This World Just Amazing!
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
ปีเตอร์ เคอร์เทน (Peter Kurten) ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป whois

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป whois

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป whois

ปีเตอร์ เคอร์เทน (Peter Kurten) ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ


ปีเตอร์ เคอร์เทน (Peter Kurten)


ในอดีตที่ผ่านมาในหลาย ๆ ที่ในยุโรปเกิดคดีฆาตกรต่อเนื่องอยู่บ่อยครั้ง
แต่ส่วนใหญ่คดีต่อเนื่องเหล่านี้มักสูญหายไปกับกาลเวลา
อันเนื่องจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นเหตุการณ์โหดร้าย
และน่าจดจำมากกว่า มีน้อยมากที่มีคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
ที่ทำให้หลายคนจดจำถ้าไม่โหดเหี้ยมพอ
แต่มีฆาตกรคนหนึ่งสมควรจะได้รับความจดจำความโหดร้ายนั้น.................

ปี 1930 เรือนจำในแดนประหาร ประเทศเยอรมัน
ศาสตราจารย์ คาร์ล เบิร์ก ชายชราที่น่าจะไปเลี้ยงลูก เลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน
มากกว่าที่จะมาเรือนจำแดนประหาร สาเหตุที่เขามาเรือนจำครั้งนี้
เนื่องจากเขากำลังทำสิ่งที่ไม่มีใครทำมาก่อน
นั้นคือได้สัมภาษณ์ทางจิตวิทยาแบบซึ่งๆ หน้ากับนักโทษฆ่าคนต่อเนื่อง
เป็นครั้งแรกถึงเรือนจำในแดนประหาร ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ที่มีการศึกษาฆาตกรต่อเนื่องโดยวิธีนี้

ฆาตกรต่อเนื่องที่คาร์ลได้สัมภาษณ์นี้ ครั้งหนึ่งเป็นเคยทำให้เยอรมันต้องหวาดผวา
หวาดกลัว ต่อความโหดร้ายของเขา เนื่องจากเหยื่อที่เขาสังหารมักจบชีวิตโดยบาดคอ
ที่หลอดลม นอน จมกองเลือด และบางศพมีรอยดูดเลือดด้วย
แสดงถึงความวิปริตที่ติดตัวเป็นนิสัย และความหวาดกลัวนี้
ได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศเยอรมันมาแล้ว

เอี๊ยด.............
เสียงประตูที่แน่นหนาเปิดออก หมอคาร์ลเดินเข้าไปในห้องเยี่ยม
ที่มีระบบป้องกันความปลอดภัยที่แน่นหนา
ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งมารอศาสตราจารย์อยู่แล้ว
เขามีลักษณะ ร่างกายที่ผอม แรงน้อย หน้าเหลี่ยม แต่ดูสภาพบุรุษยิ่ง
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คืออดีตฆาตกรต่อเนื่องที่ชอบฆ่าคนดั่งผักปลาในเยอรมัน
"ปีเตอร์ เคอร์เทน เขาคือเจ้าของฉายา ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ ฆาตกรต่อเนื่องฆ่า 9 ศพ"
ศาสตราจารย์คาร์ลเริ่มสัมภาษณ์ พร้อมเปิดประวัติชีวิตเปื้อนเลือดของชายผู้นี้ไปด้วย............

ความรุนแรง
เคอร์เทนเกิดวันที่ 26 พฤษภาคม 1883 ในโคล์นมุลไฮม์ ประเทศเยอรมัน
ช่วงที่ยุโรปตึงเครียดกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่กำลังก่อตัวขึ้น
เขา เกิดในครอบครัวยากจนเพราะมีลูกมาก ปีเตอร์เป็นลูกชายคนที่ 5
ในจำนวนลูกทั้งหมดในครอบครัวถึง 13 คน
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ มุลไฮม์ เคอร์เทน พ่อของเขามักเครียดอยู่เสมอเมื่อเงิน
และอาหารการกินฝืดเคืองในครอบครัว ทำให้เขามักใช้เหล้าในการแก้ปัญหา
เพื่อดับอารมณ์ทางกายและใจ
เมื่อเหล้าเข้าปากจากพ่อกลายเป็นเดรัสฉาน
เริ่มทำกิจวัตรประจำวันในครอบครัวที่แสนสุขสันต์
นั้นคือการอาละวาดระราน ตีพวกลูกๆ ด้วยแส้ การตบตีภรรยา
และก็ข่มขื่นภรรยาของตัวเองและลูกสาวต่อหน้าต่อตาเด็กๆ
ที่เฝ้ามองด้วยความอยากรู้ อยากเห็น
ปีเตอร์ เคอร์เทน คือหนึ่งในนั้น เขาเฝ้าดูกิจกรรมในครอบครัวของพ่อเขา
อย่างตาไม่กระพริบ ไม่รู้ว่าในจิตใจเขาคิดอะไรอยู่

จนกระทั้งพ่อของเขาต้องติดคุกโดยข้อหาพยายามมีเพศสัมพันธ์กับหญิงร่วมโลหิต
ทิ้ง เด็กน้อย ปีเตอร์ เคอร์เทน ที่จิตใจบิดเบี้ยวไว้เบื้องหลัง
"พ่อผมไม่เป็นคนโหดร้ายเสมอ เขาชอบตีแม่ ชอบข่มขื่นพี่น้องอยู่เสมอ
พ่อไม่เคยให้ของขวัญอะไรกับผมเลยตลอดชีวิต" ปีเตอร์ทวนความหลัง
" แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อให้ผม มันเป็นสิ่งแรกและสิ่งที่สุดท้ายที่พ่อให้
มันคือความกล้า กล้าในการทำสิ่งที่เรียกว่า ความชั่ว"
ในด้านการเรียน ปีเตอร์ แทบไม่เคยจับหนังสือเลย เนื่องจากฐานะที่บ้านยากจน
แต่หลาย ๆ คนบอกว่า เขาเป็นเด็กตรงไปตรงมา ฉลาด มีความจำยอดเยี่ยม
ความสามารถนี้ติดตัวเขาไปจนกระทั้งถูกจับ
เห็นได้จากที่เขาสามารถบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 20 ปีได้เป็นอย่างดี

อายุได้ 9 ปี เคอร์เทน ก็ก่อคดีฆาตกรรมครั้งแรกในชีวิต
โดยในขณะที่ไปเที่ยวเล่นที่แม่น้ำพร้อมกับเพื่อน อยู่ๆเคอร์เทน
ก็ผลักเพื่อนคนหนึ่งตกแพไป และเมื่อเพื่อนอีกคนกระโดดลงน้ำไปเพื่อจะช่วย
เคอร์เทน ก็กดหัวเด็กคนนั้นลงไปใต้แพ จนสุดท้ายเด็กทั้งสองคนต่างก็จมน้ำตาย

พออายุ 11 ปี เขาและครอบครัวได้ย้ายมายังดุสซอดอร์ฟ
และเมื่ออายุได้ 13 ปีได้ทำงานเป็นผู้ช่วยคนจับสุนัขในหมู่บ้าน
และเริ่มชื่นชอบในการทรมานสัตว์ และมีความสัมพันธ์วิปริตกับสัตว์
เช่น พวกสุนัข แกะ หมู แพะ ห่านตัวเมีย และหงส์
สิ่งที่ชอบทำกับสัตว์พวกนี้คือการฆ่าและตัดหัว
และสิ่งที่ได้จากการตัดหัวก็คือเลือดที่พุ่งทะลักไหลลงมา
ดวงตาของเขาลุกวาว ตอนที่เห็นเลือดพุ่งออกมาโดนหน้าเขา
เขาชอบได้ยินเสียงเลือดพุ่งที่คอของสัตว์ เลือดสด ๆ กลิ่นคาวของเลือด
อาการชักกระตุกก่อนตายของสัตว์ มันกระตุ้นให้เขาดื่มเลือด

พฤติกรรมในช่วงนี้ยิ่งเป็นตัวเพิ่มพูนความเหี้ยมโหดในอุปนิสัยของเขา
และมีผลไปจนถึงชีวิตในภายหลังของเขาด้วย
เมื่ออายุ 13 ปี ปีเตอร์ ได้ทำอาชญากรเป็นครั้งแรก นั้นคือเป็นนักวางเพลิง
"ผมเพลิดเพลินกับการได้เห็นเปลวไฟลุกโพลง แต่ที่สุดยอด
คือ การที่ตื่นเต้นกับความทุกข์และความปั่นป่วนของผู้คน
ที่เห็นทรัพย์สมบัติของชาวบ้านกำลังถูกทำลาย" ปีเตอร์ เล่า

เมื่ออายุ 16 ปี เคอร์เทน เข้าทำงานกับช่างตีเหล็ก แต่ทำอยู่ได้ไม่นานนัก
ก็ขโมยเงินหนีไปและเริ่มอาชีพหัวขโมยนับแต่นั้น
หากในไม่ช้าก็ถูกจับได้ ระหว่างปี 1900 - 1913

เมื่ออายุ 17 ปี เคอร์เทน ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี ในความผิดลักเล็กขโมยน้อย
แต่มีอีกหลายคดีตามมาอีกระลอก จึงเพิ่มเป็น 20 ปี
แทนที่ติดคุกแล้วจะสำนึกผิด แต่เคอร์เทนกับบ้าเลือดกว่าเก่า
เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในคุกนี้ ไม่ว่าการสะเดาะกลอน การย่องเบา
และเรียนรู้การทารุณเพื่อนนักโทษคนอื่น และชอบแหกกฎ
ทำให้ถูกลงโทษมักขังเดี่ยวเสมอ
แต่นั้นมันทำให้อารมณ์บ้าเลือดเขาได้ปลดปล่อยได้เต็มที่

เมื่อดูจากสถิตแล้วพบว่าเคอร์เทน ถูกจับถึง 17 ครั้งและใช้กว่า 27 ปี
ซึ่งเป็นครึ่งชีวิตของตัวเองอยู่หลังกรงเหล็กนั่นเอง
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เคอร์เทน ค่อยๆ ฟักฟูมความโหดเหี้ยมในใจเขา
ให้เติบโตขึ้นมาทีละน้อยก็ว่าได้ (ในช่วงนี้ คูร์เท่นสารภาพหลังจากถูกจับ
ว่าเขาเคยฆ่าบีบคอหญิงผู้หนึ่งตาย แต่ไม่มีการพบศพในคดีนี้)

ฆ่าคนครั้งที่สอง
ครั้งที่สองการพยายามฆาตกรรมของปีเตอร์ไม่สำเร็จ เขายอมรับต่อสารว่า
เขาปล่อยให้ผู้หญิงไม่ทราบชื่อที่เขาข่มขืน ในป่า เกรเนเบิร์ก ของดุสเซอดอร์ฟ
หนีไปได้ แต่ไม่มีใครทราบซะตากรรมของเธอหลังจากนั้น
สันนิษฐานว่า เธอคงมีสติและคลานหนีได้
แต่คงอายและกลัวจึงไม่ได้เหตุการณ์ให้ใครฟัง
แต่เหยื่อรายอื่น ๆ ไม่โชคดีเหมือนกับเธอนี้สิ

25 พฤษภาคม ปี 1913 มีการพบศพหนูน้อยคริสติน ไคลน์ อายุ 10ขวบ
เธอถูกพบบนเตียง มีร่องรอยถูกข่มขืน ที่ลิ้นมีรอยกัดอย่างรุนแรง และปาดคอ
เลือดเต็มเตียง ในโรงแรมเล็ก ๆ ที่ โคโลญจ์ และในห้องมีผ้าเช็ดหน้า
ปักอักษรย่อ P.K. อยู่ แต่น่าเสียดายที่พ่อของเด็กหญิงเคราะห์ร้ายก็มีตัวอักษรย่อ
ของชื่อว่า P.K. เช่นกัน คดีนี้จึงไม่ถูกโยงมาถึงตัวเคอร์เทน
เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมตัวลุงของเธอในฐานะผู้ต้องสงสัย
แต่ไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัวเพราะไม่มีหลักฐาน
แต่ความละอายใจในข้อกล่าวหามันติดตัวเขาจนตาย
จนกระทั้งเขาเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1

ความจริงของคดีนี้ทั้งหมด ได้จากคำรับสารภาพของปีเตอร์ คาร์เทนในศาลเวลาต่อมา
เขาเล่าย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปี ก่อนว่า.........
"วันนั้น ใช่วันที่ 25 พฤษภาคมปี 1913 นั้นแหละ
ตอนนั้นผมกำลังเข้าโรมแรมโคโลญจ์เพื่อไปขโมยของ
เจ้าของห้องอยู่ชั้นบน ส่วนผมอยู่ชั้นล่าง ผมเปิดประตูแต่ไม่พบอะไรน่าขโมยเลย
แต่ผมพบเด็กนั้นนอนอยู่บนเตียงในห้องของเธอ ท่าทางหลับปุ๋ยเชียว
เมื่อเห็นแล้ว ผมก็จับเด็กด้วยมือซ้าย และบีบคอประมาณหนึ่งนาทีครึ่ง
เด็กตื่น พยายามดิ้นรน แต่หมดสติไป ไม่มีเสียงร้องสักเอะ"
"ผมมีมีดพกคม ๆ ประจำตัว ผมใช้มีดนั้นปากคอจนถึงหลอดลมของเธอ
โดยช้อนศีรษะของเด็กนั้น เลือกพุ่งออกมาเหมือนท่อประปาแตก
เลอะเสื่อที่ปูอยู่ข้าง ๆ เตียง ผมได้ยินเสียงเลือดพุ่งของเธอ
มันกระตุ้นอารมณ์ทางเพศผม ผมข่มขื่นเธอในขณะที่เลือดพุ่งไม่หยุด
ประมาณ 3 นาทีได้ จากนั้น ผมก็ปิดล็อกประตูห้อง
จากนั้นก็กลับบ้านที่ดุสเซอดอร์ฟ และกลับมาที่เมืองนี้อีกที่
พอดีมีร้านกาแฟอยู่ตรงข้าม ผมนั่งดื่มเบียร์
และอ่านข่าวฆาตกรรมในหนังสือพิมพ์ ทุกคนในร้านพูดแต่เรื่องนี้
ทุกคนหวาดกลัวและขุนเคืองกับข่าวที่ออกมา
ผมมองสีหน้าของพวกเขา มันทำให้รู้สึกดีเป็นบ้า!"

ส่วนเคอร์เทนนั้น หลายสัปดาห์ให้หลังจากฆ่าหนูน้อยคริสติน ไคลน์
เขาถูกจับในข้อหาเผารถม้าพร้อมกับพยายามฆ่าหญิงสาว 2 คน
และถูกจำคุก 8 ปี แต่ก็ทำให้เขารอดพ้นจากการเกณฑ์ทหาร
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปได้

ปี 1921 เคอร์เทนถูกปล่อยตัว และกลับมายังดุสเซอดอร์ฟอีกครั้ง
ในช่วงนี้เองที่เขาพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารักอย่างแท้จริงไปจนสิ้นชีวิต
หญิงดังกล่าวก็มีประวัติติดตัวเช่นกัน เธอถูกนักต้มตุ๋นแต่งงานหลอก
จึงยิงอีกฝ่ายตายด้วยความแค้น ในครั้งแรก ฝ่ายผู้หญิงปฏิเสธคำขอแต่งงาน
ของเคอร์เทนมาตลอด แต่เมื่อเคอร์เทนขู่ว่าเขาจะฆ่าเธอ
เธอก็เลยยอมแต่งงานด้วยในปี 1923
เพื่อนบ้านมักพูดเสมอถ้าถามว่าเขาเป็นคนอย่างไร
"เขาเป็นคนสุขุม สุภาพ เรียบร้อย พูดเสียงเบา เคร่งศาสนา เข้าโบสถ์เป็นประจำ
และรักเด็ก เขาชอบใส่เสื้อที่สะอาดหมดจด คนข้างๆ
ได้กลิ่นหอมโอเดอโคเลญจ์ ดูแล้วน่าคบหามาก"

แต่ภายในร่างบุรุษที่สุภาพ ดูอ่อนแอนั้น แท้จริงคือปีศาจ
ปีเตอร์มักตบตีทำร้ายภรรยา เป็นกิจวัตรประจำวัน
นอกจากนี้ พฤติกรรมของเขานับวันยิ่งโหดร้ายมากขึ้น
เช่น ชอบทำร้ายตนแปลกหน้าด้วยกรรไกลหรือมีด
ชอบก่ออาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย เช่น ขโมยของ ทำร้ายร่างกายคนอื่น
และมักหนีรอดจากเจ้าหน้าที่บ่อยครั้ง
(ความจริง เคอร์เทนรักภรรยาของเขาอย่างจริงใจจนตลอดชีวิต
แต่ดูเหมือนเรื่องความรักกับเพศสัมพันธ์จะเป็นคนละเรื่องกัน
เขาคบหากับผู้หญิงหลายคน และเคยถูกภรรยาจับได้ด้วย)

2 ปีหลังจากนั้น เคอร์เทนใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างปกติ
จะมีก็เพียงคดีทำร้ายร่างกายสาวใช้ ซึ่งยังนับว่าเล็กน้อยมาก
เมื่อเทียบกับอาชญากรรมที่เขาก่อทั้งหมด

ปี 1925 เคอร์เทนปักหลักที่ดุสเซลดอร์ฟ
ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นเวทีในชีวิตอาชญากรรมของเขา
ช่วง 3 ปีแรก เขาก่อคดีพยายามทำร้ายร่างกายด้วยการบีบคอ 3 คดี
และคดีวางเพลิงอีก 17 คดี

ในปี 1929 คดี"ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ"ก็เปิดฉากขึ้น

เลือดสด ๆ
ปี 1929 คลื่นความตื่นกลัวกระหน่ำทั่วเมืองดุสเซลดอร์ฟ
8 กุมภาพันธ์ โรซ่า โอลิก้า (8) ถูกแทง 13 แผลจนเสียชีวิต
ศพของเธอมีร่องรอยถูกล่วงเกินทางเพศและถูกราดด้วยน้ำมัน
12 กุมภาพันธ์ รูดอลฟ์ เชล (45) ถูกแทง 20 แผลจนเสียชีวิต
หลังจากนั้นเขาพยายามจะฆ่ารัดคอหญิงสาว 2 คน
แต่ปล่อยให้เหยื่อหนีรอดไปได้ คำให้การของหญิงทั้งสอง
ทำให้ผู้มีอาการป่วยทางจิตอีกคนถูกจับ แล้วเคอร์เทนก็หลบซ่อนตัวอยู่หลายเดือน
27 พฤศจิกายน พบศพเกอทรูด อัลเบอร์มานน์ วัย 5 ขวบ
ถูกใบมีดเฉือน และมีแผลตามร่างกายถึง 36 แผล

11 สิงหาคม มาเรีย ฮานส์ (20) ถูกแทงเสียชีวิต ศพของเธอถูกฝังริมฝั่งแม่น้ำไรน์
คูร์เท่นตั้งใจขุดขึ้นมาประจานในภายหลัง แต่ศพหนักเกินไป
เขาจึงฝังกลับลงไปเหมือนเดิม

เช้าวันที่ 24 สิงหาคม ตำรวจพบศพเด็กน้อยสองคน ภายหลังทราบชื่อ
หลุยส์ เลนเซน อาย อายุ 14 ปี และเกอทรูด เลนเซน อายุ5 ปี สองพี่น้อง
พบศพในระหว่างทางกลับบ้านจากงานเทศกาลประจำปี
ที่บริเวณชานเมือง ฟลิห์ สภาพศพนอนกองจมเลือด

ความจริงของคดีนี้ทั้งหมด ได้จากคำรับสารภาพของคาร์เทนในศาลเวลาต่อมา

เย็นวันที่ 23 สิงหาคม
ในขณะที่สองพี่น้องกำลังจะกลับบ้าน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตามหลังมาว่า
"น้าลืมซื้อบุหรี่ พวกเธอเป็นคนมีน้ำใจ เธอช่วยไปซื้อบุหรี่ให้น้าหน่อยได้ไหม
น้าจะช่วยดูแลน้องของเธอเอง ผมบอกด้วยเสียงสั่น
ใจอยากกระหายที่จะฆ่าคนสองคนนี้เต็มแก่แล้ว" ปีเตอร์นึกถึงความหลัง
"ผมพูดกับเด็กสองคนนั้น ผมให้เงินกับคนพี่(หลุยส์) เขารับเงินและไปซื้อบุหรี่
ผมรีบฉวยโอกาสนั้นลากคนน้อง(เกอทรูด) เข้าไปหลังรั่วไม้
ผมรัดคอและปาดคอด้วยมืด เลือดเธอพุ่งกระฉูด ร่างเธอกระตุก
แต่ผมไม่ใส่ใจมากนักเพราะคนน้องกำลังกลับมา ผมทิ้งศพไว้หลังรั่ว
เมื่อคนน้องกลับมา ผมรับบุหรี่และเงินทองจากเธอ
จากนั้นก็ให้รางวัลกับเธอ....ด้วยความตาย ด้วยวิธีที่ไม่แตกต่างกับคนน้องเท่าไรนัก "
ในเวลาไม่นานนักมี3 กุมภาพันธ์ เด็กรับใช้ชื่อ เกอทรด ซูส์ท
ถูกทำลายบาดเจ็บสาหัส ถูกแทงบาดเจ็บ 24 แผล
ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน ในทางเดินใกล้ ๆ กับนูซ
ปีเตอร์ ก็ยอมรับคดีนี้ เช่นกันว่าเขาเป็นคนทำทั้งหมด
"มันไม่หน่ำใจมากนักในการฆ่าพี่น้องสองคนนั้น
พอผมกลับบ้าน ผมก็ออกเดินเล่นอีก ประมาณ 12 ชั่วโมงได้
ก็เจอเด็กคนหนึ่ง(เกอทรูด) ในใจผมกระตุ้นอยากฆ่าคนอีกแล้วสิ ผมวางแผน
โดยเสนอพาเธอไปงานใกล้ ๆ กับนูซ ในขณะที่ผ่านป่า ผมเห็นสบโอกาส
ผมพยายามขมขื่นเธอ แต่เธอต่อสู้ ผมโกรธมาก ผมใช้มีดเล่มเดิมนั้นปาดคอ
และแทงที่ไหล่และหลังเธอ จับเธอและโยนลงพื้น
พอดีมีดเล่มนั้นเกิดหักและคาอยู่หลังบนหลังเธอ"
แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่คนเดินทางผ่านมาได้ยินเสียงเธอ
และเข้ามาช่วยปีเตอร์ เคอร์เทนเห็นท่าไม่ดี จึงปล่อยเกอทรูดนอนจมเลือด
ส่วนตนเองหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ชาวบ้านส่งตัวเธอเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ทันเวลาพอดี
เกอทรด ซูส์ท ได้ให้การเกี่ยวกับคนร้ายว่าเป็น
"ชายท่าทางอัธยาศัยดี อายุราว 40 ปี ไม่มีลักษณะเด่นอะไร"

29 กันยายน เอียด้า รอยเตอร์ (31) ถูกทุบด้วยค้อนจนเสียชีวิต
11 ตุลาคม เอริซาเบท โดริเอล (ไม่ทราบอายุ) ถูกทุบด้วยฆ้อนจนเสียชีวิต
7 พฤศจิกายน เกลทรูเด้ อัลเบลแมน (5) หลังจากบีบคอแล้วก็ถูกแทงจนเสียชีวิต
2 วันให้หลัง เคอร์เทนส่งจดหมายแจ้งที่ทิ้งศพของอัลเบลแมน
และที่ฝังศพของแมรี่ ฮานส์ไปให้กับหนังสือพิมพ์ มีการอธิบายสถานที่
อย่างละเอียดละออและแนบกระทั่งแผนที่มาให้ จดหมายลงท้ายชื่อว่า "อัจฉริยะ"

ความผิดพลาดที่ใหญ่ยิ่งของผีดูดเลือด ดุสเซอดอร์ฟ
การที่เคอร์เทนถูกจับกุมนั้นเป็นเรื่องของความบังเอิญบวกกับความใจอ่อน
วันนั้น 14 พฤษภาคม 1930 ทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อพบมาเรีย บัดลีล์
สาวใช้อายุ 20 ปี เดินทางจากเมืองโคโลญจ์มาดุสเซลดอร์ฟเพื่อหางานทำ
ปีเตอร์พาเธอไปห้องพักที่อยู่กับภรรยา และพยายามข่มขื่น
ก่อนที่จะลากตัวเข้าไปป่าใกล้ ๆ ที่นั้น ปีเตอร์เริ่มรัดคอ แต่อยู่ดีๆ
เขาคิดอะไรอยู่ไม่ทราบ เกิดเปลี่ยนใจ ผ่อนมือ ถามเธอว่า
"เธอจำที่อยู่ของผมได้ไหม"
มาเรียตอบว่าจำไม่ได้ ปีเตอร์จึงปล่อยเธอไป ง่ายอย่างเหลือเชื่อ
มาเรีย ไม่ได้แจ้งตำรวจ แต่เขียนจดหมายเล่าให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง
บังเอิญจดหมายฉบับนั้นจ่าหน้าซองผิด (ตรงที่อยู่)
พนักงานไปรษณีย์จึงเปิดซอง และได้อ่านเนื้อหาในจดหมายนั้นจึงได้แจ้งตำรวจ
เมื่อตำรวจได้อ่านเนื้อหาจดหมายฉบับนั้น จึงรีบไปพบมาเรีย
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเธอจำที่อยู่ของคนร้ายได้ เธอรีบพาตำรวจไปที่นั้น
แต่กลับไม่พบตัว ปีเตอร์ เคอร์เทน เขาคงรู้ตัวว่าจะถูกจับจึงได้หนีไปกบดาน
ปีเตอร์ เคอร์เทน ตระหนักดีว่า ตนเองจะไปไม่รอด
เขาจึงตัดสินใจพบภรรยาที่ทำงานอยู่ในภัตตาคารและสารภาพทุกอย่างกับเธอ
"ใช่ ฉันคือ ผีดูดเลือด ดุสเซอดอร์ฟ เองแหละ"
ฟรอ เคอร์เทน มีความแค้นกับ ปีเตอร์ มานานแล้ว
เธอจะหมุนโทรศัพท์หาตำรวจ บอกว่าสามีคือผีดูดเลือด ดุสเซอดอร์ฟ
และนัดตำรวจดักซุ่มที่โบสถ์ที่ปีเตอร์ที่ใช้กบดาน ในเมือง เวลา 15.00 น.
เมื่อปีเตอร์มาถึง ตำรวจล้อเขามาจับ ปีเตอร์ อย่างไม่ทันตั้งตัว
ปีเตอร์รู้ตัวดี ว่าตนเองจมมุม เขายิ้มและพูดว่า "ไม่มีอะไรต้องกลัว"

ในการพิจารณาคดี
ในการพิจารณาคดีที่สำนักงานใหญ่ตำรวจ ดุสเซอดอร์ฟ วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2474
ปีเตอร์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมไปทั้งสิ้น 9 ราย และพยายามฆ่าอีก 7 รายมีหลักฐาน
คืออุปกรณ์การฆ่า เช่น มีด กรรไกล ไม้ขีดที่ใช้วางเพลิง เสียมที่ใช้ฝังเหยื่อ
กะโหลกศีรษะของเหยื่อที่ฆ่าอย่างทารุณ
ปีเตอร์ยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมด อย่างสงบ
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการฆ่า การดื่มเลือดจากศพ เขาให้การต่อศาลว่า
"ผมไม่ได้เลือกฆ่าคนเฉพาะคนที่ผมรักหรือเกลียด
ที่พบขณะที่ผมเกิดความรู้สึกอยากฆ่า พูดง่าย ๆ คือฆ่าทุกอย่างที่ผมพบ
ไม่ว่าจะเป็น เป็ด ไก่ ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก ก็ตาม"
คณะลูกขุนใช้เวลาแค่ 90 นาที ตัดสินว่าเขามีความผิดทุกข้อกล่าวหา
และโทษที่ปีเตอร์ ได้รับ คือประหารชีวิตถึง 9 ครั้ง

วันประหาร
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2475
เคอร์เทนกินอาหารมื้อสุดท้ายที่ประกอบไปด้วย เนื้อลูกวัว มันฝรั่งทอด
และไวน์ขาว อย่างเอร็ดอร่อย และเมื่อเดินทางมาถึงแดนประหาร
กิโยตินนั้นรออยู่นานแล้ว
เมื่อเรื่องเล่ากันว่า ในขณะที่ ปีเตอร์ คาร์เทน ถูกจับล็อกคอกับเครื่องประหาร
แต่เขายิ้มและถามเพชฌฆาตด้วยเสียงเบาว่า
"ผมจะได้ยินเสียงเลือดของตนเองทะลักออกมาไหม ดีแล้ว
จะได้จบสิ้นความสุขทั้งหลายแหล่เสียที"
"คงไม่ได้ยินหรอก" เพชฌฆาตตอบไม่ใส่ใจมากนัก
ก่อนที่ใบมีดกิโยตินจะไหลลงมาตัดคอของปีเตอร์ คาร์เทน
เสียงดัง "ฉับบบบบบบบ"
เลือดพุ่งไหลออกมามากมากดั่งท่อประปาแตก ร่างของปีเตอร์ คาร์เทนชักกระตุก..........
เหมือนเหยื่อที่เขาสังหารไม่ผิดเพื้ยน

บทส่งท้าย
ศาสตราจารย์ คาร์ล เบิร์ก ออกจากเรือนจำ ภายหลัง เขาได้นำชีวประวัติ
และการวิเคราะห์ สภาพจิตใจของ ปีเตอร์ เคอร์เทน
มาแต่งหนังสือ The Sadist ในปี 1945 หนังสือเล่มนี้ได้มีความสำคัญ
ในการปรับปรุงทฤษฎีหลัก ๆ กับการศึกษาอาชญาวิทยา
"นี้คงเป็นความดีครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของ ปีเตอร์ เคอร์เทน
แต่มันเทียบไม่ได้กับความผิดที่เขาก่อกับเหยื่อเหล่านั้น"
"ในกรณีของ ปีเตอร์ เคอร์เทน เขาเป็นคนโรคจิตผักผวนประเภทลุ่มหลง
เขาคิดว่า เป็น ราชาแห่งพวกวิปริตทางเพศ" ศาสตราจารย์ คาร์ล เบิร์ก กล่าวก่อนจบ

----------------------



Create Date : 14 มกราคม 2553
Last Update : 14 พฤษภาคม 2554 16:01:11 น. 0 comments
Counter : 419 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

JesperTR
Location :
นครสวรรค์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Hello Everyone!
ฟองน้ำลอยขึ้น พลุแตก อักษรวิ่งที่แถบล่าง นาฬิกาและปฏิทิน Flash
Friends' blogs
[Add JesperTR's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.