<<
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
4 กันยายน 2548

มีทางออกแล้ว.....ภาค 2

เมื่อเดือนที่แล้ว ความจริงได้กระจ่างอย่างชัดแจ้งแจ่มแจ๋ ว่าทั้งหมด ทั้งมวล มันไม่ได้เป็นความคิดไปเองของเราจริง ๆ ที่ว่า คนที่นี่ ไม่ได้เป็นมิตรกับเราเลย และคุณสามีก็เชื่อแล้ว เพราะเจอกับตัวเอง ได้ยินกับหู

จากที่เราเองต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกเอง โดยที่สามีไปทำงานนอกบ้าน ปล่อยให้เราเผชิญกับ อะไรต่าง ๆ นา ๆ รอบด้านกับที่นี่ เพียงลำพัง .....พอเวลามีอะไรเข้ามา คนแรกที่เราจะคุยด้วยได้ ก็ต้องเป็นสามีคนเดียวเลย เพราะเราได้เรียนรู้ว่า เวลาที่แม่สามีมาคุยกับเรา และเอาพี่สะใภ้คนนั้น คนนี้ หรือพี่เขย คนนั้น คนนี้ มาว่าให้เราฟัง ว่าเค้าเป็นอย่างนู้น อย่างนี้ ในแง่ไม่ดีทั้งหมด เราก็เคยคิดไว้ว่า เค้าเอาคนอื่น ๆ มาว่าให้เราฟังแบบนี้ เค้าก็คงเอาเราไปว่าให้คนอื่นฟังเหมือนกันแหละมั้ง

คนอื่น ๆ ที่เค้าจะเอาไปว่าในที่นี่ ก็หนีไม่พ้นคนแถวบ้าน คนงานในบ้าน เพราะพวกพี่ ๆ พวกนั้น ไม่มีใครเค้าอยากคุยด้วยกับคุณแม่สามีเลย ตอนแรก ๆ เราก็ว่าแม่เค้าก็ดี ทำไมพวกพี่ ๆ พวกนั้น เค้าถึงเป็นกันแบบนั้น แต่ ณ บัดนาว บัดเดี๋ยวนี้ โดนก๊ะตัวเอง เข้าใจดีแล้วเจ้าข้าเอ้ย

เรื่องที่แรง ๆ แบบไม่น่าเป็นเรื่องก็คือ...เริ่มจาก การที่พี่ชายเค้าต้องย้ายเครื่องไปจากบ้านเรา เค้าก็เอาไปพูดว่าเราเรื่องมาก ดังนิด ดังหน่อย ก็ไม่ได้เรื่องมาก....แล้วก็ย้ายไปแล้วแต่ก็ยังต้องเปิดเข้า เปิดออก บ้านเราอยู่เพื่อมาเอาของบ้าง เอาน้ำบ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง เพราะฝั่งนั้นยังทำไม่เรียบร้อย เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ให้เปิดประตูไว้เลย จะได้ไม่ต้องเปิด ๆ ปิด ให้เสียงดัง (ประตูมันเป็นประตูตึกแถวน่ะ ที่มีแบบบานใหญ่ ๆดันขึ้น กับแบบบานยืด) ที่นี้ก็เปิดเข้า ๆ ออก ๆ กันทั้งวัน แล้วคุณท่าน คนงานบ้าง เจ้าของบ้าง เปิดกันเบามือกันซ๊ะที่ไหน เปิด ปิดกันเต็มแรง เสียงก็ดังปัง ๆ ตลอดวันละหลาย ๆ รอบ ลูกเราก็สะดุ้งตลอดเหมือนกัน เราก็เลยลงไปเปิดให้เค้าเอาไว้เลย จะได้ไม่ได้ต้องเปิด ๆ ปิด ๆ แค่นั้นแหละ........เป็นเรื่องอีกจนได้

ลงไปก็ไปเปิดดี ๆ นะ ไม่ได้ทำอะไรเสียงดังสักนิด นึกอยู่แล้วเชียวว่าเดี๋ยวต้องเป็นเรื่อง แต่คุยกับสามีทาง msn กันอยู่ตลอดทั้งวัน เค้าก็บอกให้เราลงไปเปิดไว้เลยจะได้ไม่ต้องเสียงดัง ตกลงกันว่าให้ไปเปิด เราก็ไปเปิด....เค้าก็พูดกับคนงานอีกว่าดูสิ มันไม่พอใจ แค่เปิด เข้าไปเอาของ สองครั้งเอง ต้องลงมาเปิดประตูด้วย แต่ความจริงน่ะ มันหลายรอบมาก

อีกเรื่องก็ วันนั้นเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ อะไรสักวันนี่แหละ แล้วหลาน ๆ เค้าก็หยุดอยู่บ้านกัน ก็ยกขบวนมากันที่นี่ ได้ยินเสียงแล้ว นึกแล้วเดี๋ยวต้องพากันขึ้นมาแน่เลย พอดีลูกเราก็กำลังจะหลับ กล่อมกันอยู่ตั้งนานแล้ว ยังไม่ทันจะคิดเสร็จเลย ได้ยินเสียงเปิดประตูมาแล้ว (ลืมบอกไปว่า บ้านเราน่ะ พวกเค้ามีกุญแจกันด้วย ใครอยากเปิด อยากเข้า อยากออกได้เสมอค่ะ) แล้วเด็กพวกนี้ โหหหห ขอบอก พูดกันไม่ได้ ไม่ฟังใครทั้งนั้น ว่าก็ไม่ได้ เราก็เลยไม่อยากว่า เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ แถมไปว่าลูกหลานเค้า เดี๋ยวซวยอีก

พวกเด็กนั่นก็เล่น เปิด ๆ ปิด ๆ ประตูกันอยู่ ขึ้นมาทีนึงแล้วก็เสียงดังกัน เราหละแทบจะประสาทกิน ก็เลยบอกสามีไปทาง msn ว่าหลาน ๆ ขึ้นมากัน เสียงดัง ลูกกำลังจะนอน ทำไงดี เค้าก็เลยจัดการโทรไปบอกพี่สาวเค้า คนที่พาเด็ก ๆ มา ให้มาเอาเด็ก ๆ ออกไป เพราะมาเล่นประตูกันอยู่ และลูกเรากำลังจะนอน.....เท่านั้นแหละ เอาอีกแล้วเจ้าค่า เป็นเรื่อง talk of the town กันอีกแล้ว ว่า "อะไรว๊ะ แค่เด็กมาขอดูน้องแค่นี้ก็ไม่ได้ ต้องโทรไปฟ้องด้วย"

สุดท้าย ล่าสุด เรื่องตบแต่งฝั่งห้าห้องใกล้เสร็จ ตึกมันหันหน้าเข้าหากัน แล้วฝั่งเค้าชั้น 4 ตบแต่งไว้อยู่เอง เค้าก็เอากระเบื้องมาปูผนังด้านนอก ที่นี้ช่วงบ่าย ๆ ใกล้ ๆ จะเย็น แดดมันก็สะท้อนกระเบื้องมาเข้าบ้านเรา ตรงชั้น 2 ที่ ๆ เราใช้เลี้ยงลูก พอดิบ พอดี เราก็บอกให้สามีรู้ว่ามันสะท้อนแดดเข้าบ้าน ซึ่งมันก็เป็นการบอกกล่าวกัน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นที่ ๆ เราอยู่กัน

ส่วนสามีเราเค้าจะไปพูดไปบอกอะไร กับพี่น้องเค้า มันก็เรื่องของเค้า พอเค้าไปบอกทางนั้นว่าแดดมันสะท้อน พี่ชายเค้าก็บอกว่า คิดจะปูกระเบื้องแค่ชั้น 4 ชั้นเดียว นอกนั้นจะทาสีเอา....แต่พอไปบอกแล้ว รู้แล้วว่าสะท้อน อีกไม่กี่วัน เค้ากลับสั่งช่างปูกระเบื้องหมดเลยทุกชั้นค่ะคุณขา

สามีเราถึงกับโมโห ตัวสั่นเลย จากที่เค้าเป็นคนที่ใจเย็น ไม่ค่อยอะไรกับใครนะ วันที่เห็นช่างมาปูกระเบื้องต่อในชั้นอื่น ๆ ด้วย เราเห็นแล้วก็....พูดไม่ออกเหมือนกัน คิดกันว่าจะเอาไงดี เลยไปติดต่อให้เค้ามาติดฟิล์มกรองแสง ที่กระจกหน้าต่างบ้านเราแล้วกัน หมดไป สองหมื่นกว่าบาท เสียเงินซ๊ะงั้น....แต่ผลคือ เราเองอีกแล้ว เพราะเราเรื่องมากนิดหน่อยก็ไม่ได้อีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ไปพูดไปบ่นอะไรกับพวกเค้าเลยนะ พี่น้องเค้าคุยกันเอง เราก็ผิดอีกแล้ว

ไม่กี่วันต่อมา.....เค้าก็ติดกระจกบานเลื่อนเสร็จ พอดีวันนั้นเป็นวันที่แดดแรงพอสมควร นั่งมองแดดในบ้านตัวเองอยู่ ขนาดที่ติดฟิล์มกรองแสงเพิ่มแล้วนะ ก็ยังเอาไม่อยู่ สงสัยว่าทำไมวันนี้แดดมันสีแปลก ๆ ทำไมมันออกสีเขียว ๆ หว่า มองขึ้นไป สังเกตุอยู่นาน ว่าทำไมกระจกชุดสุดท้ายมันไม่เหมือนชุดอื่น ๆ สีมันแปลกไป เอ๊ะ แล้วทำไมมันมองเห็นสีท้องฟ้าชัดเป็นสีฟ้าเลย บานอื่นไม่เห็นเป็น สงสัยเลยเดินขึ้นไปดูบนชั้นดาดฟ้าของบ้านตัวเองมองไปฝั่ง 5 ห้องตรงข้าม เจ้าประคุณ กระจกชุดนั้น สามารถมองเห็นตัวเองได้ชัดถนัดตาจริง ๆ ใส่เสื้อสีอะไรเห็นชัดเจนเลย มันเป็นกระจกแบบที่เค้าใช้ติดอาคารสูง ๆ ที่สะท้อนแดดได้ คล้าย ๆ กระจกเงาน่ะ.....สุดยอดไหมล่ะคะคุณ รู้ทั้งรู้ว่าแดดมันสะท้อนเข้าบ้านเรา พอติดกระจก พ่อเจ้าประคุณสั่งกระจกแบบนี้มาติดซ๊ะเลย สะใจเค้าหละ....มีพระอาทิตย์อีกดวง มาส่องอยู่หน้าบ้านเราเลยเนี่ย

เราก็อีกหละคราวนี้เราก็เดือดเหมือนกัน msn อีกตามเคย พอบอกไปเท่านั้น คุณสามีรีบกลับบ้านมาทันที ยังไม่เลิกงานเลย มาดูด้วยตัวเอง ว่าแดดมันเข้ามาครึ่งบ้านเราเลย ฟิล์มยังไงก็ไม่อยู่ ปิดม่าน ม่านก็เป็นแบบคล้าย ๆ มู่ลี่แบบเป็นแผ่น ๆ ที่ห้อย ๆ ลงมา เปิดพัดลมมาทีมันก็พัดไปไหนต่อไหน เอาไม่อยู่ ลูกก็นอนตากแดด เป็นเด็กแดดเดียวไปซ๊ะ จะเอาลูกหลบไปนอนในครัว หรือในห้องน้ำก็กระไรอยู่นา

มันก็อีหลอบเดิบอีกหละ เราอีกแล้ว นิดหน่อยก็ไม่ได้อีกแล้ว แถมแม่สามีเอาไปพูดกับคนในซอยว่าเราเป็นคนยุแหย่ลูกชายเค้าให้ไปทะเลาะกับพี่ชาย ไปหาเรื่องพี่ชายเค้า เมื่อก่อนลูกชายเค้าไม่เป็นแบบนี้ พอมีเรา มีแต่เรื่อง....เค้าตบแต่งตึกใหม่ เราก็ทำเป็นไม่พอใจ ประมาณว่า ๆ เราอิจฉาที่เค้าตบแต่งตึกใหม่ดีกว่าของเรา เราเลยไม่พอใจ.....โอ้ยยยยอยากบ้า เราจะไม่พอใจเค้าทำไม กับเรื่องพวกนี้ ถ้าเค้าไม่คิดมาระรานเราแบบนี้

เพราะเรื่องกระจกนี่แหละ ที่สามีเราเค้าไม่ยอมแบบจริงจัง ปกติสามีเค้าจะเป็นคนหยวน ๆ เรื่องทั้งหมด ที่ผ่านมา เค้าก็จะคิดไปในแง่ดีตลอดว่า ไม่หรอก ไม่หรอกมั้ง หรืออะไรที่เราทำกัน หรือความเป็นเรา เค้าอธิบายแล้ว แม่เค้าก็เข้าใจนะ เค้าจะพูดแบบนี้กับเราเสมอ เราก็เชื่อเค้าในช่วงแรก ๆ

แต่พอมาถึงเรื่องกระจกนี่ที่แฟนเราเค้าไม่ยอมแบบจริงจัง โทรไปบอกให้พี่ชายเค้าเปลี่ยนเป็นแบบธรรมดา พี่ชายเค้าก็ไม่ยอม เค้าบอกว่า เค้าตัดสินใจทำแบบนี้แล้ว เค้าไม่เปลี่ยน (ใครเดือดร้อนแบบนี้เค้าก็ไม่สนใจ คิดดู) เห็นคุยกันทีไรก็ทะเลาะกันทุกที เลยบอกสามีไว้ก่อนคุยว่า ให้คุยแต่เรื่องนี้เท่านั้น อย่าตามเค้าไป เพราะเค้าชอบเฉไฉไปเรื่องอื่น นอกเรื่องไปเรื่อง พอถึงเวลาก็ได้ยินเค้าคุยโทรศัพท์ ตะโกนใส่กันลั่นบ้าน เราก็โมโหสิ พูดไปมันก็ไม่ได้อะไร เลยพูดเสียงดังไปว่า ให้วางเถอะ พูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร พอพูดจบเท่านั้นหละ ได้ยินเสียงจากฝั่งนั้น ทางโทรศัพท์นะดังมาก ๆ รู้เลยว่าเค้ากำลังด่าเราอยู่ฉอด ๆ เลยดังมาก แต่ไม่ได้ยินว่าเค้าพูดว่าอะไร มาได้ยินคำสุดท้ายที่ชัดมากคือ "มันเป็นแม่มึงตั้งแต่เมื่อไหร่"

ก็เลยยังยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมไปไหน บอกเค้าว่าพูดไปเถอะ พูดถึงเราไปเลย ไม่ต้องเกรงใจเรา เราถึงได้รู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ผ่านมา เค้าโทษเราหมดเลยว่าเราเป็นตัวปัญหา จากคำตอบที่สามีเราพูดผ่านโทรศัพท์ตอบโต้กับทางนั้น เราถึงได้รู้ว่าเค้าพูดถึงแต่เรา และหลังจากที่พี่ชายเค้าด่าเรา แม่เค้าคงได้ยิน แล้วเอาโทรศัพท์ไปพูดแทน เค้าก็มาพูดทำนองว่าเรา และพูดถึงเราในเรื่องเก่า ๆ ทั้งหมด ที่เราบอกสามีเราแล้วว่า ที่พี่อธิบายให้เค้าฟังไปน่ะ เค้าไม่เคยเข้าใจพวกเราหรอก แต่เค้าก็ไม่เคยเชื่อเรา เค้าคิดแต่ว่าแม่เค้าเข้าใจอะไรง่าย เพราะต่อหน้าสามีเรา แม่เค้าก็รับคำ พูดเหมือนเข้าใจ แต่จริง ๆ แล้วในใจเค้าไม่เคยเข้าใจ เค้าเอาความคิด และความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ

มาถึงเรื่องนี้สามีเราเค้าถึงได้รู้ว่า แม่เค้าไม่ได้เข้าใจอย่างที่เค้าเคยเข้าใจมาก่อนเลย เพราะคำพูดต่าง ๆ นา ๆ ที่แม่เค้าว่าเรากลับมาทางโทรศัพท์วันนั้น และอีกวันรุ่งขึ้นที่เค้ามาคุยกันที่บ้านเรา นั่งว่าเราต่อหน้า โดยที่เราไม่ได้เถียงสักคำ กับคำพูดเค้าที่เค้าพูดมา มันไม่ใช่อย่างที่เค้าว่าเรา เพราะเราสองคนเข้าใจและรู้กันดีว่า ใครเป็นยังไง

และแถมยังได้ยินมาจากคนแถวบ้านอีกว่าเค้าเอาเราไปพูดให้คนแถวนั้นฟังในทางไม่ดี ๆ ทั้งหมด หาว่าเรายุแหย่ลูกชาย และเรื่องกิจวัตรประจำวันของเรา ทั้งหมดที่ไม่ถูกใจเค้า คำพูดที่เค้าเอาไปพูด มันไม่เหมือนกับที่เวลาสามีเราไปคุยกับแม่เค้าเลย มันคนละแบบ คนละด้านเลย สามีเราเค้าถึงได้เชื่อเราแล้ว ว่าเราไม่ได้คิดไปเอง

แล้วเราก็เสียความรู้สึกด้วยที่เราหลงคิดว่าแม่สามีเราเป็นคนดี มาตั้งแต่ต้น แถมว่าตัวเองอีกว่าคิดมากไปเอง มาถึงจุดนี้แล้ว เอาไปว่ากันขนาดนั้น เรากลายเป็นดาราประจำซอยไปซ๊ะขนาดนั้นแล้ว คงอยู่เห็นหน้ากันทุกวัน ๆ ต่อไปไม่ไหว

สุดท้ายสามีเราเค้าก็ไปบอกกับแม่เค้าว่า เค้าได้ยินคนมาบอกเค้านะว่าแม่เอาเราไปว่าว่าอะไรบ้าง เอาเรื่องในบ้านไปพูด แม่เค้ากลับบอกว่า เค้าไม่ได้เอาไปพูดที่ไหนนะ พูดแต่กับคนงานที่บ้าน (ถึงคนงานที่บ้านก็ไม่สมควรอยู่ดีน่ะแหละ) แต่เราเชื่อคนที่เค้าเอามาบอกนะ เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมา แม่เค้าเป็นคนช่างว่าคน มาคุยกับเราทีไรก็เอาคนนั้น คนนี้มาว่าให้ฟังเสมอ ไม่เคยได้ยินเค้าพูดสิ่งดี ๆให้เราฟังเลย

เรื่องมันยังเยอะแยะมากมายเล่าไม่มีวันจบแน่ นี่แค่เอาเท่าที่จำ ๆ ได้ แต่แค่นี้ก็เล่นเอาปวดหัวไปหลายวันเลย....เลยบอกสามีว่า ถ้าไม่ชอบกันแล้ว ก็อย่าอยู่ให้เห็นหน้ากันเลย เรากลับไปอยู่บ้านเราก็ได้ ไม่ใช่เราไม่มีที่ไปนะ เราก็เห็นใจสามีเรา เค้าเป็นคนกลาง แม่เค้า เค้าก็รัก ไอ้เราก็เมีย แต่มันถึงจุดแบบนี้แล้ว มันก็ต้องหาทางออกที่สมควรที่สุด เพราะเท่าที่อยู่กันมา เรากันเองแทบจะไม่ได้ทะเลาะกันในเรื่องของเรากันเองเลย มีแต่เรื่องของพวกญาติพี่น้องเค้าทั้งนั้นเลยที่มายุ่ง แล้วทำให้เรามีปัญหากัน

เราอยู่ของเรากันเฉย ๆ แต่พวกเค้า เข้ามายุ่งกับเรากันทั้งนั้น และทุกเรื่องด้วย ทุกเรื่องจริง ๆ ที่ผ่านมา แต่พอมันกระทบเรา เรามีปฏิกิริยา ก็กลายเป็นว่าเราผิด เราไม่ดี ถ้าจะให้ดี คือเราต้องเฉย ๆ ยอมรับกับสิ่งที่พวกเค้ากระทำทุกอย่าง ห้ามหือ ห้ามอือ เพราะพวกเค้าคิดจะทำอะไรกันก็ทำ เอาแต่ความคิดตัวเอง และพยายามยัดเยียดความคิดตัวเองให้คนอื่นเสมอ พอเค้าไม่ทำตาม ไอ้คนนั้นก็กลายเป็นคนไม่ดี ใช้ไม่ได้.....แล้วอย่างนี้จะอยู่ได้ยังไง

มันถึงได้มีทางออกแล้วสำหรับเรา สามีเราเค้าตัดสินใจจะไปทำบ้านของเราที่พ่อ แม่ เราอยู่ตอนนี้ ที่บางแค แล้วจะกลับไปอยู่ด้วยกันที่นั่น เพราะบ้านเราก็ไม่มีใคร มีพ่อ แม่ อยู่กันแค่สองคน ไม่มีใครดูแลด้วย เพราะเราเองก็ไม่มีพี่น้องแล้ว (เคยมีน้องชาย แต่เสียชีวิตไปแล้ว) ก็เลยจะเป็นข้ออ้างที่จะย้ายไปได้ ว่าถึงเวลาที่เราจะต้องไปดูแลทางโน้นบ้างแล้ว เพราะทางนี้มีลูกหลานเยอะแยะ ทางโน้นไม่มีใครเลย ไปแบบไม่ให้น่าเกลียดนิดนึง แต่ยังไม่ได้บอกใครทางนี้ รอให้ทำบ้านใหม่ให้เสร็จเรียบร้อยดีก่อนสักพัก ก็คงต้องใช้เวลาอีกเกือบปี กว่าจะเรียบร้อย ก็ต้องทน ๆ ต่อไปอีกสักพัก

ในช่วงอีกสักพักเนี่ยสิ ไม่รู้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกรึเปล่า หวังว่าคงยังทนได้ต่อไป ไหน ๆ ก็ทนมาได้ขนาดนี้แล้ว มีเรื่องมีราวมากมาย เราก็ไม่เคยพูด เคยบ่นหรือว่าให้พวกเค้าได้ยินจากปากเราเองสักครั้งก็ไม่มี เงียบเป็นเป่าสากเลย ถ้าเป็นประเภทคนที่ปากไว ๆ หน่อย คงได้มีด่ากันไปหลายยกแล้วมั้ง

ตอนนี้เลยดีใจที่มีทางออกให้เห็นแสงสว่างขึ้นมาบ้าง แต่ก็ต้องไปลำบากอย่างอื่นแทน ไหนจะเรื่องเงินที่จะทำบ้านใหม่ ก็ไม่ใช่น้อย ๆ ย้ายไปแล้ว ก็ยังต้องเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านอีก จิปาถะเลย.....แต่มันก็ต้องแลกกันแหละ เพื่อความสบายใจ และความสงบสุขของครอบครัว

ตอนนี้ก็เลยยุ่ง ๆ กับเรื่องบ้านที่จะทำใหม่กัน ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมามัวคิดมากกับเรื่องคนที่นี่.....ทำไปถึงไหนแล้ว ไว้ค่อยมาเล่าสู่กันฟังต่อไปวันหลังนะจ๊ะ วันนี้ดึกมากแล้ว พิมพ์เพลินไปหน่อย ไม่ได้ระบายกับใครเลย ได้โอกาสเอาซ๊ะยาวเลย ไปนอนก่อนหละ




 

Create Date : 04 กันยายน 2548
0 comments
Last Update : 5 กันยายน 2548 14:54:43 น.
Counter : 323 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


iamebi
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add iamebi's blog to your web]