...ห้องทำงานรก ๆ ร้าง ๆ ที่เจ้าของทิ้งขว้างไม่สนใจ...


Group Blog
 
 
เมษายน 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
30 เมษายน 2548
 
All Blogs
 
[3] The wild reel : เพลงเต้นรำสุดเหวี่ยง



...


ปลายนิ้วสะบัด กีต้าร์คลาสสิกเริ่มบรรเลงบทเพลงอ่อนหวาน


เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาที่นักกีต้าร์ล่องหนจะนั่งหลบอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งของสตูดิโอ ดวงหน้าถูกครอบไว้ด้วยหน้ากากกระเบื้องหลอมเป็นรูปใบหน้าบุรุษหนุ่มที่ดูกลมกลืนราวกับเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังที่แท้จริง หมวกปีกกว้างสีดำก่อให้เกิดเงารูปเสี้ยวจันทร์ทาบทับบนวงหน้าสีขาวโพลน เว้นเพียงริมฝีปากสีสดหยักเป็นร่องลึกที่จะขยับแย้มขึ้นหรืององุ้มลงตามแต่สิ่งที่แน็ตตี้กำลังวาด ร่างกายถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมไหล่เนื้อหนาที่ตัดเย็บขึ้นจากการปะติดปะต่อกันของเศษผ้าหลากสีในสไตล์กึ่งโรมัน กึ่งทิเบต แต่โดยรวมแล้วนั่นคือสไตล์การแต่งกายของภูตแฟรี่ เครื่องดนตรีเก่าแก่ที่มีต้นกำเนิดมาจากที่ราบเนินเขาในสเปนถูกโอบรัดไว้บนตักราวกับเป็นร่างของเด็กทารก มือที่ไล้แผ่วเบาไปตามเส้นสายนั้นขาวซีดราวกับมือของปีศาจ ไร้รอยเหี่ยวย่น ไร้กาลเวลา


นักกีต้าร์ผู้นี้เก่งกาจเกินมนุษย์ การไล่เสียงไปตามแต่ละตัวโน้ตทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ การปรับเปลี่ยนขั้นเสียงแม่นยำ และการร่ายรำของปลายนิ้วนั้นหาที่ติไม่ได้ เสียงดนตรีก้องกังวานราวกับว่ามีนักกีต้าร์อีกสองหรือสามคนร่วมบรรเลงอยู่พร้อมกันมากกว่าจะเป็นการแสดงเดี่ยวเช่นนี้


แน็ตตี้ลงสีฟ้าโคบอล์ทบาง ๆ จนเต็มพื้นที่ครึ่งบนของแผ่นกระดาษเปียกชื้น แปรงใหญ่ขนาดนิ้วหัวแม่มือถูกลากกวาดอย่างอิสระเสรีเพื่อวางพื้นฐานของส่วนที่จะเป็นท้องฟ้า กระดาษที่เปียกชื้นดูดซับสีและกระจายออกรอบด้านอย่างสม่ำเสมอยกเว้นเพียงส่วนที่จิตรกรสาวใช้เทปกาวปิดไว้ก่อนหน้า แปรงถูกล้างและถูกจุ่มลงในเฉดสีใหม่ที่เป็นการผสมผสานระหว่างสีฟ้าเซอรูลีนอมสีเขียววิริดีนเพียงเล็กน้อยเพื่อใช้ในการวาดท้องทะเล


นางไม้ร่างเพรียวบางราวกิ่งหลิว ผู้มีเรือนผมยุ่งเหยิงเหมือนพุ่มบรัมเบิล กำลังเล่นฟรู้ทชนิดที่ใช้เป่าทางด้านข้าง เสียงใสซ้อนทับลงบนเสียงกีต้าร์อย่างอ่อนโยนแล้วสอดประสานท่วงทำนองอย่างลงตัว เครื่องดนตรีทั้งสองชิ้นเล่นเคียงคู่กันไปพักใหญ่ ขัดแย้งกันบ้าง หยอกล้อกันบ้าน สลับสับเปลี่ยนกันไปอย่างนุ่มนวลและชวนฝัน


พู่กันถูกลากปัดไปตามแนวนอนเพื่อสร้างรายละเอียดของเกลียวคลื่น เส้นแรเงาถูกแต่งเติมเพื่อเน้นความคมชัดของหัวคลื่นและการเคลื่อนไหวของมันในขณะที่ซัดสาดชายฝั่งที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง หญิงสาวเอนตัวออกห่างเพื่อพิจารณาเหลี่ยมมุมของกระดาษเปรียบเทียบกับภาพในความทรงจำของเธอสักครู่ก่อนโน้มตัวลงอีกครั้ง พู่กันเริงระบำราวกับมีชีวิต และทุกครั้งที่หญิงสาวลงมือวาดรูป เธอจะไม่สวมรองเท้า ปลายเท้าเปล่าเปลือยปัดผ่านพื้นห้องแผ่วเบาในทุกครั้งที่เธอขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งไปรอบ ๆ โต๊ะ


เสียงใสจากเครื่องสายสี่ตัวอันได้แก่วิโอลา เชลโล่และไวโอลินคู่แว่วขึ้นจากมุมมืดในห้องครัว แล้วสอดประสานไปกับเสียงดนตรีสองชิ้นแรกที่บรรเลงอยู่ก่อนหน้า เสียงที่เกิดจากการเสียดสีของคันชักที่ทำจากขนหางม้ากับเส้นเอ็นกระจายไปทั่วสตูดิโอพร้อมกับความอบอุ่นอ่อนหวาน เสียงกีต้าร์แผ่วลงเหลือเพียงฉากหลัง ปล่อยให้นางไม้เร่งเสียงฟรู้ทให้แหลมสูงขึ้น บทเพลงสำหรับคืนนี้มีท่วงทำนองคล้ายเสียงของทะเลเช่นเดียวกับภาพที่จิตรกรสาวกำลังวาดอยู่ อ่อนโยนและหมุนวนเฉกเกลียวคลื่น ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยภาวะกระวนกระวายของสายน้ำยามพายุใหญ่ใกล้มาเยือน


ลมหายใจที่ผิวผ่านฟรู้ทแผ่วลงจนลับหายพร้อมกับร่างเล็กของนางไม้ทรุดกายลงกับพื้นด้วยท่วงท่านุ่มนวลราวนักเต้นระบำปลายเท้า เสียงกีต้าร์สั่นพลิ้วแล้วเงียบลง ขอบหมวกตกลงมาปกปิดหน้ากาก ในขณะที่วงเครื่องสายสี่ชิ้นก็ค่อย ๆ ละลายไปในเงาสลัวเหมือนสายหมอกในแสงตะวัน


ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด


และแล้ว เสียงระรัวไร้จังหวะของกลองเบาวราน* ดังแว่วมาจากเทือกเขาแสนไกล เสียงทุ้มต่ำของไม้ที่ตีกระทบแผ่นหนังแพะดังกังวานเด่นชัดใกล้เข้ามาเหมือนนายทหารม้าที่กำลังควบเต็มฝีเท้า ผู้บรรเลงเพลงกลองเดินทางมาถึงแล้ว เขากรายผ่านบรรดาเงาวูบไหวของใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่โผล่อยู่ด้านนอกหน้าต่างเหมือนผู้ใหญ่เดินผ่านเด็กน้อยที่เกาะอยู่หน้ากระจกร้านขายขนมหวาน เขาร่ายระบำอยู่บนปลายเท้ากีบคู่ไปทั่วสตูดิโอพร้อมกับเฝ้ามอง รอคอยการตอบสนองจากจิตรกรสาว ในระหว่างนั้นก็พยายามสร้างสีสันด้วยการสะบัดข้อมือและย่ำกีบให้เกิดเสียงก๊อกแก๊ก


แน็ตตี้วางแปรงสีขนหนาลงแล้วเอื้อมไปหยิบพู่กันเรสเซเบิลเบอร์สี่มาโดยไม่ได้ละสายตาจากภาพวาดตรงหน้าแม้แต่น้อย เธอจุ่มพู่กันลงในสีครามสดใสและเริ่มแต่งแต้มรายละเอียดอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวในงานของเธอ


นางไม้ยกฟรู้ทขึ้นจรดริมฝีปากอย่างรวดเร็ว บทเพลงฟรู้ทถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้งโดยสอดประสานไปกับจังหวะของกลองเบาวรานในทันที ชั่วอึดใจหนึ่งที่สองเครื่องดนตรีผสานเสียงเป็นหนึ่งเดียว ก่อนที่เสียงฟรู้ทจะผละจากแล้วเริงระบำไปรอบห้องราวกับแมว เสียงกีต้าร์แว่วประสาน ปีกหมวกยกขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้าขาวที่ถูกระบายไว้ด้วยรอยยิ้มแสนกล จังหวะดนตรีเร่งร้อนบ้าคลั่ง น่าพิศวง วงเครื่องสายยังคงบรรเลงคลออยู่เป็นฉากหลังที่หนักแน่นและมั่นคงเฉกเดียวกับแผ่นกระดาษที่รองรับเส้นสายที่เครื่องดนตรีอื่น ๆ กำลังประดิษฐ์ขึ้น


การแสดงดนตรีดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้จุดสะดุด เช่นเดียวกับปลายพู่กันของแน็ตตี้ที่โลดแล่นอยู่บนกระดาษเพื่อปัดป้ายเนื้อสีที่บางครั้งบางเบาดุจลมหายใจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เสียงเพลงกระหึ่มอยู่รอบกาย ดึงเธอให้ดำดิ่งลงจนลืมเลือนความเป็นไปรอบด้าน หญิงสาวซึมซับพลังแห่งความงดงามของท่วงทำนองแล้วถ่ายทอดลงไปในงานวาดเช่นเดียวกับที่เธอใช้พลังจากจินตนาการของตัวเอง


ใบหน้ามากมายที่มองเห็นผ่านกระจกหน้าต่างก็พลอยชื่นชมและสนุกสนานไปกับท่วงทำนองแห่งบทเพลงนั้นเช่นกัน ดวงหน้าที่ถูกกล่าวถึงไว้ในตำนานที่ไม่มีทางเป็นจริงนอกจากในโลกแห่งจินตนาการของเด็ก ๆ เท่านั้น บ้างก็เป็นเพียงเงาร่างที่ไร้ตัวตนในขณะที่บางตัวประกอบขึ้นด้วยกายเนื้อ อย่างเช่นเหล่านกกระจอกตัวจิ๋วสีสดใสที่มีส่วนของศีรษะเป็นชายชราสวมหมวกผ้าขนสัตว์ใบจ้อย หรือสัตว์ประหลาดในชุดผ้าป่านกระสอบที่มีแขนและขายาวยืด หรือกระทั่งสตรีร่างเปล่าเปลือยที่กำลังบินวาบไปมาด้วยปีกแมลงปอบางใสที่มีเส้นลายภายในเป็นสีน้ำเงินเข้มงอกออกมาจากกลางแผ่นหลัง แต่ทุกผู้ทุกตนกำลังจับตามองการแสดงดนตรีและเคลิบเคลิ้มไปกับมนตร์วิเศษอันเก่าแก่นั้น


ราตรีผันผ่าน ทิวามาเยือนแล้วเคลื่อนจากไปอีกครั้ง


แน็ตตี้ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นสักนิด เธอกำลังติดลม ความเหนื่อยล้าที่รู้สึกก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้นราวกับว่ามันถูกจับใส่ห้องขังอยู่ในที่ใดที่หนึ่งซึ่งเธอรู้ดีว่ามันจะต้องกลับมาอีกแน่ หากแต่ตอนนี้เธอเลิกสนใจมันอย่างสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่จิตเธอตั้งมั่นอยู่คือรูปวาดตรงหน้า


ในวินาทีนั้น


นักดนตรีตนอื่นก็โผเข้าร่วมวงเต้นรำโดยพร้อมเพรียง เสียงปี่ฝรั่ง ซอ และแมนโดลิน ผสมผสานกลมกลืนเข้ากันเป็นเสียงดนตรีแปร่งปร่าน่าอัศจรรย์ที่หลั่งไหลไปในอากาศเช่นเดียวกับสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายของจิตรกรสาว แก้มของเธอเปื้อนสีและสีบางส่วนแห้งกรังอยู่กับเส้นผมแต่เธอไม่ได้สนใจ เธอกระดกแก้วกาแฟขึ้นดื่มโดยลืมไปแล้วว่าเธอจัดการมันหมดแก้วไปแล้วตั้งแต่ชั่วโมงก่อน แต่เธอก็ยังทำท่ากลืนลงไปอยู่ดี


หญิงสาวคว้าแปรงอันเล็กกระจิดริดที่มีขนแปรงละเอียดขึ้นมา แล้วก้มหน้าต่ำลงไปจนบัดนี้ห่างจากแผ่นกระดาษเพียงไม่กี่นิ้วเพื่อลงรายละเอียดของทุ่นลอยน้ำที่ถูกผูกติดอยู่กับท่าเรือ เธอให้ความสำคัญกับเงาสะท้อนของทุ่นบนผิวน้ำเรียบสนิทเป็นพิเศษ จากนั้นก็ลงมือวาดเมฆ เธอบรรจงวาดระลอกคลื่นทีละวง เกลียวของไอควันทีละเส้น และเงาของแต่ละจุดด้วยมือโดยไม่ยอมปล่อยให้เป็นแค่หน้าที่ของเนื้อสีที่ไหลมาบรรจบกัน


บทเพลงเต้นรำปรับเปลี่ยนระดับต่ำสูงของเสียงและจังหวะอย่างลงตัว มันถูกเปลี่ยนเป็นจังหวะกระชั้นเร่งเร้าขึ้นกว่าช่วงก่อน เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นผลัดกันเป็นตัวแสดงเดี่ยว ต่างฝ่ายต่างสานต่อความยาวของบทเพลงไปเรื่อย ๆ เหล่าภูตตนอื่นก็หาที่นั่งกันตามกองพู่กันและดินสอ บ้างก็นั่งชมการแสดงอยู่บนชั้นวางของ ต่างตนต่างปรบมือหรือไม่ก็เคาะกระป๋องและถ้วยโถให้เข้ากับจังหวะดนตรี แม้แต่บนคานหลังคาเหนือศีรษะของหญิงสาวก็เต็มไปด้วยเหล่าภูตรูปร่างประหลาดที่กำลังกระโดดโลดเต้นกันอย่างสนุกสนาน


เมื่อสีของเกลียวคลื่นแห้งสนิท แน็ตตี้ก็หยิบใบมีดโกนขึ้นมาถือไว้และเริ่มขูดสีบางส่วนออกเพื่อทำเป็นฟองน้ำหัวคลื่น เธอคีบใบมีดส่วนที่ยังถูกหุ้มไว้ด้วยกระดาษห่ออย่างหลวม ๆ แล้วบรรจงขูดเนื้อสีออกจนมองเห็นส่วนของกระดาษสีขาวบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านล่าง แน็ตตี้กลั้นลมหายใจ กวาดสายตาพิจารณาหาตำแหน่งที่เธอควรจะเอาใจใส่ในรายละเอียดให้มากเป็นพิเศษ งานของเธอเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงการแต่งแต้มอีกนิดหน่อย การเรียนรู้ว่าควรจะยุติเมื่อใดนั้นเป็นพรสวรรค์เช่นเดียวกับการ...


"พระเจ้าช่วย! นี่เธอกลายเป็นคนหูหนวกไปตั้งแต่เมื่อไหร่?"


เสียงเพลงดับลงในทันที


แน็ตตี้หวีดร้องพร้อมเหลียวขวับไปมอง ใบมีดโกนกรีดผ่านแผ่นกระดาษไปอย่างนุ่มนวล


คล้ายใบมีดที่กรีดผ่านเนื้อสด ๆ


หัวใจของหญิงสาวกระโจนขึ้นมาอยู่ในลำคอและกำลังบีบตัวอย่างบ้าคลั่งในขณะที่สายตาของเธอจับจ้องอยู่กับร่างของผู้บุกรุก เขาเป็นหนุ่มน้อยร่างสูง สวมเสื้อขนแกะตัวยาวลงมาคลุมทับกางเกงยีนส์สีดำที่เก่าจนซีดจางไปแล้ว วงหน้าคมสัน ตามแนวเหลี่ยมของคางคือไรเคราเขียวที่คงเพิ่งถูกโกนไปเมื่อเช้า เขากำลังยืนพิงกรอบประตูอยู่ด้วยท่าทีสบาย ๆ มือสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง


แน็ตตี้พยายามสงบจิตสงบใจตัวเองลง และความขุ่นเคืองก็แล่นพรวดขึ้นมาแทนที่ความตระหนกตกใจอย่างรวดเร็ว "เล่นอะไรบ้า ๆ" เธอตะโกนใส่เขา "ทำฉันตกใจแทบตาย!"


ชายหนุ่มแสร้งตีสีหน้าเจ็บปวดในทันที "ผมอุตส่าห์แวะมาหาคุณ" เขาพ้อด้วยน้ำเสียงขมขื่น "และมาดูริมฝีปากของคุณด้วย"


แน็ตตี้ชะงัก


"มาดูริมฝีปากของฉัน?" หญิงสาวทวนประโยคนั้นเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง "นี่ คุณทำให้ฉันเสียเวลาทำงาน ทำฉันตกใจแทบตาย แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า "มาเพื่อดูริมฝีปากของคุณด้วย" อีกงั้นเรอะ?"


เธอขว้างใบมีดโกนลงกับพื้นแล้วเดินกระแทกส้นเท้าข้ามห้องไปยืนประจันหน้ากับเขา เธอเงยขึ้นมองวงหน้าที่บัดนี้เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ของชายหนุ่มและเห็นว่าเขากำลังสนุกสนานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้เธอฉุนเฉียวหนักขึ้นกว่าเดิม


"ไสหัวไป!" หญิงสาวออกคำสั่ง


"โอ๋ อย่าเพิ่งโกรธสิจ๊ะแน็ตตี้" เขาอ้อนพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางลงบนไหล่ของเธอด้วยท่าทีเป็นมิตร "ไม่ดีใจเลยเหรอครับที่เจอผม?" เขาส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งแน็ตตี้เคยเห็นว่าน่าดูที่สุด แต่ในยามนี้มันกลับเป็นเชื้อไฟให้โทสะของเธอรุนแรงขึ้น


หญิงสาวกลืนคำตอบโต้รุนแรงลงลำคอไปแล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ "คุณเข้ามาได้ยังไง? ฉันยึดกุญแจคืนแล้วนี่"


เขาดึงมืออีกข้างออกจากกระเป๋ากางเกงในลักษณะที่คีบลูกกุญแจเยลสีทองแดงไว้ระหว่างนิ้วมือ "ผมมีดอกสำรองไง"


และก่อนที่ชายหนุ่มจะทันขยับตัว แน็ตตี้ก็ยื่นมือออกไปคว้าลูกกุญแจนั่นไว้ "ไม่อีกต่อไปแล้ว"


เขายิ้มเยาะ "ผมอาจจะมีเก็บไว้อีกก็ได้นะ"


"ลองโผล่หัวมาที่นี่อีกสิ ครั้งหน้าฉันจะเรียกตำรวจ**"


"แน้ตตี้จ๋า แน็ตตี้ หลังจากที่เราสองคนผ่านอะไร ๆ มาด้วยกันแล้ว คุณยังจะทำแบบนี้กับผมได้ลงคออีกเหรอ?" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยกระแสเยาะหยันชัดเจน


หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าสะเอว "แล้วไอ้ที่ว่าผ่านอะไร ๆ มาด้วยกันน่ะ มันคืออะไรกันล่ะ?"


รอยยิ้มของเขาเหยียดกว้าง "แหม คุณก็รู้อยู่แก่ใจ ตั้งสามเดือนเชียวนา"


แน็ตตี้หมุนตัวกลับพร้อมส่ายศีรษะไปมา ในขณะที่ชายหนุ่มคู่สนทนายังคงพล่ามต่อไปว่า "ผมทำอะไรผิดเหรอ? บางทีถ้าผมรู้..."


หญิงสาวหันกลับมาพร้อมดวงตาโชนแสง "ผมทำอะไรผิดเหรอ?" เธอย้ำคำถามนั้นอย่างเหลือเชื่อ "อย่างแรกเลยนะ เรื่องที่คุณไปมั่วกับยายแมรี่ โมราน กับเคท แมคเดอร์มอตต์ทั้ง ๆ ที่ยังคบหาอยู่กับฉันไงล่ะ? อย่างน้อยก็สองคนละที่ฉันมีข้อมูลแน่นอน แล้วที่เหลืออีกกี่คนล่ะฌอน?"


อารมณ์รื่นเริงจางหายไปจากใบหน้าของชายหนุ่มในทันที แน็ตตี้จับกระแสแห่งความอับอายที่แล่นผ่านใบหน้าของเขาได้ แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบแล้วเลือนหายไป เขาอ้าปากทำท่าจะประท้วง แต่ก่อนที่เขาจะทันผลิตคำพูดใด ๆ ออกมา แน็ตตี้ก็ชิงตัดหน้าเสียก่อน "อย่าเสียเวลามาแก้ตัวหน่อยเลย"


"คุณนี่หูเบาไม่เข้าเรื่อง ผมไม่มีอะไรกับแม่พวกนั้นสักหน่อย"


"พระเจ้า ฌอน ตื่นสักทีเถอะ ถ้าคุณไม่มีอะไรกับพวกนั้นจริง ๆ ละก็ คงไม่เป็นอะไรถ้าฉันจะเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ทั้งแมรี่และเคทได้ฟังงั้นสิ"


เขาส่ายหน้าก่อนก้มลงมองรองเท้าตัวเอง "ใครคาบเรื่องนี้มาบอกคุณกันล่ะ?" เขาถามด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม


"ใครก็ช่าง คุณคิดว่าฉันตาบอดหรือไง? ออกจะโจ่งแจ้งขนาดนั้น คุณน่ะโง่แต่ยังอวดฉลาด ช่างน่าสมเพชจริง ๆ"


หญิงสาวสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธของเขาที่เพิ่มระดับขึ้นมาเทียบเท่ากับอารมณ์ของเธอในยามนี้แล้ว เขาผละออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ วงหน้าแดงก่ำ


"แล้วเคยสงสัยไหมว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้น?" เขาถามด้วยน้ำเสียงดุดันขึ้น "บางทีถ้าคุณเอาใจใส่ผมมากกว่าไอ้งานเขียนภาพบ้า ๆ นั่นของคุณ อะไร ๆ มันก็อาจจะดีกว่านี้"


แน็ตตี้หัวเราะเยาะ "โธ่เอ๊ย ฉันรู้มาตั้งนานแล้วว่าคุณควงอยู่กับยายเคทมานานพอ ๆ กับที่คุณมายุ่งอยู่กับฉัน"


บัดนี้ชายหนุ่มเข้ามายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว ทั้งคู่ยืนประจันหน้ากันอยู่ตรงเกือบจะกึ่งกลางห้องสลัว รถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านถนนที่อยู่ด้านล่าง แสงไฟหน้ารถสาดกระทบขื่อคานที่วางพาดกันอยู่เหนือศีรษะของทั้งสอง


ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดในขณะที่สองร่างยืนจ้องหน้ากันอยู่ด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนที่ฌอนจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นใหม่


"คุณรู้ไหมว่าปัญหาของคุณคืออะไร? พวกเด็ก ๆ ในผับนั่นพูดถูกแฮะ พวกนั้นบอกว่าคุณน่ะเป็นพวกตายด้าน ตอนแรก ๆ ก็ทำท่าเป็นมิตรดีหรอก แต่พอนาน ๆ เข้าสันดานเดิมก็ออก คุณเลือกที่จะขังตัวอยู่ในห้องแล้วเล่นกับตัวเอง พวกบรรดาแฟนเก่าของคุณเลยทนไม่ได้ต้องตีตัวจากไปทั้ง ๆ ที่เพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือน คุณน่ะคงเป็นได้แค่เครื่องมือบำบัดความใคร่..."


หญิงสาวชกหน้าเขาเปรี้ยง


หมัดกลม ๆ ของเธอกระแทกปากของเขาอย่างจังจนสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อเยื่ออ่อนบางของเขาที่กระทบเข้ากับแนวฟันและได้ยินเสียงตุ้บเปียก ๆ ที่ดังสะใจ ศีรษะของฌอนผงะหงาย แววแห่งความตกใจและเจ็บปวดฉายชัด เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปากและเมื่อถอนมือออกก็เห็นหยดเลือดที่ออกจากรอยแตกของกลีบปากติดนิ้วอยู่


ก่อนที่หญิงสาวจะทันก้าวถอยหลัง เขาก็ยื่นมืออีกข้างออกไปขยุ้มเสื้อกันหนาวของเธอไว้เต็มกำแล้วกระชากร่างของเธอเข้ามาใกล้ มืออีกข้างยกง้างขึ้นในระดับเดียวกับใบหน้าของเธอ ในเสี้ยววินาทีนั้นหญิงสาวคิดว่าหนนี้เขาคงต่อยเธอจนสลบแน่ ๆ


สองร่างยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น รูจมูกของฌอนเบิกกว้างในยามที่เขาสูดลมหายใจเข้ายาวเหยียด ดวงตาของแน็ตตี้เบิกโพลง จับจ้องอยู่กับชายหนุ่มด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ


ฌอนลดกำปั้นลงพร้อมคลายมือจากชายเสื้อกันหนาว เขายกมือขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วแตะปลายนิ้วกับริมฝีปากตัวเองอีกครั้ง แล้วยื่นมือออกไปป้ายคราบเลือดลงบนบ่าเสื้อกันหนาวของเธอเป็นทางยาว ชายหนุ่มส่ายศีรษะ แววของความประหลาดใจในดวงตาสีเข้มเด่นชัดตอนที่เขาเค้นคำพูดออกมาแผ่วเบา


"นางแพศยา"


ชายหนุ่มหันหลังกลับแล้วเดินตรงไปหาบันได และเมื่อเดินไปถึงบันไดขั้นแรกเขาก็หันกลับมาอีกครั้ง "ถ้าคุณปากโป้งบอกเรื่องนี้กับใคร ผมสาบานไว้เลยว่าผมฆ่าคุณแน่"


ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันแน่วนิ่ง ก่อนที่เขาจะเดินลงบันไดหายไป แน็ตตี้ได้ยินเสียงเปิดประตูออก ตามด้วยเสียงกระแทกปิดแรง ๆ


หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมอีกหลายนาที สองแขนโอบอยู่รอบตัวเพื่อหยุดอาการสั่น เธอรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในช่องท้อง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอได้ชกหน้าคน


ภาพที่ติดตาอยู่ในยามนี้คือแววในดวงตาสีเข้มกับกำปั้นของผู้ชายคนนั้นที่เงื้อง่าอยู่ตรงหน้า ในตอนนั้นเขาคงตั้งใจจะชกเธอคืนจริง ๆ


แน็ตตี้สูดลมหายใจเข้าลึก สองแขนตกห้อยลงข้างกาย เธอเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน หลอดไฟดวงเดียวที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะส่องวงแสงสีเหลืองลงบนผิวไม้และพื้นที่รอบด้าน ในยามปกติแล้วแสงของมันทำให้แน็ตตี้รู้สึกอบอุ่น แต่คืนนี้มันกลับดูเหมือนดวงไฟที่ฉายลงบนโต๊ะผ่าศพ


เธอก้าวไปถึงโต๊ะแล้วก้มลงมองภาพเขียนที่เกือบจะเสร็จสมบูรณ์อยู่แล้ว หากมองเผิน ๆ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ หากแต่เมื่อเธอหยิบมุมกระดาษด้านหนึ่งยกขึ้น ครึ่งหนึ่งของตัวภาพกลับยังคงวางนิ่งอยู่กับที่ รอยกรีดเป็นแนวโค้งนั้นเรียบกริบ หากใส่กรอบดี ๆ แล้วก็คงพอจะถูไถขายได้ แต่หญิงสาวรู้ดีว่าภาพนี้จะไม่มีวันได้ออกไปจากห้องนี้ มันถูกทำลายสิ้นแล้ว เวทมนตร์ของภาพเสื่อมสลายไปแล้ว


แน็ตตี้ปล่อยมุมกระดาษลงแล้วทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ วางคางลงในอุ้งมือทั้งสองแล้วเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างที่มืดสนิท เธอคิดว่าเธอมองเห็นอะไรบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายใบหน้าบิดเบี้ยวกำลังจ้องตอบกลับมา แต่เมื่อกระพริบตาภาพนั้นก็เลือนหายไป และสิ่งที่เธอเห็นก็เป็นเพียงเงาสะท้อนของห้องที่ไหวระริก


หญิงสาวถอนหายใจ ความอ่อนล้าถาโถมทับลงมาหาเธอในทันทีเหมือนผ้าห่มหนาหนักที่ชุ่มไปด้วยน้ำ แต่เธอกลับไม่กล้าหลับตาลงนอนเพราะเกรงว่าความฝันนั้นจะตามมาหลอกหลอนเธออีก เธอสามารถอดนอนได้ในคืนนี้ แต่รู้ตัวดีว่ายังไงเสียเธอก็ต้องพักผ่อนหลังจากการทำงานติดต่อกันกว่าสี่สิบชั่วโมง


เธอถอนหายใจอีกครั้ง หากหนนี้กลับลงท้ายด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอเอื้อมมือไปคว้าแผ่นกระดาษสะอาดอีกแผ่นมาแล้วบรรจงวางทับลงบนภาพเขียนที่เสียหาย ก่อนจะวางท่อนแขนนาบไว้แล้วเอนศีรษะลงซบ


ในยามนั้นเองที่เธอยอมปล่อยให้น้ำตาหลั่งริน


ด้านนอก เหล่าภูตที่ยังคงรอดูเหตุการณ์นั่งตัวตรงอยู่บนขอบหน้าต่างที่กว้างเพียงนิ้ว มนุษย์นกกระจอกส่ายหัวที่สวมหมวกอยู่ด้วยท่าทีโศกเศร้า ต่างกางปีกสีเทาออกโอบเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าฮอบกอบลินที่สวมเสื้อผ้าป่านกระสอบกำลังเดือดดาลเต็มที่ พวกมันชูกำปั้นหรา แถมยังขว้างปาก้อนหินเล็ก ๆ ลงใส่ร่างของชายหนุ่มตัวก่อเรื่องตอนที่เขากำลังเดินไปตามถนน เทพธิดามีปีกตัวน้อยร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร แสงระยิบระยับที่เคยเปล่งประกายออกจากปีกบางใสราวใยแมงมุมบัดนี้กลับหรุบหรี่ พลังอันแข็งแกร่งและงดงามของเวทมนตร์นั้นถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของคนงี่เง่าไม่รู้เรื่องรู้ราวเพียงคนเดียว


คอนเสิร์ตจบลงแล้ว


ภูตแต่ละตนต่างด่าทอสาปแช่งผู้ชายคนนั้น เจ้าฮอบกอบลินก้าวพ้นขอบหน้าต่างแล้วเดินลงมาตามแนวดิ่งของตึกจนถึงพื้นด้านล่าง จากนั้นก็แหกปากส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนเสียงร้องของนกฮูกแล้ววิ่งกระเซอะกระเซิงไปตามบ้านต่าง ๆ สุนัขเห่าขรมจนเมื่อพวกภูตวิ่งผ่านแล้วไปจึงเงียบเสียงลง หลังจากนั้นไม่นาน มนุษย์นกกระจอกสามตนก็ผละจากไป พวกมันโผขึ้นสู่อากาศ ขยับปีกแล้วโบยบินกลับไปทางแนวเขาที่มองเห็นเพียงเงาสลัว


เทพธิดาตัวน้อยยังคงรีรออยู่ พวกนางแนบฝ่ามือและใบหน้าลงกับแผ่นกระจกเย็นเฉียบ ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจผ่านเข้าไปให้สตรีที่ยังคงร่ำไห้อยู่ด้านในห้อง แต่พวกนางไม่สามารถช่วยอะไรได้ พวกนางไม่สามารถสัมผัสแตะต้องสตรีนางนั้นได้เนื่องด้วยคำสั่งจากเจ้าเหนือหัว พวกนางทำได้เพียงเฝ้ามอง สนุกสนานไปกับเวทมนตร์ของสตรีนางนั้นได้ แต่มิอาจยื่นมือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น


สายลมกรรโชกขึ้นในทันที ถึงแม้ว่าพวกภูตจะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นของแรงลมแต่พวกนางก็ถึงกับตัวสั่นขึ้นมาอย่างสุดห้าม มันมีบางสิ่งบางอย่างที่ออกหากินยามค่ำคืน และเมื่อไม่มีภูตฮอบคอยคุ้มครองและไม่มีมนตร์ปกป้องจากมนุษย์นกกระจอกแล้ว ก็ถือได้ว่าเหล่าเทพธิดาองค์น้อยกำลังตกอยู่ในอันตรายเพราะมนตราของพวกนางเป็นเพียงมนตร์แห่งการเยียวยาและให้ความบันเทิงเท่านั้น ไม่ใช่เวทที่ใช้ป้องกันตัวจากอันตรายต่าง ๆ ได้


สตรีผมสีใบไม้ร่วงในห้องลุกขึ้นแล้วเดินข้ามห้องหายไปจากสายตา และเมื่อเหล่าเทพธิดาแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นไม่หวนกลับมาอีก ปีกบางกลางหลังของพวกนางก็กระพือเร็วขึ้น ร่างเล็กลอยขึ้นสู่อากาศ แล้วบินโผเผไปตามท้องถนนเหมือนหิ่งห้อยตัวน้อยในฤดูร้อน ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปหาดวงจันทร์ที่เพิ่งจะเคลื่อนกายพ้นขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า







******************************




ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)








หมายเหตุ :


* กลองเบาวราน มาจากคำภาษาไอริชว่า Bodhran ที่จริงแล้วเหนือตัวอักษร a ต้องมีขีดด้วยแต่ทำไม่เป็นอ่ะค่ะ

** ตำรวจ ในที่นี้แปลมาจากภาษาไอริชที่ว่า garda ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า guard หรือ police officer ค่ะ


ดิกชันนารี่ออนไลน์ที่ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงคือ Irish-English Dictionary ของ Websters ค่ะ






Create Date : 30 เมษายน 2548
Last Update : 26 พฤษภาคม 2548 17:32:24 น. 0 comments
Counter : 686 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poceille
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





.
.
.

Busy Woman
but
Non-productive

.
.
.


Friends' blogs
[Add Poceille's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.