อ่านแล้วได้กำลังใจเยอะเลย
ขอบคุณมากคะ

นี่มันเรื่อง จริงเลยครับ บ้านเล็ก ก็มีความสุขดีน่ะครับ เงินเหลือเอาไว้ใช้จ่ายอย่างอื่นได้อีก

ขอบคุณครับ อ่านแล้วรู้สึกดีจริงๆใ

-ขอแชร์กระทู้ข้างบน เห็นว่าน่าสนใจจึงขอแตกประเด็นมา เผื่อคนอื่นด้วย
-ข้อมูลนี้ดิฉันได้มาจากห้องนี้นานมาแล้ว ลองใช้ดูได้ผลดี จึงใช้มาจนทุกวันนี้
-ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำ ให้กลิ่นพอรับได้ มดจมูกดีกว่าเรา แรกๆให้ฉุนหน่อยก็ได้ แล้วค่อยลดลง ประมาณ1แก้วต่อน้ำ1ลิตร ใช้เช็ดถูได้ทุกที่ ตู้เสื้อผ้า เตียงนอนโดยเฉพาะโต๊ะอาหารและครัว ถู/เช็ดบ้านทั้งหลัง เหยียบแล้วรู้สึกได้เลยว่าสะอาด
-น้ำถูบ้านแล้ว นำไปราดทิ้งลงพื้นที่เราเดินผ่านบ่อยๆ ไล่งูค่ะ
-ใส่กระบอกฉีดไว้ด้วย เห็นมดที่ไหน ฉีดเลย
-ซื้อที่แมคโคร/โลตัส แกลลอนละประมาณ50บาท ไม่ต้องเอาอย่างดีเพราะไม่ได้เอาไปกิน
-แถมนิด สำหรับตู้เสื้อผ้า ซื้อสบู่ก้อน ไม่ต้องแกะกระดาษออก ใส่ไว้ในตู้ มดไม่ชอบกลิ่น แต่เราใช้แทนก้อนกำจัดกลิ่นได้เลย เสื้อผ้าจะหอมด้วย กลิ่นมะนาวยิ่งดี มดไม่ชอบกลิ่นเปรียว
-ขอให้ปลอดภัย ไร้มดกันทุกบ้านค่ะ

สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากมีบ้านหลังแรก แต่ยังไม่พร้อมในเรื่องของฐานะทางการเงิน ทำให้อาจสูญเสียโอกาสในการ ลดภาษีบ้านหลังแรก ไม่ต้องกังวลครับ เรายังพอมีทางออกสำหรับคนที่ยังไม่พร้อมจริงๆ อยู่เหมือนกัน ลองพิจารณากรณีศึกษาดังต่อไปนี้ครับ
กรณีที่ 1 “อยากมีบ้านหลังแรกเป็นบ้านเดี่ยว แต่เงินไม่พอ”
สำหรับกรณีนี้เราอาจจะต้องลดความต้องการของเราลงครับ ดังสุภาษิตที่กล่าวเอาไว้ว่า “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” ถ้ากำลังในการผ่อนจ่ายของเราไม่มากพอบางทีเราอาจมองทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดมิเนียมก็ไม่เลวนะครับ สำหรับหลักการคำนวนเงินที่ต้องการซื้อบ้านลองเข้าไปชมได้ที่ “วิธีการประเมินกำลังเงินว่าจะซื้อบ้าน และผ่อนบ้านได้หรือไม่” แล้วลองหาบ้านที่เหมาะสมสำหรับเราจริงๆ ดีกว่าการที่เราต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็นครับ
กรณีที่ 2 “อยากมีบ้านทำเลดี แต่มองหาทำเลดีๆ ไม่ได้”
สำหรับกรณีนี้ปัญหาคือ “ทำเล” เรื่องราวของทำเลที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตชุมชนเมืองเท่านั้นครับ คำว่าทำเลดีจะหมายถึงดีสำหรับผู้อยู่อาศัย ก็คือตัวของเราเอง ดีในที่นี้ก็คือ การเดินทางสะดวกหรือไม่ ใกลที่ทำงานหรือเปล่า หากเรายังมองหาบ้านทำเลดีๆ ไม่เจอ บางทีการรอไปก่อนน่าจะเป็นกลยุทธ์ในการเลือกซื้อบ้านที่น่าสนใจ เพราะโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวันครับ และทำเลที่เราไม่เคยคิดว่าจะมีบ้านจัดสรร หรือคอนโดดีๆ มาสร้างก็ไม่แน่เสมอไป จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองเคยอยากได้บ้านทำเลใกล้ที่ทำงาน แต่พอสอบถามกับทางโครงการว่าจะมีการก่อสร้างในทำเลที่ผมต้องการหรือไม่ คำตอบจากเซลล์ขายบ้านบอกกับผมว่า “ไม่มี” ทำให้ผมต้องไปซื้อบ้านที่ไกลกว่าเดิม ผ่านไปไม่กี่ปีปรากฏว่าทำเลที่ผมต้องการมีการก่อสร้างโครงการใหม่ขึ้นซะงั้น แบบนี้หากผมใช้กลยุทธ์ “รอไปก่อน” ผมก็จะได้ทำเลที่ถูกใจจริงๆ ไม่ใกลที่ทำงานจนเกินไป เห็นด้วยหรือเปล่าครับ
กรณีสุดท้าย “ยังไม่พร้อมที่จะซื้อบ้านจริงๆ”
สำหรับกรณีนี้ผมต้องขอบอกว่า “อย่าซื้อบ้านถ้าไม่จำเป็น” ถ้าจำเป็นก็ซื้อบ้านที่เล็กที่สุดที่จะเพียงพออยู่สำหรับตนเองและคู่ครอง และลูกที่มีอยู่หรือที่วางแผนที่จะมีในอนาคต ทำเลของบ้านควรอยู่ในที่ที่การเดินทางไปทำงานและ/หรือไปเรียนสะดวกและไม่ต้องต่อรถหลาย ๆ ต่อซึ่งจะทำให้ “ค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยและเดินทาง” ต่ำที่สุด

คำว่าค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยนั้น บางคนอาจจะไม่รู้สึกว่ามีเพราะเขาไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่จริง ๆ แล้วการมีบ้านที่ใหญ่จะทำให้ค่าบ้านสูงซึ่งทำให้ต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านแต่ละเดือนมากขึ้นไม่นับรายจ่ายอื่น ๆ ที่ตามมาจากการมีบ้านที่ใหญ่ขึ้น นี่เป็นความคิดที่อาจจะแย้งกับอีกหลายคนที่บอกว่าควรซื้อบ้านใหญ่ที่สุดที่สามารถผ่อนได้ เพราะบ้านนั้นเป็นเหมือน “การลงทุน” และการอยู่บ้านใหญ่นั้น “มีความสุข” มากกว่า

แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวผมเองนั้นพบว่า บ้านอยู่อาศัยนั้นราคามักจะไม่ค่อยขึ้น เช่นเดียวกัน บ้านที่ใหญ่เกินความจำเป็นนั้น ถ้าจะเพิ่มความสุขได้ก็น่าจะน้อยและไม่คุ้มกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับกรณีศึกษาทั้ง 3 กรณี ความเป็นจริงแล้วอาจมีกรณีที่แตกต่างจากนี้อีกนะครับ ไว้คราวต่อๆ ไปเราจะลองมาดูเทคนิคการเลือกซื้อบ้านในเรื่องราวอื่นๆ กันบ้างครับ
(นายแว่นธรรมดา)