...ห้องทำงานรก ๆ ร้าง ๆ ที่เจ้าของทิ้งขว้างไม่สนใจ...


Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
5 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 
[18] An evil plan : แผนชั่ว




...


จุดเริ่มต้นของอุโมงค์นั้นเหยียดตรงและมืดมิดอย่างไม่น่าเชื่อ อุโมงค์ที่ก่อขึ้นจากก้อนหินอย่างหยาบ ๆ นี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบโครงข่ายท่อที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อใช้เป็นทางระบายน้ำจากสายธารที่ไหลผ่านใต้ตัวเมืองออกสู่แม่น้ำด้านนอก และไม่แปลกอะไรที่ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ผู้คนไม่สามารถหักห้ามใจไม่ให้ทิ้งขยะของเสียผสมลงมาด้วยได้ ดังนั้นมันจึงกลายสภาพเป็นทางระบายของเสียไปด้วยในตัว ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำให้ผู้พบเห็นทึ่งในความมหัศจรรย์แห่งวิศวกรรม แต่ในยามนี้กลับกลายเป็นแค่เพียงที่อยู่อาศัยของหนูและตะไคร่น้ำ เสียงน้ำหยดเป็นจังหวะสม่ำเสมอดังก้องในความมืด และเสียงแกรกกรากสะท้อนแผ่วเบาออกจากผนังที่เปียกลื่นไปด้วยคราบเมือก


ท่อน้ำนี้เริ่มจากฝั่งแม่น้ำใกล้ท่าเรือเพียร์ไนน์ที่สร้างอยู่ใต้ตัวเมืองและทอดยาวออกไปสักระยะก่อนที่จะถูกกั้นไว้ด้วยตะแกรงเหล็กขึ้นสนิมเกรอะกรังเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนลุกล้ำเข้าไปไกลเกินกว่านั้น แม้ว่าปากทางออกของอุโมงค์จะเป็นที่รองรับน้ำที่เพิ่มและลดระดับขึ้นลงตามกระแส แต่สายน้ำก็ไม่สามารถชำระล้างกลิ่นเหม็นฉุนเฉียวของสิ่งปฏิกูลทั้งหลายที่สั่งสมมานับร้อย ๆ ปีให้หมดไปได้


ลึกเข้าไปในความมืดมิด อะไรสักอย่างกระแอมไอและคร่ำครวญออกมาด้วยน้ำเสียงน่าขยะแขยงเช่นเดียวกับสภาพภายในอุโมงค์ "ร้อนชิบเป๋งเลยเว้ย"


ตัวอื่น ๆ เริ่มส่งเสียงครางสนับสนุน จากนั้นก็มีเสียงก้อนหมัดกลม ๆ ซัดโป้งเข้ากับผิวเนื้อมัน ๆ ตามมาด้วยเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะเงียบสงบลงอีกครั้ง


ทู'ลลอชหมอบกายต่ำอยู่ท่ามกลางแสงสลัววูบไหวบริเวณปากอุโมงค์ ที่ด้านนอกสายฝนยังคงโปรยปรายลงกระทบผิวน้ำในแม่น้ำบริสเบนที่ค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นอย่างช้า ๆ และก่อให้เกิดธารน้ำตกหลั่งไหลลงตามชายคาตึกก่อนจะรวมตัวกันไหลลงท่อระบายน้ำ พื้นทางเดินเปียกลื่นอย่างน่ากลัว ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างพากันยืนเกาะกลุ่มอยู่ใต้ร่มชายคา มีบางส่วนที่เร่งฝีเท้ากลับบ้านใต้เงาร่มที่แทบจะช่วยกันอะไรไม่ได้


แสงสลัวเรืองสะท้อนอยู่ภายในแก้วตาสีขาวขุ่นราวกับดวงตาของปีศาจ นักกวีอาจเปรียบเปรยว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ ทว่าทู'ลลอชไม่มีหัวจิตหัวใจ ดังนั้นคำกล่าวเทียบนั้นจึงไม่อาจถูกนำมาอ้างได้ นางแม่มดอยู่ในชุดหนังสีดำที่แนบกระชับไปกับโครงร่างบอบบางอย่างสนิทแนบแน่นเหมือนเป็นผิวหนังชั้นที่สอง ซึ่งคำเปรียบเทียบนี้ถูกต้องอย่างแน่นอนเพราะหนังก็คือส่วนของผิวหนังนั่นแหละ แถมเสื้อหนังชุดนี้ยังดูเหมือนถูกตัดเย็บขึ้นจากผิวของมนุษย์มากกว่าจะเป็นหนังสัตว์ด้วยซ้ำไป


เสียงขากางเกงเสียดสีกันดังเอียดอาดเมื่อนางขยับเรียวขาทั้งสองเพื่อเปลี่ยนท่านั่ง เรือนผมยาวถูกรวบและถักเป็นเปียแน่นตึงร้อยด้วยลูกปัด เครื่องประดับเล็ก ๆ ที่ดูน่ากลัวกับก้านของต้นหนามดำ ถ้าไม่นับสีผิวที่ขาวโพลนราวกับเนื้อชอล์กแล้ว นางดูดำทะมึนมืดมนเสียยิ่งกว่าความมืดรอบด้านเสียอีก


กาลแห่งราตรีเคลื่อนผ่าน แต่นางยังคงนั่งนิ่งเหมือนนกอยู่ตรงปากอุโมงค์ ทอดตามองสายน้ำตรงหน้า ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นทีละน้อย ระลอกคลื่นเล็กแล่นเข้ากระแทกปลายขอบอุโมงค์แล้วล้นขึ้นมาลามเลียรองเท้าของนาง ฝูงสมุนที่ซุ่มอยู่ด้านหลังเริ่มกระสับกระส่าย ก่อให้เกิดเหตุชกต่อยกันขึ้นบ่อยครั้งและมักจะจบลงด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนจากความเจ็บปวดเมื่อบรรดาปีศาจตัวใหญ่พยายามหาทางขยับขยายพื้นที่เพื่อให้สบายตัวขึ้น เอาเถอะ อย่างน้อยอากาศในนี้ก็หอมโฉ่และฝาผนังก็เย็นและลื่นดี


นางแม่มดปรารถนาจะได้ที่ซุ่มซ่อนที่ดีและอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบกว่าที่พักของฟินวาร์ราโดยไม่เกี่ยงว่ามันจะเล็กและคับแคบแค่ไหน นางไม่ไว้วางใจในการขอความช่วยเหลือจากเหล่าภูตแห่งอาณานิคมเพราะนางไม่ได้ติดต่อผ่านองค์การใด ๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของภูตปีศาจของที่นี่ ดูท่าว่าที่นี่ก็มีพวกภูตดำประจำถิ่นอยู่เช่นกัน แต่ไม่เสี่ยงดีกว่า นางต้องการผู้ช่วยที่กล้าหาญ ตัวอะไรก็ได้ที่แสนจะชั่วร้ายและเต็มไปด้วยแยบยลกลโกงชนิดที่ฟินวาร์ราและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาคาดไม่ถึง


จู่ ๆ ทู'ลลอชก็ลุกขึ้นยืนอย่างนุ่มนวลไร้สุ้มเสียง ศีรษะของนางปัดผ่านเพดานท่อที่ชุ่มไปด้วยหยดน้ำ และเมื่อนางหันกายกลับ บรรดากระพรวนลูกจิ๋ว ขนนกและกิ่งไม้ก็กระทบกันเบา ๆ ราวกับกำลังกระซิบความลับให้กันและกันฟัง


"สเกลเกรน มานี่ซิ" เสียงกระซิบของนางไหลเลื่อนลงไปตามท่อน้ำ มันเคลื่อนผ่านผนังหินไปราวกับเป็นก้อนน้ำแข็งสีดำสนิท


ฝูงภูตดำที่ยืนอยู่ด้านหลังนางแม่มดแหวกแถวออกจากกันจากส่วนท้ายไล่มายังด้านหน้าราวกับเกลียวคลื่น พวกที่โดนกระแทกจนกระเด็นไปติดผนังแหกปากโวยลั่นอย่างกับโดนวัวกระทิงพุ่งเข้าขวิด


"ข้ามีงานสำคัญให้เจ้าทำ สเกลเกรนของข้า" ทู'ลลอชเอ่ยกับปีศาจกิ้งก่าตัวน้อยเมื่อมันเดินเข้ามายืนข้างกายนางแล้วเลือนหายไปในทันที


สเกลเกรนพยักหน้าน้อย ๆ เผยโครงร่างของมันให้เห็นเพียงชั่วแวบก่อนที่จะกลืนหายไปกับผนังหินด้านหลังอีกครั้ง "ข้าน้อยพร้อมรับคำบัญชานายหญิงเสมอ" มันประจบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาเหมือนเสียงตดช้าง


ทู'ลลอชเพิ่งสังเกตว่าหนนี้ปีศาจกิ้งก่าไม่ได้ทำเสียงฟืดฟาดเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน สงสัยตอนนั้นมันคงป่วยเป็นหอบหืดแถมแพ้ขนนกของนางด้วยละมั้ง? นางแม่มดผลักเรื่องไร้สาระนั้นออกไปจากสมอง "เจ้าเป็นหนึ่งในคณะสำรวจที่ออกไปดูลาดเลามาแล้วใช่ไหม?" นางถาม


สเกลเกรนพยักหน้าซึ่งมองเห็นเพียงเงาวูบไหว "ขอรับ นายหญิง"


"แล้วไม่พบร่องรอยของพวกฟินวาร์ราหรือเจอคฤหาสน์ของภูตแห่งอาณานิคมเลยงั้นรึ?"


"ไม่มีวี่แววของพวกภูตขาวเลยขอรับ นายหญิง แต่มีภูตแห่งอาณานิคมอยู่บ้างประปราย มีผีโบกี้เร่ร่อนอยู่สองสามตัว ภูตฮอบสติไม่สมประกอบตัวนึง และมีกลิ่นจาง ๆ ของภูตพุคแต่ไม่ใช่ของกู๊ดเฟลโล่ เท่านั้นขอรับ"


ทู'ลลอชพยักหน้าช้า ๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิดก่อนพูดขึ้น "ข้าอยากให้เจ้าหาคฤหาสน์ของภูตแห่งอาณานิคมให้เจอ ลอบเข้าไปในห้องพักของฟินวาร์รา แล้วขโมยคริสตัลสอดแนมแสนรักของเขามาให้ข้า"


นางพญากาดำได้ยินเสียงกลืนน้ำลายติด ๆ ขัด ๆ จากสเกลเกรน แต่ก่อนที่ปีศาจกิ้งก่าจะเอ่ยอะไรออกมา นางก็ชิงพูดขึ้น "นี่ไม่ใช่คำขอร้อง"


สเกลเกรนตัวแข็ง มันโค้งคำนับแล้วพึมพำ "ตามประสงค์ของนายหญิง"


นางโบกมือเป็นสัญญาณให้มันออกไปได้ และปีศาจกิ้งก่าก็กระโจนแผล็วขึ้นไปเหนี่ยวขอบปากอุโมงค์อย่างเงียบกริบ มันโหนตัวอยู่แบบนั้นชั่วครู่ กรงเล็บของมันครูดไปกับผิวคอนกรีตเปียก จากนั้นก็เหวี่ยงตัวขึ้นไปด้านบนแล้วหายลับไปในราตรีที่ทั้งชื้นแฉะและอบอ้าว


เมื่อเห็นว่ามีลูกน้องมาคอยปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ทู'ลลอชก็ค่อยเบาใจ นางหันกลับไปหาเหล่าสมุนที่เหลือแล้วออกคำสั่ง "พวกเจ้าถอยกลับเข้าไปในอุโมงค์กันได้แล้ว ที่นี่จะเป็นกองบัญชาการของพวกเรา"



...



สเกลเกรนยืนนิ่งพิงอยู่กับเสาไฟฟ้า ไม่มีใครมองเห็นมันนอกเสียจากคนที่สวมแว่นตาพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อใช้ค้นหาปีศาจกิ้งก่าโดยเฉพาะ (ซึ่งหายากมาก แต่มันมีอยู่จริง ๆ นะ)


ถ้าพูดกันแบบมนุษย์ เจ้าปีศาจไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ ณ บริเวณใดในเมืองบริสเบน แต่ถ้าพูดกันแบบปีศาจแล้วมันสามารถระบุตำแหน่งของบรรดาสัตว์ประหลาดได้จากกลิ่นสาบสางอันเป็นลักษณะเฉพาะของพวกมัน แม้สเกลเกรนจะตัวเล็ก แต่มันมีสมองที่ว่องไวและมันก็จัดการวางแผนบางอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว


สายฝนโปรยลงรอบกาย ไหลไปกองรวมกันเป็นแอ่งบนฟุตบาทและพื้นถนนและแปรสภาพทางระบายน้ำให้กลายเป็นลำธารที่เต็มไปด้วยกองใบไม้ร่วง


มันช่างเป็นคืนที่เหมาะสำหรับการออกล่าเหยื่อเสียนี่กระไร


สเกลเกรนเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆที่สะท้อนแสงจากตัวเมืองอยู่ชั่วขณะแล้วหันไปสนใจถังขยะที่เต็มจนล้นที่มันจับตามองอยู่ก่อนหน้านี้ แผนของมันไม่มีอะไรซับซ้อน มันจะหาภูตที่อาศัยอยู่แถวนี้ให้เจอสักตัวแล้วเค้นเอาข้อมูลออกมา บนถนนฝั่งโน้นดูเหมือนจะเป็นร้านขายอาหารคน แสงสว่างอันน่ารังเกียจทะลักออกมาตามหน้าต่างของร้านลงมาที่พื้นทางเดิน


สายตาของเจ้าปีศาจกิ้งก่าตวัดกลับไปกลับมาระหว่างถังขยะกับร้านอาหาร มนุษย์คู่หนึ่งออกจากร้านและเดินตรงเข้ามา ทั้งคู่เบียดชิดอยู่ใต้อุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่ดูเหมือนจะใช้ป้องกันน้ำฝนไม่ให้หยดลงหัว คนหนึ่งกำลังกินอะไรสักอย่างที่ห่ออยู่ในกระดาษ ในขณะที่อีกคนหนึ่งกำลังดูดท่อที่ต่อออกมาจากถ้วยสีเหลืองสด


ทั้งสองคนเดินผ่านปีศาจกิ้งก่าไปโดยไม่ชะงัก แล้วคนตัวสูงก็ขยำของที่กินค้างอยู่พลางสบถเสียงดังลั่นแล้วโยนทิ้งไปที่ถังขยะที่เต็มจนล้น


สเกลเกรนเลียกระพุ้งแก้ม มันคิดว่ามันได้กลิ่นหอมของเนื้อ แต่กลิ่นมันแปลก ๆ จนไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นของเนื้อจากสัตว์ชนิดไหนกันแน่


ถ้าแผนของมันถูกต้อง เหล่าภูตที่อยู่แถวนี้น่าจะออกมาหาอาหารกิน แน่ละ มันไม่มีข้อมูลพื้นฐานใด ๆ มาสนับสนุนความคิดอันนี้ แต่มันรู้ดีว่านั่นคือสิ่งที่มันจะทำถ้ามันอาศัยอยู่ที่นี่ -ก็ทำไมต้องเที่ยวไปวิ่งไล่จับเหยื่อถ้าสามารถคุ้ยหาอาหารได้ง่าย ๆ แบบนี้?


สเกลเกรนชักนิ้วออกจากรูจมูก และเมื่อมันยัดนิ้วนั้นเข้าปาก มันก็มองเห็นเงาร่างเล็ก ๆ บินวูบวาบอยู่ภายใต้แสงนวลของโคมไฟถนน สเกลเกรนกลืนน้ำลายอย่างรวดเร็ว ขยับตัวตรงแล้วเร้นกายหายวับไป


ไอ้ตัวนั่นหน้าตาคล้ายภูตบัตเตอร์ฮัม ทว่ามีส่วนต่างกันนิดหน่อย ขนาดของมันใหญ่กว่า ประมาณว่าเท่ากับแมวตัวเล็ก และดูท่าว่าจะมีเนื้อหุ้มกระดูกมากกว่าพวกที่ผอมกะหร่องเป็นไม้เสียบผีที่เคยเห็นที่บ้าน สเกลเกรนคิดเล่น ๆ ว่ามันจะรสชาติดีกว่ากันด้วยหรือเปล่า


ภูตบัตเตอร์ฮัม (ยังไงเสียสเกลเกรนก็เรียกมันแบบนั้น พวกภูตไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์เรื่องชื่อเรียกของตัวเองเท่าไหร่หรอก ส่วนมากแล้วมันยกให้เป็นหน้าที่ของมนุษย์มากกว่า) บินไปบินมาตามความยาวของถนนอยู่หลายรอบ โผเผวนเวียนอ้อมเสาไฟฟ้าก่อนที่จะร่อนลงเกาะขอบถังขยะ มันพับปีกบอบบางลงกลางหลังแล้วนั่งคุดคู้ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง มันมีดวงตากลมโตสีน้ำตาลเหมือนสีของพื้นดิน ล้อมด้วยขนตายาวอย่างน่าเกลียดและใบหูหงิกงอน่ารักที่บิดและสะบัดไปมาเหมือนแมวอารมณ์เสีย


"จะว่าไป" สเกลเกรนคิด "นี่ถ้าไม่นับไอ้ขาคู่ที่งอกเกินมา มันก็ดูเหมือนแมวบินได้ดี ๆ นี่เองละว้า"


เมื่อเห็นว่าอย่างน้อยในเวลานั้นมีมันอยู่เพียงลำพังตัวเดียว เจ้าบัตเตอร์แคท (ตอนนี้สเกลเกรนเริ่มมีหัวคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาบ้างแล้ว) ก็วางใจและโน้มตัวไปคว้าเอาเบอร์เกอร์ที่ถูกทิ้งขึ้นมา มันใช้อุ้งเท้าแกะห่อกระดาษออกอย่างคล่องแคล่ว คุ้ยเอาของสีเขียวเหนียว ๆ โยนทิ้งลงไปในรางระบายน้ำแล้วเริ่มต้นละเลียดกินอย่างเชื่องช้า ในระหว่างนั้นก็เหลือบตาโตหวานเชื่อมมองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง


เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นใกล้มากจนสเกลเกรนแทบจะรู้รสชาติของอาหารชิ้นนั้นไปด้วย และมันเองก็ยังตกใจที่รู้สึกตัวว่าน้ำลายเอ่อขึ้นมาเต็มช่องปาก มันไม่ได้กินอาหารดี ๆ มาตั้งนานหลังจากได้หม่ำนางฟ้ารูปงามที่มันจับได้ช่วงท้ายของการเดินทาง


สเกลเกรนพยายามดึงสมาธิกลับมาสนใจงานตรงหน้า มันสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพุ่งตัวเข้าไปในทันที


บัตเตอร์แคทบินได้หันมาเห็นปีศาจกิ้งก่าในวินาทีสุดท้าย มันทิ้งเบอร์เกอร์ที่เล็มกินไปได้เพียงครึ่งเดียวลงแล้วกระโจนขึ้นสู่อากาศพร้อมแหกปากร้องลั่นด้วยความตระหนก


มันเกือบจะหลุดรอดไปได้


สเกลเกรนพุ่งตัวตามไปสุดแรงแล้วใช้กรงเล็บคว้าปลายหางไว้ได้ มันกระชากเหยื่อกลับมาลงกระแทกพื้น ภูตบัตเตอร์แคทดิ้นพล่านอยู่ในแอ่งน้ำโคลน ทั้งขู่ทั้งหวีดร้องแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ปีศาจกิ้งก่าแข็งแรงกว่ามาก และภายในเวลาเพียงสองจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็กดภูตบัตเตอร์แคทติดไว้กับพื้นถนนเปียกชุ่มและครอบกรงเล็บไว้รอบลำคอ


ดวงตาของภูตบัตเตอร์แคทเบิกโพลงราวกับจะทะลักออกมาจากเบ้าด้วยความหวาดกลัวสุดขีด มันกวาดหางไปมาพลางร้องขอชีวิต "อย่าทำอะไรข้าเลย ได้โปรดเถอะ"


สเกลเกรนยิ้มหวาน มันยังคงออกแรงกดลำคอของเหยื่อไว้พลางตอบเสียงอ่อนโยน "โอ้ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก คนสวยของข้า" มันแสยะริมฝีปากอย่างเป็นมิตรที่สุดแล้วพูดต่อ "ข้าแค่อยากถามข้อมูลอะไรสักหน่อย"


ใบหูของบัตเตอร์แคทสะบัดรัวเร็ว "ข้อ... ข้อมูลงั้นเหรอ?" มันกระซิบ


"ใช่แล้ว ข้าอยากรู้ว่าคฤหาสน์ของภูตประจำถิ่นอยู่แถวไหน?"


"โอลีโรพิลลี่งั้นเหรอ?"


"ชื่อบ้าอะไรวะ?" สเกลเกรนงึมงำ


"ข้าไม่ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์นะ ข้าเป็นพวกเผ่าเอกเทศอ่ะ"


กรงเล็บของสเกลเกรนเค้นหนักขึ้นเล็กน้อย ทำเอาบัตเตอร์แคทครางฮือ "ข้าไม่ได้ถามเรื่องชีวประวัติของเจ้า ข้าอยากรู้ว่าไอ้คฤหาสน์พิกเยอร์วิลลี่นั่นอยู่ที่ไหน"


ภูตบัตเตอร์แคทพยายามกลืนน้ำลาย "โอลีโรพิลลี่ต่างหาก ไปทางโน้น" มันอ้าปากหอบหายใจพลางพยักหน้าบุ้ยใบ้ "เดินไปอีกสองช่วงตึก ตรงนั้นมีทางลาดที่มนุษย์ใช้ลงไปใต้ดิน และตรงนั้นก็เป็นทางเข้าหลักของคฤหาสน์ด้วย"


สเกลเกรนส่ายหน้า "มันต้องมีทางอื่นด้วยสิ ทางที่... เป็นความลับ"


ภูตบัตเตอร์แคทกระพริบตาถี่เพื่อบีบให้น้ำตาหรือไม่ก็น้ำฝนออกไปจากดวงตาก่อนตอบ "มีอีกทางอยู่ตรงทิศตะวันออก แถว ๆ ต้นฟิคอ่ะ แต่มันหายาก"


"ถ้างั้น" สเกลเกรนว่าพลางดึงเหยื่อของมันให้ลุกยืนขึ้น "เจ้าก็ต้องพาข้าไปดูแล้วล่ะ"



...



"ตรงนี้อ่ะ" บัตเตอร์แคทใช้อุ้งเท้าที่เปียกจนขนพันกันยุ่งชี้ "กดปุ่มไม้ตรงนี้แล้วประตูจะเปิด"


"งั้นก็กดสิ" สเกลเกรนสั่ง


"ข้าทำไม่ได้" อีกฝ่ายครวญ "พวกเราถูกสั่งห้าม พวกเราเลือกที่จะแยกตัวออกมาอยู่อย่างเอกเทศและไม่สามารถกลับเข้าไปได้อีก"


"เออ เออ เออ เออ ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น" สเกลเกรนถอนหายใจเฮือก "เปิดประตู" มันออกแรงเค้นกรงเล็บเพื่อสำทับคำพูด


ภูตบัตเตอร์แคทร้องลั่นแล้วรีบกดอุ้งเท้าลงบนผิวเปลือกไม้ที่เปียกลื่น ประตูบานเล็กเคลื่อนเปิดออกอย่างเงียบกริบ สเกลเกรนเผยอยิ้มและคลายอุ้งมือลงเล็กน้อย "ดีมาก หนูน้อย" มันเอ่ยปากชมพลางลูบหัวแมวบินได้อย่างอ่อนโยน


"ข้า... ข้าไปได้หรือยังอ่ะ?" สัตว์ประหลาดขนฟูเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม


"อ้าว ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะ" สเกลเกรนตอบเสียงสดใสพลางยิ้มแยกเขี้ยวที่ขาวและคมกริบราวปลายเข็มให้แวบหนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากออกกว้างอย่างไม่น่าเชื่อแล้วงับหัวของภูตบัตเตอร์แคทจนขาดออกจากตัวอย่างรวดเร็ว ร่างที่มันยึดไว้เหยียดยืดแล้วดิ้นพราด และสเกลเกรนก็รับรู้ถึงใบหูใหญ่ที่ยังสะบัดอยู่ภายในช่องปาก


แก้มของปีศาจกิ้งก่าโป่งพองในระหว่างที่มันพยายามเคี้ยวของที่อยู่เต็มปาก หลังจากบดเคี้ยวกระดูกกรอบจนสะใจแล้ว สเกลเกรนก็กลืนทั้งหมดลงคอ เจ้าปีศาจยืนกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะขากเอากลุ่มขนที่พันกันยุ่งออกมาบนพื้นถนน


"โอ้โฮเฮะ ให้ตายสิ ไม่ยักรู้ว่าจะอร่อยขนาดนี้"



...



สเกลเกรนเกือบจะขย้อนเอาตัวบัตเตอร์แคทออกมาเมื่อมวลแห่งอากาศอันหอมหวลชวนคลื่นไส้ชุดแรกชะโลมลงคลุมครอบรอบกาย


กลิ่นตัวของพวกภูตขาวที่พักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์นั้นฉุนเฉียวรุนแรงเสียจนมันแทบจะทนไม่ได้ แต่มันก็ยังอุตส่าห์หาทางหายใจสั้น ๆ ผ่านทางปากและเดินต่อไปตามทางเดิน


แสงสว่างด้านในอ่อนโยนนุ่มนวลเสียจนน่าเวียนหัว เป็นบรรยากาศเฉพาะตัวของพวกภูตที่ไม่สนใจเรื่องความตายและเรื่องสยดสยอง ราวบันได้ไม้เรียบลื่นและอุ่นราวผ้าไหมแต่สเกลเกรนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสกับมัน ในเวลานั้นเจ้าปีศาจเอาแต่คิดว่ามันจะหาห้องพักของฟินวาร์ราเจอได้อย่างไร เพราะถ้าคฤหาสน์นี้มีโครงสร้างเหมือนคฤหาสน์คน็อคม่าแล้วล่ะก็ คงต้องมีห้องนับร้อย ๆ ห้องกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกแห่ง แม้ปีศาจกิ้งก่าจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าคงไม่มีใครมองเห็นมันได้ (สเกลเกรนเคยลักลอบเข้าออกคฤหาสน์คน็อคม่าบ่อยครั้งกว่าภูตตนอื่น ๆ ในเผ่าภูตดำ) มันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกภูตแห่งอาณานิคมจะมีระบบเตือนภัยหรือมีการวางกับดักไว้บ้างหรือเปล่า อาจจะเป็นไปได้ -ยิ่งในช่วงที่คณะของฟินวาร์รามาเข้าพักแบบนี้ด้วย- แต่การจะเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากขึ้นอีกนิดก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักหรอกน่า


ปีศาจกิ้งก่าเดินลงไปถึงบันไดชั้นล่างแล้วรีบหายตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปในเงาสลัวระหว่างบานประตูที่เปิดค้างไว้กับผนัง ทางเดินด้านหลังประตูดูยิ่งใหญ่ตระการตาน่าประทับใจ มันชอบตรงที่มีรากไม้ขดไปขดมาจนกลายเป็นต้นเสาตั้งเรียงรายเพราะมันให้บรรยากาศที่ดูลึกลับชวนให้ค้นหาดี ไม่เหมือนกับพวกรูปปั้นหินอ่อนเหมือนของเล่นของเด็กผู้หญิงที่ฟินวาร์ราประดับไว้ที่บ้าน แถมรากไม้พวกนั้นยังเป็นที่ซ่อนตัวชั้นเยี่ยมได้อีกต่างหาก


สเกลเกรนกวาดตามองฝูงภูตที่กำลังหลับสนิทนิทรา เสียงกรนครืดคราดล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ และเมื่อเจ้าปีศาจกิ้งก่าแทรกตัวผ่านประตูเข้ามา มันก็ตระหนักได้ว่าปฏิบัติการครั้งนี้หวานหมูกว่าที่มันคาดการณ์ไว้เสียอีก


มันหาซอกหลืบชื้น ๆ ระหว่างรากไม้แล้วเร้นกายเข้าไปซ่อนและเฝ้ารอ พุงของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยอาหารจนกลมป่องทะลักออกมาจากขอบกางเกงคับติ้ว และมันต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งต่อสู้ขัดขืนกับความง่วงงุนที่เกิดตามมาจากการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อยและการได้กินอาหารรสเลิศจนอิ่มแปร้


โชคดีที่มันไม่ต้องคอยนาน


ประตูบานหนึ่งที่อยู่ด้านซ้ายมือของมันเปิดออก และเอลฟ์อุดมหนวดตัวผอมสูงตนหนึ่งก็เดินออกมาพร้อมรองเท้าบู้ทสีดำที่ถูกขัดจนมันวาวในมือ ตัวเอลฟ์เองก็อยู่ในชุดประหลาดที่ทำให้เขาดูเหมือนนกเพนกวินได้อย่างน่าอัศจรรย์


เอลฟ์ตนนั้นเดินกร่างข้ามโถงไปด้วยท่าทางสง่างาม เขาลัดเลาะไปตามที่ว่างระหว่างเหล่าภูตที่นอนหลับอยู่อย่างไม่แยแสแล้วเดินออกจากโถงไปตามทางเดินกว้างที่ดูเหมือนว่าจะเป็นทางนำเข้าไปสู่ส่วนด้านในของคฤหาสน์


สเกลเกรนถอนตัวออกจากเงามืดระหว่างรากไม้แล้วย่องเบาตามไป


หลายครั้งที่เอลฟ์หยุดเดินแล้วเหลียวมองรอบกายด้วยใบหน้าขมวดมุ่น แต่ทว่าทุกครั้งที่สเกลเกรนหยุดการเคลื่อนไหว ร่างของมันก็จะเลือนหายไปในทันทีเช่นกัน


ในที่สุด เจ้าเอลฟ์นั่นก็เดินมาถึงประตูบานคู่ขนาดใหญ่ เขาใช้แขนเสื้อปัดฝุ่นบนรองเท้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วบรรจงวางมันลงไว้หน้าประตู จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่อีกชั่วครู่ และสเกลเกรนก็ต้องกลั้นหัวเราะแทบแย่เมื่อเอลฟ์ปัญญานิ่มโค้งกายลงคำนับให้ประตูที่ปิดสนิทก่อนจะเดินจากไป อย่างน้อยการกระทำนั้นก็ช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของสเกลเกรนได้


หลังจากที่ร่างของเอลฟ์ลับหายไปจากสายตาแล้ว สเกลเกรนก็ยืนรอต่อไปอีกสักห้าสิบลมหายใจแล้วจึงเดินเข้าไปหาประตู


มันรู้ดีว่าฟินวาร์ราอยู่ข้างในเพราะสัมผัสได้ถึงพลังของเจ้าเหนือหัวแห่งภูตที่เป็นเสมือนผืนผ้าห่มที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นพฤกษาที่ถูกคลี่ออกคลุมกายของมัน ณ เวลานั้นปีศาจกิ้งก่ากลับลังเลใจ บรรยากาศแห่งคุณธรรมความดีงามมันช่างรุนแรงเหลือเกิน ความจริงแล้วมันอยากจะถอดกางเกงแล้วปล่อยข้อความที่อยู่ในรูปของเหลวอุ่น ๆ ส่งตรงถึงไอ้ขุนนางเฮงซวยนั่นให้กองอยู่บนพื้นไม้หน้าประตูห้อง (ตรงที่คิดว่าคนรับสาส์นจะก้าวออกมาแล้วเหยียบพรวดลงไปกลางกองพอดิบพอดี) แต่ทว่าบรรยากาศรอบด้านกลับทำให้มันไม่มีกะจิตกะใจจะทำตามที่คิดไว้ ไม่มีสัญญาณใด ๆ บ่งบอกได้ว่าฟินวาร์รากำลังหลับอยู่ หรือกำลังตื่นอยู่ หรือกำลังยืนรออยู่หลังประตูพร้อมขวานในมือ หรือกำลังทำกิจกรรมอื่น ๆ อยู่กันแน่


ปีศาจกิ้งก่าถอนหายใจยาว ที่รู้แน่ ๆ คือว่ามันจะกลับไปพบหน้าทู'ลลอชได้ก็ต่อเมื่อมีคริสตัลสอดแนมติดตัวไปด้วยเท่านั้น มันจึงวางมือลงบนลูกบิดประตูทองเหลืองแล้วออกแรงหมุน


ประตูแง้มออกจากกันเพียงน้อย ปีศาจกิ้งก่าแทรกตัวเข้าไปแล้วยืนนิ่งในทันที


ห้องด้านในว่างเปล่า


มันงับประตูปิดอย่างเงียบกริบแล้วมองไปรอบ ๆ ห้องนี้เป็นห้องที่แสนจะธรรมดาไม่มีการประดับประดาอะไรสักอย่าง เลยทำให้เจ้าปีศาจสงสัยขึ้นมาทันทีว่าบางทีมันอาจจะสะกดรอยตามคนรับใช้มายังห้องพักของเอลฟ์สักตนหนึ่งแทนที่จะเป็นที่ประทับของท่านเจ้า แต่แล้วมันก็สลัดความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเป็นแค่ห้องของเอลฟ์ธรรมดาจริง ๆ แล้วล่ะก็คงไม่ทำให้มันอยากอ้วกได้ถึงขนาดนี้หรอก


สเกลเกรนย่องข้ามห้องเข้ามาแล้วชะโงกหน้ามองผ่านประตูที่เปิดอยู่เข้าไปด้านใน


นั่นไง ว่าแล้วไม่ผิด ลอร์ดฟินวาร์รากำลังหลับปุ๋ยอยู่ใต้ผ้าห่มราวกับเด็กเพิ่งอิ่มนม วงหน้าสง่างามและสุขสงบของท่านเจ้าทำเอาสเกลเกรนนึกอยากจะคว้ามีดสั้นเหน็บเอวออกมาแกะสลักคำว่า "ข้าคือไอ้บ้ากาม!" ลงตรงกลางหน้าผากเนียนนั่น


แต่มันก็ไม่ได้ทำตามที่คิด มันเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึก (ผ่านทางปาก) อีกครั้งแล้วย่องเข้าไปในส่วนของห้องนอน เทียนแท่งอ้วนเผาไหม้ละลายกลายเป็นตอเตี้ย สร้างแสงเงาวูบวาบช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาสิ่งที่ปีศาจกิ้งก่าต้องการ


เจ้าปีศาจย่างเท้าเข้าไปหาตู้ลิ้นชักเตี้ย ๆ ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้ปลายเล็บเคาะลงบนพื้นไม้เงางาม


ก้าว หายตัว ก้าว หายตัว


โชคเข้าข้างมันแล้ว คริสตัลสอดแนมตั้งอยู่บนตู้นั่น ใกล้ ๆ กับแก้วนมสดกับแซนวิชที่กินเหลืออยู่ครึ่งชิ้น และแหวนอีกสองสามวงที่ฟินวาร์ราคงถอดออกก่อนเข้านอน


สเกลเกรนชะงักลังเล ไอ้ขุนนางดอกไม้มันจะวางกับดักติดไว้กับก้อนคริสตัลหรือเปล่า? เพราะก้อนแก้วนี่ถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่งของเหล่าภูตเชียวนา


แต่แล้วมันก็ยักไหล่พลางคิดว่า ช่างหัวมันปะไร


มันยื่นมือออก ซอกซอนไปตามช่องว่างระหว่างแก้วนมกับแท่งเทียน แสงของเปลวไฟวิบวับสะท้อนหน้าตัดนับพันเหลี่ยมของก้อนมณีออกไปทาบอยู่บนผนังด้านหลัง ก่อให้เกิดรูปทรงหลากหลายเปล่งประกายระยับจนน่าเวียนหัว


ในยามนั้น ปลายนิ้วผอมแห้งของปีศาจกิ้งก่าลอยอยู่เหนือคริสตัล มันกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบเชียบ กรอกตาไปมองหน้าเจ้าเหนือหัวแห่งภูตเผื่อว่าเขาจะตื่นลืมตาขึ้นมาในตอนนั้น จากนั้นปลายเล็บโสโครกของมันก็ปัดผ่านพื้นผิวเลื่อมระยับ และในพริบตาถัดมาก้อนคริสตัลก็ตกอยู่ในอุ้งมือของมัน


ถ้าสเกลเกรนคาดหวังว่าจะเกิดการระเบิดเปรี้ยงปร้างของเวทมนตร์แล้วล่ะก็ มันคงผิดหวังอย่างมาก เจ้าปีศาจยกแก้วคริสตัลขึ้น ขนาดและรูปร่างของมันเทียบเท่ากับหัวใจของมนุษย์ แต่ก็เท่านั้น เพราะหัวใจทั้งอุ่นทั้งเต้นระริกและรสชาติล้ำเลิศเย้ายวน แต่สิ่งนี้กลับเย็นชืดและแข็งกระด้าง


ปีศาจกิ้งก่าพิจารณาของในมืออยู่ชั่วครู่ สงสัยอยู่ครามครันว่ามันมีกลไกการทำงานอย่างไร จากนั้นจึงจับมันยัดลงไปในเป้ากางเกงแล้วคืบคลานออกไปจากห้อง มันแวะหยุดพักตรงประตูเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง (ไอ้ก้อนแก้วนั่นทั้งใหญ่ทั้งเย็น) จากนั้นจึงแทรกกายผ่านออกไปสู่โถงทางเดินอีกครั้ง


สเกลเกรนปรารถนาจะออกเดินสำรวจให้ทั่วคฤหาสน์แห่งอาณานิคมนี้ (ถ้าจะพูดกันตรง ๆ คือมันชักจะรู้สึกหิวขึ้นมาอีกแล้ว) แต่รู้ดีว่าสิ่งที่ซุกอยู่ในกางเกงชั้นในของมันมีค่ามากแค่ไหน มันจึงตัดสินใจว่าควรกลับออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ไร้กลิ่นที่ด้านนอกจะดีกว่า


การเดินทางขาออกสะดวกสบายเช่นเดียวกับขาเข้า แม้ว่าปีศาจกิ้งก่าจะคอยรู้สึกตะหงิด ๆ ตามประสาปีศาจขี้ระแวง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น มันย่องผ่านประตูที่แง้มอยู่ออกมาหยุดยืนรออยู่ตรงบันไดหลังบ้านขั้นล่างสุดอยู่พักหนึ่งเผื่อว่าจะมีใครเดินสวนลงมา เมื่อเห็นว่าทางสะดวกแล้ว มันก็ตะกายขึ้นบันไดและโกยอ้าวออกไปสู่รัตติกาลอันระยิบระยับ











(จบบทที่ 18)


******************************



ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)




******************************







...

ลิงค์ตอนเก่า ๆ ที่ตกขอบกระดานไปแล้วค่ะ

[1] Dream in a field of wild flowers : ความฝันกลางทุ่งดอกไม้ป่า

[2] The artist's craft : ฝีมือจิตรกร

[3] The wild reel : เพลงเต้นรำสุดเหวี่ยง

[4] The faerie lord : เจ้าเหนือหัวแห่งภูต

[5] Dream in an ancient forest : ความฝันกลางป่าโบราณ

[6] A timely invitation : คำเชิญที่มาถึงในเวลาเหมาะเจาะ

[7] Problem things : ปัญหา





Create Date : 05 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2548 18:08:21 น. 4 comments
Counter : 383 Pageviews.

 
เหอเหอเหอ... เอาไปโพสต์ไว้ทุกที่แล้ว ลืมโพสต์ในบล็อคตัวเองซะงั้นค่ะ


วันนี้ขอชวนคุยเรื่องชื่อคฤหาสน์ของภูตแห่งอาณานิคมนะคะ ชื่อภาษาอังกฤษคือ Ooleroopilly ซึ่งถ้าเป็นคนออสซี่อ่านแล้วจะขำก๊ากแน่ ๆ เพราะมันช่างเป็นเอกลักษณ์ของบริสเบนจริง ๆ ค่ะ


ในบริสเบนนั้นมีชื่อเขตที่มาจากภาษาของชาวอะบอริจิ้นส์ค่อนข้างมาก บางคนสงสัยว่ารู้ได้อย่างไรว่าคำไหนเป็นคำอะบอริจิ้นส์ เรื่องนี้เคยมีคนบอกไว้ว่า "They double everything!" นั่นแหล่ะค่ะเห็นภาพแจ่มชัดดีที่สุด


ชื่อของพวกอะบอริจิ้นส์มักจะมีตัวอักษรซ้ำกัน ยกตัวอย่างเช่น เขต Indooroopilly ที่เป็นเขตที่พักอาศัยและย่านศูนย์การค้าที่อยู่ไม่ห่างจากที่พักของ Poceille มากนัก หรือเขต Wooloogabba ที่มีร้านขายของมือสองตั้งแต่หนังสือไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ชุดใหญ่และมีสนามรักบี้ที่ใหญ่มาก ๆ ตั้งอยู่ สังเกตไหมคะว่าจะมีตัวอักษรที่ซ้ำกันอยู่หลายตัว อ่านเผิน ๆ แล้วตาลายดีแท้ นี่ล่ะค่ะคือเอกลักษณ์... They double everything จริง ๆ ถ้าท่านใดไปเมืองจิงโจ้แล้วเห็นคำคล้าย ๆ แบบนี้ก็บอกได้เลยว่าเป็นคำในภาษาอะบอริจิ้นส์แหง ๆ ค่ะ


ไว้โอกาสหน้าจะหานิทานของชาวอะบอริจิ้นส์มาเล่าให้ฟังนะคะ


โดย: Poceille วันที่: 5 พฤศจิกายน 2548 เวลา:18:07:23 น.  

 
เขียนเก่งจังเลย ยาวมากๆเลยอะนะ


โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 5 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:33:44 น.  

 
ยาวมากๆ เลยคุณโพ ของแปะไว้ก่อนนะค่ะแว๊บมาทักทายกันก่อนเดี๋ยวจะตามอ่านตั้งแต่ต้นเลยนะค่ะ ... แต่เอ
ถ้าหากว่าอ่านแล้วติดเลยล่ะคุณโพต้องแปลให้หมดเร็วๆ น๊า


โดย: JewNid วันที่: 6 พฤศจิกายน 2548 เวลา:1:45:32 น.  

 
คุณอินทรีทองคำ : อิอิ มิได้แต่งเองหรอกค่ะ แปลของเขามาอีกทีจ้า ถ้าแต่งได้ขนาดนี้ ป่านฉะนี้โพคงได้มีหนังสือเป็นของตัวเองแย้วค่ะ


คุณนิด : แว้กกกกกก เจ้าหนี้รายใหม่!!! ครั้งหน้าแปลแล้วจะเอาน้ำมันทาให้ลื่น ๆ ไว้ คนอ่านจะได้ไม่ติดไงคะ เหอเหอ


โดย: Poceille วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:13:43:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poceille
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





.
.
.

Busy Woman
but
Non-productive

.
.
.


Friends' blogs
[Add Poceille's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.