม่



....................................





ถ้ากำแพงมันสูงนัก
ก็หาคนมาช่วยทุบกำแพงครับ
อย่ามัวนั่งทุบคนเดียว
บอกเล่าความจริงให้เขาหรือเธอฟัง
ขอแรงใจแรงกายจากคนรักมาช่วยกันทุบทำลาย
เพื่อจะได้ทำลาย “กำแพง” ที่ขังชีวิตเราเอาไว้
แล้วมาช่วยกันสร้าง “สะพาน”
เพื่อเดินไปสู่เส้นทางรักที่สวยงามอีกสักที



 

โดย: กะว่าก๋า 31 สิงหาคม 2555 11:23:18 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 1 กันยายน 2555 6:17:52 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 2 กันยายน 2555 6:30:33 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 3 กันยายน 2555 6:45:35 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ






 

โดย: กะว่าก๋า 4 กันยายน 2555 6:20:17 น.  

 

พี่ก๋ายังเลือกที่จะใช้ window xp อยู่เลยครับ 555

 

โดย: กะว่าก๋า 4 กันยายน 2555 15:09:13 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 5 กันยายน 2555 6:42:46 น.  

 

หุหุหุ ---

อ่านกลอนแล้วยิ้มเลยครับ
สาวเจ้าช่างใจร้าย 555


 

โดย: กะว่าก๋า 5 กันยายน 2555 7:31:11 น.  

 

:: ก๋าราณีตอบคำถามน้องเสือย้อมแมว ::





พี่ก๋าเลือกที่จะอยู่ในถ้ำอย่างมีความสุข
หรือออกนอกถ้ำไปพบกับความขัดข้องใจมากมาย

คำถามนี้ ขอถามพี่ก๋า 2 คน
คนแรก เมื่อแต่งงานแล้ว
คนที่สอง เมื่อยังโสด





คำถามโดย : เสือย้อมแมว
วันที่ : 5 กันยายน 2555
เวลา : 20:00:00 น.







*****************************









เมื่อตอนยังโสด
พี่ก๋าไม่ได้สนใจความรักเลย
ลุยเรื่องเรียนเสร็จ ก็มาลุยเรื่องงาน
ทะเลาะกับตัวเองเป็นประจำในเรื่องมุมมองและความคิด

ตอนนั้นอารมณ์รุนแรงและใจร้อนมาก
ใครขวางไม่ได้ พังสถานเดียว 555

เวลามีปัญหาชอบใช้อารมณ์แก้ไขปัญหา
ด่าไม่เลือกรุ่น 555
สิ่งที่เห็นชัดที่สุดในตอนนั้นคือ
เป็นคนจริงจังกับทุกสิ่ง และมีมาตรฐานสูงในใจเสมอ
อาจเป็นเพราะเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากและเป็นผู้นำมาโดยตลอด
พี่ก๋าเป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่มัธยมจนจบมหาวิทยาลัย
เป็นประธานสี เป็นประธานนักศึกษา
และเป็นนักกิจกรรมขององค์กรนักศึกษา


และชอบ “จม” ตัวเองอยู่กับปัญหา
เวลาทะเลาะกับใครจะวนเวียนอยู่กับความคิดซ้ำๆย้ำๆ
บางเรื่องเก็บมาคิดสามสี่วัน ทุกข์ เครียด โกรธ
อารมณ์จะหงุดหงิดง่ายมาก ใครแตะไม่ได้เลย
อาจารย์มายุ่งก็โมโห เพื่อนวิจารณ์ก็โกรธ

ตอนนั้นยังไม่เห็นตัวเองนะครับ
รู้สึกแค่ว่าเราจริงจังกับทุกสิ่ง เราตั้งใจ เราหวังดี
แต่คนที่ทำงานกับเราไม่มีใครมีความสุขเลย....


ดังนั้น --- ถึงโลกไม่ได้ทำอะไรให้
แต่เราพร้อมออกไปทะเลาะกับโลกอยู่ตลอดเวลา




ช่วงแรกของการทำงาน
พี่ก๋าจึงไม่มีความสุขกับการทำงานเลย
เพราะคาดหวังสูงมากกับลูกน้อง
พี่ก๋าจบมาใหม่ ไฟแรง ไม่เคยเป็นลูกน้องใครจริงจัง
เรียนจบแล้วมาเป็นลูกเถ้าแก่เลย
“อีโก้” มันเกิดขึ้นครับ
ความรู้สูง ความตั้งใจสูง
แต่ขาดความยั้งคิด และขาดประสบการณ์

การทำงานจึงไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขเลย
ตื่นเช้ามางานหนัก เครียด
ไม่ได้หยุดงานเลยแม้แต่วันเดียวในสองปีแรก
มีเรื่องขัดแย้งกับพนักงานตลอดเวลา
ไม่พอใจใครเรียกมาตบโต๊ะด่าในห้อง
ถึงที่สุดเรียกมาไล่ออกทันทีที่ลูกน้องทำความผิด

เป็นอย่างนี้อยู่หลายปีมาก

รู้สึกตลอดว่าตัวเองไม่มีความสุข
ตัวเราทำไมใจร้อน ทำไมหงุดหงิดง่าย
และไม่มีใครอยากเข้าใกล้มาพูดคุยด้วย






จนวันหนึ่งได้ไปเที่ยวเมืองจีน ที่เมืองกุ้ยโจว
ไปเจอพระอาจารย์ทางธรรมที่ชื่อว่า “ภูเขาหมื่นลูก”
เป็นภูเขาที่พูดไม่ได้ แต่ทำให้พี่ก๋า “ตื่น” ได้
เป็นการ “ตบให้ตื่น” ขึ้นจากความคิดว่าตนเองเจ๋ง
เก่ง เป็นศูนย์กลางของโลก
เมื่อเรามองว่าเราเองเป็นเพียงฝุ่นผงในจักรวาล
เป็นสิ่งเล็กๆที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เกินไปกว่าธรรมชาติ

ในวินาทีนั้นเองที่พี่ก๋ารู้สึกว่า
ตัวเองได้เห็น “ตัวเอง” อย่างแท้จริง

และคิดถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเอง





................................





กลับมาจากเมืองจีนพี่ก๋าจึงเริ่มค่อยๆ “เปลี่ยนตัวเอง”
เหมือนการลอกคราบตัวตนเดิมๆทิ้งไป
ตัวตนที่เคยใจร้อน หยาบคาย เจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด
ไม่เข้าใจคนอื่น ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก ฯลฯ

ค่อยๆบอกสอนเตือนตนทีละนิด
เปลี่ยนแปลงตัวเองทีละหน่อย

เวลาหงุดหงิดจะด่าลูกน้อง
รีบเตือนตัวเองว่า กำลังโกรธๆๆ กำลังโมโหๆๆ ใจเย็นๆ

ใหม่ๆก็ทำไม่ได้ครับ ด่าแหลกเหมือนเดิม 5555
แต่พอฝึกกับตนเองไปเรื่อยๆ ทำบ่อยๆ ในทุกๆเรื่อง
พบว่าใจเริ่มเย็นลง ไม่หงุดหงิดง่าย
เริ่มใช้เหตุผลในการคุยมากกว่าใช้อารมณ์

เมื่อคาดหวังกับคนน้อยลง
ยิ่งพบว่าลูกน้องมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น
ตัวเรามีความสุขมากขึ้น
บริษัทคู่ค้ามีความสุข
“ความสนุก” ในการทำงานก็กลับมา
ทั้งๆที่เป็นงานเดิม ผู้คนเดิมๆที่เราเคยเบื่อหน่าย
และไม่อยากร่วมทำงาน





.............................






จากนั้นไม่นานพี่ก๋าเริ่มมีความรัก
เริ่มคบหากับมาดาม พูดคุย แลกเปลี่ยนทัศนคติต่างๆ
จนขอเธอแต่งงาน
ทั้งหมดใช้เวลาเพียง 2 ปีเศษ....


ตัวตนที่มีชีวิตคู่ เหมือน “คนใหม่” ที่เปลี่ยนวิธีคิดไปแล้ว



เวลามีปัญหา
ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเข้าถ้ำหรือออกจากถ้ำ
ไม่ได้อยู่ที่การสร้างกำแพงหรือสร้างสะพาน

แต่ตอนนี้ทุกๆปัญหามันดูเล็กลง
เมื่อมี “สติ”

นานๆทีจะมีหลุดไปบ้าง แต่ดึงจิตกลับมาได้เร็วกว่าเมื่อก่อนมาก
พี่ก๋าไม่ค่อยทุกข์อะไรนานๆเหมือนเมื่อก่อน
ไม่ได้เรียกลูกน้องมาด่าเลยเกือบ 4 – 5 ปีหลัง

ดูเหมือนเฉื่อยลงกับการทำงานด้วยซ้ำ
เพราะพี่ก๋ารู้แล้วว่าอะไร “สำคัญ” ที่สุดสำหรับตัวเอง
อะไรคือ “ความสำเร็จที่แท้จริงของชีวิต”




วินัยชีวิตเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
เช้าตรู่อัพบล็อก
เปิดร้าน ป้อนข้าวลูก ทำงาน เล่นบล็อก
อ่านหนังสือ บ่ายสามรับลูก เย็นป้อนข้าวลูก
เล่นกับลูก เข้านอน ....




ปัญหาที่เคยทำให้เราหงุดหงิด
คนที่ทำให้เราโกรธ
พอเรามองเขาในอีกมุม
ปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
เป็นแค่ “สิ่งหนึ่ง” ที่ผ่านเข้ามาแล้วก็จะผ่านไป


สิ่งที่เราไม่มีไม่ได้ทำให้เรารู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า
เมื่อเรามองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่


การใช้ชีวิตที่แท้จริงคือการทำหน้าที่


ถ้าเราทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว
ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ....


ทั้งการงาน ความรัก ครอบครัว และความสัมพันธ์
คือการเรียนรู้ที่จะทำ “หน้าที่” ของตนเองอย่างดีที่สุด

เมื่อจบหน้าที่ก็จาก
จะจากกันอย่างไรให้สวยงามที่สุด
นี่คือสิ่งที่พี่ก๋าคิดและพยายามออกแบบอยู่





...................................




เราอยากเปลี่ยนตัวเองไหมครับ ?


ก่อนคิดจะเปลี่ยนตัวเอง
ต้องถามว่าทำไมเราถึงอยากเปลี่ยนตัวเอง


การแต่งงานหรือใช้ชีวิตโสด
ไม่ค่อยเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนตัวเอง



“ความรัก” อาจทำให้ใครบางคนเปลี่ยนพฤติกรรมไปเพียงช่วงแรก
แต่ธาตุแท้จะเผยตนเองออกมาหลังจากนั้นไม่นาน
ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อรักใครหรอกครับ
นั่นเป็นเพียงความเสแสร้งแกล้งทำเพื่อเรียกคะแนน


ถ้าเรารักใครสักคน
เราไม่จำเป็นต้องคิดไปเปลี่ยนแปลงเขาหรือเธอ
แต่เราต้องมองให้เห็นสิ่งที่ดีที่สุดในตัวคนๆนั้น
แล้วเราเองนั่นแหละจะอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นๆ
เพื่อรักใครคนนั้นอย่างแท้จริง


การใช้ชีวิตก็เหมือนความรัก
ความคาดหวังที่เรามีกับตัวเราเอง
จะเป็นแรงผลักดันให้เราคิดและทำงาน
หาเงินและใช้เงิน สร้าง”ตัวตน” ขึ้นมาจากสิ่งที่เราคิด
คิดแล้วลงมือทำ ทำแล้วย้อนกลับมาสร้างตัวตน

มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอกครับ
ว่าทำแบบนี้แล้วจะรวย คิดแบบนี้ถึงจะแหกกฎ
เชื่อแบบนั้นแล้วจะประสบความสำเร็จ

ทุกอย่างต้องลอง ต้องทำ
ต้องค้นหาสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเรา


ใครก็ทำให้เราผ่านพ้นปัญหาไม่ได้
ใครก็ทำให้เราเติบโตไม่ได้


มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน
มีแต่ตัวเราเองทำนั้นที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ
มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะลงมือทำหรือไม่ทำ
มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาหรือหนีปัญหา


มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะรู้จะ “ตัวเอง” ได้
มีแต่ตัวเราเท่านั้นจริงๆ .

 

โดย: กะว่าก๋า 6 กันยายน 2555 6:46:06 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


เสือย้อมแมว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ข้าคือสปาต้า
[Add เสือย้อมแมว's blog to your web]