อารูชา : น้ำตกที่ตีนเขาและพวกเขาที่ตีนน้ำตก
เพื่อนรักที่เรียกว่า Best Friend ในภาษาอังกฤษมาเยี่ยมเยียนผมที่เคนยาเป็นครั้งที่สองในรอบสี่ปี และมาในช่วงเดือนสุดท้ายของผมในเคนยาและทวีปแอฟริกาแห่งนี้ จึงจัดโปรแกรมท่องเที่ยวเป็นพิเศษเอาใจเพื่อน บอกว่าเอาใจเพื่อนให้ดูดีไปงั้นเอง จริงๆ เอาใจตัวเองด้วยครับ เพราะการเดินทางมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติในเมือง Arusha ประเทศแทนซาเนียครั้งนี้เป็นการสนองนีดตนเองที่อยากจะเที่ยวชมซาฟารีของประเทศอื่นที่ไม่ใช่เคนยาบ้าง เคนยาเรียกว่าไปกันครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แม้ว่ามีอุทยานแห่งชาติอีกหลายสิบที่ที่ยังไม่เคยไป แต่ไฮไลท์ไปครบแล้วแน่นอนการไปเที่ยวแทนซาเนียจึงเปรียบเหมือนการเอาใจเพื่อน สนองตัณหาตนเอง และเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศที่ไม่ใช่เคนยาในเวลาเดียวกัน ตกลงกับบริษัทนำเที่ยวท้องถิ่นที่มีสำนักงานในเมืองอารูชา ซึ่งค้นหาอยู่นานกว่าจะเจอ ไม่รู้ว่าทำไมบริษัทนำเที่ยวในแทนซาเนียหลายบริษัทจึงมีสำนักงานในอังกฤษหรือแอฟริกาใต้ จะไม่ให้เงินทองกระเด็นให้คนแทนซาเนียเจ้าของประเทศบ้างหรือไงนะ บริษัททัวร์ที่ผมติดต่อได้ ขอแนะนำและบอกต่อไว้ ณ ที่นี้เลยว่าดีทีเดียว ทั้งราคาและบริการ ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นคนพิเศษและมีความหรูหรากว่านักท่องเที่ยวของบริษัทอื่นๆ อย่างออกหน้าออกตา บริษัทเขาชื่อ Bramwel Safaris ไปค้นหาข้อมูลอื่นๆ เอาเองละกัน ไงๆ ก็ช่วยกันสนับสนุนคนท้องถิ่นดีกว่าครับตกลงซื้อทัวร์ในราคา 380 เหรียญสหรัฐต่อคน ไม่ต่อสักบาทเพราะคิดว่าเหมาะสมแล้ว ราคานี้รวมอาหาร ที่พัก ค่าเข้าพาร์ค รถซาฟารี ไกด์ซึ่งก็คือคนขับรถ และกุ๊กปรุงอาหารในระยะเวลาสองวันสามคืน แต่บล็อกนี้ยังไม่ได้แตะโปรแกรมทัวร์เลย มันจะเป็นวันแรกที่เราเดินทาง(ด้วยการขับรถจากกรุงไนโรบี)ไปถึงเมืองอารูชา ซึ่งนับว่าเป็นวันว่าง แต่เจ้าของบริษัททัวร์ผู้ชาญฉลาดก็ได้จัดทริปให้เราไปหาอะไรทำและเสียสตางค์กันจนได้ พูดนี่ไม่ได้เสียดายนะ เพราะสิ่งที่เขาจัดให้ถูกใจผมมากขับรถจากกรุงไนโรบีตอนเจ็ดโมงครึ่งมาถึงเมืองอารูชาประมาณตอนเที่ยง เจอตา Freddy เจ้าของบริษัททัวร์แล้ว ชำระเงิน บรรยายสรุปสั้นๆ แล้วก็ชวนกันขับรถที่ผมเอามาไปเมืองโมชิกันทันที เป็นเมืองที่ห่างไปจากอารูชาประมาณ 80 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เพราะมีรถบรรทุกวิ่งหนาแน่นและบางช่วงต้องชะลอความเร็วเพราะเกรงใจตำรวจผมตื่นเต้นเป็นพิเศษที่ได้ไปเมืองโมชิอีกครั้ง เพราะเป็นเมืองตีนภูเขา Kilimanjaro และผมมีความหลงใหลใฝ่ฝันผูกพันกับภูเขาลูกนี้เป็นพิเศษ ไม่รู้ไปชอบอะไรมันนักหนา บางอย่างในชีวิตก็ไม่มีเหตุผลนะ หวังว่าจะได้วิวสวยๆ ของภูเขาลูกนี้มาลงใน timeline บ้างก็เท่านั้น แต่โปรแกรมหลักที่เราได้จ่ายไปคนละ 35 เหรียญในวันนี้ คือ การเดินเท้าไปยังน้ำตกที่อยู่ตีนเขาคีลีมานจาโรที่มีชื่อว่า Mnambe แปลว่าลูกคนโตมาเจอไกด์นาย Mussa และคนเฝ้ารถนาย Abu ที่จุดนัดหมาย แต่ภายหลังคนที่คิดว่าจะเฝ้ารถให้เราตอนเอารถไปจอดทิ้งไว้ที่น้ำตกได้กลายเป็นไกด์ขึ้นมาอีกคน จึงทิ้งรถเอาไว้และเดินไปน้ำตกด้วยกันระยะทางจากจุดนัดพบเขาไปยังน้ำตกมีถนนลาดยางช่วงหนึ่งและลูกรังอีกช่วงหนึ่ง รถผมซึ่งในตอนนั้นได้ตกลงขายให้คนอื่นไปแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งมอบจึงถูกขับอย่างระมัดระวัง เพราะจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่รถผมแล้วล่ะ กลัวไปอยู่กับเจ้าของใหม่แล้วมันงอแง เขาจะด่าเอาได้ ใช้ระยะเวลาช่วงนี้นานกว่าที่คิด ประมาณ 1 ชม. กว่าๆมาถึงจุดจอดรถ เอาของใช้จำเป็นและของมีค่าใส่เป้สะพายหลัง ไกด์ทั้งสองรับบทหนักแบกทั้งอาหารและเครื่องดื่มสำหรับมื้อเที่ยงของเราที่น้ำตกประหลาดใจในตอนแรกแต่ดูน่ารักในตอนหลัง คือ ไกด์ทั้งสองคนไม่ใส่รองเท้า นึกว่ายากจนมากจนไม่มีรองเท้าใส่ ที่ไหนได้ เขาอยากจะสัมผัสธรรมชาติให้ใกล้ชิดที่สุด น่าชื่นชมและบ้านๆ ดี เขาชวนพวกผมถอดด้วยนะ แต่ดูแล้วไม่ใช่เวย์เขาบอกว่าเดินประมาณ 20 นาที ไม่นานเลยหากเปรียบเทียบกับที่ผมเคยตะบี้ตะบันเดินข้ามเมาท์เคนยามาแล้วสี่วันเต็มผมไม่บ่นและเอนจอยการถ่ายรูปธรรมชาติที่สวยงาม แต่คนหนึ่งที่ผมคิดไว้แล้วว่าต้องไม่มีความสุขกับการเดินระยะทางขนาดนี้ คือ เพื่อนรักของผมนั่นเอง แม้ไม่บ่นอุบเหมือนตอนไปเดินขึ้น Mt. Longonot แต่หน้าตาดูไม่เปี่ยมสุขอย่างผมและคนอื่นๆแต่เธอก็ทนเดินจนถึงในที่สุด โดยทั้งผมและไกด์ต่างชวนให้ดูนกชมไม้และคุยเรื่องสัพเพเหระให้เธอลืมเหนื่อยเมื่อยล้าไปตลอดทางเป็นผลดีเพราะทุกครั้งที่บอกให้เธอโพสต์ท่าถ่ายรูป เธอจะดูมีชีวิตชีวาและกำลังใจในการเดินหน้าต่อได้อีกหน่อยผลหมากรากไม้ ดอกไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ ตีนเขาคีลีมานจาโรนี้เป็นแหล่งปลูกกาแฟที่สำคัญของแทนซาเนียอีกแหล่งหนึ่ง แม้ไม่ได้เป็นคนดื่มกาแฟเป็นล่ำเป็นสัน แต่บอกได้ว่ากลิ่นของกาแฟแทนซาเนียหอมหวลชวนดื่มกว่ากาแฟของทุกชาติในเขตแอฟริกาตะวันออกเลย คนที่ดื่มยังกล้ายืนยันว่ารสชาติชนะเลิศเช่นกันไกด์ผู้มีจิตสำนึกรักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ชี้ให้ดูต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปีที่ชาวบ้านเข้ามาลักลอบตัด แต่รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้หรือไม่อยากทำอะไรก็มิทราบได้ หน้าตาเขาเจ็บปวดมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้คำคมหนึ่งจากไกด์ Abu ที่ผมชอบมาก เขาบอกว่าการมาเที่ยวในธรรมชาติแบบนี้ สิ่งเดียวที่เราควรจะเอาไป คือ ความทรงจำ และสิ่งเดียวที่เราควรจะทิ้งไว้ คือ รอยเท้าและแล้วเราก็เดินเท้ามาถึงน้ำตก Materuni โดยใช้เวลาไปทั้งสิ้น 45 นาที ชื่่อลูกคนโตเพราะเป็นน้ำตกแรกในละแวกตีนเขาคีลีมานจาโรนี้ที่ถูกค้นพบน้ำตกสูงพอสมควร ไม่มีข้อมูลว่าสูงเท่าไหร่ แต่กะด้วยสายตาไม่น่าจะเกิน 100 เมตรน้ำใสสะอาดเพราะเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ละลายมาจากหิมะบนยอดคีลีมานจาโร น่าลงไปดำผุดดำว่ายชำระเหงื่อไคลยามแดดตรงหัวเช่นนี้เป็นอย่างมากแต่ความใสมาพร้อมกับความเย็นยะเยือกเพราะเป็นน้ำจากหิมะที่ละลาย ทำให้คนที่ชอบเล่นน้ำแต่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างผมลงไปได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น แม้พยายามกลั้นใจเอาอีกครึ่งตัวที่เหลือลงไปแช่ให้ได้แต่ก็ไม่สำเร็จ ทนความเย็นยะเยือกถึงตับไตไส้พุงไม่ไหวจึงได้ขึ้นมานั่งตากแดดให้ตัวดำเล่นและนั่งชมความงามของน้ำตกให้น้ำกระเซ็นใส่หน้าไปอย่างนั้นน้ำตกกระแทกพื้นด้านล่างไม่ว่าจะถ่ายมุมไหนก็เห็นรุ้งชัดเจนสวยงาม คงไม่บ่อยที่จะได้อยู่ใกล้ชิดรุ้งกินน้ำขนาดนี้อาหารกลางวันเบาๆ ตามที่เราร้องขอ คือ หอมหวานและให้พลังงาน ไกด์จึงได้เลือก กล้วย มะม่วงและสับปะรด พร้อมน้ำเปล่าขวดใหญ่ ในยามที่ไม่มีตัวเลือกและหิวโหยเช่นนี้ เท่าที่จัดให้ถือว่าดีมากแล้วทานผลไม้ไป ลงไปแช่ตัว(ท่อนล่าง)ไป ถ่ายรูปไปเพลินๆ เริ่มรู้สึกว่าแดดร้อนจัดและไม่มีที่ที่เราสามคนจะหลบแดดได้พร้อมๆ กันจึงได้ชวนกันเดินกลับ โดยได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกร่วมกันหน้าน้ำตก สำหรับเพื่อนสาวผมคงเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่พอสมควร ตรวจสอบอีกครั้งว่าไม่ได้ทิ้งอะไรไว้นอกจากรอยเท้าตอนกลับออกมา ผมขับรถด้วยความรีบร้อนเนื่องจากไปแวะชมชาวบ้านทำกาแฟอยู่พักใหญ่และเกรงว่าจะเดินทางกลับไปถึงเมืองอารูชาค่ำมืด ตาไม่ค่อยดีแล้ว ขับกลางคืนเหมือนคนมองเห็นครึ่งเดียวจู่ๆ ไกด์ Abu สุดหล่อตะโกนให้ผมเบรกตัวโก่ง บอกว่าจอดให้เขาฉี่หน่อย คงเยี่ยวจะเล็ดแล้วมั้ง ที่ไหนได้ พอหันไปเขาชี้ให้ดูยอดคีลีมานจาโร ซึ่งบัดนี้เมฆหมอกได้เคลียร์ออกไปแล้ว ช่างมีกลเม็ดเด็ดพรายเซอร์ไพรส์ลูกค้าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแอฟริกาและอันดับที่สองของโลกตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่ ผมกระโดดลงรถไปพร้อมกล้องถ่ายรูปและกล้องส่องทางไกล ยืนชื่นชมอยู่พักใหญ่ๆ ไม่พูดไม่จากับใครทั้งสิ้น สำหรับผมยอดเขานี้สวยงามจับใจจนแค่ยืนมองเฉยๆ ก็มีความสุขแล้วสิ่งหนึ่งที่ตั้งใจจะทำแต่คงไม่มีโอกาสและเวลาแล้ว คือ พิชิตคีลีมานจาโรลูกนี้ แต่ใครจะไปรู้วันหนึ่งผมอาจจะมีทั้งเวลาและโอกาสได้กลับมาปีนก็ได้ครับ ขอติดเอาไว้ก่อนกลับออกมาถึงตัวเมืองโมชิเป็นเวลาพระอาทิตย์อัสดง ไกด์ซึ่งทราบแล้วว่าผมหลงใหลวิวภูเขายอดหิมะนี้มากได้พาพวกเราไปบริเวณท่ารถของเมืองโมชิพาขึ้นไปชั้นบนซึ่งว่ากันว่าเป็นจุดชมวิวคีลีมานจาโรยามพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดในโมชิเป็นจริงดังคำบอกกล่าว พระอาทิตย์ตกอยู่เบื้องหลังพวกเรา ทำให้ฉากเขาคีลีมานจาโรที่กอดรัดเมืองเล็กๆ อย่างโมชิดูสวยงามโดดเด่นยอดเขาสีทอง หิมะขาวโพลนกล้องง่อย ไม่มีแฟลช ไม่มีขาตั้ง ก็สามารถจับภาพแจ่มๆ ได้หลายภาพต่อไปจะกลายเป็นภาพประดับห้องผมให้เหมือนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของคีลีมานจาโรทุกวันให้เงินตอบแทนไกด์ไปเล็กน้อย ด้วยความขี้เกรงใจแต่งกสไตล์คนไทย จึงบอกไปว่ามูลค่าไม่มากแต่แทนคำขอบคุณและความชื่นชมที่เรามีต่อคุณละกันนะ ไกด์ Abu ตอบเป็นคำคมอีกเช่นเคย It may not be a lot but it means a lot.ขับรถกลับเมืองอารูชาตอนกลางคืนจนได้ เพ่งจนปวดตาแต่ก็เข้านอนในคืนนั้นพร้อมภาพคีลีมานจาโรสวยๆ ในหัว
จองตั๋วไปด้วยคน
น่ารักดีนะถอดรองเท้าเดิน จะได้สัมผัสกับธรรมชาติ
5555+
*^_____^*