...ห้องทำงานรก ๆ ร้าง ๆ ที่เจ้าของทิ้งขว้างไม่สนใจ...


Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2548
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
7 พฤษภาคม 2548
 
All Blogs
 
[4] The faerie Lord : เจ้าเหนือหัวแห่งภูต



...


เผ่าคน็อคมา เนียร์ทูอัม แคว้นกัลเวย์


หมอกจากปลักโคลนแทรกผ่านผิวดินขึ้นมาแล้วม้วนตัวผ่านพงหญ้าและหมู่ลำต้นไม้


สายหมอกเคลื่อนกายผ่านเนินเขาอย่างเชื่องช้าเหมือนมีชีวิตเป็นของตัวเอง แทรกซึมไปตามหลุมโพรงต่าง ๆ คืบคลานขึ้นไปตามลำต้นไม้ตายซากที่เริ่มผุพังแล้วม้วนตัวรอบใบไม้ใบกว้างของไม้พุ่มเตี้ย สายหมอกเคลื่อนผ่านพงหญ้าสูงและผิวหน้าของผืนน้ำที่เย็นเฉียบอย่างอิสระเสรี หมุนวนหยอกล้ออยู่กับแสงจันทร์สีเงินยวง


เหล่าเทพธิดาโบยบินกลับสู่บ้าน เลาะเลียบไปตามพื้นดิน แสงรัศมีจากพวกนางพราวระยับท่ามกลางสายหมอกยามเช้าตรู่ที่แขวนตัวลอยคว้าง โปรยปรายเส้นสายที่ส่งประกายวิบวับราวสะเก็ดดาวที่ค่อย ๆ โรยตัวลงสู่เบื้องล่างและระเหยหายไปก่อนที่จะตกกระทบผิวดิน


ทิศทางการบินของพวกนางดูเปะปะไร้การควบคุม แต่พวกนางมีสัญชาติญาณดั้งเดิมที่สามารถนำทางกลับสู่บ้านได้โดยไม่หลงไปที่ไหน พวกนางเต้นรำผ่านตัวเมือง หมู่บ้าน กระท่อมที่ตั้งโดดเดี่ยว บางครั้งก็แอบสอดสายตามองผ่านกระจกหน้าต่าง หรือไม่ก็แอบชะโงกหน้าเข้าไปสำรวจหลังบานประตูที่เปิดแง้มทิ้งไว้ หรือไม่ก็แวะพักเพื่อดื่มน้ำนมจากจานรองแก้วที่ใครบางคนนำออกมาวางไว้นอกบ้านตามความเชื่อโบราณ


พวกนางบินผ่านที่พักอาศัยของภูตตนอื่น ๆ ที่เป็นสมาชิกเผ่าเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มของต้นพุกเกิลส์ที่ขึ้นรวมกันอยู่ในสถานที่อันอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ด้วยอำนาจแห่งเวทมนตร์ทำให้ใบหน้าที่ครอบไว้ด้วยหน้ากากสไตล์เวนิชและเส้นผมที่แข็งเหมือนขดลวดรุงรังนั้นดูกลมกลืนไปกับสีของป่ายามฤดูใบไม้ร่วง ตัวสปริกแกนขนฟูนอนหมอบเฝ้าขุมทองอยู่บนยอดเขาที่หนาวเหน็บ และเมื่อเหล่าเทพธิดาแล่นแฉลบผ่านผิวน้ำแห่งทะเลสาบคอร์ริบ ภูตเคลปีสที่มีใบหน้าเหมือนม้าก็ยกตัวขึ้นจากแผ่นน้ำแล้วพ่นละอองไอออกจากช่องจมูกที่เบิกกว้าง


กลางราตรีดึกสงัด พระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ลำแสงของจันทราทอทาบอยู่บนขอบสีเงินของเมฆที่แขวนตัวนิ่งสนิท นกเค้าแมวตัวหนึ่งบินโฉบอยู่เหนือทุ่งข้าวเพื่อมองหาเหยื่อ ปลายปีกวาววับราวกับถูกแต้มด้วยประกายไฟสีขาว


เหล่าเทพธิดาม้วนตัวผ่านแนวรั้วต้นไม้เตี้ย ๆ แล้วผ่านเข้าสู่ทุ่งหญ้า เงาเลือนรางในแสงสลัวตรงหน้าของพวกนางคืออาณาบริเวณของเผ่าคน็อคมา ในสายตาของมนุษย์แล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงเนินเตี้ยที่ตั้งอยู่กึ่งกลางพื้นที่ราบที่ใช้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ตัวเนินยกสูงขึ้นไปประมาณสามสิบถึงสี่สิบฟุต ไม่มีใครสามารถระบุตัวเลขความสูงที่แน่นอนได้เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปในทุกครั้งที่มีการสำรวจ


บนยอดเนินคือต้นหนามดำสามต้นยืนเด่นเป็นเสมือนยอดมงกุฏอันแวววาม กิ่งก้านของพวกมันสอดประสานกันแน่นหนาและซับซ้อนจนยากที่จะบอกได้ว่ากิ่งไหนเป็นของต้นไหน อายุของพวกมันนั้นเหลือประมาณ ลำต้นตะปุ่มตะป่ำหงิกงอคล้ายกำลังโกรธขึ้งโชคชะตาของชีวิตที่พวกมันต้องทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ต้นหญ้าสั้น ๆ เนื้อนุ่มที่แผ่ปกคลุมยอดเนินนั้นเขียวชอุ่มเหมาะสำหรับเป็นแหล่งอาหารให้กับฝูงวัวซึ่งบัดนี้ลงนอนหลับอยู่ใต้กิ่งก้านสาขาของต้นเอล์มเก่าแก่ที่ขึ้นอยู่ตรงชายทุ่ง


แต่ภาพที่เหล่าเทพธิดามองเห็นกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง


เนินเขานั้นดูใหญ่โตขึ้น สูงและกว้างขึ้น บริเวณกึ่งกลางของตัวเนินที่มีลักษณะคล้ายช่องปากมหึมานั้นคือทางเข้าสู่โถงอันกว้างใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดิน ประตูไม้โอ๊คบานใหญ่เปิดพาดลงเหมือนสะพานชัก และแสงสว่างที่ทอลอดออกมายังทุ่งหญ้าเป็นสีทองสุกปรั่งแลดูอบอุ่น


อาณาเขตรอบตัวเนินที่เรียกว่าชีแอน* นั้นคับคั่งไปด้วยบรรดาเทพธิดาตนอื่นที่กำลังบินฉวัดเฉวียน ส่องประกายสว่างไสวราวหิ่งห้อยนับพัน พวกภูตตนอื่นกระจัดกระจายอยู่ตามทุ่ง บ้างก็กำลังนอนเหยียดยาว บ้างก็กำลังสนทนาพูดคุยหรือไม่ก็กำลังเล่นเกม อย่างพวกภูตบราวนี่ส์ที่กำลังส่งเสียงเฮฮาสนุกสนานไปกับการเล่นเกมโหด ๆ ที่ใช้การจับตัวเพื่อนทุ่มไปมา โดยมีคณะสาวงามในชุดผ้าไหมยาวกรุยกรายสีประกายเหลือบรุ้งนั่งเป็นผู้ชม กลุ่มเอล์ฟอารมณ์ดีกับคนแคระร่างบึกบึนอีกสองตนทำท่าว่ากำลังวางเงินพนันผลการแข่งขันกันอยู่ เสียงดนตรีอึกทึกคึกโครมและเสียงสนทนาดังสนั่นลั่นบริเวณราวกับละอองเกสรดอกไม้ในฤดูร้อนที่แทรกซึมไปทั่วทุกสารทิศ


แม้ว่าบริเวณรอบเนินจะคึกคักสักเพียงใดก็คงเทียบไม่ได้กับความเป็นไปภายในเนินเขาแห่งนั้นแม้สักกระผีกเดียว


เหล่าเทพธิดาโฉบผ่านใบหูที่กระดิกดุ๊กดิ๊กของแม่โคตัวหนึ่งที่กำลังพยายามข่มตาหลับอย่างสุดความสามารถ แล้วบินลอดหว่างขาของยักษ์คู่หน้าตาถมึงทึงที่ยืนยามอยู่หน้าทางเข้าบรู**อันเป็นอาคารหลัก อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าพวกภูตไม่ยึดติดกับกฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ ดังนั้นสถานที่ด้านในเนินเขาจึงกว้างขวางราวพระราชวังที่เต็มไปด้วยห้องหับนับพัน โถงทางเดินนับร้อยและคอกม้านับสิบสำหรับใช้เก็บพาหนะของเหล่าภูตทั้งหลาย


โถงทางเดินหลักนั้นนำตรงไปสู่ห้องอาหารใหญ่ที่มักใช้เป็นที่จัดงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการ ตัวห้องเป็นรูปทรงกลม ด้านบนคือโดมหลังคาโค้งที่ทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยเสาค้ำยันหรือเครื่องพยุงใด ๆ ทั้งสิ้น ขนาดของห้องนั้นยากจะประมาณได้อีกเช่นกัน หากจะพูดกันแบบง่าย ๆ ก็คือเหล่าภูตทุกตนในเผ่าคน็อคม่าสามารถเข้ามารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ได้อย่างสบาย ๆ แถมยังมีที่เหลือสำหรับสมาชิกของเผ่าเพื่อนบ้านอันได้แก่ เครก ลีค ในแคว้นแคลร์ และ คน็อคชีกูลนาแห่งทิปเปอรารี่ได้อีกต่างหาก ถือได้ว่าคฤหาสน์ของเผ่านี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไอร์แลนด์รองจากราชวังสุดโทรม (และออกจะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว) ขององค์ราชายูเบอรอนที่ตั้งอยู่ก้นทะเลสาบเกอร์ในแคว้นไลเมอริก


ผนังรอบห้องโถงเต็มไปด้วยประตูและช่องเปิดของทางเดินมากมาย แต่ละเส้นทางต่างนำลึกลงไปสู่แกนกลางของโลก ผ้าปักมือ ภาพเขียนและธงทิวทิ้งตัวลงทาบกับผนังห้องคล้ายสายน้ำตกที่เกิดจากน้ำสีบริสุทธิ์ ลวดลายและสีสันผันแปรไปตามแสงไฟวูบวาบจากเตาผิงนับร้อยที่ล้อมอยู่รอบห้อง พื้นที่ปูด้วยหินควอทซ์สีกุหลาบนั้นคราคร่ำไปด้วยคลื่นมหาชน


งานเลี้ยงกำลังสนุกสุดขีด


ในโถงนั้นเต็มไปด้วยเหล่าภูตทุกรูปแบบ ตั้งแต่ภูตดอกไม้ขนาดกระจิดริดเท่าตัวริ้น ไปจนถึงยักษ์ชัมเบอร์ตัวมหึมาแสนอุ้ยอ้ายจากตอนกลางของประเทศไอร์แลนด์ที่กำลังนั่งตัวงอพิงอยู่กับโต๊ะฉลุลายที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมันเสียอีก ท่อนขาที่ยาวกว่าสิบฟุตของมันเหยียดยื่นออกไปเบื้องหน้า มองดูคล้ายต้นไม้ตายซากที่ล้มนอนลงกับพื้นดิน


เหล่าภูตดื่มกินกันอยู่บนโต๊ะอาหารตัวยาว ต่างฝ่ายต่างขว้างปาอาหารใส่กันพอ ๆ กับที่ยัดเข้าปาก พนักงานรับใช้เคลื่อนกายผ่านบรรดาแขกเหรื่ออย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวเพื่อเทไวน์หมักจากเอลเดอร์เบอร์รี่และแดนดิลอนแจกจ่ายอย่างไม่ขาดสายราวกับว่าเหยือกที่ใช้บรรจุไวน์ในมือนั้นไม่มีวันเหือดแห้ง นักมายากล นักกายกรรมและตัวตลกลงไปร่วมเล่นกันอยู่กลางลานโดยไม่สนใจว่าจะไปเปิดการแสดงอยู่บนหัวของใคร


นอกจากนี้ยังมีชิงช้าสูงที่ถูกห้อยแขวนลงมาจากเพดานโดยมีพวกผีบ๊อกเกิลท่าทางกระวนกระวายยืนต่อคิวรอเล่นยาวเหยียด วิธีเล่นก็คือต้องโหนไม้เอาไว้แล้วแกว่งตัวไปมาให้สุดเหวี่ยงแถมการโห่ร้องเพื่อสร้างความบันเทิง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงไปกลางกลุ่มภูตเพื่อชนให้ผู้ร่วมงานล้มกลิ้งกระจัดกระจายให้ได้วงกว้างมากที่สุดซึ่งพวกบราวนี่ส์เห็นว่าเป็นเครื่องเล่นที่สนุกสุดยอดทีเดียว


สายใยที่เกิดจากเวทมนตร์ของเหล่าภูตพุ่งผ่านขึ้นสู่อากาศเบื้องบนแล้วระเบิดออกเมื่อกระทบเข้ากับเพดานโถง ปลดปล่อยกลีบดอกไม้หลากสีให้ร่วงโปรยลงสู่หมู่คนเบื้องล่างราวสายฝน นักดนตรีกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้องกว้าง มีทั้งที่ยืนประจำอยู่ตามโต๊ะและที่ตั้งวงเล่นกันอยู่หน้าเตาผิง แต่ทุกคณะกลับสามารถบรรเลงดนตรีได้พร้อมเพรียงกันอย่างยอดเยี่ยมราวกับเป็นการบรรเลงของวงดนตรีออร์เคสตร้าเต็มรูปแบบเพียงวงเดียว


ปลายสุดของห้องโถงด้านตรงข้ามกับทางเข้าหลักคือบัลลังก์ของฟินวาร์ราผู้เป็นเจ้าเหนือหัวแห่งเหล่าภูตทั้งหลาย ตัวบัลลังก์ตั้งตระหง่านอยู่บนยกพื้นที่ทำจากหินอ่อนมันวาว บัลลังก์ที่ไม่มีวันสูญสลายนั้นทำขึ้นจากซุงต้นแอชทั้งต้นอันเป็นของกำนัลจากป่าผืนแรกที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม้ซุงนั้นได้รับการแกะสลักอย่างวิจิตรด้วยช่างไม้ฝีมือเอกแห่งทัวธา เดอ ดานนาน*** จากนั้นก็ถูกเกลาให้เข้ารูปและถูกขัดจนมันระยับด้วยการเสียดสีจากบั้นท้ายของภูตติดต่อกันมานานแสนนาน หากพิจารณาบัลลังก์ชิ้นนี้ให้ถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่ามันช่างไม่สมศักดิ์ศรีเก้าอี้ของผู้นำสักนิด ที่นั่งแข็งโป๊กนั่งไม่สบายก้น แถมเบาะรองนั่งก็ชอบเลื่อนตกอยู่เป็นประจำ


แต่มันก็คือบัลลังก์วันยันค่ำนั่นแหล่ะ


ณ ที่นั่น ฟินวาร์รากำลังนั่งเหยียดยาว ขาข้างหนึ่งของเขางอพับไปด้านข้าง ทอดสายตามองดูความสนุกสนานของงานเลี้ยงที่กำลังดำเนินไปอยู่เบื้องล่างของยกพื้น ทั้ง ๆ ที่มีอายุยืนยาวมากจนนับไม่ถ้วนแล้วแต่เขาก็ยังดูอ่อนเยาว์ หล่อเหลาและเซ็กซี่บาดใจ นี่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาล่ะก็คงไม่พ้นเป็นนักดนตรีแจ๊สแน่นอน


เจ้าเหนือหัวแห่งภูตอยู่ในชุดยาวกรุยกรายที่เหมือนถูกตัดเย็บขึ้นจากผ้าไหมสีแดงสดที่มีเนื้อผ้าลื่นไหลเหมือนหมอกควัน เขาสำรวจเหล่าภูตใต้บัญชาด้วยดวงตาสีม่วงไวโอเล็ตที่ถูกเปลือกตาบดบังไปกว่าครึ่งในขณะที่กิฟเฟอร์ ฮอบกอบลินเข้ามากระซิบกระซาบอยู่ข้างหู ภูตตนนี้เป็นหนึ่งในสามพี่น้องฮอบที่ไปเยี่ยมเยียนนาตาชา นิวลีน ถึงขอบหน้าต่างเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสตรีผู้นั้นถูกรายงานต่อฟินวาร์ราโดยตรง มีบางครั้งที่เจ้าภูตฮอบผิวสีน้ำตาลต้องผงะถอยหลังเมื่อเห็นว่าดวงตาของฟินวาร์ราหรี่เล็กลงไปอีก ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแสดงว่าอารมณ์ของเจ้าเหนือหัวกำลังคุกรุ่นรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว


มือขวาของท่านเจ้าเคาะผิวไม้เรียบเนียบของบัลลังก์อย่างเลื่อนลอย เล็บสีดำสนิทมันวาวกรีดไปตามพื้นผิวที่ไร้รอยขีดข่วน ภูตตนไหนก็ตามที่อยู่แถว ๆ นั้นจะสังเกตได้ว่ามือของผู้เป็นนายบนเท้าแขนของบัลลังก์กำลังงอนิ้วมือเข้าหากันแล้วกำเกร็งจนข้อนิ้วกลายเป็นสีขาว


ร่างหนึ่งที่กำลังยืนหลบอยู่ด้านข้างและพยายามแสดงท่าว่าไม่ได้กำลังแอบฟังอย่างตั้งอกตั้งใจนั้นคือที่ปรึกษาส่วนตัวของลอร์ดฟินวาร์รานามว่าน็อบดาวเดิ้ล เขาเป็นเอล์ฟที่ช่างประจบสอพลอและเจ้าเล่ห์แสนกลเป็นที่หนึ่ง ลื่นไหลได้เก่งพอ ๆ กับตัวนากจนถึงขั้นได้รับประกาศนียบัตรรับรองระดับความฉลาดแกมโกง เขามีความสามารถพิเศษในการยกตนข่มท่านได้เก่งกาจจนไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย แต่ที่เขาต้องมาทนทุกข์กับตำแหน่งรองที่ปรึกษาอันดับสองที่ได้รับถ่ายทอดเป็นมรดกมาก็เพียงเพราะเขาดันมีความสามารถในการจัดการเรื่องงานเลี้ยงต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังเป็นบุคคลเดียวที่รู้ลำดับขั้นตอนของการดื่มอวยพรอีกต่างหาก


น็อบดาวเดิ้ลแกล้งทำเป็นยืนชมนกชมไม้อยู่แถวนั้น เขาใช้นิ้วเรียวยาวพันปลายเคราสีขาวเล่น สายตาจับจ้องอยู่กับผ้าแขวนผนังผืนใหม่เหมือนพยายามเก็บรายละเอียดทุกจุด แต่ใบหูกลับขยับกางออกเพื่อคอยดักฟังเสียงสนทนาอย่างสุดความสามารถ


ฟินวาร์ราพลิกศีรษะทันทีทันใด ส่งผลให้เรือนผมสีดำสนิทเงางามคลี่สยายออกล้อมรอบกรอบโครงหน้าคมสันก่อนจะทิ้งตัวลงเคลียไหล่อีกครั้ง การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วนั้นทำเอากิฟเฟอร์ถึงกับกระโดดถอยหลังพร้อมส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ในขณะที่น็อบดาวเดิ้ลสะดุ้งเฮือก


"ฝ่าบาทที่เคารพ กระผมเพียงแต่ทำหน้าที่รายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคำสั่งของฝ่าบาทนะขอรับ"


เจ้าภูตฮอบหดตัวลงเตรียมพร้อมรับการลงโทษ แต่เมื่อมันแอบหยีตาข้างหนึ่งขึ้นมองก็เห็นว่านายเหนือหัวกำลังนั่งหลังตรงอยู่บนบัลลังก์ ส่งสายตาจับจ้องมองมาที่มันแน่วนิ่ว แววในดวงตาคู่นั้นคุกรุ่น และกิฟเฟอร์ตระหนักดีว่าเมื่อเจ้าเหนือหัวของมันกำลังโกรธหรือถูกปลุกเร้าทางอารมณ์หรือทั้งสองอย่างรวมกันแล้วล่ะก็ เขาจะกลายเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุด


ฟินวาร์รานิ่งไปชั่วครู่ราวกับกำลังพิจารณาความผิดของเจ้าภูตฮอบ ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ฟังคล้ายเกลียวคลื่นซัดผ่านก้อนกรวดเล็ก ๆ บนชายฝั่ง "ว่าต่อไปสิ"


กิฟเฟอร์กลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนขยับเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่วายงอขาข้างหนึ่งไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉินจะได้เด้งตัวออกมาทันก่อนจะโดนสายฟ้าฟาด "ขอรับ มายลอร์ด เอ่อ... ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น นางเดินกลับไปก้มลงมองภาพวาดอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงนั่งแล้วก็ร้องไห้"


"รูปวาดนั่น" ฟินวาร์ราเค้นเสียง "ถูกทำลายด้วยฝีมือไอ้ผู้ชายคนนั้นเรอะ?"


กิฟเฟอร์พยักหน้าแบบกล้า ๆ กลัว ๆ สองมือบิดหมวกหนังไปมา "ตัวภาพจริง ๆ คงไม่เสียหายมากเท่าไหร่หรอกขอรับ คิดว่าหากเอาเทปกาวแปะก็คงเหมือนเดิม แต่เวทมนตร์ของมันตกใจหนีหายไปหมดแล้ว"


น็อบดาวเดิ้ลครางในขณะที่ฟินวาร์รากระแทกกำปั้นลงกับเท้าแขนของบัลลังก์จนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้อง เหล่าภูตทั้งหลายถึงกับชะงักกิจกรรมที่ทำอยู่ทั้งหมดแล้วเหลียวมามองเจ้าเหนือหัวเป็นตาเดียว ผีบ๊อกเกิลตนหนึ่งพุ่งตัวเป็นแนวโค้งผ่านอากาศอย่างเงียบงัน สายตาจับจ้องอยู่กับผู้เป็นนาย ก่อนจะร่อนถลาลงกลางโต๊ะอาหาร ส่งผลให้จานชามช้อน ตัวพิกซี่และไวน์กระจายออกไปทั่วสารทิศ


ฟินวาร์รายืนมองบรรดาข้าบาทที่กำลังให้ความสนใจต่อท่าทีของเขาอยู่พักหนึ่ง ในยามนั้นโทสะและความคั่งแค้นพุ่งพล่านอยู่ภายในกายอย่างรุนแรงจนเขาอยากจะเรียกระดมพลภูตออกล่าหัวไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนั้นในทันที


ชายหนุ่มยืนตัวตรงเต็มความสูงเจ็ดฟุตอยู่บนยกพื้น เวทมนตร์แตกเปรียะอยู่รอบกาย ประจุไฟสีเหลืองกระจ่างวิ่งไล่กันอยู่ตามชายเสื้อและเรือนผมดำสนิทยาวสลวย ดวงตาทั้งคู่เหมือนเปล่งแสงสว่างเรืองจนบรรดาภูตน้อยภูตใหญ่ในโถงที่จับตามองอยู่ต่างอกสั่นขวัญแขวนด้วยความหวาดกลัวผสมปนเปไปกับความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ


ฟินวาร์รารับรู้ถึงกระแสของเวทมนตร์ที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของเขา นานแล้วที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ แต่เขาก็ยังมีสติเพียงพอที่จะควบคุมความรุนแรงของพลังเวทนั้นเอาไว้ได้ ชายหนุ่มเอียงคอน้อย ๆ เขาเห็นภูตฟุคก้ากำลังยืนพิงเสาประตูอยู่ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจแถมยังส่ายนิ้วเป็นเชิงตำหนิส่งมาให้อีกต่างหาก ส่วนท่านที่ปรึกษาตอนนี้กลับกำลังมุดหัวคุดคู้จนมองดูคล้ายก้อนอะไรแปลก ๆ ที่กำลังสั่นงั่ก ๆ อยู่หลังผืนผ้าปักมือที่ใช้แขวนประดับผนัง


ฟินวาร์ราปล่อยให้กระแสแห่งโทสะครอบงำเขาต่อไปอีกสักพัก ก่อนที่จะพยายามสงบจิตสงบใจลงแต่นิ้วมือก็ยังคงสั่นระริก


"กินกันต่อไปสิ!" เขาตวาดใส่บรรดาลูกน้อง และในทันทีทันใดนั้นเสียงอึกทึกครึกโครมก็ดั่งลั่นขึ้นมาใหม่เหมือนมีใครสักคนไปกดเปิดสวิตช์ ในขณะที่ฟินวาร์ราเหลียวมองรอบตัวก่อนตะโกนเรียก "กิฟเฟอร์!"


ร่างของเจ้าฮอบยื่นหน้าออกมาจากใต้บัลลังก์ "ขอรับ ท่าน... ท่านเจ้าผู้ยิ่งใหญ่?" มันขานตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน


"มีอะไรอีกไหม?"


เจ้าภูตส่ายหน้าดิก "ไม่มีแล้วขอรับ เอ่อคือ... กระผม" กลืนน้ำลายเอื๊อก "ไปได้หรือยังขอรับ?"


ฟินวาร์ราโบกมือไล่ส่งแบบไม่ใส่ใจเพราะตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขาไปอยู่กับภูตฟุคก้าแล้ว ส่วนภูตฮอบนั้นก็รีบแทรกตัวหายเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวสุดชีวิต


เจ้าเหนือหัวแห่งภูตก้าวลงจากยกพื้นแล้วดำเนินตรงไปยังทางเปิดของทางเดินสายหนึ่งที่อยู่ด้านหลังบัลลังก์ เสียงของเขากังวานอยู่ในโถงทางเดินแห่งนั้น "มาด้วยกันหน่อยสิ สหายของข้า"


น็อบดาวเดิ้ลทำท่าขยับก้าวเดิน หากแต่ภูตฟุคก้ากลับส่ายหน้าพลางยิ้มหวาน "ที่ท่านเจ้าเรียกหา 'สหายของข้า' น่ะ ท่านคงหมายถึงตัวข้านะ แต่ถ้าเมื่อใดท่านเรียกหา 'พนักงานเลียหว่างขา' แล้วล่ะก็ นั่นล่ะหมายถึงตัวเจ้าแหง๋ ๆ"


น็อบดาลเดิ้ลทำเสียงขลุกขลักอยู่ในลำคอด้วยท่าทางขุ่นเคืองเต็มที่ ปลายเคราที่เจ้าตัวบิดหมุนจนเป็นเกลียวแน่นโดยไม่รู้ตัวถูกปล่อยให้ตกห้อยลงจากมุมปากเป็นขดก้นหอยหยิกหยอย ในขณะที่ภูตพุ้คยกมือขึ้นแล้วขยับนิ้วไปมาด้วยทีท่าร่าเริง


"ไปก่อนน้า"


น็อบดาวเดิ้ลส่งเสียงขู่ฟ่อตามหลังไป



...



ฟินวาร์ราเอียงศีรษะมามอง "รู้เรื่องแล้วใช่ไหม?"


ภูตฟุคก้าผงกรับ เรียวเขายาวบนศีรษะที่ขยับตามทำให้เขาดูโดดเด่นขึ้น คืนนี้เจ้าภูตอยู่ในร่างของชายหนุ่มหุ่นเพรียวบางหากศีรษะเป็นแพะขนยุ่งรุงรังอันเป็นหนึ่งในร่างที่เก่าแก่และน่าเกรงขาม


ภูตฟุคก้า หรือภูตพุ้ค สามารถเปลี่ยนร่างเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่นางไม้ตามตำนานอังกฤษโบราณไปจนถึงลาหลังแอ่นแห่งสก็อตแลนด์ รวมถึงร่างแปลงอีกมากมายนับไม่ถ้วน ภูตแต่ละเผ่าจะมีพุ้คประจำอยู่ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไปเล็กน้อย และหากเปรียบเทียบว่าฟินวาร์ราเป็นกัปตันเรือ เจ้าภูตพุ้คนาม โรบิน กู๊ดเฟลโล คนพิเศษคนนี้ก็ต้องเป็นผู้ช่วยนายเรือมือหนึ่งละ


ทั้งคู่เดินเคียงกันไปตามโถงทางเดินที่ทอดยาวไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด สองข้างทางเต็มไปด้วยบานประตูและทางเดินเส้นอื่นที่ตัดขวางผ่านไปอีกนับไม่ถ้วน ผนังถูกออกแบบให้มีส่วนโค้งเว้าเข้าไปเพื่อใช้เป็นที่วางรูปปั้นครึ่งตัวของบรรดาขุนนางใหญ่และผู้กล้าทั้งหลายของเหล่าภูต รูปปั้นเหล่านั้นถูกแกะสลักขึ้นจากหินที่มีลายเส้นสีแทรกอยู่ในเนื้อเหมือนสีเหลือบของฝ้าน้ำมันบนผิวน้ำหรือไม่ก็ดูคล้ายไอศกรีมผสมราสเบอร์รี่ แสงสว่างจากลูกแก้ววิเศษที่ซ่อนตัวอยู่สว่างเรืองนุ่มนวลจนแทบไม่ก่อให้เกิดแสงเงาตามฐานของฝาผนัง


ภูตพุ้คเปรยแผ่วเบา "ฝ่าบาทเลยคิดว่าควรจะลงมือทำอะไรสักอย่าง" ซึ่งนั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม


ฟินวาร์ราชะงักอยู่หน้าประตูบานหนึ่งแล้วหันมาเผชิญหน้ากับคู่สนทนา น้ำเสียงของท่านเจ้าเต็มไปด้วยกระแสอัดอั้นตันใจ "เจ้าก็รู้ว่าตัวข้าไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรทั้งนั้น" เขาบีบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันก่อนจะปล่อยให้ตกลงข้างตัวด้วยท่าทางของคนสิ้นหวังแล้วถามขึ้น "ต้องรออีกนานเท่าไหร่กันเนี่ย?"


ภูตฟุคก้าเอี้ยวตัวไปเปิดประตูที่อยู่ด้านหลังออก ทันใดนั้นเสียงการทำงานของกลไลนาฬิกาก็ดังลอดออกมาในโถงทางเดิน ทั้งสองก้าวผ่านเข้าไปด้านในห้องที่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่เหมือนกับ... เครื่องจักรกลขนาดมหึมา ตัวห้องนั้นยาวประมาณหนึ่งร้อยก้าว และเจ้าสิ่งประดิษฐ์นี่ก็กินเนื้อที่ไปเกือบทั้งหมด


จากโครงสร้างหลักที่ทำขึ้นจากทองแดง เจ้าเครื่องกลที่ว่านี้หน้าตาคล้ายอุปกรณ์สำหรับใช้เดินทางข้ามเวลาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในศตวรรษที่สิบแปด แต่แท้ที่จริงแล้วมันก็แค่นาฬิกาธรรมดา ๆ นี่เอง เพียงแต่เรือนใหญ่ไปหน่อย ยอดบนสุดถูกประดับด้วยลูกแก้วต่างขนาดจำนวนสิบลูกที่กำลังลอยวนอยู่รอบวัตถุทรงกลมลูกใหญ่ที่ส่งประกายแวววาว ฟันเฟือง ลูกรอก ลูกสูบ ข้อเหวี่ยงและชิ้นส่วนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ทุกชิ้นต่างขยับไปมา และเสียงการทำงานของมันก็ดังจนหูดับ


ผู้ดูแลเครื่องมือชิ้นนี้คือภูตโนมแก่หง่อมจนประมาณอายุไม่ได้แล้ว มันเป็นคนคอยหยอดน้ำมันให้ฟันเฟืองและเกียร์ คอยตรวจสอบแรงตึงของสายพานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงคอยทำความสะอาดพวกลูกแก้วกลมให้ดูดีและเงางามอยู่เสมอ ซึ่งที่จริงแล้วไอ้งานพวกนี้มันกินเวลาแค่ไม่กี่นาทีต่อวัน ดังนั้นเวลาที่เหลือเจ้าภูตชราจึงใช้ไปในการกระดกเหล้าค้างปี จีบสาวและนอนอืดอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ด้านหลัง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าบัญชีรายชื่อของพวกภูตที่มาลงสมัครรับตำแหน่งผู้ดูแลนาฬิกานี้จะยาวเหยียดขนาดไหน


ฟินวาร์รากับภูตฟุคก้าลัดเลาะไปตามทางเดินระหว่างสิ่งกีดขวางที่กำลังส่งเสียงครืดคราดก๊อกแก๊กป๊อกแป๊กแล้วเดินขึ้นบันไดแคบ ๆ เพื่อเข้าไปในห้องทำงานขนาดเล็ก ภูตโนมตัวจิ๋วแก่หงำเหงือกกำลังนอนเหยียดเท้าพาดโต๊ะหลับสบาย กลิ่นวิสกี้หึ่งไปทั่วห้องที่เหม็นอับ แม้กระทั่งเจ้าฟุคก้าที่ได้ชื่อว่าเป็นนักดื่มตัวฉกาจยังถึงกับต้องย่นจมูกแพะให้กับกลิ่นนั้น เจ้าโนมแก่กำลังกรนครอก ริมฝีปากกระเพื่อมไหวไปตามจังหวะการหายใจออก


ฟุคก้าเตะขาเก้าอี้ของภูตโนมอย่างแรง ส่งผลให้ขาของภูตตัวเล็กพลัดตกจากขอบโต๊ะลงมากระแทกพื้น แต่เจ้าตัวกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เว้นแต่เพียงปรือเปลือกตาข้างหนึ่งขึ้น ลูกตาด้านในกลอกกลิ้งไปมาก่อนที่จะมาหยุดมองหน้าภูตฟุคก้าด้วยความขุ่นเคืองก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนไปทางฟินวาร์รา พอมันเห็นเจ้าเหนือหัวแห่งภูตมันก็ถอนหายใจเฮือกก่อนส่งเสียงแหบโหยออกมา


"อ้อ กู๊ดเฟลโล อยากให้ดูเวลาให้เรอะ?"


"ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป" ภูตฟุคก้าตอบอย่างอารมณ์ดี


ภูตโนมถอนหายใจอีกรอบ มันบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวพร้อมเรอเพื่อปลดปล่อยกลิ่นเหล้าออกมาอบอวลอยู่ในห้องอีกครั้ง จากนั้นก็ซุกตัวกลับลงไปบนเก้าอี้ตามเดิม


"อีกประมาณหกอาทิตย์" มันพึมพำแล้วหลับตาลง


ฟุคก้าเหลือบตาไปมองนายเหนือหัวของตนด้วยท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนที่จะยื่นแขนออกไปคว้าใบหูเรียวของภูตโนมเอาไว้เต็มกำ


"โอ๊ะ! โอ๊ย! ไอ้บ้า ปล่อยข้านะเว๊ย!" ภูตโนมที่บัดนี้ตื่นเต็มตาแล้วโวยลั่น


"นี่แหน่ะ ท่านผู้คุมเวลาที่เคารพ ข้าอยากให้เจ้าช่วยอ่านเวลาที่แน่นอนให้หน่อยจะได้ไหม"


ภูตตัวจ้อยห้อยต่องแต่งอยู่กับมือของฟุคก้า ปลายเท้าตะกุยพื้นยิก


"ท่านเจ้าต้องการความมั่นใจในกรณีที่ท่านต้องตัดสินใจลงมือทำงาน และถ้าเวลามันเกิดคลาดเคลื่อนไป มันก็อาจจะมี...อะไรเกิดตามมา อะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยดีน่ะนะ"


ภูตฟุคก้ายังคงทำท่าอารมณ์ดีเหมือนปกติ แต่กระแสข่มขู่ในน้ำเสียงเด่นชัด เขาปล่อยภูตโนมตกลงไปกระแทกพื้น มันรีบวิ่งลนลานผ่านผู้มาเยือนทั้งสองลงไปยังห้องนาฬิกา ภูตฟุคก้าหันไปยักไหล่ให้เจ้าเหนือหัวก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตามออกไป


เมื่อทั้งสองลงมายืนอยู่ใกล้กับเครื่องจักรที่กำลังทำงาน ภูตโนมก็กำลังก้มหน้าก้มตาคำนวณเวลาด้วยชอร์กและกระดานชนวนวุ่นอยู่


ฟินวาร์ราหันไปหาฟุคก้าก่อนเปรยขึ้น "ยุ่งยากขนาดนี้เชียวรึ? รู้อย่างนี้ข้าไปหาซื้อนาฬิกาข้อมือแบบที่พวกมนุษย์มันชอบใช้กันมาดีกว่า โรเล็กซ์สวย ๆ สักเรือน หรือไม่ก็คาร์ซิโอ้รุ่นที่ใช้จับเวลาได้น่ะ"


ฟุคก้าทำท่าตกใจสุดขีด


"แต่มายลอร์ด" เขาประท้วง "นี่เป็นนาฬิกาเมอร์คิวรี่นะขอรับ เป็นเรือนเดียวกับที่ท่านเทพใช้ดูเวลานัดหมายเลยเชียวนะ ในยุคนั้นถือว่าเป็นเรือนที่กระทัดรัดและนำสมัยมาก แล้วอีกอย่าง..." เจ้าภูตเสริม "นาฬิกาข้อมือประเภทนั้นมันไม่เข้ากับชุดเกราะของฝ่าบาทเลยสักนิด"


"เออ จริง"


ภูตโนมล้มลุกคลุกคลานออกจากตัวเครื่องจักรแล้วโดดผลุงลงมายืนตรงหน้าทั้งคู่อย่างคล่องแคล่ว มันทำท่าเคาะกระดานชนวนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาแท่งชอร์กขึ้นไปเหน็บไว้หลังใบหูแล้วเริ่มรายงาน


"หกสัปดาห์ ห้าวัน สามสิบเจ็ดนาที กับอีก..."


ฟินวาร์รายกมือห้าม "พอแล้ว ขอบใจมากนะท่านผู้คุมเวลา"


ภูตโนมชรายกมือขึ้นแตะผมหน้าม้าของตัวเอง "มิเป็นไรมิได้ขอรับ"



...



ฟินวาร์รากับฟุคก้ากลับออกมาสู่โถงทางเดินแล้วงับบานประตูเพื่อปิดกั้นเสียงดังของเครื่องจักรไว้เบื้องหลัง เมื่อโถงทางเดินกลับสู่สภาวะสงบเงียบอีกครั้ง ฟินวาร์ราก็ทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือตัวเอง


"หกสัปดาห์ ให้ตาย! ข้าไม่สามารถ สัมผัส กายของนางได้อีกตั้งหกอาทิตย์" เขาหันไปหาสหายคนสนิท "ใครเป็นคนตั้งกฏบ้า ๆ นี่ขึ้นมากันเฮอะ?" ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความอัดอั้นสุดทน


เจ้าฟุคก้ากระแอมเบา ๆ "ก็ ภริยาคนก่อนของฝ่าบาทเองไงขอรับ มันถูกรวมอยู่ในสัญญาวิวาห์ ฝ่าบาทจำได้ไหมว่านางต้องการให้ท่านสาบานว่าจะไม่แต่งงานใหม่ภายในเวลาเจ็ดปีนับจากวันที่นางตาย แต่ท่านก็พยายามกล่อมนางจนยอมลดลงเหลือแค่เก้าสิบวันเพื่อให้ทันกับช่วงการแข่งขันหาผู้ครองบัลลังก์พอดี"


ดวงตาของฟินวาร์ราวาวเรือง "อ๋อ เออใช่ จำได้แล้ว" สีหน้าของท่านเจ้าหม่นลง "จะให้มีชีวิตอยู่เจ็ดปีโดยไม่มีเซ็กซ์น่ะ เจ้านึกภาพออกไหม?"


"ทรมานสุด ๆ เลยฝ่าบาท" ฟุคก้าตอบรับเรียบ ๆ ใบหน้าแพะเรียบเฉยไร้อารมณ์


เจ้าเหนือหัวแห่งภูตถูฝ่ามือเข้าด้วยกันเร็ว ๆ "เอาน่า ข้ามาได้ตั้งครึ่งทางแล้ว และแม้ว่าข้าจะแตะต้อง นาง ไม่ได้ แต่ไม่มีกฏข้อไหนห้ามไม่ให้แตะต้อง ไอ้หมอนั่นนี่นา"


"ไม่มีขอรับ มายลอร์ด มายเลดี้แอเน่คงไม่ทันคิดว่าท่านจะไปวิ่งไล่ตามจีบพวกหนุ่ม ๆ นางเลยไม่ได้ตั้งกฏเอาไว้"


ฟินวาร์ราทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น


"เจ้าคิดว่ายังไง" เขาถามพลางไล้นิ้วไปตามแนวคางเรียบเนียน "ส่งหมาดำสักฝูงไปไล่งับดี? หรือจะจ้างนักฆ่าสักคณะดี?"


ฟุคก้ายกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นก่อนยักไหล่ "หรือจะสาปให้หน้าเป็นสิวหรือขึ้นหูด หรือไม่ก็สาปให้ปากจู๋เหมือนปลา หรือจะให้ควักหัวใจสด ๆ ให้ออกมาเต้นอยู่บนจานอาหารดีล่ะขอรับ? อย่าดีกว่า มายลอร์ด หากท่านจะยอมรับฟังคำพูดของข้า ข้าคิดว่าคงไม่เป็นการดีแน่ถ้าจะปลิดชีวิตผู้ชายคนนั้นในตอนนี้"


"ทำไมล่ะ? มันบังอาจทำลายภาพวาดของนางเชียวนะ พวกหมาน่ะอดอยากปากแห้งมาตั้งนานแล้ว เพราะหลายเดือนมานี่ข้าอนุญาตให้พวกมันล่าได้แต่วัวกับแกะ ถึงเวลาที่พวกมันจะได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์เสียที ถ้ามันไม่ได้ออกล่ามนุษย์เสียบ้างมันจะขี้เกียจ"


ภูตฟุคก้าฉวยแขนของผู้เป็นนายไว้แล้วจูงเดินไปตามโถงยาว "ท่านไม่สามารถแตะต้องร่างกายของนางได้" เขากระซิบ "แต่ข้ารู้นะว่าท่านสัมผัสจิตของนางผ่านทางความฝัน"


ฟินวาร์ราทำท่าเหมือนจะประท้วง


"อ๊ะ เดี๋ยวก่อนมายลอร์ด เรื่องที่ท่านแอบใช้คริสตัลสอดแนมในห้องนอนของท่านมิใช่ธุระกงการอะไรของข้า แต่ท่านลองคิดดูดี ๆ สิขอรับ ว่าการที่จะแทรกตัวเข้าไปในจิตของนางในช่วงที่นางกำลังหมกมุ่นอยู่กับการตายของแฟนเก่าที่นางแสนจะเกลียดเข้าไส้น่ะ มันจะยากเย็นสักเพียงไหน"


ฟินวาร์ราทบทวนคำพูดนั้นอยู่พักใหญ่ ในยามนั้นชายหนุ่มเพิ่งจะรู้ตัวว่าจิตใจของเขาจดจ่อรอช่วงเวลายามค่ำคืนที่เขาสามารถเข้าไปท่องเที่ยวอยู่ในจิตของสตรีนางนั้นมาตลอด แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว แล้วจู่ ๆ จะให้มาหยุด...


"ก็ได้ งั้นข้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วกัน สหายของข้า แต่ข้าต้องการให้มันผู้นั้นได้รับโทษอย่างสาสม"


ฟุคก้ายิ้มแย้มแจ่มใส "ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลยขอรับมายลอร์ด ข้าพอจะมีแผนดี ๆ อยู่ในหัวแล้ว"


ฟินวาร์ราก้าวเดินไปตามโถงทางเดินจนมาถึงประตูบานใหญ่ที่คาดไว้ด้วยแถบทองคำ "ดีมาก อ้อ... อีกอย่างนะ กู๊ดเฟลโล"


"อะไรหรือขอรับ ท่านเจ้าที่เคารพ?"


"ช่วยถอดร่างแพะนี่ออกเสียทีเถอะ รวมถึงไอ้ท่าทางขึงขังเป็นงานเป็นการนั่นด้วย มันเหมาะสำหรับใช้ในงานจัดเลี้ยงหรือไม่ก็ตอนที่พวกราชนิกูลมาเยือนอย่างเป็นทางการ แต่ตอนที่เจ้าอยู่กับข้าตามลำพังแบบนี้ ช่วยเล่นบทเทวดาหน้าทะเล้นหน่อยจะได้ไหม"


เสียงป๊อบดังขึ้นในทันทีพร้อมอากาศที่ไหลเลื่อนอย่างรวดเร็ว และตรงบริเวณที่ภูตฟุคก้าหัวแพะเคยยืนทำหน้าเคร่งขรึมอยู่เมื่อสักครู่ก็กลับถูกแทนที่ด้วยหนุ่มน้อยร่างกายกำยำล่ำสันสมส่วนที่มีเพียงผ้าเนื้อบางราวใบไม้พันอยู่รอบสะโพก ใบหน้าของเขาอ่อนใส หล่อเหลาในแบบหนุ่มน้อยเจ้าเล่ห์ เส้นผมที่ชี้ฟูยุ่งเหยิงเหมือนรังนกนั้นถูกแต่งแต้มด้วยแถบสีส้มและสีเขียวสดใส


"ดีขึ้นไหมขอรับ ฝ่าบาท" หนุ่มน้อยเอ่ยถามเสียงเสนาะ


"ดีขึ้นเยอะ ว่าแต่ช่วยหาเสื้อหาผ้ามาสวมเพิ่มอีกหน่อยเถอะนะ ขอร้องล่ะ"



...



ฌอน ลาเวลล์ พลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง


เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาเหน็บไว้ใต้คางแล้วพยายามข่มตาหลับ แต่รอยปวดหนึบบนริมฝีปากนั้นสุดแสนทรมาน และทุกครั้งที่เขาอ้าปากก็เหมือนกับแผลนั้นปริแตกแยกออกกว้างขึ้นไปอีก


"ยายบ้าเอ๊ย"


ชายหนุ่มพึมพำแล้วพลิกตัวอีกหน เขาเหลือบดูนาฬิกาหัวเตียงแล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นคำว่า SOS กระพริบวิบ ๆ แต่เมื่อรวมรวมสติได้แล้วจึงเห็นว่ามันคือเวลาตีห้ากับอีกห้านาที แต่หลังจากนั้นหน้าจอของนาฬิกาก็กระพริบขึ้นมาใหม่ ไอ้นาฬิกากิ๊กก๊อกนี่ท่าจะเสียอีกแล้ว หรือไม่ก็คงมีการตัดกระแสไฟฟ้าที่ไหนสักแห่ง ฌอนชะเง้อมองดูแสงสีน้ำเงินอมเทาด้านนอกหน้าต่าง กะไม่ถูกเหมือนกันว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว น่าจะอยู่ระหว่างเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า ยิ่งในช่วงฤดูนี้ของปียิ่งยากที่จะเดาเวลาถูก


เขานอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดที่ก่อกวนจิตใจ แต่เป็นความอับอายเมื่อคิดไปถึงสิ่งที่จะหลุดออกจากปากของพวกเด็กหนุ่ม ๆ ในผับตอนที่พวกนั้นเห็นหน้าเขา ชายหนุ่มเตรียมข้อแก้ตัวไว้บ้างแล้วเหมือนกันและกำลังอยู่ในช่วงการตัดสินใจว่าจะเลือกบอกว่าเขาบาดเจ็บจากการเล่นฟุตบอลมาดี หรือได้รับบาดเจ็บมาจากการต่อสู้ดี เฮ้ อันหลังนี่น่าจะใช้ได้ แถมพวกนั้นยังอาจจะหันมาสรรเสริญเยินยอเขาอีกต่างหาก ยกเว้นแต่ว่ายายนาตาชาจะไปปากโป้งเล่าเรื่องจริงไว้ก่อน


เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าแม่นั่นกล้าชกหน้าเขา


แหงล่ะ ยายนั่นน่ะอารมณ์บูดง่ายจะตายชัก ทั้งสองคนก็เคยระเบิดอารมณ์ใส่กันอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นนี้!


เขานึกถึงแววในดวงตาของหญิงสาวตอนที่เขาข่มขู่เธอด้วยกำปั้นแล้วอดหัวเราะไม่ได้ ยายนั่นคงกลัวฉี่แทบราดเลยล่ะ ที่จริงแล้วเขาน่าจะชกเธอเบา ๆ ไปสักที เอาแค่ว่า...


ทันใดนั้น เสียงเคาะกระจกก็ดังขึ้นคล้ายกับมีใครปาก้อนหินเล็ก ๆ ขึ้นมาจากถนนด้านล่าง


ฌอนชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกลั้นหายใจ


ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


จนเมื่อเขาทำท่าจะผ่อนลมหายใจออกนั่นแหล่ะ เสียงก้อนหินกระทบบานกระจกก็ดังกราวขึ้นอีกครั้ง ฌอนเหวี่ยงผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นจากเตียง ก้าวผ่านพื้นพรมไปยืนข้างหน้าต่างแล้วเพ่งมองลงไปยังถนนที่เห็นเป็นเส้นสายสีน้ำเงินเข้ม เสาไฟถนนที่ตั้งอยู่ห่าง ๆ กันส่องแสงสีอำพันลงเป็นวงอยู่บนพื้นผิวยางมะตอย แต่ตามซอกซอยระหว่างตัวบ้านกลับมืดสลัวน่ากลัว


ไม่เห็นมีใครอยู่บนถนนเลยสักคน


ฌอนแนบใบหน้าลงกับแผ่นกระจก ลมหายใจอุ่นของเขาก่อให้เกิดฝ้าขาวบนแผ่นแก้วตรงหน้า เขากวาดสายตามองซ้ายมองขวาอย่างละเอียดถี่ถ้วนเท่าที่จะสามารถมองเห็นได้ แผ่นกระจกที่แนบติดอยู่กับผิวแก้มนั้นเย็นเฉียบ ชายหนุ่มคิดว่าเขาได้ยินเสียงดนตรีที่เหมือนแว่วลอยมากับสายลม สงสัยว่าไอ้พวกบ้าดนตรีขึ้นสมองที่พักอยู่ที่บ้านของโรรี่ บราวน์จะตั้งวงซ้อมดนตรีกันอีกแล้ว


เขาทำท่าจะหันหลังกลับตอนที่หินก้อนใหม่ลอยขึ้นมากระทบหน้าต่าง เขาถึงกับกระเด้งตัวถอยหลังออกมาด้วยความตกใจ


นั่นไง ตรงถนนฝั่งตรงข้าม ร่างที่กำลังยืนหลบอยู่ในเงาสลัวนั่นคือแคธี่นี่นา? แม่นั่นออกมาทำอะไรตอนดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้?


ฌอนโบกมือให้แต่หญิงสาวกลับไม่ได้แสดงท่าทีตอบรับ เธอยังคงยืนนิ่ง ร่างครึ่งหนึ่งหลบอยู่ในเงามืด ดูท่าว่าเธอจะสวมชุดนอนบางเบาเพียงตัวเดียว เวลาผ่านไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นกวักเรียกให้เขาลงไปหา


ฌอนรีบคว้ากางเกงยีนส์ขึ้นมาสวม ตามด้วยเสื้อกันหนาวและรองเท้าผ้าใบโดยลืมเรื่องการนอนไปจนสนิท


ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองเบาหวิวอย่างประหลาด คล้ายว่าเขากำลังอยู่ในช่วงใกล้บรรลุจุดสูงสุดของอารมณ์ใคร่ แต่เขาก็ไม่ได้เอะใจอะไร รู้เพียงว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการร่วมรักกับเขาแน่นอน ไม่อย่างงั้นเธอก็คงไม่มายืนอยู่นอกหน้าต่างบ้านเขายามวิกาลในชุดนอนวาบหวิวแบบนี้หรอก?


เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปากบวมเจ่ออย่างลืมตัวแล้วก็ต้องครางออกมา หวังเพียงว่าแม่สาวนั่นคงไม่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ในความมืดหรอกนะ น่าเสียดายที่คืนนี้คงต้องงดการจูบ แต่ก็ยังมีกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจว่าการจูบตั้งเยอะนี่ เขาไม่มีความคิดที่ว่าบางทีเธออาจจะอยากแวะมาคุยด้วยเฉย ๆ แม้สักนิดเดียว เขาคว้าเสื้อแจ็กเก็ตจากที่แขวนเสื้อตรงประตูแล้วก้าวออกไปจากห้อง


อากาศด้านนอกค่อนข้างหนาวแต่ก็ยังพอทนได้ ชายหนุ่มเดินข้ามถนนไปยังตำแหน่งที่เขาเห็นเธอยืนรออยู่ ลมหายใจของเขาแข็งตัวกลายเป็นไอขาว ทั้งเมืองเงียบสนิท เสียงที่ฌอนได้ยินในยามนั้นคือเสียงหายใจไม่เป็นส่ำของตัวเอง เสียงของทะเลที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล และเสียงดนตรีหอมหวานบางเบาที่ผ่านมาแล้วจากไป อาวุธประจำกายของเขาแข็งตึงอยู่ใต้เป้ากางเกงยีนส์ที่กดทับจนเจ็บ เขาซุกมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินลากเท้าก้าวข้ามถนนไป


ชายหนุ่มเดินมาจนถึงที่หมายและพบว่าบริเวณนั้นว่างเปล่า เขาหันมองรอบตัว สายตาสอดส่ายไปตามเงามืด


นั่นไง เธอกำลังก้าวออกจากประตูรั้วที่ตั้งอยู่ระหว่างร้านขายเนื้อกับร้านขายขนมปัง จากตรงนั้นฌอนสามารถมองเห็นเส้นสายของทางเดินแคบ ๆ ที่นำขึ้นไปสู่เนินเขา ชายชุดนอนของหญิงสาวถูกกระแสลมพัดโบกสะบัดปลิวไสว เปิดโอกาสให้ฌอนมองเห็นเงาร่างโค้งเว้าเปล่าเปลือยใต้เนื้อผ้าบางเบานั้นได้ชัดเจน


หญิงสาวหยุดเดิน เธอเหลียวมองข้ามหัวไหล่แล้วผงกศีรษะเชื้อเชิญ ในขณะที่ฌอนเองก็ไม่รอช้า เขาออกวิ่งเหยาะข้ามถนนกลับไป พุ่งตรงเข้าไปในซอยแล้วมุดลอดประตูรั้ว รองเท้าของเขาตะกุยผ่านพื้นหญ้าที่ดาษไปด้วยหยาดน้ำค้างเย็นเฉียบในขณะที่พยายามเร่งฝีเท้าเพื่อตามหญิงสาวให้ทัน


ยามนี้สัญชาติญาณดิบบดบังสติและความมีเหตุมีผลของชายหนุ่มจนสิ้นแล้ว เขาวิ่งขึ้นไปถึงยอดเนินเตี้ยแล้วมองเห็นเงาขาว ๆ ของผ้าบางโบกไหวอยู่กลางทางขาลงและเลื่อนลอยหายไปหลังก้อนหินใหญ่ที่ตั้งระเกะระกะอยู่ตามเชิงเขา


"แคธี่ รอด้วยสิ"


เขาส่งเสียงเรียกเบา ๆ ในระหว่างที่หยุดพักบนยอดเนินและพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดรอบตัว เขาโน้มตัวลงยันฝ่ามือไว้กับหัวเข่าแล้วหอบหายใจ เส้นเลือดเต้นตุบอยู่ในช่องหู มันเกิดจากการที่เขาวิ่งขึ้นเนินมาหรือเกิดจากอารมณ์ใคร่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกทีกันแน่นะ ชายหนุ่มตอบตัวเองไม่ได้และไม่สนใจด้วย ยามนี้เขาต้องการเพียงแคธี่ ต้องการจับเธอให้อยู่หมัดแล้วสั่งสอนเธอให้สาแก่ใจ เขาสูดอากาศที่เย็นจัดเข้าเต็มปอดอีกครั้งก่อนเริ่มต้นเดินลงเขา


เขาลัดเลาะผ่านกองก้อนหิน ลื่นไถลอยู่หนสองหนแต่ทรงตัวไว้ได้ทันโดยไม่หกล้ม แต่ไม่ว่าเขาจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นแค่ไหน หญิงสาวกลับสามารถรักษาระยะห่างระหว่างเธอกับเขาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ ระยะที่ใกล้พอให้เขามองเห็นเธอได้ แต่ก็ไกลพอที่จะทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจ


เสียงดนตรีดูเหมือนว่าจะดังขึ้นเช่นกันและเริ่มฟังไม่เหมือนเสียงดนตรีแล้ว หากแต่เป็นเสียงร้องเดี่ยวจากนักร้องหญิง เพลงนั้นเศร้าสร้อยคล้ายผู้ขับร้องกำลังทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่ฌอนกลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย เสียงเดียวที่เขาได้ยินในยามนี้คือเสียงทอดถอนลมหายใจและเสียงครางกระเส่าสั่นรัญจวนจากแคธี่ เสมือนยั่วเย้าให้เขารีบจับตัวเธอให้ได้โดยไว


ปอดทั้งสองข้างของชายหนุ่มแสบร้อน ลมหายใจของเขาขาดเป็นห้วง ๆ และกระท่อนกระแท่น เขากำลังวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อข้ามเนินไปเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงของหญิงสาวดังก้องอยู่ในสมอง ภาพของเธอเด่นชัดในความคิด สิ่งเหล่านั้นยิ่งทำให้เขาเร่าร้อนพุ่งพล่านราวกับถูกเผา รองเท้าผ้าใบของเขาบดขยี้ดินเลนและจิตใต้สำนึกของเขากำลังส่งเสียงร้องเตือนออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งด้วยความหวาดกลัวในอาถรรพ์ของหนองน้ำที่เคยได้ยินมาในวัยเด็ก แต่แรงขับของอารมณ์ใคร่และความต้องการทางกายครอบงำชายหนุ่มไว้โดยสมบูรณ์แล้ว เสียงเย้ายวนของแคธี่ผสมกลมกลืนไปกับเสียงขับขานเพลงโศกกำสรวลจนกลายเป็นเสียงเดียวกัน และมันคอยเป็นตัวเร่งเร้า ผลักดันให้เขาเดินหน้าต่อไป


ฝีเท้าถูกเร่งให้เร็วขึ้น พุ่มไม้เตี้ยสีเทาที่ขึ้นอยู่ตามทางที่ชายหนุ่มวิ่งผ่านสะบัดกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมมาตีเขาคล้ายต้องการขัดขวางเขาไว้ไม่ให้ไปต่อ กิ่งไม้เหล่านั้นเกี่ยวเส้นผมและเสื้อกันหนาวของเขาจนฉีกขาด บางกิ่งสอดลึกเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อด้านใน กิ่งหนึ่งบาดผิวหน้าเย็นเฉียบของเขาจนเลือดซึมออกมาเป็นทางยาว


แต่ฌอนก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป


แคธี่หายตัวไปแล้ว แต่เสน่ห์เย้ายวนของเธอยังคงอยู่ ชายหนุ่มวิ่งไปตามเสียงร้องเพลง เสียงเรียกจากสตรีผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย


เท้าของเขากระทบพื้นดินอ่อนนุ่มอย่างเหนื่อยล้า เวลานี้เขารู้สึกเหนื่อยหนักเข้าไปถึงกระดูกจนวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้จะยืนก็ยังแทบจะทรงตัวไม่อยู่ เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาวิ่งมาไกลมาก วิ่งมาตลอดชีวิต สติสัมปชัญญะเริ่มกลับคืนมาอย่างช้า ๆ เหมือนคนที่ไปเมาหลับอยู่ในบาร์กำลังถูกหิ้วปีกให้ยืนขึ้น


ชายหนุ่มเดินอ้อมเนินดินเตี้ย ๆ แล้วก็ต้องชะงักอยู่กลางทาง ภาพที่เขามองเห็นอยู่ตรงหน้านั้นคือภาพที่เขาไม่มีวันลืมได้ตลอดชีวิต


เขามองเห็นต้นกำเนิดของเสียงเพลงแสนเศร้านั่น


สายน้ำสายเล็กไหลเรื่อยลงมาตามทางลาด คดเคี้ยวไปตามแผ่นหินสีเทาที่ทิ่มแทงผ่านขึ้นมาจากดินเหมือนซี่ฟันที่เสื่อมสภาพไปแล้ว ไกลออกไปอีกหน่อยคือร่างเดียวดายของสตรีที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างแอ่งน้ำธรรมชาติใสแจ๋ว เธอกำลังก้มตัวอยู่เหนือผืนน้ำและกำลังขยำขยี้อะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเสื้อเชิ้ต ท่ามกลางแสงสลัวของพระจันทร์ข้างแรม ณอนเห็นว่าเธออยู่ในชุดยาวสีเขียวทึบคลุมทับด้วยเสื้อคลุมแบบไม่มีแขนสีเทาเนื้อหนา ผมของเธอยาวสยายและคลี่แผ่ออกเหมือนสายหมอกสีขาว


ชายหนุ่มแหกปากร้องสุดเสียงเมื่อนางปีศาจในความทรงจำวัยเยาว์นางนั้นหยุดขับขานบทเพลงแห่งความตายแล้วค่อย ๆ ผินหน้ามามองเขา ขดเกลียวของความเจ็บปวดทรมานและความหวาดกลัวสุดขีดกรีดผ่านเข้าไปในกายของเขา กัดกินเนื้อเยื่อทุกชิ้นออกจากกระดูก ชำระล้างลงไปถึงปลายเส้นประสาททุกส่วน แถมยังเร่งเร้าอารมณ์ใคร่ให้พุ่งขึ้นสู่จุดสุดยอดแล้วถูกบีบให้ทะลักล้นออกจากวิญญาณของเขาอย่างทารุณ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งขับถ่ายทั้งหนักและเบาก็ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยเช่นกัน


ดวงตาของนางปีศาจชราส่องแสงสีแดงก่ำจากการร่ำไห้อย่างหนัก แต่เขาจำใบหน้าของมันได้แม่น


มันคือนาตาชา


เธอจ้องมองเขาอยู่นานด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก จากนั้นก็ยกอะไรบางอย่างในมือที่เธอกำลังซักทำความสะอาดอยู่ขึ้นมาจากผิวน้ำ สายตาของฌอนละจากใบหน้าของเธอ ไล่ไปตามเรือนร่างที่ผอมจนหนังหุ้มกระดูกลงไปมองสิ่งที่เธอยื่นเสนอมาให้


เขาจำเศษผ้าชิ้นนั้นได้ในทันทีที่เห็น มันเป็นเสื้อนำโชคที่เขาสวมในวันที่ออกเดทกับเธอครั้งแรก


เลือดสีแดงสดเป็นประกายเหลือบเงาราวผิวโลหะในแสงจันทร์หลั่งรินออกจากนิ้วมือของเธอแล้วหยาดหยดลงกระทบกับแผ่นหินเปียก สายเลือดรินไหลไปตามผิวน้ำเหมือนฝ้าน้ำมันที่ค่อย ๆ แผ่ตัวออกกว้างพร้อมกับระลอกคลื่นแต่ละวง ในตอนแรกเขาคิดว่าเลือดนั่นมาจากมือของเธอ แต่จริง ๆ แล้วมันไหลออกมาจากเสื้อตัวนั้นต่างหาก เสื้อของเขากำลังตกเลือด


นางปีศาจแบนชีก้าวเข้ามาหา เหยียดยื่นเสื้อตัวนั้นมาให้พร้อมกับขยับริมฝีปากเรียกชื่อของเขาโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย


ฌอนได้แต่ยืนค้างแล้วแหกปากร้องลั่น ไม่มีแรงแม้จะออกวิ่งหนี


หลังจากนั้นอีกนานหลายชั่วโมง จนพระอาทิตย์เคลื่อนผ่านยอดเนินทางฝั่งตะวันออกขึ้นมาทั้งดวงแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงยืนร้องโหยหวนอยู่ตรงนั้น








******************************




ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)








หมายเหตุ :


* ชีแอน มาจากคำในภาษาไอริชว่า Sithein (อ่านออกเสียงว่า Sheean) แปลว่าอาณาบริเวณโดยรอบของเนินเขาอันเป็นเขตของภูตแฟรี่

** บรู มาจากคำภาษาไอริชว่า Brugh แปลว่าอาคารหลักอันเป็นที่อยู่ของเหล่าภูตทั้งหลาย เทียบเท่ากับคำว่า Borough ในภาษาอังกฤษ

*** ทัวธา เดอ ดานนาน มาจากคำว่า Tuatha de Dannan อันหมายถึงข้าบาทแห่งเทวีดานู (Danu) ผู้ที่เคยได้ปกครองไอร์แลนด์มาในยุคดึกดำบรรพ์ แต่ภายหลังถูกชาวไมลเชี่ยน (Milesian) ขับไล่จนต้องลี้ภัยไปอยู่ใต้แผ่นดิน




Create Date : 07 พฤษภาคม 2548
Last Update : 26 พฤษภาคม 2548 17:37:40 น. 0 comments
Counter : 555 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poceille
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





.
.
.

Busy Woman
but
Non-productive

.
.
.


Friends' blogs
[Add Poceille's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.