FTA ในสายตาของ ADB
FTA ในสายตาของ ADBเมื่อต้นเดือนเมษายน 2549 ที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซีย (ADB: Asian Development Bank) ได้จัดทำรายงานประจำปี 2549 (Asian Development Outlook 2006) ซึ่งมี บทหนึ่งที่กล่าวถึงกระแสการจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) ของเอเซียADB ได้กล่าวถึงการใช้ส่งออกเป็นหัวจักรของการพัฒนาเศรษฐกิจ (Engine of Growth) ของประเทศกำลังพัฒนาในเอเซีย มีผลให้ในช่วงเวลา 20 ปี (พ.ศ.2527-พ.ศ.2547) การส่งออกของประเทศกำลังพัฒนาในเอเซียขยายตัวถึง 10 เท่า (ขณะที่การส่งออกของโลกขยายตัว 5 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน)จนประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนในการส่งออกของโลก 21.3% และมูลค่าการค้าภายในภูมิภาคเอเชียก็เพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 40% ของการส่งออกรวม และแม้ว่าสัดส่วนดังกล่าวจะค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการค้าภายในภูมิภาคอื่น เช่น NAFTA (46%) และ EU (64%) แต่อัตราการขยายตัวก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ในส่วนของการจัดทำ FTA ในเอเชียก็เป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามอง ก่อนปี 2538 การทำ FTA ของเอเชียมีเพียง 10 กว่าความตกลง แต่ถึงปี 2548 ความตกลง FTA ทั้งที่ลงนามกันแล้วและกำลังเจรจาทยานขึ้นเป็น 70 ความตกลง จนดูเหมือนว่ากลายเป็นการแข่งขันกัน เพราะหากประเทศหนึ่งจับคู่ทำ FTA กับอีกประเทศหนึ่ง จะกระตุ้นให้อีกประเทศอื่นสนใจและหารือเพื่อทำ FTA กับประเทศใดประเทศหนึ่งหรือทั้ง 2 ประเทศนั้น เพื่อไม่ให้เสียเปรียบทางการค้าและการลงทุน อย่างไรก็ตาม ADB เห็นว่าการทำ FTA ส่วนใหญ่เป็น PTA (Preferential Trade Agreement) มากกว่า เพราะมีข้อกีดกันประเทศที่ไม่ใช่คู่สัญญามาก (ประเด็นนี้จะสอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์ Jagdish Bhagwati แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้ซึ่งเห็นว่าการทำ FTA เป็นการทำลายหลักการ MFN และก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงเรียกว่า Spaghetti Effects) โดยเฉพาะการใช้กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) เป็นเครื่องมือในการกีดกัน ดังนั้น ADB จึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการใช้กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นกำแพงกั้นการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษี ADB จึงสนับสนุนการตกลงแบบพหุภาคีใน WTO มากกว่าการทำ FTA เรื่องนี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ ADB ที่สนับสนุนให้เน้นการค้าระบบพหุภาคีมากกว่าระบบทวิภาคี แต่เหตุที่ประเทศต่างๆหันมาเจรจาในระบบทวิภาคีกันมากขึ้นก็เนื่องจากการเจรจาในระบบพหุภาคีล่าช้าและไม่น่าเชื่อถือ เพราะประเทศที่พัฒนาแล้วไม่จริงใจที่จะเปิดตลาดแก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ทั้งที่ประเทศที่พัฒนาแล้วต่างก็รู้ดีว่าการเปิดตลาดจะช่วยให้สวัสดิการ (welfare) ของประเทศสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมมีความกังวลว่าหากมีการทำ FTA กันมากจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะระดับอัตราภาษีนำเข้า และเงื่อนไขตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าในแต่ละสินค้าของแต่ละความตกลงแตกต่างกัน ก่อให้เกิดต้นทุนในการบริหารจัดการ ดังนั้น สุดท้ายก็ต้องเกลี่ย (harmonize) ระดับอัตราภาษีนำเข้าและเงื่อนไขของกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า ซึ่งเท่ากับว่าต้องกลับไปสู่ WTO โดยปริยายที่มา:หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ