คอโมโรส : ภูเขาไฟยังไม่ดับกับลาวาร้อนระอุ คนละเรื่องเดียวกัน
มีโอกาสได้กลับไปประเทศคอโมโรสอีกครั้งในช่วงท้ายปลายปีโดยไม่เคยคิดว่าจะได้กลับไปอีก (จริงๆ นะ) หมายมั่นปั้นมืออย่างแน่วแน่ว่าจะไปพิชิตภูเขาไฟยังไม่ดับที่มีชื่อว่า Karthala ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับเพียงไม่กี่ลูกในโลกกลมๆ ใบนี้ แถมยังเป็นภูเขาไฟที่มีปากปล่อง (crater) กว้างที่สุดในโลกเสียด้วย
ปีนป่ายภูเขาไฟยังไม่หนักใจเท่าการขออนุญาตเจ้านายแว่บระหว่างไปทำงานนี่ซิ ผมจึงค่อยๆ เรียบเรียงความกล้า ความคิดและคำพูดบอกเจ้านายถึงความประสงค์ที่แน่วแน่ในการปีนภูเขาไฟของผม โดยเหตุผลที่น่าจะเข้าตาและสร้างความเข้าใจให้แก่เจ้านายผมที่สุดที่ผมยกอ้าง (แต่ไม่ได้ยกเมฆ) คือ ครั้งนี้เป็นการเดินทางมาคอโมโรสครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางกลับประเทศไทยและยังพอมีเรี่ยวมีแรงปีนเขาไหวในวัยสามสิบกว่าๆ ที่สำคัญ มีที่เที่ยวในแอฟริกาไม่กี่แห่งหรอกที่ผมตั้งใจจะไปให้ได้หลังจากปฎิบัติงานในทวีปนี้มาเกือบสี่ปี เจ้านายผู้ใจดีเข้าใจและให้โอกาสครับ เพียงแต่กระซิบเบาๆ ว่าอย่าให้เสียงาน ระดับนี้แล้ว ได้ทั้งเที่ยวได้ทั้งงานชัวร์
หลังจากปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายเรื่องงานเสร็จสมบูรณ์ ไกด์ซึ่งกลายเป็นพี่ชายแท้ๆ ของคนรับจ้างพายเรือพาผมเที่ยวรอบเกาะเมื่อวันก่อนหน้านี้โดยบังเอิญ มารับผมที่โรงแรมตอนตีห้าครึ่งของเช้าวันที่อากาศดีวันหนึ่ง นอนไม่ค่อยหลับหรอกครับ ตื่นเต้นจะได้เห็นปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ จินตนาการไปต่างๆ นาๆ
กว่าจะพาไปแวะรับอาหารกลางวัน ขนม ผลไม้และน้ำดื่มที่บริษัททัวร์และนั่งรถต่อไปถึงจุดเริ่มเดินก็ 6 โมงเช้าพอดิบพอดี
ไกด์ผมชื่อว่า Hussein คุยทักทายชาวบ้านแถวนั้นซึ่งก็มีอาชีพรับหิ้วสัมภาระของนักปีนเขากันแทบทั้งนั้น แต่คนที่เป็นไกด์ได้ต้องได้รับการอบรมและใบอนุญาตเป็นพิเศษ เกาะเล็กๆ ครับ รู้จักกันหมดทั้งเกาะละมั้ง
ไกด์บรีฟให้ฟังว่าปกติเขาจะนิยมตั้งแคมป์กันบนเขาหนึ่งคืนเพื่อไม่ต้องเดินขึ้นและลงในวันเดียว แต่ด้วยเวลาที่จำกัดของผม เราจำเป็นต้องเดินให้ถึงปล่องภูเขาไฟและกลับลงมาภายในวันเดียว ดังนั้น การรักษาเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญ และแล้วเราก็เริ่มออกเดิน
ช่วงแรก มีทางเดินให้เดินอย่างดี เดินสบายเพราะยังมีเรี่ยวแรงและความตื่นเต้น ยังคงสวนทางกับชาวบ้านที่เข้าไปหาของป่าเป็นระยะ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง รอบบริเวณยังคงเป็นป่าเขียวชอุ่ม แดดตอนเช้าเริ่มส่องสว่าง แต่หน้าผมเต็มไปด้วยเหงื่อที่บัดนี้ได้ชะล้างครีมกันแดดจนหมดสิ้น ผมเดินไปหยุดถ่ายรูปไปและแอบอู้ไปด้วย
ไกด์ส่วนตัวผมเดินนำลิ่วเลยครับ ไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยและดูไม่แยแสกับลูกทัวร์อย่างผมเลยสักนิด
ลำธารหินลาวานี้ เมื่อครั้งภูเขาไฟระเบิด เป็นช่องทางของลาวาร้อนๆ ที่ไหลจากปล่องภูเขาไฟลงสู่ทะเล ปัจจุบันเป็นลำธารในหน้าน้ำหลากครับ
ผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ผมขอนั่งพักอย่างเป็นเรื่องเป็นราวและขอทานอะไรก็ตามหวานๆ ที่ไกด์มี เข้าใจคนที่เป็นเบาหวานแล้วว่าเวลาขาดน้ำตาลเฉียบพลันอาการประมาณไหน
ขึ้นจนมาถึงระดับที่ผมคิดว่าสูงพอสมควรแล้ว ยังอุตส่าป๊ะกับชาวบ้านที่มาหาของป่าอีก คนที่เขาเดินกันทุกวันยังนั่งหอบแฮ่กเลย แล้วผมจะเหลือเหรอครับ
วิวและต้นไม้ระหว่างทางเริ่มเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศและความสูง
ไกด์ซึ่งไม่รู้เกลียดอะไรผมนักหนา ยังคงเดินนำลิ่วๆ เหมือนเดิม บอกให้ผมเร่งฝีเท้าเพราะจุดพักกลางทางใกล้เข้ามาแล้ว ผมเร่งสุดชีวิต จะได้พักขาเสียที แต่ยิ่งเร่งยิ่งหมดเรี่ยวแรง แข็งใจฝืนก้าวเท้าไปข้างหน้า
และแล้วก็มาถึงจุดพักกลางทางซึ่งคนทั่วไปจะตั้งแคมป์ที่นี่เพื่อเตรียมตัวเดินขึ้นปล่องในวันรุ่งขึ้น แต่คนไม่ทั่วไปอย่างผมได้ใช้เป็นแค่จุดพักหายใจและทานของว่างเท่านั้น
มาถึงจุดนี้ ผมเดินมาแล้ว 3 ชม. ขาเริ่มชาไร้ความรู้สึก ถอดรองเท้าพักเท้า ทานขนมที่ผมเตรียมไป น้ำผลไม้และกล้วยที่ไกด์เตรียมมา นั่งรับลมเย็นๆ พร้อมสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับไกด์ไปเรื่อยเปื่อย
ทานอาหารว่างและพักขาเสร็จ เดินสำรวจบริเวณแคมป์เล็กน้อย ไกด์กดดันให้ผมเริ่มเดินต่อ ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเราไม่ได้ค้างคืนนี่หว่า เอ้า เดินก็เดิน
การเดินเท้าหลังจากจุดพักกลางทางนี้ ความสนุกสนานในการเดินและความสุนทรีย์ในการชมวิวทิวทัศน์เริ่มหมดไปทีละน้อย เหมือนน้ำที่แห้งเหือดจากบ่อในหน้าแล้ง กลายเป็นการฝืนใจเดินและหยุดพักแทบจะทุก 10 นาที
วิวอะไรก็ยังสวยงามดีอยู่หรอก
ถ่ายรูปมาไม่เห็นไกด์ในเฟรม ไม่ต้องตกใจนะครับ เขายังอยู่ดีมีสุข เพียงแต่เขาเดินทิ้งห่างผมเป็นโยชน์เลย
ไม่กลัวว่าผมจะเดินหลงทางเลยสักนิด คงเพราะรู้ว่ามีหินที่เจ้าหน้าที่เขาทำเครื่องหมายไว้เป็นระยะ
เหนื่อย หิว โกรธ จนต้องเรียกให้ไกด์หยุดเป็นทีๆ เพื่อขอกล้วยและลูกอมมาทานประทังความเหนื่อยและหิว ไม่เคยทานกล้วยตอนไหนอร่อยเท่าตอนนี้เลย
พื้นที่สูงขึ้นทำให้เริ่มเห็นพืชพันธุ์บางชนิดที่เคยเห็นตอนไปปีนเมาท์เคนยา แต่จะให้แปลกตานานาชนิดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหรือยอดเป็นหิมะอย่างเมาท์เคนยาคงไม่มี เพราะภูเขา Karthala มีความสูงเพียง 2,361 เมตรเท่านั้น
ดอกอะไรไม่รู้คล้ายดอกคุณนายตื่นสาย ตอนปีนใกล้ถึงปล่องมีกระจายอยู่ทั่วไป แต่แปลกที่เฉพาะดอกสีขาวที่ยังบานอยู่เมื่อเจอแดดแต่ดอกสีอื่นหุบไม่สู้แดดเลย ทั้งที่เป็นต้นเดียวกัน
5 ชั่วโมงครึ่งผ่านไปไกด์จึงบอกให้ชื่นใจว่าปล่องภูเขาไฟ Karthala ที่พวกเรามุ่งพิชิตอยู่ห่างอีกไม่กี่อึดใจแล้ว แต่เราต้องเดินฝ่าทะเลทรายเบื้องหน้าไปก่อน
ภูมิประเทศเบื้องหน้าดูแปลกตามาก อยู่ดีๆ ก็เป็นพื้นที่ทะเลทรายที่สุดแสนจะแห้งแล้ง ทั้งที่ถ้าหันหลังกลับไปก็มีต้นไม้เขียวชอุ่มเป็นทิวแถว
เราเดินข้ามทะเลทรายไปอย่างช้าๆ วิวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลมพัดเฉื่อยฉิว ชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
จะมีก็แต่ต้นไม้หน้าตาแปลกๆ ซึ่งดูยังไงก็ไม่รู้ว่าตายหรือยัง ผมจินตนาการว่ากำลังเดินอยู่บนดวงจันทร์โน่นแน่ะ
เมื่อเวลา 11.45 น. พวกเราจึงมาถึงปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับแห่ง Karthala ใจกลางประเทศคอโมโรส
ระหว่างที่ไกด์ผายมือไปว่านี่คือปล่องภูเขาไฟ Karthala ผมพยายามมองหาแอ่งโคลนเดือด ลาวาและกลุ่มควันโขมงตามจินตนาการภูเขาไฟที่ผมมีมาโดยตลอด
ซ้ายไม่มี ขวาไม่มี บนไม่มี ล่างไม่มี ที่ไหนก็ไม่มี ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้ผมถ่ายภาพไปบอกกับใครต่อใครได้ว่านี่คือปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ
ไกด์บอกว่าภูเขาไฟที่ยังไม่ดับหรือ active volcano ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีควันพวยพุ่ง มีโคลนเดือดปุดๆ หรือมีลาวาไหลเลี้ยงตลอดเวลา เพราะอาการเหล่านั้นจะมีต่อเมื่อภูเขาไฟปะทุและเราคงไม่ได้มายืนกดชัตเตอร์อยู่ตรงนี้
ที่เรียกว่ายังไม่ดับเพราะยังมีโอกาสปะทุหรือระเบิดได้ตลอดเวลา และในช่วงหลายสิบปีมานี้ ปะทุแทบจะทุก 7 ปี ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2005 นี่เอง
อ้าวนี่ก็เจ็ดปีแล้วซินะหลังจากการปะทุครั้งก่อน ถึงเวลาปะทุอีกรอบพอดิบพอดี นึกแล้วเสียวไปถึงไส้ ปะทุขึ้นมาจริงๆ ไม่ต้องคิดจะวิ่งหนีเลย ยืนท่าสวยๆ ไว้เผื่อใครมาเจอศพถูกเคลือบด้วยลาวาเป็นพอ
ไกด์ชี้ให้ดูว่าปล่องนี้ระเบิดล่าสุดเมื่อปี 1991 ซึ่งเป็นการระเบิดครั้งใหญ่
ปล่องโน้นเมื่อปี 2005
ไกด์ยังบอกอีกว่าพื้นที่ที่เรายืนอยู่นี้มันอาจจะระเบิดและกลายเป็นปล่องขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วแต่ความดัน ความร้อนและแม็กมาจะเลือกปะทุตรงจุดไหน
และในพื้นที่รัศมี 3 x 4 กม. รอบตัวพวกเรานี้เป็นปล่องของภูเขาไฟ Karthala ที่ขยายขึ้นทุกครั้งที่มีการปะทุ ปัจจุบันเป็นเจ้าของสถิติปากปล่องภูเขาไฟที่กว้างที่สุดในโลกด้วย การปะทุและระเบิดกว่า 20 ครั้งที่ผ่านมา ทำให้ลักษณะของปล่องภูเขาไฟเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งเคยมีทะเลสาบอยู่ในปล่องด้วยนะจะบอกให้
ปัจจุบัน ปล่องที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผมมันดูเหมือนเหมืองหินหรือภูเขาหินที่ถูกระเบิดเอาหินดินทรายไปใช้งานมากกว่า
ถ่ายรูปเพลินๆ หันไปอีกที ไกด์ Hussein เอาสำรับกับข้าวมาตั้งรอแล้ว รักษาเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเลยจริงๆ พ่อคุณ กินกันกลางลานกรวดลาวานั่นเลยครับ คลาสสิกดี
อาหารประกอบด้วย พาสต้าผัดซอสมะเขือคนละกล่อง ขนมปังฝรั่งเศส กล้วย เนย น้ำดื่ม เหนื่อยจนไม่หิวเลยครับ แต่จำต้องกินเพราะขาขึ้นใช้เวลาไปเกือบหกชั่วโมง ขาลงถึงจะใช้เวลาน้อยกว่าแต่ก็ต้องการพลังงานมหาศาลอยู่ดี
นั่งคุยกันไปกินกันไป เสียงก้องไปทั้งเขาเลยครับ เงียบสนิทไร้ผู้คน หากไกด์จะจับผมหมกทรายเพราะหมั่นไส้นี่ก็คงไม่มีใครรู้
น่าเสียดายที่ธรรมชาติที่สมบูรณ์และห่างไกลขนาดนี้ยังมีพวกมือบอนมาเขียนชื่อแสดงความทุเรศของตัวเองที่มาพิชิตเขาลูกนี้ได้อีก ไร้สำนึก อยากเขียนจริง เขียนลงบนทรายแบบผมนี่
ก่อนเริ่มการเดินทางขาลง ปล่องภูเขาไฟในตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกโดยทั่ว ทำให้ดูเป็นภูเขาไฟขึ้นกว่าตอนไม่มีหมอกเยอะเลย แต่มันก็แค่หมอกไม่ใช่ควัน นึกถึงเพลงหมอกจางๆ หรือควันของพี่เบิร์ดขึ้นมา
ขากลับก็กลับเส้นทางเดิมแต่ไกด์ไม่ได้เดินทิ้งห่างมากอีกแล้ว มารู้ในภายหลังว่าเขาสบายใจแล้วที่ผมขึ้นถึงยอด คงได้ทำหน้าที่สมบูรณ์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง และขาลงก็ใช้เวลาน้อยกว่าด้วย
เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด ขาลงแม้ไม่เหนื่อยหอบเหมือนขาขึ้นแต่เข่าและเล็บเท้าที่กระแทกรองเท้าทุกครั้งที่ก้าวเดิน ทำให้ผมทนไม่ไหวจนต้องขอยืมรองเท้าแตะที่ไกด์นำติดมาสวมใส่แทนรองเท้าเดินป่าในช่วงชั่วโมงสุดท้าย ปวดฝ่าเท้าเป็นบ้าเพราะพื้นเป็นหินกรวดตลอดทางแต่อย่างน้อยไม่ปวดเล็บเท้า ใครไม่เคยลองดูได้นะครับ นึกถึงพวกนักโทษสมัยก่อนที่เขาทรมานด้วยการตอกเล็บ มันเจ็บปวดอย่างนี้เอง
ผ่านไปสี่ชั่วโมงจึงเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่เราเริ่มเดิน จุดสังเกต คือ ต้นลิ้นจี่ใหญ่และหุ่นไล่กาที่ตอนแรกผมคิดว่าเป็นพิธีกรรมขับไล่ผีแม่ม่ายที่ระบาดจากบ้านเรามาถึงนี่
ไกด์พามาส่งเกือบถึงโรงแรม (เขาขอลงก่อนเพราะแท็กซี่ที่ผมต้องจ่ายเองขากลับถึงบ้านเขาก่อน) ตอนประมาณ 18.30 น. ไกด์ซึ่งผมรู้ประวัติส่วนตัวของเขาเกือบทั้งหมดหลังจากผจญภัยและคุยเป็นเพื่อนกันมากว่า 10 ชม. กล่าวชมผมว่าร่างกายแข็งแรงและใช้เวลาน้อยกว่าคนปกติซึ่งจะใช้เวลาขาขึ้นประมาณ 7 ชม. และขาลงประมาณ 5 ชม. ผมใช้ไป 5 ชม. และ 4 ชม. ตามลำดับ โถ พ่อคุณ เล่นเดินทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลย ไม่เร่งฝีเท้ายังไงไหว รวมแล้วใช้กำลังขาในการเดินเป็นระยะทางเกือบ 40 กม. นอกจากหยาดเหงื่อแรงงานที่เสียไปเทียบเท่ากับการรับจ้างทำนาซึ่งไม่เคยทำมาก่อนแต่แม่เคยบอกว่าเหนื่อยโฮกแล้ว ผมเสียเงินค่าไต่เขาให้บริษัททัวร์ไป 120 ยูโร หรือประมาณ 4,800 บาท และทิปไกด์ไปอีก 500 บาท ได้ของแถมเป็นอาการปวดไปทั่วสรรพางค์กาย และอาการป่วยที่ต้องพึ่งพาทิฟฟี่ก่อนนอนในคืนนั้น ไม่รู้จะบอกว่าผิดหวังหรือสมหวังดี ผิดหวังที่ไม่ใช่ภูเขาไฟตามจินตนาการ สมหวังที่ได้ไต่ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับและอาจพูดได้ว่าเป็นคนไทยคนแรกที่(สู้อุตส่า)มาไต่ภูเขาไฟลูกนี้ เพราะคงไม่มีคนไทยคนไหนเสียสติพอจะมาเที่ยวไกลขนาดนี้ ใครเสียสติปีนมาแล้วก็มาบอกเล่าเก้าสิบกันนะครับ
***************************
นับเวลาถอยหลังกลับเมืองไทย 1 เดือนกับอีก 12 วัน
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2555 |
|
3 comments |
Last Update : 17 ธันวาคม 2555 3:36:16 น. |
Counter : 3971 Pageviews. |
|
|
|
แอบเห็นลูกอมชาเขียวเราด้วย^^