This World Just Amazing!
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
ซีอุย (Zee Oui) อสูรกายกินคน

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป whois


ซีอุย (Zee Oui) อสูรกายกินคน


ซีอุย


หลาย ๆ คนอาจเคยไป พิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลศิริราช ชั้น 2
สิ่งที่สะดุดตาสำหรับการมาครั้งแรก มันไม่ใช้เครื่องมือแพทย์หรืออวัยวะดอง
แต่มันคือโครงร่างของผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ในตู้กระจกขนาดใหญ่
ร่างกายแห้งเหี่ยว เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก โครงหลังบิดเบี้ยว
ที่ถูกดองเก็บไว้อย่างดี เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา

มันเป็นโครงร่างมนุษย์ร่างเดียว ในประเทศไทย ที่ได้รับเกียรติสูงสุดนี้
ที่เป็นอาชญากรคนสำคัญของแผ่นดิน ที่เลื่องลือกล่าวขานกันเนิ่นนาน
และเป็นตำนานที่ไม่ลืมเลือน เขาคือ ซีอุย แซ่อึ้ง ปีศาจฆาตกรกินคน

ทุกพื้นที่ ที่เขาเดินทางไป ศพแล้วศพเล่าเกิดจากการกระทำของเขา
ทั้งข่มขื่น ทั้งฆ่า และผ่าศพเพื่อควักเอา อวัยวะภายในของเหยื่อออกมากิน
ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อาชญากรอัจฉริยะ แต่เขาก็สามารถสังหารเหยื่อถึง 6 ศพ
และเขาอยู่รอดลอยนวลกว่า 5 ปี

เพราะอะไรเล่าที่ทำให้เขากลายเป็นปีศาจฆาตกรกินคนที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้

ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2470 ในซัวเถา เด็กชายคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลกขึ้น
เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้อง 12 ของนายฮุนฮ้อ กับ นางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง
พวกเขาได้ตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า นายหลีอุย แช่อึ้ง แต่พวกเราชาวสยามต่างรู้จักนามว่า "ซีอุย"

ทั้งสองมีอาชีพทำไร่มีฐานะ มีค่อนข้างยากจน และมีลูกมาก
ซีอุยจึงขาดการดูแลจากพ่อแม่ ชั่วชีวิตของเขา เขาดำเนินชีวิตตามความพอของตนเองเป็นที่ตั้ง
ออกจากบ้านไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ

เขาเกิดมาเป็นคนตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบเด็กวัยเดียวกัน
(แม้เขาจะโตเป็นหนุ่ม เขาก็มีความสูงแค่ 150 เซนติเมตร)
สาเหตุนี้เองเขามักถูกเด็กรอบข้างข่มเหงรังแก มาโดยตลอด มันเจ็บทั้งกายและใจ

จนกระทั้ง.................
วันหนึ่งมีมีนักบวชชรารูปหนึ่งเกิดนึกสงสารเด็กที่มักถูกรังแกจากเด็กวัยเดียวกัน
เขาจึงได้คำแนะนำน่ากลัวกับเขาอย่างหนึ่งว่า.........
"นายต้องกินหัวใจและตับของคน นายจะได้มีพลังมหาศาลเพื่อต่อสู้กับคนมารังแกได้"

ซีอุยน้อยเชื่อคำแนะนำที่แสนชั่วร้ายอย่างสนิทใจ
เขาเชื่อโดยไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ เขาเริ่มหันกินเนื้อสด ๆ
เริ่มต้นด้วยการฆ่าสัตว์กินเครื่องใน เช่น ตับ ไต หัวใจ
โดยคนรอบข้างไม่ห้ามปรามเพราะเขายังเด็กอยู่
ความทมิฬหินชาติได้เริ่มต้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว

พ.ศ.2488 ซีอุยอายุครบ 18 ปี เขาเป็นหนุ่มฉกรรจ์
เขาถูกเกณฑ์ไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาประจำอยู่หน่วยรบทหารราบที่ 8
ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นทำสงครามอยู่ เขาถูกส่งไปรบในสมรภูมิพม่า
แนวสนามรบตามรอยต่อตะเข็บแดนของประเทศจีน

เป็นเวลาเกือบ ปีเต็ม ๆ ที่เขาต้องเสี่ยงอันตรายจากห่ากระสุนปืนจากข้าศึก
กระสุนเหล่านั้นปลิดชีวิตเพื่อน ๆ ของเขา ล้มตายดุจใบไม้ร่วง
ตัวเขาก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส จากการสู้รบ
ความหนาวเหน็บ และความอดอยากยากแค้น
จนกระทั้งหน่วยรบของซีอุยพลาดท่าตกวงล้อมของข้าศึก
เสบียงเริ่มหมดลง ซีอุยหิวกระหายอย่างหนักเพราะไม่มีอาหาร
เขามองรอบ ๆ จนสายตาเขามาหยุดที่เพื่อนทหารที่ล้มตายราวผักปลา
นี้แหละอาหารชั้นหนึ่ง....................
เขาใช้มีดพกคู่กายกรีดศพเพื่อนทหารด้วยกันอย่างเลือดเย็นตั้งแต่หน้าอก
จนถึงหน้าท้อง ควักหัวใจ ตับ และไส้ออก มาต้มกิน โดยไม่สนใจ
และความรู้สึกของเพื่อนทหารที่ตะลึงกับพฤติกรรมของเขา
และนี้เองคือที่มาของพฤติกกรมอันแสนสยดสยองของเขาในเมืองไทยในเวลาต่อมา

เมื่อสงครามสงบ...........ซีอุยถูกปลดจากกองทัพ แต่เขาไม่คิดอยู่เมืองจีนต่อไป
เนื่องจากระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ รวมทั้งความอดอยากยากแค้น
ชาวบ้านส่วนใหญ่พยายามอพยพหนีตายในเมืองไทยอย่างมากมาย
เพื่อนคนหนึ่งได้ชวนมาทำงานไทย
(ในขณะที่ซีอุยได้กรรมกรแบกหามสินค้าของบริษัทเดินเรือค้ากับต่างประเทศแห่งหนึ่ง)
ว่าเมืองไทยมีงานทำหลายอย่างและรายได้ดีกว่ากรรมกรแบกหามในจีน

ซีอุยเห็นดีเห็นชอบด้วย เพราะมันยังดีกว่าอดตายในแผ่นดินเกิด
และเขานึกขึ้นได้ว่าเขามีญาติและคนรู้จักในเมืองไทยหลายคนสามารถพึ่งพาอาศัย
หางานได้บ้าง จึงตกลงเดินทางหางานในเมืองไทย
ไปสร้างตำนานสยองขวัญ ?

ซีอุยเหยียบแผ่นดินไทยครั้งแรกที่ท่าเรือคลองเตยวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2489
ด้วยอายุเพียง 19 ปี เขาแอบแฝงมากับกลุ่มจับกัง ในเรือขนส่งสินค้าชื่อ "โคคิด"
เป็นเวลานานกว่า 3 สัปดาห์

ขณะที่เรือเทียบท่าส่งสินค้าที่คลองเตยซีอุยกับเพื่อนหลบหนีขึ้นฝังมาพักที่โรงแรมเทียนจิน
ตรอกเทียนกัวเทียน จังหวัดพระนคร แต่หาญาติที่รู้จักกันไม่พบ
ก่อนที่จะเดินทางไปที่ อ.ทับสะเก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปทำงานรบจ้างทำไร่ทำสวน
เขาพักและทำงานหลาย ๆ ที่ ไป ๆ มา ๆ บ้างอยู่เป็นสัปดาห์ บ้างอยู่เป็นเดือน บ้างอยู่เป็นปี
จนกระทั้ง............
เวลาผ่านไป 8 ปี ซีอุยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยด้วยการรับจ้างทำสวนกับนายไอ่ แซ่เล้า
จากการทำงานหนัก ร่างกายของเขาทรุดลง จิตใจพะวักพะวนหงุดหงิด
คำแนะนำของนักบวชชราจีนจงผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้งหนึ่ง
"นายต้องกินหัวใจและตับของคน นายจะได้มีพลังมหาศาลเพื่อต่อสู้กับคนมารังแกได้"

เหยื่อรายแรก
10 เมษายนพ.ศ. 2497
หนึ่งทุ่มเศษซีอุยออกมาเดินเล่นในตลาดทับสะเก ระหว่างทางเดินผ่านหน้าโรงสีของนายกิ่ว
บรรยากาศเงียบเชียบ มีแต่เสียแมลงร้อง และ แสงไฟที่ข้างรั่วโรงสี
จนกระทั้ง.........ซีอุยแลเห็น
ด.ญ.บังอร บุตรสาว 8 ขวบ ของนายตำรวจผู้หนึ่งเดินสวนมา มือถือขันอยู่ 1 ใบ
นุ่งผ้าถุงแดง ท่อนบนเปลือยเดินอย่างสบายอารมณ์ ซีอุยอดใจไว้ไม่ไหว
เดินตามเด็กหญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วจึงปรี่เข้าไปอุ้มเด็กเอามือปิดจมูกปิดปาก
กึ่งเดินกิ่งวิ่งเข้าไปในทางมืดข้างโรงสี

เด็กหญิงโชคร้ายพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่ไม่สามารถทานแรงของซีอุยได้
จนสิ้นสติไป ในที่สุดร่างของเธอถูกวางบนพื้นดินใกล้ลำคลองเล็ก ๆ
ความเงียบสงบ ประสานเสียงเต้นของปีศาจแสดงให้เห็นความเหนื่อย
ซีอุยไม่รอช้าหยิบมีดพับปลายแหลมยาว 5 นิ้วที่เขาพกติดตัวเสมอ
แทงไปที่คอใต้ลูกกกระเดือกเด็กหญิง 1 ที เลือดสีแดงฉาดคาวเลือดกระจายคละคลุ้ง

แต่โชคดีในความโชคร้ายแผลนั้นมันยังตื้นเกินไปที่ไม่ให้เด็กหญิงตายได้
และมีคนผ่านมาพอดีก่อนที่ซีอุยจะลงมีดที่ 2
ซีอุยหงุดหงิดแต่ต้องผละจากไปอย่างช่วยไม่ได้

เด็กน้อยหมดสติจนกระทั้งเช้า 7 โมงของวันรุ่งขึ้น
ร่างอันขะมุกขะมอมคลุกเคร้าไปกับคราบเลือดของหนูน้อยบังอร
ที่กระเซอะกระเซิงล้มลุกคลุกคลานออกจากตรอกชายข้างโรงสี
ผวาเข้าสู่อกบิดามารดา ทุกคนต่างรินน้ำตาให้กันอย่างเศร้าสลดต่อภาพที่พบเห็น

ด.ญ.บังอรรอดตายปาฏิหาริย์ แต่รอยแผลเป็นที่คอหอยของเธอยังคงปรากฏชัด
พร้อมกับความทรงจำที่เลวร้าย แม้ปัจจุบันเธอจะอายุ 53 ปีแล้วก็ตาม
เธอเป็นเหยื่อรายแรกและรายเดียวที่รอดตายเพราะเหยื่อรายที่ 2-7
ต่างตายเพราะเงื่อมมือของซีอุย ปีศาจกินคน จนหมดสิ้น

เหยื่อรายที่สอง
วันที่ 9พฤษภาคม พ.ศ.2497
เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 เดือน ทุกคนต่างลืมเรื่องราวของด.ญ.บังอร เสียสิ้น
วันนี้ที่บริเวณลานกว้างที่ว่าการอำเภอทับสะแก
ได้มีงานแต่งงานของนายมงคล สุดลาภา อดีตปลัดอำเภอทับสะแก
งานจัดอย่างยิ่งใหญ่ ชาวบ้านทับสะแกเกือบทุกคน
ต่างหอบลูกจูงหลานมาร่วมงานมงคลงานนี้เกือบหมดอำเภอ
แต่ซีอุยไม่สนุกด้วย….....เขากำลังหาเหยื่อ ความหงุดหงิดงุ่มงาม
ที่ฆ่าเหยื่อรายแรกครั้งแรกไม่ได้มันฝังลึกในจิตใจของเขา
ความอ่อนเปลี้ยเพียงแรงได้กระตุ้นหาเหยื่ออีกครั้งในงานนี้

แน่นอน นอกจากผู้ใหญ่ที่มาร่วมงาน ยังมีลูกเด็กเล็กแดง ต่างตามพ่อแม่
ญาติพี่น้องมาวิ่งเล่นสนุกสนานอยู่หน้าเวทีลำวงบ้าง ตามทางเดินบ้าง
ใครแยกออกจากกลุ่มนี้แหละเหยื่อของซีอุย

สายตาของเขามันจับจองเหมือนเลือกหมูกับปลาในตลาดสดไม่ปาน
จนกระทั้งสายตาจับต้องไปยังเด็กหญิงคนหนึ่ง
ด.ญ.นิด แซ่ภู่ วัย 11 ขวบได้แยกตัวออกจากกลุ่ม
กับน้องสาวเพื่อกลับบ้านเพราะง่วงนอน
เธอกำลังกลับบ้านแต่ทางไปบ้านเธอนั้นอยู่หลังเวทีลำวงเป็นทางเปลียว
และมืดสนิท ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับเสือที่จ้องตะครุบเหยื่อ

ออกมาเพียง 200 เมตร ฝ่ามืออันหยาบกร้านตะปบปิดปากปิดจมูก
หนูน้อยในทันที มันอุ้มร่างเด็กน้อย หายลับไปในรัตติกาลอันมืดมิด
ทิ้งไว้แต่น้องสาวที่หวาดกลัวจนร้องไห้จ้า

เขาวิ่งอุ้มร่างของด.ญ.นิด เข้าไปในความมืด วิ่งผ่านข้างทางรถไฟสายใต้
จนมาหยุดที่สะพานผ่านทางรถไฟที่มีป่าหญ้า มืดสนิท ปราศจากสิ่งมีชีวิตใดๆ
มันวางร่างเหยื่อลงทันที จัดการถอดเสื้อ ผ้าถุงเหยื่อ ร่างน้อยอยู่สภาพเปลือย
เป็นครู่ใหญ่ที่มันสมปรารถนากับความสุขของกามารมณ์ในแบบผีนรก
ความชั่วของมันยังไม่พอ เพราะขาดความเหี้ยม มันล้วงมีดพับปลายแหลม
ด้านไม้ที่ที่ขาววับจากกระเป๋ากางเกง
มันเริ่มกรีดทิ่มไปยังอณูเนื้อที่อ่อนนุ่มของเหยื่อเด็กสาวทันที

มีดกรีดตั้งแต่หลุมสะดือลงมาผ่านหน้าท้องขึ้นมาถึงทรวงอก
จรดคอเผยเห็นตับไตไส้พุงทะลักอย่างกับไส้ไก่
และอีกจุดหนึ่งจากสะดือลงไปบริเวณของลับ
จากนั้นมันก็หมกมุ่นอยู่กับการเอามีดเชือดเฉือดของลับ
ขาอ่อนและแขนทั้งสองข้าง แยกเนื้อและกระดูกออกราวกับพ่อค้าเนื้อที่ชำนาญ
แต่มันไม่สนใจเนื้อที่ได้มากนัก และโยนทิ้งที่พุ่มต้นไม้เอาใบไม้หุ้ม

มันควักอวัยวะภายในคือลำไส้และหัวใจ ตับของเด็กสาวออกมา
แยกนำมาล้างเลือดที่คลอง เก็บใส่กระป๋องกางเกง
ล้างเสื้อที่เปรอะเปื้อนออกที่ลำคลองเช่นกัน

หลังจากที่เขาสังหารเหยื่อแล้ว เขาทิ้งศพ และมุ่งกลับบ้าน ประมาณ 4 ทุ่ม
เขาเดินเข้าไปในครัว เอาอวัยวะที่ได้ทั้งหมดใส่กาน้ำใบใหญ่ต้มจนสุข
และลงมือกินในห้องน้ำอย่างเอร็ดอร่อย กินจนนิ่มแล้วเข้านอนอย่างมีความสุข

จนกระทั้ง ศพ ด.ญ.นิด แซ่ภู ถูกพบ ร่างนอนเปลือยเปล่า ขาวโพลน
แน่นิ่งไม่ขยับ อยู่พงหญ้า ติดคลองทับสะเก พวกชาวบ้านและตำรวจที่พบศพ
ถึงกับสยดสยองและความเวทนาต่อสิ่งที่พบเห็นตรงหน้า
เพระตั้งแต่ลำคอของเธอ ถูกผ่าลงที่ทรวงอก จนถึงอวัยวะเพศ
อวัยวะภายใน เช่น ตับ ปอด ไต หัวใจ หายไปจนหมดสิ้น
ดวงตาเหลือกถลนแสดงถึงความตกใจถึงขีดสุด

เสียงเล่าลือเริ่มแพร่สะพัดไปทุกซอกทุกมุมเมือง
ต่อมาตำรวจได้ควบคุม อดีตพลตำรวจปอเตียง ผู้สติไม่สมบูรณ์มากนัก เพราะเคยมีประวัติฆ่าคนตายมาก่อน
พะวกชาวบ้านคิดว่าเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไปแล้วเมื่ออดีตพลตำรวจปอเตียงถูกจับ
แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น
เพราะศพเดียวมันไม่เพียงพอ........................นี้สิ

เหยื่อรายที่ 3
เป็นเวลาหลายเดือนที่ซีอุยต้องตระเวนอยู่รอบอาณาจักรไทย
ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพ ระนอง ก่อนที่จะกลับมายังถิ่นเก่า อำเภอทับสะแก
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์อีกครั้ง แล้วทำงานและทำงานอยู่กลับนายเทียนเชีย แซ่ตั้ง
แค่ 2 วัน มันก็เริ่มแผนอุบาทว์ขึ้นอีก

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2498
หลังจากเลิกงานจากไร่ถั่ว ซีอุยเดินออกมาจากไร่ไปตามร่องสวน
จนกระทั้งพบด.ญ.ลิ้มเฮียง แซ่ลี้ อายุ 7 ขวบ ลูกสาวนายหยิ่นฝาและนางซิ่ว
กำลังเดินอยู่ข้างทางห่างออกไปประมาณ 50 เมตร แค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว
สำหรับการกระตุ้นความวิปริตปีศาจที่อยู่ในจิตใจที่ผิดมนุษย์อย่างซีอุยแล้ว

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2498
มีผู้พบศพของด.ญ.ลิ้มเฮียง แซ่ลี้ นอนตายอืดอยู่สวนห่างจากบ้านแค่ 300 เมตร
เธอออกจากโรงเรียน แต่ไม่กลับบ้านเป็นเวลา 3 วัน สภาพศพเริ่มอืด
เริ่มเน่าเฟะแทบจำไม่ได้ แต่สิ่งที่เหมือนกับศพแรกก็คือ
ข่มขืน-กรีดคอ-ถึงช่องท้อง-ควักตับ-ปอด-หัวใจ-หายไป
แม้ต่างท้องที่ ต่างอำเภอ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็รู้ว่า ต้องเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกันแน่
การสืบสวนหาตัวฆาตกร จึงเริ่มต้นอย่างจริงจัง เพิ่มจำนวนคนมากขึ้น
จากความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งสองอำเภอ ใช้เวลาไม่กี่วัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจสามร้อยยอด สามารถจับผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ถึง 2 คน

นายเจือ เสียงเสนาะกับนายสนิท สังวาล์ยวงค์ เพื่อนบ้านใกล้ชิดของนายหยิ่นฝา
อันเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบพบว่า มูลเหตุอาจมาจากทั้งสองกับนายหยิ่นฝา
ทะเลาะวิวาทเรื่องที่ดินและการทำสวนของทั้งสองฝ่าย รุนแรงถึงขั้นประกาศเอาชีวิตกัน

แต่ทั้งสองมีพยานหลายปาก ยืนยันที่อยู่ของเขาทั้งสองในวันเกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปล่อยตัวอย่างช่วยไม่ได้
ชาวบ้านต้องหวาดผวาอีกครั้ง เพราะฆาตกรตัวจริงยังลอยนวลอยู่
ไม่รู้ว่าลูกคนไหนจะถูกฆ่าควักเครื่องในกินอีก

เหยื่อรายที่ 4
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2498
ซีอุยยังไม่ได้หนีไปยังจังหวัดไหน เขายังไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
และเขายังอยู่อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
และที่นี้เองเขาก็ได้ฆ่าคนอีกเป็นศพรายที่ 3
ด.ญ.หงั่น ลูกสาวของนายไกว และนางน้ำ แซ่ลี้ อายุ 10 ขวบ
ได้หายไปหลังจากดูลิเกที่เปิดวิกการแสดงอยู่ข้างบ้าน
เธออุ้มน้องสาววัย 10 เดือนออกไปด้วย แต่ภายหลัง มีผู้พบทารกน้อย
นอนร้องไห้จ้าอยู่ริมถนนที่ไม่ไกลจากโรงลิเกมากนัก

วันรุ่งขึ้นก็พบศพตัวพี่สาวชั้น ป.3 อยู่ใกล้โรงเก็บน้ำมัน
ของกรมทางหลวง ที่ตั้งอยู่ท้ายตลาด 3 ยอด
สภาพศพไม่แตกต่างไปจาก 2 ศพก่อนหน้าไม่มากนัก
มันเหมือนกับประเพณีแห่งการฆ่า มันเป็นเหมือนเครื่องจักรสังหารที่ฆ่าคนดั่งผักปลา
คราวนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับ นายทับ ฤาเผย รปภ.ของโรงเก็บน้ำมันมาสอบสวน
เพราะเขาเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ในคืนนั้นมากที่สุด
แต่ก็เช่นเคย ไม่มีอะไรในกอไผ่
ในขณะที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากมายจากกรมตำรวจ
ต่างเดินทางประจวบคีรีขันธ์เพื่อคลี่คลายคดีนี้
แต่ซีอุยมุ่งสวนทางไปกรุงเทพอีกครั้ง.............ไปสร้างตำนานสะท้านกรุงต่อไป

เหยื่อรายที่ 5
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498
กรุงเทพสมัย 40 ปีก่อนนั้นยังร้างไร้ผู้คน
วันนี้เป็นวันพิเศษ ไม่เหมือนวันเดิมเพราะว่าเป็นวันตรุษจีน
ทุกคนมีความสุขในวาระเฉลิมฉลอง
ซีอุยเดินออกจากที่พักที่ทำงานของนายอิ่วไฉ่ แซ่อึ้ง
นายจ้างร้านเหล้าและโซดา เมื่อทุ่มเศษ ๆ เดินไปอย่างไร้จุดหมาย
จนกระทั้งมาหยุดโรงงิ้วที่วัดปทุมวนาราม

ด.ญ.ลี่จู แซ่ตั้ง หนูน้อยวัย 4 ขวบ บุตรสาวของนายกิมบั๊ก
พ่อค้าเหล็กย่านถนนมิตรไมตรี คือเหยื่อรายที่ 5
เธอชะตาขาดเพราะพลัดหลงกับแม่ตอนดูงิ้วที่วัด

ในที่สุด มันตัดสินใจอุ้มเด็กเคราะห์ร้ายไว้ในอ้อมแขน
ใช้มือ อุด ปาก อุดจมูก ใช้ความมือเป็นเกราะกำบังตัว มันวิ่ง........วิ่ง
เหนื่อยแทบขาดใจ จนถึงทางรถไฟสถานีรถไฟจิตรลดา

ศพของหนูน้อยชะตาขาดถูกทิ้งอยู่ ณ ที่เกิดเหตุ
และวันต่อมาข่าวนี้สร้างความโกลาหลและสะท้อนกรุงยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
แม้แต่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมกรมตำรวจยุคนั้นออกคำสั่งด่วน
ให้ติดตามฆาตกรรายนี้โดยเด็ดขาด แต่ไม่มีใครจับซีอุยได้
เพราะมันใช้ชีวิตแบบนกขมิ้น ที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง
มันจากกรุงเทพฯ ไปทำงานหลายจังหวัด ไม่ว่าลำพูน ธนบุรี เข้ากรุงเทพ ไประยอง ฯลฯ

เหยื่อรายที่ 6
6 กุมภาพันธ์ 2500 พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
วันตรุษจีน วันนี้มีงิ้วบนลานกว้างองค์พระปฐมเจดีย์ และเต็มไปด้วยฝูงคนมาชมเที่ยวงาน
ห่างจากโรงงิ้วไม่มากนัก ซีอุยล่อลวง ด.ญ.ซิวจู แซตั้ง อายุ 5 ขวบ
ที่หลงมากับแม่ด้วยขนมแป๊ะก๊วย เมื่อกินเสร็จ ถึงคราวเชือด
มันพาหนูน้อยชะตาขาดไปลานองค์พระปฐมเจดีย์ซึ่งมีต้นจามจุรี 1 ต้น
มันใช้มีดเล่มเดิมจากกระเป๋าของมันแทงไปที่คอหอย
ใช้เวลาไม่นานเธอก็หมดลมหายใจ
มันจัดการอุ้มร่างที่ไร้ลมหายใจไปที่ถ้ำมือแห่งหนึ่งในองค์พระปฐมเจดีย์
เพื่อทำการแหวะตับและหัวใจเพื่อเอาไปกิน
แต่ระหว่างหนีก็ทิ้งไฟฉาย และเกี๊ยะ ข้างศพหนูน้อยในถ้ำ

ครั้งนั้นตำรวจที่รับผิดชอบเวลานั้น เร่งติดตามคนร้ายอย่างเร่งด่วนอย่างสุดเหวี่ยง
และได้จับกุม นายไสว ปิ่นสินชัย คนขายเนื้อในสมัยนั้น
ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ช่วย ส.ส.พรรคไทยรักไทย เขต 3 นครปฐม
โดยมีหลักฐานเป็นมีดเปื้อนเลือด ไฟฉาย และเกี๊ยะ
ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นของนายไสว กว่าจะรู้ว่าจับผิดตัวนายไสวจำคุกนานถึง 1 ปีเต็ม

แน่นอนหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯ ได้เสนอข่าวนี้อย่างครึกโครม
ซีอุยทนกระแสกดดันไม่ไหว จึงรีบหลบหนีไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
และกลับมายังนครปฐม มันเร่รอนไปทั่วทุกแห่งในประเทศไทย
พร้อมฟังข่าวว่ามีเรือกลับเมืองจีนหรือไม่
เขาฝันอยากกลับบ้านเกิดมาตั้งนานแล้ว
เมื่อไม่มีเรือกลับ ซีอุยจึงมาเป็นลูกจ้างทำสวนผักของนายอิ๋ดเจียก แซ่อึ้ง
ที่ตำบลเนินพระ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
และที่นี้เองคือที่สุดท้ายที่มันจะก่อกรรมทำเข็ญ

เหยื่อรายที่ 7 รายสุดท้าย
27 มกราคม พ.ศ. 2501
นี้เป็นข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ของซีอุย เพราะเขาตั้งใจที่จะสังหารเหยื่อ
ที่เป็นเด็กชายคนแรกแทนที่จะเป็นผู้หญิงและเป็นคนที่เขารู้จัก
ในเวลานั้นเวลาประมาณ 15.00 น.ซีอุยยังทำงานที่สวนของนายเฉลียว
ขุดดินปลูกผักอยู่ในไร่ ทันใดนั้นเหยื่อสุดท้ายของเขาก็มาหา
ด.ช.สมบุญ บุตรนาวา บุญยกาญจน์
ทั้งสองรู้จักกันมานานแล้ว ในฐานะลูกค้าซื้อผักประจำ
แต่ซีอุยทนแรงยั่วยวนไม่ไหว มันหาจังหวะที่จะฆ่ามานานแล้ว
และวันนี้เป็นวันที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
มันกระโดดเข้าสวมกอดเด็กชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
แล้วอุ้มเข้าไปในสวนยางพาราท่อยู่ลึกสุด เมื่อมันถึงที่ปลอดคน ก็ปล่อยให้ยืน
เด็กชายก็ไม่ร้องและดิ้นแต่อย่างใด มันเริ่มเอามือกดศีรษะ
กดให้ล้มนอนหงาย ก่อนใช้มือซ้ายปิดปากและจมูก
มือขวาก็ใช้มีดแทงคอที่ใต้ลูกกระเดือก
เด็กชายผู้เคราะห์ร้ายสิ้นใจในเวลาไม่นานนัก
ซีอุยเริ่มใช้มีดด้านเดิมเชือกหลอดลมให้ขาด
แล้วทำการผ่าท้องและสะดือจนถึงหลอดลมที่ตัดไว้
แล้วตัดเอาหัวใจและตับออกมากองบนใบไม้ที่อยู่ข้างศพ

เย็นนั้นมันนำหัวใจและตับของเหยื่อคนล่าสุดกลับเข้าที่พักในสวนผัก
ล้างด้วยน้ำจนสะอาดก่อนเก็บไว้กะละมังไว้ในตู้กับข้าว
แต่ครั้งนี้มันแตกต่างกับเหยื่อรายอื่น ๆ ที่มันจัดการ มันคิด
หากมีผู้พบเห็นศพมันจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยแน่นอน
เพราะพ่อแม่เด็กนั้นต้องรู้ดีว่าได้ใช้ลูกของต้นมาซื้อผักที่สวนนี้
มันจึงตัดสินใจกลับไปที่สวนยางพาราอีกครั้ง มันทำการกำจัดศพ
มันใช้ไฟเผา ชั่วพริบตาเดียวไฟก็ลุกลามไปเศษไม้ใบแห้ง
จนลามติดเนื้อหนังมังสาของเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย

ห่างจากตำบลเนินพระไปเล็กน้อย นายนาวา บุณยกาญจน์
พ่อของเด็กชายสมบุตร และนายเสงี่ยม ม่วงแสง เพื่อนบ้าน
กำลังออกตามหาลูกชาย เพราะเป็นห่วงว่าให้ไปซื้อผักที่เนินพระ
และไม่กลับมา ซึ่งตอนแรกทั้งสองคนพากันเดินทั่วบริเวณสวนผัก

มันคงถึงคราวชะตาขาดของซีอุย ที่มันก่อกรรมทำเข็นไว้มาก
นายนาวาและนายเสงี่ยมได้ตรงไปที่ซีอุยใช้เป็นที่กำจัดหลักฐาน(ศพ)
ทั้งสองเฝ้ามองพฤติกรรมที่น่าสงสัยของซีอุย
และเขาก็อุทานอย่างไม่เป็นภาษาคน เมื่อเห็นวัตถุอย่างหนึ่งโผล่ออกจากกองไฟ
มันเป็นขาคน ขาของเด็กชายสมบุตร
ไฟยังไม่ติดหมดทั่วร่าง สภาพยังเห็นศพเด็กน้อยครบสมบูรณ์อยู่
นายนาวาไม่รอช้าปราดไปเขี่ยกองไฟแล้วอุ้มร่างไร้วิญญาณของลูกรักไว้แนบอก
ดวงตาและสีหน้าโกรธแค้น "สัตว์นรก มึงทำได้อย่างไร"
นายนาวาคำรามดุดัน วางศพลูกชายลงกับพื้นโผเข้าใส่ซีอุยอย่างบ้าคลั่ง

ซีอุยไม่ได้ต่อสู้เพราะตัวมันไม่มีอาวุธอะไรเลย มันยอมให้นายนาวา
และนายเสงี่ยมจับมัดไว้ที่เสาบริเวณบ่อน้ำของสวนผัก
ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมา 2 ชั่วโมง และเก็บหลักฐาน
หัวใจและตับที่ซ่อนในตู้กับข้าว
ซีอุยให้การรับสารภาพในสิ่งที่มันทำทั้งหมด

การตัดสินของศาล
ซีอุยขึ้นศาลชั้นต้นในจังหวัดระยอง ซึ่งตอนแรกเป็นการสืบคดีเด็กชายสมบุญก่อน
แล้วจึงเล่าว่าได้ก่อคดีแบบนี้ที่จังหวัดอื่นหลายแห่ง มากถึง 6 ศพ
ตามกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 289ไม่พ้นโทษประหารแน่
แต่จำเลยรับสารภาพหมดทุกข้อกล่าวหา และให้คำสัตย์จริงตั้งแต่ต้น
เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน ศาลจึงลดโทษให้จำคุกตลอดชีวิตแทน
ซีอุยยิ้มไม่หุบเพราะมันรอดตาย
แต่อัยการ นายสุเมธ กาญจนอักษร ไม่คิดเช่นนั้น
เนื่องจากสังคมไม่ยอมรับและให้อภัยการกระทำที่ซีอุยทำไว้
ความรู้สึกประชาชนและความหวาดระแวงต่าง ๆ
ก็ยังเกิดขึ้น ถ้าฆาตกรกินคนยังมีชีวิตอยู่
จึงได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาล ฐานฆ่าคนโดยไต่ตรองไว้ก่อน
โดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้าย
ต่อสู้คดีจนถึงบทสรุปที่ศาลอุทธรณ์ ต้องประหารชีวิตสถานเดียว
ส่วนที่ศาลชั้นต้นลดโทษ เพราะจำเลยรับสารภาพ
แต่ที่ทำเพราะมีพยานและหลักฐานแน่นหนา
เมื่อมีหลักฐานจำเลย (ซีอุย) ก็ไม่จำเป็นที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
ไม่มีเหตุผลอื่นที่จะลดโทษอีก

ซีอุยเมื่อฟังคำตัดสิน ถึงกับเป็นลมกลางอากาศ ล้มผลึ่งกลางศาลลงนอนกับพื้น
ภายหลังเครียดจัดถึงกับอัดบุหรี่เข้าปอดอย่างรุนแรง 4 ครั้ง
ในระหว่างรอการประหาร ซีอุย แซ่อึ้ง ถูกส่งตัวขังเดี่ยวที่เรือนจำบางขวางจังหวัดนนบุรี
และเกือบตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยช้อนสังกะสีสำหรับตักข้าวกิน แต่ผู้คุมมาเห็นก่อน

วันประหารของซีอุยถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว
17 กันยายน 2502 ที่เรือนจำบางขวาง จังหวัดนนบุรี
ปัง ๆๆๆๆๆๆ ปัง ๆๆๆๆๆ
เสียงปืนดังลั่นที่ลานประหาร
สิ้นสุดเสียงดัง เมื่อควันจาง ก็ปรากฏร่างชายชาวจีนผู้หนึ่งรูปร่างสมส่วนคนหนึ่ง
เลือดอาบทั่วร่างกาย ลมหายใจแห่งชีวิตหมดลง
ไม่รู้ว่าเขาตายแล้ววิญญาณจะไปไหน
อาจเป็นแผ่นดินเกิดที่ ๆ ที่เขาอาจกลับไปตลอดชีวิตหลังพลัดถิ่น
หรืออาจเป็นนรกอเวจีที่ๆ ที่เขาต้องไปชดใช้กรรมอย่างไม่สิ้นสุด เพราะเขาคือ ..........
ซีอุย แซ่อึ้ง ปีศาจฆาตกรกินคน

ในหลายสิบปีให้หลังมีผู้สนใจเรื่องราววิปริตของซีอุย
พยายามค้นคว้าและพบว่าคดีนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลไม่น้อยถึงขนาดตั้งข้อสังเกต
ว่าซีอุยเป็นฆาตกรวิปริต หรือแค่แพะรับบาปเท่านั้น !??
ประการหนึ่ง ซีอุยเป็นผู้รับสารภาพเองว่าเป็นฆาตกร
ในขณะที่ตำรวจเองไม่มีหลักฐานใดๆ มัดตัวคนร้าย
เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยซีอุยลอยนวลอยู่นานหลายปี
การที่ตำรวจคลี่คลายคดีเก่าๆ ได้ มีหลักฐานเดียวคือคำสารภาพของซีอุยเท่านั้น !??
น่าสนใจว่าซีอุยพูดไทยไม่ได้มาก ต้องให้การผ่านล่าม คำแปล
และความเข้าใจของซีอุยเกี่ยวกับความผิดหรือคำสารภาพนั้นมีมากขนาดไหน
มีการตั้งข้อสังเกตว่าซีอุยอาจจะสารภาพไปตามบท
เพราะเข้าใจว่าเมื่อจบเรื่อง ตัวเองจะถูกส่งกลับเมืองจีนเท่านั้น

จากข่าวในห้วงเวลานั้นพบว่าคำรับสารภาพของซีอุยก็สับสน
และบางเรื่องไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเกิดเหตุอีกด้วย !??
ในจำนวน 6 ศพที่ซีอุยก่อเหตุ มีบางศพที่ไม่ได้ถูกควักหัวใจและตับออกมากิน
ซึ่งผิดวัตถุประสงค์การฆ่าอย่างสิ้นเชิง ตำรวจแถลงว่าที่ไม่กิน
เพราะซีอุยบอกว่า ตับกับหัวใจเล็กเกินไป กินไม่อิ่มเลยไม่กิน !??
ระหว่างที่ตำรวจคุมตัวซีอุย ไปทำแผนฯ บางคดีพิสดารและเหลื่อเชื่อเกินไป
เช่น รายหนึ่งซีอุยให้การว่าฆ่าเด็กแล้วอุ้มวิ่งเข้าไปในสวนลึกหลายกิโล
แถมยังแวะอาบน้ำอาบท่าระหว่างทางอีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวผิดวิสัยเกินไป
อีกจุดหนึ่งคือการลงมือระหว่างเหยื่อรายที่ 6 และรายที่ 7
ที่ทิ้งช่วงเวลาห่างกันถึง 1 ปี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ซีอุยก่อเหตุถึง 6
คดีในเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นหรือคดีที่ ต.ทับสะแก
ซึ่งซีอุยสารภาพว่าลงมือถึง 4 ครั้ง รายแรกทำไม่สำเร็จ แต่ก็ลงมือได้ในอีก 3 รายต่อมา
ตามปกติทั่วไปเมื่อก่อเหตุครั้งแรกไม่สำเร็จ ซีอุยน่าจะหลบหนี
เพราะเด็กต้องจำหน้าได้ กลับกล้าอยู่ในพื้นที่เดิมและลงมือกับเหยื่ออีก 3 รายซ้อน ฯลฯ
แม้มีการตั้งข้อสังเกตหรือข้อสงสัยมากมาย แต่อย่างไรเสียคงไม่สามารถหาข้อยุติ
หรือตรวจสอบให้แน่ชัดได้แต่ก็น่าสนใจว่าหลังตำรวจจับกุมซีอุยได้
คดีฆ่าผ่าท้องเด็กก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย !??

--------------------



Create Date : 14 มกราคม 2553
Last Update : 14 พฤษภาคม 2554 16:29:18 น. 3 comments
Counter : 1500 Pageviews.

 
ขอบคุณที่นำมาแปะให้อ่านค่ะ ไม่เคยอ่านนะ แต่กว่าจะทนอ่านจบก็สยองเอาการ "....ดวงตาเหลือกถลนแสดงถึงความตกใจถึงขีดสุด.... " น่ากัวจริงๆ คนที่จิตใจผิดปกติ ...บรื๋อ??????


โดย: b (bee09b ) วันที่: 14 มกราคม 2553 เวลา:2:20:22 น.  

 
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เด็ก คือผู้ที่ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ แต่สงสัยอ่ะว่า ตำรวจใช้แนวทางอะไรสืบสวนคดี สงสัยไปไม่ใกล้ตัวคนผิดเลย แล้วคดีอื่นล่ะ หึ หึ หึ...


โดย: b (bee09b ) วันที่: 14 มกราคม 2553 เวลา:2:24:57 น.  

 
สวัสดีวันพฤหัสฯ ที่แสนจะครื้นเครง ทำงานอีกวันเดียวเองก็จะเป็นวันศุกร์ จะไดัเอากระปุกไปใส่กะเป๋า ^___^


โดย: ผมชอบกินข้าวมันไก่ วันที่: 14 มกราคม 2553 เวลา:10:31:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

JesperTR
Location :
นครสวรรค์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Hello Everyone!
ฟองน้ำลอยขึ้น พลุแตก อักษรวิ่งที่แถบล่าง นาฬิกาและปฏิทิน Flash
Friends' blogs
[Add JesperTR's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.