อย่างเเรกเลย ข้อดี คือเราได้ติดต่อกับผู้ซื้อโดยตรง ได้สอบถามข้อมูลจากเจ้าของบ้านโดยตรง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการตัดสินใจ ส่วนข้อเสียเลยคือต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะ เพราะต้องติดต่อกับเจ้าของบ้าน ซึ่งเรื่องเวลาอาจไม่ตรงกัน

แล้วถ้าเราเลือก “โบรกเกอร์” ล่ะ จะเป็นอย่างไร
ถ้าติดต่อผ่านโบรกเกอร์ซึ่งมีข้อมูลบ้านหลายหลังอยู่ในมือ ก็มีโอกาสได้บ้านที่ถูกใจ ช่วยประหยัดเวลาของเรา เพราะโบรกเกอร์จะต้องหาข้อมูลและลงไปดูสถานที่จริง
นอกจากนี้เรายังสามารถถามข้อมูลเบื้องลึกที่โบรกเกอร์รู้ได้อีกด้วย เช่น บ้านอาจเคยเกิดเหตุการณ์ไม่ดีมาก่อน ราคาที่ถูกมากอาจทำให้ไม่น่าไว้วางใจ หรือบางหลังถูกทิ้งร้างมาหลายปี มีจุดบกพร่องที่เราไม่รู้ ก็เป็นหน้าที่ของโบรกเกอร์ที่ต้องไปสอบถามจากคนข้างบ้านว่าใครเป็นเจ้าของบ้าน หรือถ้าซื้อบ้านราคาถูก ผู้ขายก็อาจจะโยนภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ผู้ซื้อรับผิดชอบหมดเลยก็ได้
อีกหน้าที่สำคัญ คือ เช็คค่าใช่จ่าย ตั้งเเต่ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายร่วมกัน พวกค่าธรรมเนียม ค่าอากร
☺ค่าใช่จ่ายของผู้ขาย คือ ภาษีเงินได้ และถ้าผู้ขายขายบ้านก่อนครอบครองครบ 5 ปี ก็ยังต้องเสียค่าธุรกิจเฉพาะด้วย
☺ผู้ซื้อเองก็อยากรู้ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทั้งหมด
ก่อนวางเงินมัดจำ โบรกเกอร์ต้องตรวจเอกสาร ที่สำนักงานที่ดินตั้งแต่วันรับสัญญามาขายแล้วว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของคนที่คุยด้วยจริงหรือเปล่า พอใกล้ถึงวันโอนกรรมสิทธิ์ก็ต้องเช็คเรื่องการอายัดระหว่างที่ทำแนวทางตลาดมาบ้านหลังนี้หรือกับที่ดินแปลงนี้ไหม?
☺ถ้าผู้ซื้อต้องการสินเชื่อ บีซีพี ก็มีธนาคารที่เสนอเงื่อนไขดีๆให้เลือก ขึ้นอยู่กับเราจะเลือก
☺สามารถติดต่อธนาคารทุกที่ที่ลูกค้าต้องการได้
ตราวสอบเอกสารเสร็จเเล้ว โบรกเกอร์จะพาไปทำนิติกรรม โอนกรรมสิทธิ์ ทั้งที่สำนักงานที่ดิน ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ให้เป็นชื่อของเรา
ถ้าผู้ซื้ออยากต่อรองราคา โบรกเกอร์จะเป็นคนกลางรับฟังราคาที่เราต้องการ เเละไปเจรจากับผู้ขาย เพื่อให้ได้ราคาที่พอใจทั้งสองฝ่ายและตกลงซื้อขาย
หลังจากไล่เรียงข้อดีข้อเสียระหว่าง “หาเอง Vs ผ่านโบรกเกอร์” ว่าแบบไหนมันดีกว่ากัน เชื่อว่าผู้ที่สนใจจะซื้อบ้านมือสองคงได้คำตอบไว้ในใจกันเเล้ว อย่าลืมว่าการเลือกโบรกเกอร์ดีๆก็ถือเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน เพราะถ้าเลือกผิดแล้วล่ะก็จะส่งผลกระทบกับเราในระยะยาวเลยทีเดียว