ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ค่าเงินบาทอยู่ที่ 30.92 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวอยู่ในแดนลบ โดยดัชนี PM ของจีนจะปรับตัวดีขึ้นในเดือนเม.ย.มาอยู่ที่ระดับ 49.1 จากเดือนมี.ค.ซึ่งอยู่ที่ 48.3 แต่ยังต่ำกว่า 50 นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิต่อเนื่องอีกครั้ง แต่ความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น เก็งกำไร 14 หุ้นเด่น ได้แก่ SAT, CPF, KH, TTW,ADVANC, LHBANK, UIC, KBANK, AH,SCC, SIRI,HEMRAJ , STEC และ AP
บล.ฟิลลิประบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ แนวโน้มตลาดวันนี้ : เทรดในกรอบ 1190-1205 กลยุทธ์การลงทุน : เก็งกำไรแบบ ขึ้นขาย ลงซื้อ ในกรอบ
ภายหลังการฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีตลอด 3 วันทำการติดต่อกันเกือบ 35 จุด ด้วยแรงหนุนจากการกลับมาสะสมหุ้นอีกครั้งของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้บรรยากาศลงทุนดูดีขึ้นบางส่วน อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายยังให้น้ำหนักกับปัจจัยลบที่เป็นความเสี่ยงล้อมกรอบตลาดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาวะวิกฤติหนี้ยุโรป, การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการเมืองภายในที่อาจร้อนแรงขึ้นจากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ปรองดอง ดังนั้น คาดว่าวันนี้ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มเทรดในกรอบจำกัดมากขึ้น ขณะที่ตัวแปรเรื่องการเก็งกำไรผลประกอบการจะเข้ามาทำให้เกิดความผันผวนในระหว่างทางมากขึ้น โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวในวันนี้ระหว่าง 1190-1205 จุด
กลยุทธ์การลงทุน : ระยะสั้นให้เก็งกำไรแบบ ขึ้นขาย ลงซื้อ เน้นหุ้นที่คาดจะมีผลประกอบการดี แนวต้าน : 1205-1214 แนวรับ : 1190-1184
การจัดพอร์ตระยะสั้น* - หุ้น 50% : เงินสด 50%
ถือต่อในพอร์ต : SAT, CPF, KH, TTW
หุ้นที่ปรับออก : BAY, THCOM
หุ้นที่แนะนำ :ADVANC เก็งกำไร FV 186 บาท กรอบเทรดระยะสั้น มองต้าน 186.50 รับ 172.00 Cut loss 169.00 บาท
บล.ฟินันเซีย ไซรัสระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ตลาดยังมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นเน้นแค่เทรดดิ้งสั้นๆ..ขึ้นขาย-ลงซื้อ..ไว้ก่อน
กลยุทธ์: รอจังหวะซื้อเมื่อตลาดปรับพักตัวลงก่อนดีกว่า โดยยังแนะนำเป็นลงซื้อ-ขึ้นขายในลักษณะเทรดดิ้งตามรอบเท่านั้นก่อน โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นกลุ่มแบงก์ (KBANK) เนื่องจากรายได้หลักเติบโตเกินคาด, หุ้นกลุ่มยานยนต์(SAT , AH) จากยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน มี.ค. ที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ รวมทั้ง SCC ที่แม้ว่ากำไร 1Q12 จะฟื้นตัวไม่เต็มที่ แต่คาดจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้
หุ้นเด่นทางเทคนิค LHBANK, UIC, MAJOR (SBL)
แนวโน้ม ในช่วงท้ายของสัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นไทยเริ่มมีแรงซื้อกลับของนักลงทุนต่างประเทศอีกครั้ง หลัง IMF ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ขณะที่มีข่าวเรื่องการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือยูโรโซนส่งผ่านทาง IMF ของหลายๆ ประเทศด้วย รวมทั้งตัวเลขผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐกลับมาช่วยหนุนความมั่นใจในเศรษฐกิจสหรัฐอีกครั้ง นอกจากนี้ FSS คาดว่าแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่คาดผลการดำเนินงานรายไตรมาสจะออกมาดีจะยังช่วยหนุนให้ SET ยังมีจังหวะแกว่งบวกได้อยู่ แต่เนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วดัขนีขยับขึ้นมาพอควรแล้ว และเริ่มเข้าใกล้ระดับสูงสุดเดิม ซึ่งรอบที่แล้วมีแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศกดดัน โดยที่ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาให้เห็นมากนัก เราจึงคาดว่าดัชนีจะยังแกว่งตัวบวก-ลบในกรอบจำกัดต่อไปอีกสักพัก ดังนั้นช่วงนี้เราจึงยังแนะนำเพียงการเข้าเทรดดิ้งสั้นๆ ตามรอบ และยังควรมองหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อตลาดบวกขึ้นอยู่เช่นเดิม โดยถ้าจะมองหาจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อ แนะนำให้รอ SET แกว่งลงเท่านั้น
แนวรับ 1190 , 1185-1180 จุด แนวต้าน 1196-1198 , 1200-1206 จุด
KGI ประเมินตลาดหุ้นไทยวันจันทร์ยังมีแรงผลักขึ้นอยู่บ้าง หลังจากข้อมูลความเชื่อมั่นภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของเยอรมันเมื่อวันศุกร์ออกมาดี และการประชุมระหว่าง IMF กับเจ้าหน้าที่ของประเทศกลุ่ม G-20 แม้จะไม่มีเรื่องใหม่ๆ แต่ก็มีพัฒนาการเชิงบวกว่าประเทศต่างๆ พร้อมลงขันเพิ่มวงเงินฉุกเฉินอีก 4.3 แสนล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อป้องกันวิกฤตในอนาคต อย่างไรก็ดีหุ้นไทยจะบวกได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับการรายงานดัชนี Flash PMI เดือน เม.ย. ของจีนเป็นสิ่งสำคัญ (ตัวเลขดังกล่าวจะออกมาเวลา 9.30 น.) ภาพรวมแล้วทางขึ้นของ SET ไม่น่าจะมากหลังจากดัชนีฯ บวกแรงมาตั้งแต่พฤหัสฯ ที่ผ่านมารับรู้กำไรไตรมาส 2/55 ของภาคธนาคารที่ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนในสัปดาห์นี้จะเริ่มเข้าสู่การแจ้งกำไรของกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และจะส่งผลให้หุ้นกลุ่มที่แนวโน้มกำไรดี เช่นโรงกลั่นอสังหาริมทรัพย์ และนิคมฯ ยังคงแข็งแกร่งกว่าตลาด
กลยุทธ์: หากดัชนี PMI ของจีนออกมาดี แนะซื้อเก็งกำไรหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ที่แนวโน้มกำไรดีเช่น TOP*และ IVL* แต่ถ้าดัชนีดังกล่าวออกมาไม่ดี แนะเลี่ยงหุ้นหลักต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่ากรณีใดเรายังคงมีมุมมองที่ดีต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยอดขายไตรมาสแรกค่อนข้างดีและนำไปสู่แนวโน้มกำไรที่สดใส ซื้อ SIRI,HEMRAJ และ STEC ส่วน AP แนะนำถือหุ้นไว้ก่อน (ยังไม่ขาย) หลังจากราคาขึ้นมาแรงและอยู่ใกล้กับมูลค่าพื้นฐานที่ 7.0 บาท