มุมมองของนักธุรกิจไทย
มุมมองของนักธุรกิจไทย ต่อการบูมเศรษฐกิจในจีน
The Grant Thornton International Business Owners Survey (IBOS) ทำการสำรวจเข้าของธุรกิจกว่า 7,000 ราย จาก 30 ประเทศ ในระหว่างปี 2548 ผลการสำรวจขององค์กรวิจัยอิสระต่อเจ้าของธุรกิจในประเทศจีน แสดงว่าเจ้าของธุรกิจในประเทศจีนมีทัศนคติในเชิงบวก(Optimistic) ต่อแนวโน้มการเติบโตมากกว่าประเทศอื่นๆในโลก โดยบาลานซ์หรือจำนวนต่างระหว่างสัดส่วนธุรกิจที่มีทัศนคติในเชิงบวก (optimistic) กับธุรกิจที่มีทัศนคติในเชิงลบ (pessimistic) หรือระหว่างสัดส่วนธุรกิจที่ดีขึ้นกับธุรกิจที่แย่ลงโดยมีเพียง 3 ประเทศ จากการสำรวจ 30 ประเทศ คือ อินเดีย ไอร์แลนด์ แอฟริกาใต้ ที่มีทัศนในแง่บวกทางเศรษฐกิจมากกว่าจีน
**ความท้าทายของจีนสู่เป้าหมายเศษฐกิจใหญ่ในโลก** ข้อบ่งชี้ทางเศรษฐกิจระดับนานาชาติอีกประการหนึ่ง แสดงว่า "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ" ในจีน ไม่ได้เกิดแค่กับธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แต่หยั่งลึกลงไปถึงระดับพื้นฐาน เช่น ธุรกิจขนาดกลาง โดยพบว่าธุรกิจขนาดกลางในจีน ต่างมั่นใจมากต่อการส่งออกในปีต่อไป โดยผลสำรวจแสดงตัวเลขบาลานซ์ หรือสัดส่วนระหว่างธุรกิจที่ดีขึ้นกับธุรกิจที่เลวลง +26% ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่มีความมั่นใจสูงสุด จากการสำรวจ 30 ประเทศ และผลการวิจัยยังแสดงว่า 40 %ของธุรกิจขนาดกลางในจีนทำการส่งออก ซึ่งตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับทางอียู(สหภาพยุโรป) นาฟตา (อเมริกา แคนาดา เม็กซิโก) และค่าเฉลี่ยทั่วโลก
**นักธุรกิจไทยชี้ธุรกิจแย่ลงจากการบูมเศษฐกิจจีน** จากการสอบถามเจ้าของธุรกิจทั่วโลก เรื่อง"ผลกระทบจากการบูมเศรษฐกิจในจีนต่อธุรกิจของตน" พบว่านักธุรกิจในกลุ่ม 12 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากยุโรปบอกว่า ไม่ได้รับผลกระทบ แต่อีก 13 ประเทศ ได้รับผลกระทบในทางบวก โดยในส่วนของนักธุรกิจไทยปรากฎว่าสัดส่วนระหว่างธุรกิจที่ดีขึ้นกับธุรกิจที่แย่ลงอยู่ที่ 39 ผู้ตอบการสำรวจจากประเทศไทยแสดงทัศนในแง่ลบมากที่สุดต่อเรื่อง การบูมของเศรษฐกิจในจีน ซึ่งเป็นในด้านลบมากที่สุดในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ ที่ล้วนได้รับผลดีทางเศรษฐกิจจากการบูมของเศรษฐกิจในจีนนี้ ปีเตอร์ วอคเกอร์, หุ้นส่วน แกรนท์ ธอนตัน ประเทศไทย , ให้ความเห็นว่า จากงานวิจัยบ่งชี้ว่าผู้นำทางธุรกิจไทยจำเป็นต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในด้านกลยุทธ์ต่อการบูมของจีน ขณะที่ผู้นำทางธุรกิจไทยบางกลุ่มมองว่าเป็นโอกาสอันดี มากว่าจะเป็นภัย นักธุรกิจหลายคนเห็นว่าธุรกิจของตนแย่ลง เป็นผลโดยตรงจากการเติบโตของจีน เห็นได้ชัดว่าจีนจะรักษาสถานการณ์นี้ต่อไป ดังนั้นธุรกิจไทยต้องเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันให้ทันกับข้อดีข้อเสียของจีน เมื่อถูกถามว่า จีนเป็นประโยชน์หรือภัย ต่อธุรกิจ, 35% ของนักธุรกิจไทยตอบว่าเป็นประโยชน์ และ 22% ตอบว่าเป็นภัย ข้อคิดสำหรับประเทศไทยคือ จงมุ่นมั่นไปที่โอกาส และพร้อมรับมือกับผลกระทบแง่ลบ
**การค้าระหว่างประเทศกับจีน(International trade with Mainland China)** การเติบโตของจีนในสายตาการค้านานาชาติ เห็นได้ชัดว่าประมาณ 1/5 ของธุรกิจในโลกต่างนำเข้ามาจากจีน จากการสำรวจ, ธุรกิจทั่วโลก 14% ส่งออกมาที่จีน ที่ไต้หว้น, อเมริกา, เยอรมัน, อิตาลี ตัวเลขขึ้นมาถึง 20% จากผลสำรวจ จีนเป็นลำดับที่ 4 ของประเทศเป้าหมายการส่งออก เปรียบเทียบกับลำดับ 6 ในปี 2003 การสำรวจเปิดเผยว่า 1ใน 10 ของธุรกิจทั่วโลก ได้ใช้สินค้าหรือแรงงานจากต่างประเทศ ฮ่องกงได้ใช้มากที่สุด ( 26% ของธุรกิจ) ตามด้วยอมริกา (18%) แหล่งแรงงานหรือสินค้าที่สำคัญในโลกก็คือ จีน 1ใน 3 หรือ 31% ของผู้ตอบการสำรวจได้ย้าย หรือเตรียมการย้ายการดำเนินงานแล้ว ประเทศถัดไปคือ อินเดีย (27%) ผู้ตอบการสำรวจน้อยกว่า 4% พิจารณาประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าหรือแรงงาน
ปีเตอร์ วอคเกอร์ สรุปว่า ประเทศไทยรวมถึงบรรดาบริษัทเอกชน ต้องพิจารณาอย่างจริงจังถึงความสัมพันธ์ กับจีน และสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ประเทศไทยต้องมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันหลายอย่าง ซึ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้มีข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจ, ส่งเสริมการส่งออก, ส่งเสริมความร่วมมือ และ โอกาสในการเป็นแหล่งผลิตสินค้าหรือแหล่งแรงงาน ตัวอย่างเหล่านี้รวมถึง บริการด้านการแพทย์, การศึกษา, พืชผลการเกษตร, การท่องเที่ยว ทาง แกรนท์ ธอนตัน จึงเสนอแนะให้บรรดาบริษัทไทย พิจารณาอย่างจริงจังในเรื่องการปรับกลยุทธ์ในการแข่งขันกับจีน
ที่มา: แกรนท์ ธอนตัน จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2239 29 ก.ค. - 01 ส.ค. 2550
Create Date : 31 กรกฎาคม 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2550 9:38:22 น. |
Counter : 966 Pageviews. |
|
|
|