จำคุกตลอดชีวิตเอสตราดาข้อหาปล้นชาติ ฟิลิปปินส์
เมื่อ 12 ก.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้พิพากษาศาลฟิลิปปินส์ขึ้นนั่งบัลลังก์พิพากษาคดีอดีตประธานาธิบดี โจเซฟ เอสตราดา วัย 70 ปี และได้อ่านคำตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเขา ในความผิดฐานปล้นชาติ รวมทั้งยังได้ตัดสินว่านายจิงกอย สมาชิกวุฒิสภา บุตรชายของนายเอส-ตราดา ก็มีความผิดในข้อหาเดียวกัน หลังคำตัดสิน นายเอสตราดาเข้าสวมกอดภรรยาและบุตรสาวที่น้ำตานองหน้า ก่อนถูกนำตัวไปยังที่พัก ขณะที่เหล่าผู้ สนับสนุนนายเอสตราดาราว 300 คน ที่มายืนรอฟัง การพิจารณาคดี ต่างพากันสั่นศีรษะด้วยไม่เชื่อในชะตากรรมที่นายเอสตราดาได้รับ ส่วนทนายความนายเอสตราดากล่าวว่า นายเอสตราดาไม่ต้องการได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ เขาพร้อมถูกส่งตัวไปรับโทษในเรือนจำมันตินลูปาวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นาย เอสตราดาเคยกล่าวว่า จะยื่นอุทธรณ์หากถูกตัดสินว่ามีความผิด นายเอสตราดาเผชิญข้อหาคอรัปชัน 4 กระทง จากการยักยอกเงินกองทุนจำนวน 4,000 ล้านเปโซ โดยคดีต่างๆประกอบด้วย ซื้อหุ้นของกองทุนประกันสังคม รับเงินจากบรรดาเจ้าพ่อวงการพนัน แปลงเงินภาษีบุหรี่เข้ากระเป๋าตนเอง และใช้ชื่อปลอมเปิดบัญชีเงินฝากในธนาคาร โดยเขายังถูกตั้งข้อหาฐานให้การเท็จเกี่ยวกับเงินรายได้ แต่คดีนี้รอดพ้นความผิดไป ทั้งนี้ นายเอสตราดาได้ถูกอิมพีชเมนต์ฐานคอรัปชันเมื่อปี 2543 และต้องออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศ ส่งผลให้นางกลอเรีย อาร์โรโย รองประธานาธิบดี ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีแทน นายเอสตราดาถือเป็นวีรบุรุษของประชากรชั้นล่าง จากที่เขาเคยมีอาชีพนักแสดงจึงทำให้ได้รับความนิยมมาก อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า ถูกกลุ่มคนชั้นหัวกะทิจากหลากหลายอาชีพบีบคั้นให้ออกจากตำแหน่งผู้บริหารประเทศ ชี้ว่าข้อหาต่างๆที่ได้รับเป็นเพราะถูกกลั่นแกล้ง นายเอสตราดาเป็นหนึ่งในบุคคลที่สร้างสีสันมากที่สุดให้วงการทางการเมืองอันยุ่งเหยิงของฟิลิปปินส์ เกิดที่เมืองโจเซฟ อีเจอร์-ซิโต มาจากครอบครัวที่มีฐานะผู้มั่งคั่ง สมัยวัยรุ่นต้องถูกพักเรียน และถูกบิดาไล่ออกจากบ้าน เป็นคนตั้งชื่อให้ตนเองว่าเอสตราดา โดยค้นหาชื่อจากสมุดโทรศัพท์ เข้าสู่วงการบันเทิงขณะมีอายุ 24 ปี และ ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2541 ซึ่งถือเป็นจุดพลิกผันทางการเมืองแห่งชาติ เนื่องจากเขาไม่เคยสังกัดพรรคการเมืองใด อนึ่ง นายเอสตราดาไม่เคยปฏิเสธว่าเขาลุ่มหลงคลั่งไคล้ไวน์หรือสตรี ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตนักแสดงของเขา แต่ก็กล่าวว่า เขาได้ละทิ้งพฤติกรรมดังกล่าวหลังขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี.