|
ลุ้นสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี ผู้ส่งออกเร่งปรับตัวหาตลาดใหม่
ลุ้นสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี ผู้ส่งออกเร่งปรับตัวหาตลาดใหม่
 กรมการค้าต่างประเทศแจงผู้ส่งออกเร่งปรับตัวรับสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าบางรายการของไทย วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ พร้อมเร่งหาตลาดใหม่ทดแทน มั่นใจยังแข่งขันได้ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวคาดการณ์ว่า สหรัฐน่าจะประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) สำหรับสินค้าไทยบางรายการ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ยางรถยนต์ และโทรทัศน์สี ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ทำให้ผู้ส่งออกในกลุ่มดังกล่าวมีการปรับตัวและยอมรับได้ ซึ่งช่วงที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ส่งข้อมูลชี้แจงไปยังสหรัฐแล้ว หากสินค้าไทยถูกตัดสิทธิจริงก็ยังมั่นใจในคุณภาพและยังแข่งขันกับต่างประเทศได้ ขณะนี้ผู้ส่งออกได้ร่วมมือกับภาครัฐในการหาตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดีย และอีกหลายตลาดเพื่อชดเชยตลาดสหรัฐที่สูญเสียไป อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไทยน่าจะมาจากการที่ไทยส่งออกสินค้าเกินกว่าเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ไทยใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา โดยจากยอดการส่งออกสินค้าในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับเมื่อปี 2549 สูงถึง 1,054 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โทรทัศน์สี 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยางรถยนต์ 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ล้วนมีปริมาณสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนด แต่หากถูกตัดสิทธิก็เชื่อว่าสินค้าไทยยังสามารถทำตลาดอื่นได้ "ช่วงที่ผ่านมา สินค้าทั้ง 3 รายการได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตรา 0% เมื่อถูกตัดสิทธิจีเอสพี กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับที่ทำจากทองจะถูกเรียกเก็บภาษี 5% โทรทัศน์สี 3.9% และยางรถยนต์อยู่ที่ 4% โดยในปีถัดไปหากไทยไม่สามารถแข่งขันหรือส่งออกสินค้าได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนดก็น่าจะทบทวนการให้สิทธิจีเอสพีกับไทยใหม่" นางอภิรดี กล่าว ส่วนกรณีที่สมาคมกุ้งรัฐหลุยเซียนาออกหนังสือเวียนกดดันการทบทวนมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากุ้งไทย เนื่องจากเห็นว่าไทยมีการใช้แรงงานเด็กนั้น เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง และไทยพร้อมชี้แจงโดยได้จัดส่งข้ออมูลไปให้สมาคมกุ้งรัฐหลุยเซียนาเพื่อยืนยันว่าไทยมีกฎหมายคุ้มครองแรงงานและคงต้องมีการทำความเข้าใจร่วมกันต่อไป
Create Date : 04 กรกฎาคม 2550 | | |
Last Update : 7 กรกฎาคม 2550 18:24:26 น. |
Counter : 584 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เชื่อมั่นอุตฯ ฟื้นสัญญาณดี หนุนศก.ครึ่งปีหลัง-ธปท.เชื่อขยายตัวตามเป้า
เชื่อมั่นอุตฯ ฟื้นสัญญาณดี หนุนศก.ครึ่งปีหลัง-ธปท.เชื่อขยายตัวตามเป้า

ธปท.เชื่อเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวตามเป้า ครึ่งปีหลังเริ่มฟื้นตัว ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเริ่มกระเตื้อง ได้แรงหนุนจากยอดสั่งซื้อสินค้าที่มีเข้ามามากขึ้น ชี้เป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง มองหากเลือกตั้งในปีนี้ได้จะเพิ่มแรงหนุนความเชื่อมั่นฟื้นตัวอย่างเร็ว ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังขยายตัวได้ตามเป้า โดยจะเริ่มฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง หลังจากการเมืองเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ดอกเบี้ยลดลง การเร่งการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แม้การส่งออกในอนาคตอาจจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งต้องเตรียมปัจจัยในประเทศให้เข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีการขยายตัวค่อนข้างสูง ส่วนค่าเงินบาทในขณะนี้ มองว่าไม่ได้แข็งค่าเกินไปจนเสียความสามารถในการแข่งขัน เพราะเงินบาทยังเคลื่อนไหวตามค่าเงินในภูมิภาค และสะท้อนถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังเกินดุล ซึ่งยืนยันว่ายังไม่คิดยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในขณะนี้ เพราะเกรงผลกระทบทางจิตวิทยา ทำให้ผู้ส่งออกเร่งเทขายดอลลาร์สหรัฐ ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ปรับขึ้นจากระดับ 77 ในเดือนเมษายนมาอยู่ที่ระดับ 86.1 โดยมีปัจจัยบวกจากยอดขายและยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยลดลงทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการดีขึ้น นับเป็นสัญญาณที่ดีที่จะมีการขยายการลงทุนในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับไม่แข็งแกร่งนัก โดยปัจจัยที่ยังสร้างความกังวลต่อนักลงทุน ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ อัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติและการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในปีนี้ จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้ประกอบการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสสุดท้าย
Create Date : 04 กรกฎาคม 2550 | | |
Last Update : 7 กรกฎาคม 2550 18:25:28 น. |
Counter : 279 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นายกฯ สั่งสางปัญหาเหล็ก คลังเตรียมชง ครม.ลดภาษี
นายกฯ สั่งสางปัญหาเหล็ก คลังเตรียมชง ครม.ลดภาษี

นายกฯ สั่งคลังเร่งแก้ปัญหาภาษีเหล็กซิลิคอน ด้าน ฉลองภพ ยอมรับผิดพลาดในการจัดเก็บ พร้อมเตรียมเสนอครม.พิจารณาลดภาษีนำเข้าให้ต่ำสุด หลังลดต้นทุนผลิตอุตฯในประเทศ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นักลงทุนญี่ปุ่นได้สอบถามเกี่ยวกับปัญหาภาษีเหล็กซิลิคอน กรณีที่กรมศุลกากรกล่าวโทษผู้ประกอบการที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทญี่ปุ่น ว่ามีเจตนาเลี่ยงภาษีนำเข้าเหล็กซิลิคอน และต้องจ่ายภาษีย้อนหลังรวมเบี้ยปรับเป็นเงินราว 3,000 ล้านบาท โดยเรื่องนี้ได้สั่งให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาแก้ไขให้เสร็จโดยเร็ว และมั่นใจว่านักลงทุนจะไม่ย้ายฐานการลงทุนจากไทยไปประเทศอื่น ด้าน ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า คลังจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณาเกี่ยวกับภาษีเหล็กซิลิคอนในเร็วๆ นี้ โดยจะเสนอให้ลดภาษีสำหรับเหล็กทุกชนิดที่ยังไม่สามารถผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะลดให้เหลืออัตราต่ำสุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อต้นทุนผลิตของอุตสาหกรรมในประเทศ ส่วนปัญหาที่ผ่านมาอาจมาจากความคลาดเคลื่อนในการกำหนดพิกัดภาษี จึงเชื่อว่าจะสามารถแก้ไขได้ ส่วนปัญหาสินค้ากระจกที่ผู้นำเข้าถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิม หลังกระทรวงการคลังปรับกระบวนการจัดเก็บภาษีใหม่ เป็นตัวเลขบาร์โค้ด 8 หลัก ทำให้เกิดความผิดพลาดนั้น คลังจะเสนอ ครม.ให้พิจารณาปรับลดภาษีกลับไปที่เดิม
Create Date : 04 กรกฎาคม 2550 | | |
Last Update : 7 กรกฎาคม 2550 18:28:13 น. |
Counter : 353 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กฟผ.โล่งตั้งบ.ลูกไม่ขัดพ.ร.บ.แปรรูป
กฟผ.โล่งตั้งบ.ลูกไม่ขัดพ.ร.บ.แปรรูป
 นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถจัดตั้งบริษัท กฟผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งทำหน้าที่เป็นบริษัทลูกที่ใช้ร่วมทุนการผลิตถ่านหินในเหมืองต่างๆ ที่ กฟผ.เจรจาขอซื้อจากต่างประเทศเพื่อผลิตไฟฟ้าได้ ไม่ขัดกับร่าง พ.ร.บ.การกำหนดกิจการ หลักเกณฑ์ และขั้นตอน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่จะมาใช้แทน พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542
"ตามกฎหมายจะระบุว่ากิจการที่แปรรูปไม่ได้เท่านั้นที่รัฐวิสาหกิจไม่สามารถตั้งบริษัทลูกได้ กรณี กฟผ.เป็นการจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินกิจการที่ไม่เข้าลักษณะต้องห้าม จึงสามารถจัดตั้งได้ อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนปฏิบัติ กฟผ.จะต้องเสนอให้คณะรัฐมตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติก่อนจึงจะดำเนินการได้"
นายอารีพงศ์กล่าวว่า ตามร่าง พ.ร.บ.การกำหนดกิจการ หลักเกณฑ์ และขั้นตอน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะกำหนดว่ากิจการที่แปรรูปไม่ได้ ประกอบด้วย กิจการที่ไม่มีการแข่งขันในตลาด และกิจการที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีผลเสียต่อสุขภาพและศีลธรรมอันดีของประชาชนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม กรณี กฟผ.จะจัดตั้งบริษัทลูกดังกล่าวได้ร่างกฎหมายฉบับนี้จะต้องมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว
Create Date : 04 กรกฎาคม 2550 | | |
Last Update : 7 กรกฎาคม 2550 18:28:45 น. |
Counter : 474 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บัตรเดบิตสุดฮิตเอทีเอ็มเริ่มหงอย
บัตรเดบิตสุดฮิตเอทีเอ็มเริ่มหงอย โดย เดลินิวส์ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะการใช้บัตรพลาสติกในรายงานระบบการชำระเงินปี 49 ว่า บัตรเอทีเอ็มมี 30.9 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 7% จากปี 48 ยังเป็นสัดส่วนสูงที่สุด คิดเป็น 55% ของบัตรพลาสติก แต่ลดลงจากปี 48 ที่มีสัดส่วน 58% ขณะที่บัตรเดบิตมี 14 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 26% และเป็นบัตรพลาสติกที่มีสัดส่วนรองลงมาคือ 25% เพิ่มจากปี 48 ที่มีสัดส่วน 22% ส่วนบัตรเครดิตมี 10.9 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 9.5% คิดเป็นสัดส่วน 20% เท่าเดิม ทั้งนี้ลูกค้าธนาคารพาณิชย์นิยมใช้บัตรเดบิตมากขึ้น เนื่องจากธนาคารส่งเสริมการใช้ บัตรเดบิตแทนบัตรเอทีเอ็ม เพราะใช้งานได้หลากหลายกว่า นอกจากโอนหรือเบิกถอนเงินสด ยังใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ ณ จุดขาย ได้เช่นเดียวกับบัตรเครดิต ซึ่งช่วยลดการเบิกถอนเงินสดมาชำระค่าสินค้าและบริการ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วแก่ลูกค้า ส่วนเครื่องเอทีเอ็ม มีทั้งสิ้น 21,988 เครื่อง เพิ่มขึ้น 6,204 เครื่องหรือ 39% จากปี 48 ส่วนเครื่องชำระเงินอัตโนมัติ มี 208,942 เครื่อง เพิ่มขึ้น 104.84% โดยสาเหตุที่ข้อมูลเปลี่ยนแปลงมาก เพราะปี 49 ธปท.เปลี่ยนวิธีเก็บข้อมูลจากการรวบรวมข้อมูลของผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรเครดิต เป็นการรวบรวมข้อมูลจากธนาคารพาณิชย์และบัตรเครดิต ซึ่งข้อมูลแสดงให้เห็นว่าคนนิยมใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิต ชำระค่าสินค้าและบริการแทนเงินสดมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เครื่องชำระเงินอัตโนมัติเพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาเครื่องถูกลง หลังจากการขยายธุรกิจด้านการรับชำระบัตรของธนาคารพาณิชย์ และการส่งเสริมตลาดบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ทั้งจากธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์).
Create Date : 04 กรกฎาคม 2550 | | |
Last Update : 7 กรกฎาคม 2550 18:29:32 น. |
Counter : 498 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|