หัวตะเข้...เนเวอร์ดาย โดย ชาคริตเพชรอินทร์ (นายสามเหลี่ยม)
วันหนึ่งขณะกำลังเพลิดเพลินกับการนั่งทำงานจู่ๆก็มีเสียงไลน์ดังขึ้น หยิบโทรศัพท์ ขึ้นมาดู ก็เป็นเจ๊หลาบเจ้าเก่าทักทายมาว่า นี่เธอ
ไปทำเรื่องหัวตะเข้มาหน่อยซิเจ๊เกี๊ยก พี่สาวเราบอกว่า เป็นตลาดที่น่าสนใจนะ เพราะเคยเฟื่องฟูมาแล้วก็ฟุบเพราะไฟไหม้ แต่ตอนนี้กำลังจะฟูใหม่
เออน่าสนใจเหมือนกันไม่เคยไปเลย มีแต่คนพูดถึงบ่อยเหมือนกันในระยะหลัง อยากลองไปดูสักหน่อย แต่เสียดายวันเสาร์-อาทิตย์ไม่ว่าง ลองไปวันธรรมดาดูดีกว่า คนไม่เยอะด้วย ว่าแต่ไปยังไงหว่า
นั่งรถไฟไปสะดวกดี ชมบรรยากาศข้างทางไปด้วย
ไลน์เจ๊หลาบบอกมาเสร็จสรรพ์ ดีเหมือนกันเพราะผมไม่ได้นั่งรถไฟมานานมาแล้ว เป็นสิบปีมั้ง ครั้งสุดท้ายจำได้ว่านั่งไปเชียงใหม่โน่น
. ผมนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงหัวลำโพงต่อรถไฟสายตะวันออก (กบินทร์บุรี) ที่จะผ่านสถานี รถไฟหัวตะเข้ ค่าโดยสารถูกมากแค่ 7 บาท
บรรยากาศหัวลำโพง
ผมใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงเศษก็มาถึงสถานีรถไฟหัวตะเข้ เพื่อนๆที่ไม่เคยมา ให้ลองสังเกตดูว่าถ้าผ่านสถานีรถไฟพระจอมเกล้าแล้ว สถานีต่อไปก็จะเป็นสถานีหัวตะเข้แล้วครับ
ผมถามน้องนักศึกษาที่นั่งใกล้ๆมาอีกทีนะครับ
ลงจากรถไฟแล้วก็ใช้ปากต่อไป เพราะไม่เคยมา เจอใครก็ถามไปหมด คนไทยใจดีอย่างนี้ แหละครับถามอะไรก็บอกหมด ผมเดินลัดเลาะริมคลองไปเรื่อยๆก็จะเจอบ้านเรือนโบราณที่มีสีสันสวยงามอยู่หลายหลัง ก่อนจะเจอป้ายทางเข้าตลาดเก่าหัวตะเข้
เจอแล้วทางเข้าตลาดเก่าหัวตะเข้
พอเดินเข้าตลาดก็ต้องใช้โทรศัพท์ตามหาคนที่เพื่อนของเพื่อนแนะนำมาว่าถ้าอยากรู้เรื่องตลาดโบราณร้อยปีหัวตะเข้ ต้องถามคนนี้.... พี่อ้อย หรือ ป้าอ้อย.... อำภา บุณยเกตุประธานกลุ่มชุมชนคนรักหัวตะเข้...
เจอพี่อ้อยครั้งแรก ผมก็เกรงๆอยู่บ้าง เพราะดูเหมือนจะดุแต่พอได้พูดคุยแล้ว ก็ต้องยอม รับเลยครับว่า พี่อ้อยเป็นคนที่น่ารักมากและมีอุดมการณ์เต็มเปี่ยมที่จะมุ่งมั่นพัฒนา ตลาดหัวตะเข้แห่งนี้ที่พี่อ้อยอยู่มาตั้งแต่อายุ10 ขวบ พี่อ้อยเล่าให้ฟังว่า
ตลาดน้ำหัวตะเข้มีมาเป็นร้อยปีแล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เคยรุ่งเรืองมาก แต่เมื่อราวปี 2551 พี่ยืนมองตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาดไม่เห็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน แม้แต่คนเดียว นอกจากหมาตัวหนึ่งเท่านั้น....เห็นแต่ความทรุดโทรมของตลาดแห่งนี้ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เน่าสุดๆ.... หลังจากนั้น ตลาดก็ยังมาถูกไฟไหม้ไปอีกหลายครั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมานี้เอง และก็มีหลายครอบครัว อพยพไปหาที่อยู่ใหม่ในเมืองทิ้งหัวตะเข้ไว้ให้อยู่กับความทรงจำที่เคยรุ่งเรืองเมื่อในอดีต ดูเหมือนว่าตลาดหัวตะเข้แห่งนี้ตายไปแล้วจริงๆ แต่ศพยังฝังอยู่ในหัวใจ...
ช่วงหนึ่งที่ตลาดน้ำในที่ต่างๆเริ่มบูมมากขึ้นทำให้เจ๊ๆป้าๆในชุมชนเริ่มมีความ หวังขึ้นมาอีกครั้งแต่จะทำอย่างไรเพื่อพลิกฟื้นตลาดหัวตะเข้กลับมาให้ได้ เราก็มีการคุยกันหลายครั้งว่า จะทำอย่างไรเพราะหัวตะเข้แม้จะมีศักยภาพเป็น แหล่งท่องเที่ยวได้แต่ก็ต้องมีจุดขายเป็นของตัวเอง...เราก็คิดกันว่า ชุมชนของเราแวดล้อมไปด้วยสถาบันการศึกษาที่สำคัญ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหาร วิทยาเขตลาดกระบัง โรงเรียนพรตพิทยพยัตโรงเรียนเชิดเจิมศิลป์ โรงเรียนศึกษาพัฒนา โรงเรียนมาเรียลัย และวิทยาลัยช่างศิลป์เพราะฉะนั้น ชุมชนเรามีต้นทุนเป็นศิลปะ เราจึงนำศิลปะเข้ามาประยุกต์เพื่อเป็นจุดขาย ในชุมชนเรา โดยร่วมมือกับสถาบัน การศึกษาต่างๆเหล่านั้นเป็นภาคีเครือข่ายร่วมกัน และนี่จึงเป็นที่มาของตลาดน้ำศิลปะ...
พี่อ้อยเล่าต่ออีกว่า เมื่อเรามีจุดขายของตัวเราเองแล้วต่อไปก็ต้องหากิจกรรม หรืออีเว้นท์ที่เกี่ยวกับงานศิลปะมาทำกันทุกสัปดาห์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เอาไว้กับตลาด จริงๆจะเรียกว่า อีเว้นท์ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะไม่ได้เว้นเลยมีกิจกรรมเสริมอยู่ตลอด เช่น สอนเด็กวาดการ์ตูน การทำว่าวโบราณหรือว่าวใบไม้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน การทำขนมสายบัวแดง ขนมใบไม้ การสอนถ่ายรูป เป็นต้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ชุมชนหัวตะเข้ค่อยๆเริ่มฟื้นคืนกลับมาเป็นที่สนใจและรู้จักของ นักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ในหลายๆเรื่องอีกด้วย
อนาคตต่อไปหัวตะเข้จะมีจุดเด่นอะไรที่จะมาดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกหรือไม่
ชุมชน เรากำลังปรับปรุงสถานที่ให้เป็นโฮมสเตย์เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาพักและชมความงาม ของพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่ตลาดน้ำแห่งนี้
และกำลังจะทำสถานที่แสดงงานศิลปะอีกด้วย มีดาราคือ คุณเรย์แมคโดนัลด์ มาเซ้งร้านค้าไว้ 2 คูหา เพื่อทำเป็นโฮมสเตย์ เช่นกัน ตอนนี้กำลังปรับปรุงอยู่ คุณเรย์บอกว่า จะทำที่พักให้นักท่องเที่ยวอย่างเดียวอาหารการกินแกไม่ทำ ถ้าอยากกินก็ให้ไปกินที่ชาวบ้านชุมชน ทำขายกันเอง...เป็นความน่ารักของแกอย่างหนึ่ง โฮมสเตย์ของเรย์แมคโดนัลด์ กำลังปรับปรุงอยู่
ถ้าหากตลาดน้ำที่อื่นๆอยากจะบูมกลับมาเหมือนตลาดน้ำหัวตะเข้ พี่อ้อยจะแนะนำ เขาอย่างไร
. พี่คิดว่าตลาดน้ำแต่ละแห่ง ก็แตกต่างกันในหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อม สถานที่ชุมชน ฯลฯ สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำก็คือ ต้องหาความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนของตนเองให้เจอก่อน แต่ถ้าไม่มีอัตลักษณ์หรือจุดขายแล้วก็ต้องหาสิ่งอื่นเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชุมชนตลาดน้ำของตน ดังเช่นที่หัวตะเข้นำเอาศิลปะเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างทุกวันนี้ สุดท้ายก่อนจะลาจากกันพี่อ้อยฝากถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างหนึ่งก็คือ ชุมชนหัวตะเข้เป็นชุมชนเก่าแก่อายุร้อยกว่าปีมีสิ่งหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นและดับไปพร้อมกับผู้คน อยากฝากผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลอนุรักษ์หรือให้การช่วยเหลืออะไรที่ช่วยได้ กับฐานการเรียนรู้ที่ยังมีสีชีวิตเช่น โรงกลึงท่อสูบน้ำ เตาเผาเคียวเกี่ยวข้าว เพราะคนรุ่นนี้ตายไปแล้วจะไม่มีใครมาสืบทอดสิ่งต่างๆเหล่านี้
ตลาดน้ำหัวตะเข้ ที่กลับมาได้ในวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ ขาดไม่ได้เลยก็คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชนที่เล็งเห็น คุณค่าและความสำคัญของชุมชนของตน เพราะว่าถ้าเรามีกิจกรรมหรือจุดขายที่ดีเพียงใด ก็ตามแต่ถ้าไม่ได้ความร่วมมือจากชุมชนแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ ตลาดน้ำหัวตะเข้ ก็ไม่มีวันกลับฟื้นคืนมาได้อีก หัวตะเข้
เนเวอร์ดายจริงๆครับ
..
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2561 |
|
5 comments |
Last Update : 2 มีนาคม 2561 12:52:25 น. |
Counter : 2338 Pageviews. |
|
|
|