อันความรักของแม่ที่มีให้กับลูกนั้น เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ สุดประมาณ จริงใจ และอบอุ่น ไม่มีความรักอันใดในโลกจะมาทดแทนได้ ความรักของแม่ไม่มีประมาณ และไม่มีวันที่สิ้นสุด ตราบจนสิ้นลมหายใจสุดท้ายของชีวิตของท่าน มามา หว่อเหินอ้ายหนี่ ตันซื่อเซื้ยงจ้าย หนี่ปุ๊จ้ายหว่อเตอะเซินเปียนเลอ
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
19 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
รวบรวมที่เดียว สิงค์โปร์ บาตัม ขอเชงเก้นวีซ่า สอบวัดระดับการเรียน ESOL






ตามประสาคนขี้เกียจ Smiley และไม่ค่อยจะถนัดกับการบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆผ่านตัวอักษรเท่าไรนักค่ะ
การที่เราทำบล๊อคนี้ขึ้นมา ตามประสาคนที่เรื่มมีอาการโรคขี้ลืมถามหาบ้างแล้ว แย่จัง Smiley
เราหวังเอาไว้ว่ามันอาจคงให้ความทรงจำกับเราในภายภาคหน้า แต่หากว่าเนื้อหาในนี้ไม่มีสาระ ก็ขออภัยผู้ที่เข้ามาเยี่ยมด้วยนะค่ะ

เรื่องที่ 1 ตามสามีไปเมืองบาตัม ประเทศอินโดนีเซีย

เดินทางไปจากเบอร์ดีน-อัมสเตอร์ดัม-สิงค์โปร์ 25 พ.ค. 2551 กลับมา วันที่ 13 มิถุนายน 2551 ด้วยสายการบิน KLM ราคาโปรโมชั้น 456 ปอน์ด หากไม่ได้ราคานี้เราอาจจะไม่ไป Smiley
ส่วนสามีไปกับสายการบินบริทิสแอร์เวย์ ราคาเต็ม เรานัดเจอกันที่สนามบินชางฮี ประเทศสิงค์โปร์ เครื่องของเราถึงก่อนประมาณ 2 ชั่วโมง

ตอนผ่านด่านศุลกากรที่ประเทศสิงค์โปร์ ไม่มีการถามอะไรเลย ผ่านได้อย่างฉลุย เหมือนกับครั้งแรกที่ได้ไปเมื่อปีที่แล้ว ช่วงเดือนกรกฎาคม 2550
แต่เป็นที่น่าเสียดายมากเลยครั้งนั้น ที่เราดันชื้อตั๋ว ไป- กลับ กรุงเทพฯ-สิงค์โปร์-กรุงเทพฯ เสียเงินไปตั้ง 6,450 บาท กับแอร์เอเชีย สายการบินราคาประหยัด อันนี้เราชอบมากค่ะขอบอก Smiley
อันที่จริงน่าจะซื้อตั๋วเทียวเดียว เพราะยังไงเราก็ต้องบินจากสิงค์โปร์
มาสก๊อตแลนด์อยู่แล้ว ด้วยวีซ่าแต่งงาน ทำไมถึงคิดไม่ได้ตอนนั้นนะ ก็เป็นเพราะเข้าไปซื้อตั๋วในเน็ต แล้วในเครื่องก็บอกว่าต้องมีตั๋วไป-กลับอ่ะดิ เสียดายเงินจริงๆเลย ไม่น่าโง่เลยตัวเรา ทำไมเพื่งจะมาคิดได้ตอนนี้นะ Smiley
ครั้งแรกที่ไปที่บาตัมอยู่ที่นั้นประมาณ 5 อาทิตย์ ก็ต้องเดินทางมา
ที่อเบอร์ดีนคนเดียว สามีให้เราเดินทางมาก่อน เพราะเธอต้องอยู่สอนพนักงานใหม่ของบริษัทบริต่ออีก 3 วัน

ครั้งนั้นนับเป็นครั้งที่ 2 ที่เรามาอเบอร์ดีน ครั้งแรกเรามาที่นี่ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว 6 เดือน เรามาพร้อมกับสามี การที่เราต้องบินจากสิงค์โปร์ก่อนสามี เพราะกลัวว่าหากเข้าอังกฤษช้ากว่ากำหนดที่วีซ่าออก 28 วัน เดียวจะมีปัญหาตอนขอวีซ่าถาวร

เราเคยเข้าไปตั้งกระทู้ถามในไกลบ้าน คำถามของเราอาจจะไม่ชัดเจนนัก เลยโดนประมาณเป็นเจ้าแม่แห่งไกลบ้านหละมัง เข้ามาให้ข้อมูลโดยการลงรูปประกอบเป็นรูป หมา และอื่นๆอีกมาก เราตั้งคำถามว่า หลังจากได้วีซ่าแต่งงานแล้ว สามารถอยู่เมืองไทยได้อีกกี่วัน ซึ่งเราเห็นรูปประกอบแล้วทำให้รู้สึกแย่มากๆกับคนๆนี้ และที่เธอตอบมานั้นเธอก็ไม่ได้รู้รายละเอียดในเรื่องนี้เลย เพราะเธอไม่เคยมีวีซ่าประเภทนี้ หลังจากนั้นเมื่อเรามาอยู่ที่นี่ เราก็เจอกับคำถามที่ถามคล้ายๆกับของเรามากมาย คือคนที่เข้ามาอังกฤษหลังวีซ่าออก 28 วัน เมื่อถึงเวลาต่อวีซ่ถาวรต้องต่อวีซ่าไปจนกว่าจะครบ 2 ปี หมายความว่าต้องต่อวีซ่า 2 ครั้งในเวลาใกล้เคียงกัน และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ จะต้องจ่ายเงินทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งค่าต่อวีซ่านั้น มันไม่ได้น้อยนิดเลย

ครั้งนั้นเราบินมากับบริทิส แอร์เวย์ โดยการชื้อตั๋วเทียวเดียว บินจาก สิงค์โปร์-ฮีทโธร์-อเบอร์ดีน ศุลกากรที่ฮีทโธวร์ ขอดูแค่ในสมรส เท่านั้น แต่ขอบอกว่าการตรวจเข้มงวดน่าดูเลยค่ะ ต้องถอดรองเท้าด้วย Smiley

เวลาที่เราไปเมืองบาตัม เราเลือกที่จะบินจากอเบอร์ดีนไปลงสิงค์โปร์ แทนที่จะบินไปลงที่บาตัม เพราะคุณสามีเธอไม่ไว้ใจเครื่องบินของอินโดนีเซีย กลัวเครื่องบินตกทะล Smiley

จากสิงค์โปร์ไปบาตัม เรานั่งเรือโดยสารไฮโดฟรอย์(หรือเปล่าไม่รู้) ใช้เวลาเพียง 45 นาที เท่านั้น ซื้อตั๋วไป-กลับ ใช้ได้ 1 ปี ราคา 70 ดอร์ล่าสิงค์
ขาเข้าบาตัมทางด่านเซกูบังไม่มีปัญหา มีแต่เด็กท่าเรือเข็นกระเป๋าไปใว้ที่รถของโรงแรมที่มารอรับ เธอขอทิปค่ะ ตอนแรกเราก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเขาพูดอินโดฯใส่เรา คงคิดว่าเราเป็นสาวอินโดฯมั้ง เราเห็นสาวอินโดฯแต่งกับฝรั่งก็หลายคู่อยู่นะ อย่างน้อยก็ 2 คู่ที่เพื่งรู้จักหละ โรงแรมที่เราพักเห็นมีฝรั้งที่เข้ามทำงานเยอะอยู่เหมือนกัน แถมยังมีบาร์เหมือนที่ พัทยา ภูเก็ต ซอยนานา เมืองไทย ด้วย อ่ะนะ มีฝรั่งที่ไหน มีบาร์ที่นั้นเนอะ ช่างคู่กันจริงๆ พับผ่าซิ

แต่ขาออกจากบาตัมเราออกทางด่านบาตัมเซ็นเตอร์ เจอเจ้าหน้าที่ขอเงิน 50 ดอร์ล่าสิงค์โปร์ Smiley เกิดอาการงงดิค่ะ เราเลยถามไปว่าอะไร เจ้าหน้าที่อีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้งส่งภาษาอินโดฯ คงจะบอกอีตาคนนั้นหละมังว่า อย่าอะไรทำนองนั้น

ไอ้หอกเอ้ย ทำไมตรูต้องให้เงินเมิงด้วยฟระ คิดว่าตรูหมูเหรอไงฟระ รู้หรอกเมิงคิดยังไงที่เห็นพาสปอร์ตไทย เพราะถามเพื่อนอินโดฯ เขาบอกว่า เจ้าหน้าที่มองผู้หญิงไทยที่เดินทางมาที่นี่ เป็นผู้หญิงอย่างว่า Smiley
พอผ่านมาได้ก็บอกสามี เหมือนกับที่เพื่อนอินโดฯที่เพื่งรู้จักบอกเราเลย ที่นี่มีการคอรับชั้นมากมายไม่ต่างจาก และคนที่นี่มองว่าคนอ้วยพุงโย้ถือว่าเป็นคนคอรับชั้น ฉะนั้นฝรั่งหลายพุงโย้ทั้งหลายที่อยู่ที่นี่เป็นคนคอรับชั้นทั้งหมด ฮ่าฮ่า

เรื่องที่ 2 ขอเชงเก็นวีซ่า

สามีมีวันหยุดเหลืออยู่อีก 1 อาทิตย์ หล่อนก็บอกให้เราตัดสินใจดูว่าเราต้องการไปเที่ยวประเทศอะไรในยุโรป และให้หาข้อมูลเอาไว้ หรือไม่ก็คงเป็นแค่ลอนดอน ส่วนตัวเราเองที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว ก็เลยหาข้อมูลว่าประเทศอะไรที่สะดวกที่สุดในการของเชงเก็นวีซ่า ปรากฎว่าเป็นประเทศเนเธอร์แลนด์ เพราะมีกงสุนอยู่ที่อเบอร์ดีนนี่เอง และไม่ไกลจากบ้านเราด้วย ใช้เวลาเดินจากที่บ้านไปที่กงสุนเพียง 30นาทีเท่านั้น วันอังคารที่ผ่านมากงสุนทำงานช่วงบ่ายโมง เราไปถึงที่นั้นประมาณ 12.45 น. มีคนรอคิวอยู่แล้ว 1 คน ผ่านไป ½ ก็ถึงตาเรา เจ้าหน้าที่อายุมากแล้ว ทำอะไรดูงกๆ เงิ่นๆอ่ะ เห็นคุณยายเจ้าหน้าที่เปิดตำราของแก (รายละเอียดของเอกสารมั้ง ) ตอนแรกบอกเราว่าต้องมีเอกสารมากมายกว่าที่เราเตรียมไป เราคิดในใจว่าหากยุ่งยากนักตรูก็ไม่ไปมันแล้วหละ ยุลง ยุโรป ไปแค่ลอนดอนก็ได้ฟระ ไม่เห็นอยากไปเลย ที่มาขอวีซ่าเพราะอีคุณสามีหล่อนอยากไปเที่ยวก็เท่านั้น เพราะคุณยายเจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามว่าเราขอวีซ่าประเภทไหน พอเราบอกว่าเราขอวีซ่าติดตามคู่สมรสค่ะ นี่ไงเอกสารที่เราเตรียมตามที่เราหาจากอินเตอร์เน็ต และได้อีแมวถามเจ้าหน้าที่ของกงสุลแล้ว อีกอย่างเธอยังไม่แน่ใจด้วยว่าค่าวีซ่าของเราเท่าไร เธอจะเก็บเราตั้ง 58 ปอน์ดแน๊ะ เธอเปิดดูในสมุดเล่มเล้กๆของเธอของเธอทุกหน้าก็ยังไม่ได้คำตอบ ดีนะที่เธอไม่รับบัตรเดบิต เพราะวันนั้นเราไม่มีเงินสดติดตัวเลย ไม่งั้นเราก็ต้องจ่ายไปตามที่เธอบอกครั้งแรกนะซิ และก้ไม่รู้ด้วยว่าจะได้คืนส่วนที่เหลือเมื่อไร หากว่าค่าวีซ่าน้อกว่าที่จ่ายไป ก็เลยต้องกลับมาที่กงสุนอีกครั้งในวันถัด

วันนี้ใช้เวลาแค่ 5 นาที เพราะคุณยายเจ้าหน้าที่เธอได้ประทับตราในสำเนาเอกสารเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่ไม่วายที่ยังไม่ได้ปั้มสำเนาพาสปอร์ตของเรา เราต้องบอกให้ปั้มให้ด้วย คุณยายก็บอกว่าเสร็จแล้ว จะคืนพาสปอร์ตสามีหลังจากที่ถ่ายเอกสารนะ แต่คุณยายเธอดันหยิบพาสปอร์ตของเราไปถ่ายเอกสาร แทนที่จะหยิบของสามี คุณนานเลยต้องเดินกลับไปหยิบมาใหม่ค่ะ คุณยายขาคุณยาย แล้วอีฉานจะได้วีซ่ามั้ยเนียะ คุณยายคืนพาสปอร์ตสามีหลังจากที่ถ่ายเอกสารเสร็จ เราถามคุณยายว่าใช้เวลานานแค่ไหนค่ะ คุณยายบอกว่าตอบไม่ได้ แต่คงไม่นานหรอก และเมื่อวีซ่าออกแล้ว (ยังไม่รู้เลยจะได้หรือเปล่า) เราต้องมารับด้วยตัวเองหรืออย่างไร คุณยายบอกว่าจะโทรฯมาบอก

ต่อจากนี้ก็ตั้งตาคอยโทรริสัพจากคุณยายค่ะ

เอกสารที่ใช้ในการขอเชงเกนวีซ่า

1.พาสปอร์ตของเรา พร้อมสำเนา
2.พาสปอร์ตของสามี พร้อมสำเนา ให้คืนในวันนั้นเลยค่ะ
3.ในสมรสตัวจริงพร้อมสำเนา ให้ตัวจริงคืน
4 สำเนาวีซ่าแต่งงาน
5ค่าวีซ่า 11 ปอน์ด
6.รูปถ่ายขนาด 1 ใบ

เรื่องที่ 3 สอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ วิทยาลัยอเบอร์ดีน สำหรับการเรียน ESOL

วันนี้มีนัดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ในการเรียน ESOL
ค่าสอบ 20 ปอน์ด ตอนบ่าย 2.30 - 4.30 น.

จ่ายเงินไปแล้ว เพิ่งจะมีจดหมายมาบอกเอาวันที่ 14 มิถุนายน ว่าที่เรียนเต็ม อารายกันฟระ เหมือนกับหลอกให้ตรูจ่ายค่าสอบฟรีๆยังงั้ย ยังงั้น เราเลยอีเมล์ถามว่า เราได้จองวันสอบวัดระดับเอาไว้แล้ว หลังจากที่เราสอบเราสามารถใช้ผลการสอบวัดระดับอันนี้ได้หรือไม่ และอย่างไร และเราต้องสมัครเรียนใหม่ก็คือ เราสามารถใช้มันได้ และต้องลงทะเบียนเรียนของเทอมหน้าใหม่

เออยังงี้ซิถึงถูกต้อง ไม่ใช่หลอกให้สอบฟรีๆนะโว้ย ก็รู้อยู่หรอกว่าคนสมัครเรียนคิวมันเยอะมาก แต่ตรูก็สมัครเรียนตั้งเนิ่นๆแล้วน่า ทามมายมันยังไม่มีที่เรียนอีกหละหว่า แล้วทำไมไม่แจ้งก่อนที่ตรูจะจ่ายค่าสอบว่ะหลังจากที่ได้ไปสอบวัดระดับ ก็มีโอกาศถามเจ้าหน้าที่รับสมัครที่นั้น ผลปรากฎว่าไอ้จดหมายฉบับนั้นมันเป็นการเรียนแบบเต็มภาพเรียนที่เราได้ตอบปฎิเสธไปแล้วก่อนหน้านี้ เพราะค่าเรียนมันแพงโคตรเลย เป็นหมื่นอ่ะ ไม่เอาหรอก สู้เก็บเงินส่วนนี้ไว้ในธนาคารไม่ดีเรอะ เรียนจบแล้วก็ใช่ว่าจะได้ทำงานใน
ออฟฟิตเสียที่ไหน แต่ทำไมยังส่งจดหมายมาให้อีกก็ไม่รู้

ผลสอบที่ออกมาได้ระดับ Pre-Intermediate

ระดับของการสอบวัดระดับ มีดังนี้

Beginners
Elementary
Pre-Intermediate
Intermediate
Upper Intermediate

มีข้อสอบมาให้ทำ คือ

1.การเขียน ½ หน้ากระดาษ เอ 4 เวลา 30 นาที
ให้เขียนว่าอาศัยอยู่ส่วนไหนของอเบอร์ดีน มีความรู้สึกยังไงกับที่นี่
และเขียนข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรฯ เบอร์อีเมล์

2.ข้อสอบปรนัย 40 ข้อ เวลา 30 นาที
ให้เติม Adjective / Adverb /Noun เราทำได้แค่ 25 ข้อเองอ่ะ แย่จัง

3.การพูด ติวเตอร์ที่จะสอนเราก็แค่ถามว่า

- อยู่ที่นี่นานหรือยัง
-เหตุผลที่มาอยู่ที่นี่
-เคยเรียนภาษอังกฤษมาก่อนหรือเปล่า
-สนใจที่จะลงเรียนเวลาไหน บลาๆๆๆ

เราได้ลงเรียนพาสไทม์ ระยะเวลาเรียน 19 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 2 ชั่วโมง
เรียนวันจันทร์และวันพุธ
ค่าเล่าเรียนจ่ายตามราคาที่มีวีซ่าแต่งงานคือ 130 ปอน์ด
เปิดเรียนวันที่ 25 สิงหาคม ถึงวันที่ 20 มกราคม 2552 ไม่มีอะไรฟรีเหมือนเมื่อก่อนนี้แล้วค่ะ และกฎหมายที่สก๊อตแลนด์ก็แตกต่างกับที่อังกฤษค่ะ



Create Date : 19 มิถุนายน 2551
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 15:01:13 น. 3 comments
Counter : 386 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะพี่ ยุ่งยากเหมือนกันนะคะ ต้องมาห่วงเรื่องวี แต่อีกเดี๋ยวคงใด้แหละพี่ คิดเสียว่าตอนนี้เด็กปิดเทอมเยอะ อาจจะมีคนที่ต้องขอวีไปเที่ยวเยอะ เลยยุ่ง( คิดดีมากเลยนะนี่) พี่ขาถ้าแวะอัมสเตอร์ดัมแวะเข้าพิพิทภัณฑ์แวนโก๊ะส์หน่อยนะคะ(เขียนยากจริงๆ คนความรู้น้อยถ้าผิดก็แก้ให้หน่อยนะคะ)

อยากไปมากๆ ดูชอร์ตเบรคก็พอมีแต่ต้องหิ้วลูกๆไปด้วยตอนนี้ต้องจนตายเลยค่ะ แต่อยากไปอัมสเตอร์ดัมมากๆ อยากไปเดินไดมอนด์สตรีท แค่เดินผ่านให้น้ำตาตกเล่นก็ยังดี


โดย: ลูกแมง วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:19:34:51 น.  

 

hi....


โดย: Cheria (SwantiJareeCheri ) วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:21:07:27 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะ สบายดีนะค่ะ คิดถึงจ่ะ



โดย: Madame Kp วันที่: 20 มิถุนายน 2551 เวลา:0:46:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กวนฐานฮวา ณ อเบอร์ดีน
Location :
ทับเที่ยง ตรัง Aberdeen United Kingdom

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เติบโตมาในตระกูลคนจีนแต้จิ๋ว ที่บุพการีทั้ง 2 หอบเสื่อผืน หมอนใบ อาศัยกิน-นอนใต้ท้องเรือ รอนแรมจากจังหวัดทางภาคใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ ในตำบลเก็กเอี๊ยะ มณฑลกวางตุ้ง จังหวัดซัวเถา ทางฝ่ายอาปา ส่วนอาหมะมาจากตำบลโผว่เล้ง จังหวัดซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง เช่นเดียวกัน
ท่านทั้ง 2 มากันคนละรอบมาเจอกันที่เมืองไทย มาขึ้นฝั่งทางภาคตะวันออกของประเทศไทย คิดว่าคงเป็นจังหวัดชลบุรี่ หรือไม่ก็คงเป็นจังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง อันนี้ท่านเองก็เรียกชื่อจังหวัดไม่ถูกค่ะ

ญาติพี่น้องของบุพการี่ที่มาด้วยกัน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปอยู่คนละจังหวัด ส่วนอาปาและอาหมะของเรา ลงมาปักหลักอยู่ที่ตำบลทับเที่ยง จังหวัดตรัง ไม่เคยย้ายไปไหนอีกเลย ตราบจนท่านทั้ง 2 สิ้นชีวิต เราภูมิใจที่สุดที่เกิดมาเป็นลูกของอาปาและอามะ เพราะท่านมีชีวิตอยู่แบบพอเพียง ไม่เคยเป็นหนี้ใคร หากเป็นหนี้ในการซื้อของมาขายก็จะรีบเอาไปใช้คืนในวันถัดมา รักท่านที่สุดเลย บ้านเปิดเป็นร้านโชวห่วยเล็กๆ ที่ท่านทั้ง 2 สามารถเลี้ยงดูเราทั้ง 10 คนจนเติบใหญ่มาจนทุกวันนี้


Friends' blogs
[Add กวนฐานฮวา ณ อเบอร์ดีน's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.