...ห้องทำงานรก ๆ ร้าง ๆ ที่เจ้าของทิ้งขว้างไม่สนใจ...


Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2548
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
25 มิถุนายน 2548
 
All Blogs
 

[10] The games we play : เกมระหว่างเรา









ทักทายก่อนเปิดบทค่ะ



วันนี้ขออนุญาตมาแบบแปลก ๆ นะคะ ขอเม้าท์ก่อนลงเรื่องสักนิด เหตุเพราะบทที่จะลงให้วันนี้มันออกจะแปลกแตกต่างไปจากบทอื่น ๆ ที่เคยลงมาสักหน่อยค่ะ ที่แปลกไปคือเนื้อหาที่ออกแนวรุนแรงมากขึ้น จึงต้องมาเรียนให้ทราบกันก่อน มิฉะนั้นเมื่อบางท่านเข้าไปอ่านแล้วอาจเกิดอาการหงายเก๋งขึ้นได้ค่ะ


หากจะว่าตามการแบ่งเกรดของหนังสือ หรือ Fiction rating แล้ว นิยาย The Wild Reel ทั้งเล่มน่าจะอยู่ในระดับ M ค่ะ นั่นคือเหมาะสำหรับวัยรุ่น อายุ 16 ปีขึ้นไป แต่ก็จะมีบางบทบางตอนที่ระดับจะสูงไปกว่านั้น คือถึงระดับ MA เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ อายุเกิน 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น ด้วยเพราะมี Adult theme ที่ค่อนข้างเปิดเผยแจ่มแจ้งอยู่สักหน่อยค่ะ และบทนี้ก็เป็นแบบนั้น


ดังนั้นท่านผู้อ่านท่านใดที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปีควรหลีกเลี่ยงบทนี้ หรือไม่งั้นก็ต้องมีผู้ใหญ่มาคอยนั่งอ่านอยู่ด้วยนะคะ


ปล. ข้อมูลการให้เกรดหนังสือยึดตามรายละเอียดของเว็บไซต์ fictionratings.com ค่ะ





จบแถลงการณ์แล้วค่ะ จากนี้ไปขอเชิญนักอ่านเข้าไปหาความสำราญจากตัวหนังสือกันได้เลยจ้า...
















...


แน็ตตี้ปิดประตูรถแล้วสตาร์ทเครื่อง


วันนี้ช่างแสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย และหญิงสาวรู้สึกยินดีเป็นล้นพ้นที่ในที่สุดเธอกำลังจะได้กลับบ้าน เย็นวันศุกร์แบบนี้การจราจรบนถนนขาออกจากเมืองดับลินคงติดหนักเหมือนนรก แต่อย่างน้อยงานที่ต้องทำก็เสร็จสิ้นไปหมดแล้ว


หญิงสาวออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเร่งสะสางภาระต่าง ๆ ให้เสร็จและทุกอย่างก็สำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยดี สิ่งแรกที่เธอทำคือขนภาพวาดชุดใหม่ไปส่งให้ผู้ร่วมงานของโรสแมรี่ที่มาตั้งสำนักงานอยู่ในดับลิน จากนี้ไปภาพวาดทั้งหลายจะถูกบรรจุหีบห่ออย่างแน่นหนาแล้วถูกส่งต่อไปยังลอนดอนอีกทอดหนึ่ง จากนั้นเธอก็ไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินพร้อมกับหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในระหว่างการเดินทาง แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบ่ายขลุกอยู่ที่บ้านของพ่อและแม่ที่ตั้งอยู่ในเขตแร็ธการ์ชานเมืองดับลิน แม้ผู้ปกครองของหญิงสาวออกจะตกใจกับข่าวการเดินทางที่ค่อนข้างกระทันหันของเธออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ขัดเคืองอะไร


"ลูกลงไปเยี่ยมกวินโดลีนเสียดีก็ดีเหมือนกันนะ" แอน นิวลีนเอ่ยปากกับลูกสาว "ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้วนะ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนสนิทกันมากจนแยกกันไม่ออกเลยเชียว ใครจะรู้ บางทีหนูอาจจะติดใจที่โน่นก็ได้นะ และบางทีเมื่อหนูกลับมาก็อาจจะอยากลงหลักปักฐานชีวิตให้มั่นคงเหมือนเพื่อนเสียที"


"แม่คะ ยายกวินโดลีนก็ยังไม่ถึงกับมีหลักมีฐานแน่นอนหรอกนะคะ" แน็ตตี้พ่นลมออกทางจมูก รู้ทั้งรู้ว่าที่เถียงไปนั้นมันไม่จริง รายนั้นเขา มี บ้าน มีกิจการส่วนตัวแล้วด้วยซ้ำ


หญิงสาวพยายามหาทางเบนประเด็นการสนทนาให้พ้นไปจากหัวข้อนี้ ความคิดของแม่เกี่ยวกับการลงหลักปักฐานมักรวมไปถึงการหา "ผู้ชายดี ๆ" สักคนมาร่วมชีวิตและผลิตทายาท แม้แน็ตตี้จะประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในระดับหนึ่งแล้วก็เถอะ แต่เธอรู้ดีว่าผู้เป็นมารดาไม่เคยเห็นผลงานศิลปะของเธออยู่ในสายตาเลยสักนิด แต่กลับมองว่ามันเป็นเพียงแค่งานอดิเรกโดยไม่สนใจว่ามันจะนำรายได้มามากมายแค่ไหน


แน็ตตี้เลิกโต้เถียงในเรื่องนี้มานานแล้ว ในขณะที่บิดาของเธอกลับมีความเห็นที่ต่างไป เขาเป็นผู้ชายเงียบ ๆ เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจในความสามารถของบุตรสาว และในยามที่สองพ่อลูกอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาก็จะให้กำลังใจเธอในทุกวิถีทางจนบางทีถึงกับมีปากเสียงกับภรรยา เขาแอบส่งเงินให้ลูกสาวเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน และคำปลอบประโลมของเขาที่มอบให้หญิงสาวมาตั้งแต่ยังเล็กทำให้เธอไม่คิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจของตัวเอง


แน็ตตี้ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมารดาของเธอจึงมีความคิดที่เป็นอคติแบบนั้น นี่ถ้าแน็ตตี้เป็นเพียงนักดนตรีหรือนักเขียนธรรมดา แอน นิวลีนคงเที่ยวได้เดินป่าวประกาศให้คนทั้งถนนได้รับรู้ด้วยความชื่นชม แต่การเป็น จิตรกร นี่มัน... เฮ้อ


แน็ตตี้เคยสงสัยว่ามันอาจมีปัจจัยบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ อย่างเช่นตอนที่แม่ของเธอยังเป็นเด็กก็อาจจะชอบการวาดรูปอยู่เหมือนกัน แต่กลับโดนสั่งห้ามไม่ให้ทำตามใจปรารถนา แต่แน็ตตี้ไม่เคยคิดที่จะถามหาสาเหตุที่แทัจริงจากคนรอบข้าง ก็มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเอาไปพูดคุยกับเพื่อนบ้านสักหน่อยนี่นา


"หนูจะไปวันไหนล่ะลูก? นาตาชา" บิดาของหญิงสาวถามขึ้นในระหว่างช่วยกันเก็บโต๊ะอาหารค่ำ


"จะบินวันอาทิตย์นี่ล่ะค่ะพ่อ กลับอีกทีก็วันที่แปด พฤศจิกา" เธอตอบ


ผู้เป็นแม่ส่ายหน้า "พระเยซูเจ้า พระแม่มารีและโยเซฟ สี่อาทิตย์เลยเรอะ? แถมยังจะไปกระทันหันอีกต่างหาก"


แน็ตตี้พยักหน้ารับในขณะที่เธออุดสะดืออ่างล้างจานด้วยจุกยางแล้วเปิดก๊อกน้ำ "ก็ถ้าไปแค่สองสัปดาห์มันดูน้อยไปหน่อยค่ะ"


"ไม่น้อยหรอก ไปออสเตรเลียสี่สัปดาห์นะลูก นาตาชา มันต้องใช้เงินมากเท่าไหร่รู้ไหม?"


"อาจจะไม่มากเท่าที่แม่คิดหรอกค่ะ กวินโดลีนจะให้หนูไปอยู่ด้วยโดยไม่ต้องเสียค่าที่พัก ส่วนที่นอกเหนือจากนั้นหนูก็มีเงินพอจ่ายอยู่แล้วค่ะ"


"แล้วเรื่องไปงานแต่งงานอีกนะลูก? หนูต้องซื้อชุดใหม่นะ แล้วไหนจะของขวัญอีก..."


นาตาชายกมือที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ขึ้นทันที "ไม่ต้องห่วงเลยค่ะแม่ หนูคิดทบทวนเรื่องนี้มาเป็นล้านหนแล้วมั้ง"


พ่อของเธอหยิบผ้าขนหนูออกมาเช็ดจาน "แล้วสตูดิโอของลูกล่ะ?" เขาถามขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่


"หนูจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้รู้ธตี้ไปแล้วค่ะ ตอนแรกเธอจะเก็บห้องไว้รอหนูฟรี ๆ แต่หนูไม่ยอม"


เขาส่ายหน้าก่อนส่งยิ้มมาให้ "นี่ขายภาพครั้งสุดท้ายได้เงินมาเท่าไหร่กันฮึ?" เขาแหย่ถาม


แน็ตตี้ยิ้ม "ก็พอกินพอใช้ค่ะ" เธอตอบกลับเสียงเบา


แต่คนเป็นแม่ยังคงปริวิตก "แล้วเรื่องงูกับแมงมุมล่ะลูก แล้วไอ้หมาป่ากินเด็กนั่นอีก..."


คำพร่ำบ่นดำเนินต่อไป และกลายเป็นเรื่องตลกระหว่างแน็ตตี้กับบิดา แต่แอน นิวลีน ยังคงพล่ามต่อไปโดยไม่สนใจรอยยิ้มของสามีและลูกสาว สิ่งที่เธอรับรู้เกี่ยวกับออสเตรเลียทั้งหมดมาจากสิ่งที่เธอเห็นจากรายการโทรทัศน์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นละครเรื่อง Neighbors และ Home and Away* ที่พวกเด็กวัยรุ่นเอาแต่ก่อเรื่องเดือดร้อนวันยันค่ำ นอกจากนั้นก็มีเรื่องของผู้ชายพิลึกที่เอาแต่กินหญ้า แมลงเต่าทองและจับสัตว์ป่าเล็ก ๆ มาประกอบอาหาร --เขาชื่ออะไรนะ? แล้วยังมีพ่อหนุ่มที่ชอบใส่กางเกงสีกากีขาสั้นเต่อ เที่ยวเอาไม้ยาว ๆ ไปเขี่ยจระเข้!** ถ้าที่โน่นมีแต่คนแปลก ๆ แบบนี้แล้วจะอยู่ยังไง? ถ้าที่โน่นมีแต่...


แน็ตตี้หัวเราะคิกคักในขณะที่ผลักตลับเทปให้ไหลลงไปในเครื่องเล่นแล้วหมุนปุ่มเพิ่มระดับเสียง หญิงสาวขับรถเลาะมาตามเขตชานเมือง การจราจรเบาบางลงแล้ว และเมื่อเธอหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าสู่ถนนสาย N6 เธอก็เหยียบคันเร่งได้เต็มที่


เสียงเพลงใสกังวานจากวงดนตรีท้องถิ่นในกัลเวย์ที่ชื่อ McCavity's Groove ล่องลอยออกจากช่องลำโพง บทเพลงแนวนี้มักทำให้เธอหวนคำนึงถึงตอนที่ต้องขับรถกลางดึกเพียงลำพังเสมอ อาจเป็นเพราะเสียงนักร้องที่ทุ้มต่ำเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศในคืนที่ท้องฟ้าโปร่งและอากาศหนาวเย็น และยิ่งได้ฟังท่ามกลางไออุ่นภายในห้องโดยสารแล้วมันทำให้ยิ่งรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น แน็ตตี้ส่ายหน้าพลางยิ้มให้กับตัวเอง


ตอนที่เธอขับรถผ่านป้ายแสดงความยินดีต้อนรับสู่แคว้นคิลแดร์ หญิงสาวก็กำลังแหกปากร้องเพลงลั่นรถ


"เธอจะเดินท่องไปในทุ่งดอกไม้ป่าที่ชูช่อไสวสูงท่วมเอวกับฉันไหม?
เธอจะกระชับมือของฉันมั่นไว้ ยามสองเราเคียงกายชมจันทร์เคลื่อนผ่านขอบฟ้าขึ้นมาด้วยกันหรือเปล่า?"



ริมฝีปากของจิตรกรสาวหุบปิดลงฉับพลันเมื่อเธอเข้าใจถึงความนัยของเพลงที่กำลังร้องอยู่ แม้เนื้อเพลงจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรชัดเจนแต่มันกลับก็ทำให้เธอระลึกถึงฝันร้ายยามราตรีได้แจ่มแจ้ง หญิงสาวกระแทกปุ่มบนเครื่องเล่นเทปโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้ตลับเทปเด้งออกมาอย่างแรงแล้วกระเด็นตกไปกระทบพื้นรถตรงระหว่างเท้าทั้งสองข้างของเธอ เสียงซ่าของคลื่นวิทยุที่ไม่ได้รับการปรับตั้งสถานีดังสนั่นไปทั้งห้องโดยสาร แน็ตตี้ตะกุยตะกายควานหาปุ่มปรับระดับเสียงให้เบาลง ส่งผลให้รถวอลโว่ของเธอปัดส่ายจนรถที่แล่นสวนมาถึงกับตีไฟสูงและบีบแตรใส่เป็นการเตือน


เมื่อจัดการปิดเสียงวิทยุได้แล้ว หญิงสาวก็วางมือทั้งสองข้างลงบนพวกมาลัยพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกติดกันหลายครั้ง ภาพจินตนาการนั้นเด่นชัดเสียจนเธอได้กลิ่นหอมหวานของดอกไม้ป่า สัมผัสถึงไออุ่นของแสงแดด แม้กระทั่งมองเห็นใบหน้าของเขาคนนั้น


แสงสะท้อนจากลูกแก้วกลมที่ใช้เป็นเส้นแบ่งช่องจราจรวาบผ่านไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนลูกไฟสว่างที่กระพริบวิบ ๆ เป็นจังหวะท่ามกลางความมืดมิดรอบด้าน


ความฝันของเธอเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เธอเคยได้ยินใครสักคนพูดถึงเรื่องแบบนี้ อ๋อ... เขาเรียกมันว่าความฝันเสมือนจริง ความฝันที่เริ่มต้นจากภาพเย้ายวนที่คงค้างอยู่ในใจ แล้วค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ฝันร้ายอันน่ากลัว แน็ตตี้รู้ตัวดีว่าเธอไม่มีอำนาจในการควบคุมตัวเองในระหว่างที่เธอล่องลอยไปกับความฝันยามค่ำคืน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นสาเหตุของความฝันเหล่านั้น อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หรือช็อกโกแลตร้อน หรือเป็นเพียงแค่ความเหนื่อยล้าทางจิตของเธอเอง ให้ตายสิ


มีอยู่คืนหนึ่งที่เธอลองดวดเหล้าเกรดต่ำของบิลลี่ มูลิแกนเข้าไปเต็มคราบ ตามท้ายด้วยกัญชาอีกมวน คิดว่ามันจะช่วยให้เธอหลับเป็นตายไปเหมือนกับที่เคยเป็นมา แต่กลับไม่เป็นผล แถมยิ่งทำให้แย่ลงไปอีกด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เธอเหนื่อยหนักถึงขั้นไร้เรี่ยวแรงในความฝัน ทำได้เพียงนอนระทดระทวย เฝ้ามองเขาเล้าโลมเธอตามปรารถนาโดยที่เธอทำอะไรไม่ได้สักอย่าง


ช่วงนี้เธอฝันเกือบทุกคืน


ฝันถึงผู้ชายคนนั้น


ในโลกของเขา (และเธอรู้ว่าที่นั่นคือโลกของเขาด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง) เธอไม่มีพลังอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น คล้ายกับว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากสิ่งที่เขากำหนดมาให้แล้ว จิตสำนึกของเธอบอกได้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าความฝันตามธรรมดาที่เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายและอิทธิพลของฮอร์โมน และหากจะว่ากันตรง ๆ แล้ว ความฝันพวกนี้ถือเป็นแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจได้อย่างมากมาย แต่มันทำให้เธอรู้สึกกลัวจับหัวใจ


เขาคนนั้นเริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตยามตื่นของเธอแล้วเช่นกัน ในสตูดิโอของเธอยามนี้เต็มไปด้วยกระดาษที่มีภาพสเก็ตซ์โครงหน้าคมคายของเขากระจัดกระจายไปทั่วห้องกว้างเหมือนเศษใบไม้ในป่ายามฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน มีแม้กระทั่งภาพวาดครึ่งตัวของเขาบนผืนผ้าใบที่หญิงสาวเริ่มลงมือร่างไว้ในเย็นวันหนึ่ง แต่เธอไม่เคยกล้าพอที่จะวาดให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์สักที


มีสิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจของหญิงสาวมาตลอด


ทุกครั้งที่เธออยู่กับเขา เขาสามารถทำให้เธอกลายร่างเป็นก้อนเนื้อสั่นระริกด้วยอารมณ์ปรารถนาเร่าร้อนหากยังรั้งรอการเสพสุขกับเธอเอาไว้ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก บ้าเอ๊ย แค่รอยจูบของเขาที่เฉียดผ่านไปเพียงฉาบฉวยยังทำให้เธอกลายเป็นยายบ้าสติแตกจากแรงอารมณ์ใคร่ที่แตกซ่านได้ถึงขนาดนี้ แล้วการได้ร่วมรักเต็มรูปแบบจะเป็นอย่างไรกัน?


เกลียวความหวาดผวาเย็นเฉียบแล่นผ่านไขสันหลังและมือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนพวงมาลัยชื้นเหงื่อจนเหนียวเหนอะ หญิงสาวคว้าเทปม้วนใหม่ขึ้นมา ครั้งนี้เธอเลือกวง Theray?'s Nurse ที่เล่นเพลงในแนวที่ต่างออกไปแล้วยัดลงไปในเครื่องเล่น ปรับหรี่เสียงกลองรัวกระหน่ำและเสียงกีต้าร์แหลมบาดหูให้เบาลงพอแค่ให้ได้ยิน แต่ไม่เพียงพอที่จะหักเหอารมณ์ของเธอได้เหมือนเมื่อกี้ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เธอจินตนาการภาพฝันอันวาบหวามตามเนื้อเพลงสองแง่สามง่ามนั้นได้เป็นพอ


หญิงสาวตั้งตารอคอยการเดินทางลงใต้อย่างใจจดใจจ่อมากขึ้นทุกวัน เธอเองก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพบ้านเมืองที่โน่นเช่นเดียวกับผู้เป็นมารดา รู้เพียงว่าทิวทัศน์ที่โน่นสวยงามมาก และแม้ว่าจะรับปากกับโรสแมรี่ไว้แล้ว แต่อย่างไรเสียเธอคงต้องพกเอาอุปกรณ์วาดเขียนไปด้วย เธอไม่ใช่คนที่จะปล่อยโอกาสการได้เห็นโลกใหม่แบบนี้ให้ผ่านไปเฉย ๆ สักหน่อย


แต่สิ่งหนึ่งที่จิตรกรสาวคาดหวังอย่างมากมายคือ การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกใหม่ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันอาจช่วยให้เจ้าสิ่งใดก็ตามที่ผลิตภาพของบุรุษคนนั้นในความฝันของเธอเปลี่ยนแปลงไปด้วย


หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ



...



ฟินวาร์รานั่งอยู่ริมฝั่งน้ำสงบนิ่งเพียงลำพัง


แม้เวลาในโลกแห่งความเป็นจริงในยามนี้จะล่วงผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ที่ที่เขานั่งอยู่ยังคงสว่างไสวเหมือนเที่ยงวัน มีเพียงฤดูร้อนที่กำลังจะผันผ่านไปเช่นเดียวกับโลกภายนอก กิ่งก้านแข็งแรงของต้นบีชใหญ่ที่แผ่ออกกว้างเริ่มถูกแต่งแต้มด้วยใบไม้สีทองแดงเจิดจรัส และยามสายลมพัดผ่านมันก็โรยตัวลงสู่ที่ราบหุบเขาอันอุดมเหมือนกลีบดอกไม้ปลิดปลิว ละอองฝนฉ่ำเย็นโปรยปรายบางเบาลงจากท้องฟ้าบ่อยครั้งขึ้น และต้นแบล็กเบอร์รี่ผลิตผลอวบกลมออกมาเต็มต้น หุบเขาอันสงบสุข เปี่ยมไปด้วยความเงียบงันอันล้ำลึกและสะอาดใสเช่นเดียวกับโค้งฟ้ากระจ่างที่สะท้อนเงาอยู่บนผิวหน้าของผืนน้ำทะเลสาบที่นิ่งสนิทเหมือนบานกระจกสีเงิน


ในบรรดาสถานที่ต่าง ๆ ในโลกของภูต ฟินวาร์ราโปรดปรานที่แห่งนี้มากที่สุดเพราะมันเงียบสงบและผาสุขโดยสมบูรณ์เมื่อเทียบกับความวุ่นวายของงานเลี้ยงในคฤหาสน์ที่ดำเนินไปทั้งวันทั้งคืน เขาชอบมาที่นี่เมื่อต้องการใช้ความคิด หรือบางครั้งเมื่อเขาต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง


วันนี้เขากำลังทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน


ภูตพุ้คของเขากลับมาพร้อมข่าวที่ภูตเมืองใต้ยินยอมให้ทำการแลกเปลี่ยนคฤหาสน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายศตวรรษแล้ว ข้อแม้ของทางฝั่งใต้ไม่ยุ่งยากอะไรมากนัก ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งเอกอัครราชทูตหรือผู้นำเที่ยวมาเซ็นสัญญาให้มากความ เพียงแต่จะต้องเป็นการแลกเปลี่ยนภูตทั้งคณะ ไม่ใช่แค่บางตนในคฤหาสน์ และมีเวลาในการแลกที่อยู่กันแค่หนึ่งรอบข้างขึ้นข้างแรมของพระจันทร์เท่านั้น นอกจากนี้ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกนิดหน่อยแต่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร ฝ่ายเราเก่งเรื่องต่อรองอยู่แล้วนี่นา


แต่ปัญหาใหญ่ที่รบกวนจิตใจของฟินวาร์ราอยู่คือระยะเวลา เขามีเวลาหาเจ้าสาวได้จนถึงแค่เที่ยงคืนของคืนออล ฮาลโลว์ ซึ่งจากวันนี้ไปก็เหลือไม่ถึงสี่สัปดาห์เต็ม ถ้าเขาตามนางไปถึงซีกโลกอีกฟากแล้วไม่สามารถทำให้นางตกร่องปล่องชิ้นกับเขาได้ ก็จะไม่เหลือเวลาให้ไปหาสตรีที่เหมาะสมคนใหม่มาแทนที่ได้แล้ว


กิฟเฟอร์ ฮอบกอบลินรายงานว่านางจะเดินทางออกนอกประเทศในวันที่สี่ตุลาคมตามเวลามนุษย์*** หมายความว่าเขามีเวลาอีกสองวันในการตัดสินใจ


ว่าจะไปหรือไม่ไป


นั่นคือคำถาม


นางมีค่าพอให้เสี่ยงหรือ?


หัวใจและหว่างขาของชายหนุ่มตอบรับทันที แต่สมองของเขายังคงลังเลอีกตามเคย


ฟินวาร์ราระลึกถึงความหลังครั้งวัยหนุ่มแล้วอมยิ้ม เขาเคยใช้ชีวิตเสเพลจนได้รับการขนานนามว่าเป็นโจรลักพาตัวสาวงามจนโด่งดังเป็นตำนานเล่าขาน เป็นนายพรานฝีมือเฉียบที่ทำให้คนคุมฝูงปศุสัตว์ที่ทำงานเพียงลำพังหมดเนื้อหมดตัวไปตาม ๆ กันมาแล้ว


"ไอ้งี่เง่าเอ๊ย" ชายหนุ่มฉุกคิดฉับพลัน "ถ้าเรื่องมันจะยุ่งเพราะข้าเป็นต้นเหตุก็ให้มันยุ่งไป ถ้าข้าไม่กล้าเสี่ยงกับเรื่องแค่นี้แล้วจะมีหน้าไปเป็นขุนนางปกครองพวกภูตได้อีกเรอะ? อีกอย่าง การได้ไปเปิดหูเปิดตาดูโลกอีกฟากหนึ่งสักครั้งก็ไม่เลว บางทีข้าอาจจะชอบที่โน่นก็ได้"


เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น ท่านเจ้าเหนือหัวแห่งภูตก็ลุกยืนขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง กระตือรือร้นที่จะลงมือเตรียมงานต่าง ๆ ในทันที การแลกเปลี่ยนคฤหาสน์ต้องใช้เวทมนตร์ขั้นสูง จะหวังพึ่งความกรุณาจากดวงจันทร์เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ อย่างไรเสียก็ต้องมีการเตรียมตัวกันก่อน


ฟินวาร์ราปัดมือกับเสื้อสีสดก่อนก้าวเดินกลับขึ้นเนินเขาไปด้วยความยินดีที่ตนเองสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเสียที ช่วงก้าวของเขามั่นคง ไหล่สองข้างลาดตรงด้วยความเชื่อมั่น รอยยิ้มเหยียดกว้างเต็มใบหน้า


การล่าจะดำเนินต่อไป


แล้วนี่ไอ้ภูตพุ้คมันหายหัวไปไหนของมันนะ?



...



เสียงกรีดร้องนั้นโหยหวนบาดหัวใจเป็นที่สุด


เสียงที่ราวกับถูกกลั่นออกมาจากบางอย่างที่เลวร้ายกว่าเศษซากศพที่เน่าเปื่อย เคลื่อนผ่านภูมิประเทศเหมือนกรงเล็บเย็นเฉียบของยมทูต ไม่มีที่แห่งใดรอดพ้นจากการรุกรานของเสียงหวีดสยองนั้นไปได้ มันแทรกผ่านแผ่นดินลงไปง่ายดายเหมือนคมคราดที่แทงผ่านกองฟางแห้ง ทำเอาสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่อาศัยอยู่ใต้ผิวดินถึงกับขวัญกระเจิง มันคืบคลานผ่านแนวป่าและทิวเขา กรงเล็บยาวของมันกรีดผ่านก้อนหินและเปลือกไม้ขรุขระบอบบางจนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวเล็กแหลม


เสียงกรีดก้องล่องลองไปพร้อมกับเมฆ ทะยานไปในความมืดมิดของราตรีเหมือนเป็นสมาชิกตนหนึ่งในคณะสี่อัศวินปีศาจจนเหล่าปักษาราตรีต้องโฉบถลาหลบเลี่ยง ทิศทางการบินรวนเรเพราะกระแสลมหนาวเย็นกรรโชกขึ้นอย่างฉันพลัน เสียงโหยหวนพุ่งผ่านขึ้นไปอ้อมรอบดวงจันทร์ข้างขึ้นใกล้เต็มดวงก่อนร่อนถลากลับลงสู่พื้นดิน


แม้แต่มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแถบนั้นก็ยังรับรู้ถึงเสียงอันน่าสยดสยองนี้เช่นกัน เหล่าสุนัขพากันกระโจนข้ามรั้ว ตัวที่ถูกผูกไว้ก็ดึงเชือกจนตึงพร้อมเห่าหอนเสียงขรม ในขณะที่พวกแมวกระเสือกกระสนเข้าไปนอนหมอบอยู่ใต้ท้องรถด้วยอาการหางจุกตูดและเส้นขนตั้งฟู ดวงตาเบิกกว้างพร้อมส่งเสียงขู่ฟ่อให้กับสิ่งที่มองไม่เห็น ส่วนผู้คนที่พักอาศัยอย่างปลอดภัยใกล้เตาผิงอันอบอุ่นในตัวบ้านก็ขยับเข้ามากอดกันกลม หรือไม่ก็โยนท่อนถ่านเข้าไปในกองไฟที่ลุกโพลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


ฌอน ลาเวลล์ผู้น่าสงสารนั่งงอก่องอขิงอยู่บนเตียง เข่าสองข้างถูกยกขึ้นประชิดหน้าอกและมือทั้งสองข้างกดแนบแน่นอยู่กับใบหู เขาโยกร่างไปมาในขณะที่เสียงหวีดแหลมแทรกตัวลงไปครูดเอาเนื้อเยื่อแยกออกจากกระดูก เขากำลังจะลืมฝันร้ายคืนนั้นไม่อยู่แล้วเชียว...


คืนนี้มืดสนิทและน่ากลัว แถมยังเป็นคืนสุดท้ายของสัปดาห์ตามความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า แต่เสียงโหยหวนน่าสยดสยองนั้นหาได้มีความเคารพในนักบุญไม่ เพราะมันพุ่งพรวดผ่านทางเดินกลางโบสถ์อันว่างเปล่าไปอย่างหื่นกระหาย กระแทกเข้ากับกระจกสีของหน้าต่างจนลั่นกราว แม้พระที่เคร่งศีลที่สุดก็ยังอดขนลุกขนพองไม่ได้


สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่โชคร้ายพอที่จะได้ยินเสียงกรีดร้องน่าสมเพชนี่จริง ๆ จะรู้สึกถึงอานุภาพของคำสาปแช่งที่เสียดลึกลงไปถึงกระดูกดำ อุณหภูมิของเลือดลดลงพ้นจุดเยือกแข็งจนกลายเป็นวุ้น และหัวใจต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะสูบฉีดโลหิตที่ข้นคลั่กนั้นไปสู่ปลายแขนและขาที่เย็นเฉียบ


ทันใดนั้น ราวกับประตูสู่นรกทุกบานเปิดออกพร้อมเสียงลั่นเอียดอาดเพื่อปลดปล่อยวิญญาณปีศาจชั่วร้ายสู่โลกมนุษย์ เสียงหวีดโหยลากยาวจนแทบขาดใจ จากนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายคล้ายถูกรั้งข้อเท้าไว้แล้วโดนลากกลับลงสู่หลุมลึกดำมืดน่ากลัวอันเป็นแหล่งกำเนิดของมัน แต่ก่อนที่จะสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์ ก็บังเกิดเสียงโหยหวนครั้งสุดท้ายที่กรีดก้องน่าสยดสยอง ราวกับเสียงแหลมของลูกหมูน่ารักที่กำลังถูกใบมีดร้อนคมกริบเสียบผ่านหน้าท้องสีชมพูอ่อนอย่างช้า ๆ และทารุณ


แล้วมันก็เงียบหายไป


แต่มันสายเกินไปเสียแล้วสำหรับชีวิตบางชีวิต สัตว์หลายตัวไม่สามารถพลิกฟื้นตื่นจากความโหดร้ายในคืนนี้ได้อีกตลอดกาล เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน คงต้องมีสุนัขและโคหลายตัวที่ป่วยหนักจนเกินเยียวยา และมีคนบางคน ที่เมื่อก่อนเคยเป็นคนดี อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพเรียบร้อย จะกลายเป็นคนชั่วช้าสามานย์ ใบหน้าบูดบึ้งและเป็นที่รังเกียจของสังคม


แท้จริงแล้ว เหตุอาชญากรรมอันอุบาทว์ชาติชั่ว หรืออะไรบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวไปกว่านั้นได้ถืออุบัติขึ้นในคืนนี้จริง ๆ



...



ใบหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส


ขดผมสีทองที่เคยหยักสลวยยามนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนลีบติดหนังศีรษะ และดวงตาที่เคยเป็นสีฟ้าสดใสราวท้องน้ำในทะเลสาบกลับแดงเถือกไปด้วยเส้นเลือดที่โป่งขยาย ใต้ตาดำคล้ำจากความเหนื่อยล้าถึงที่สุด ทุกข้อนิ้วบนมือเรียวสวยขาวซีดจากการกำเกร็งจนเป็นตะคริว มือข้างหนึ่งยกสูงในระดับศีรษะและกำลังสั่นสะท้านจากการเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อยึดกล้ามเนื้อน่องที่แข็งตึง มืออีกข้างหนึ่งที่อยู่ต่ำกว่ากำลังทาบประกบอยู่กับเนื้อต้นขาขาวนวล


เท้าข้างหนึ่งยกสูงขึ้นไปถึงใบหูของเขาและกำลังเตะถีบอากาศอย่างอ่อนล้า นิ้วเท้าทุกชิ้นหงิกงอสลับกับเหยียดกางราวกับว่ามันพยายามแยกตัวออกไปจากร่างกายที่กำลังกระตุกสั่นอย่างรุนแรง


ชายหนุ่มคำราม กัดฟันเสียงดังกรอดในขณะที่เขาพยายามรักษาความเป็นต่อ ในขณะที่สตรีผู้ที่ถูกกดทับอยู่ด้านล่างดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด ร่างบางบิดส่ายด้วยความปวดร้าวจนหักงออยู่ในท่าที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เรียวแขนนวลลออเหวี่ยงปัดออกไปทุกทิศทุกทาง ทั้งกระหน่ำทุบลงบนแผ่นอกของเขา แทรกนิ้วเข้าไปเกี่ยวรั้งเส้นผม กรีดไล้ไปตามผิวกายเรียบเนียนของฝ่ายชายเช่นเดียวกับที่ลากกวาดไปบนพื้นหญ้านุ่มข้างกาย


หญิงสาวนอนตะแคง เรือนร่างเปล่าเปลือย เศษชิ้นส่วนของเสื้อผ้าถูกฉีกขาดกระจัดกระจายอยู่ทั่วลานโล่งกว้าง ขาข้างหนึ่งของนางหนีบกายของชายหนุ่มไว้แน่น ส่วนอีกข้างขดงออยู่ใต้ร่างของเขา มือที่ประกอบขึ้นด้วยนิ้วยาวเรียวพุ่งพรวดขึ้นไปคว้าลอนผมหยักสลวยของฝ่ายชายแล้วกระชากให้หงายหน้าไปด้านหลังอย่างรวดเร็วและรุนแรง ความเงียบงันเกิดขึ้นชั่วครู่ในขณะที่ทั้งสองร่างชะงักนิ่งอยู่เช่นนั้น


และแล้วเสียงกรีดร้องก็เริ่มต้นขึ้น


มันเริ่มจากส่วนลึกในลำคอของนาง แล้วล้นทะลักออกมาด้านนอก กลืนกินทั้งสองเข้าไปเหมือนไฟป่า เขาละมือจากข้อเท้าของนางมาขยุ้มลงบนหัวไหล่สีขาวน้ำนมแล้วรั้งร่างของนางเข้ามากอดสนิทแนบแน่นราวกับต้องการหล่อหลอมร่างทั้งสองเข้าเป็นหนึ่งเดียว


ชายหนุ่มก้มลง สำรวจใบหน้างดงามที่ยามนี้บูดเบี้ยวไปตามแรงโทสะที่ไร้การควบคุม จากนั้นเขาก็เริ่มเบียดคลึงร่างกำยำเข้ากับร่างบอบบางอย่างช้า ๆ ไร้ความปราณีทั้งที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมานภายในร่างที่ใกล้แหลกเหลวของนาง


เสียงกรีดร้องยังคงดำเนินต่อไป


เขารัดนางแน่นขึ้นจนยากที่จะบอกได้ว่าจุดสิ้นสุดกับจุดเริ่มต้นของง่ามขาของเขาและนางอยู่ตรงไหนกันแน่ สองร่างพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ และแสงจันทร์ที่ทอลอดหมู่ไม้ลงมาอาบไล้ผิวกายของทั้งคู่อย่างนุ่มนวล


เขารอจนเสียงคร่ำควญแผ่วลงจึงยอมปลดปล่อยอารมณ์สู่จุดสูงสุดที่เอ่อท้นขึ้นมาเหมือนคลื่นในทะเลคลั่ง อาการกระตุกสั่นเริ่มต้นจากปลายเท้า ส่วนหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ศีรษะ อีกส่วนแทงทะลุผ่านออกไปด้านหลัง ในขณะที่เกลียวคลื่นคืบคลานขึ้นมาตามเรียวขา มันก็หยุดพักเป็นครั้งคราวเพื่อทักทายกับปลายประสาทและต่อมขับหลั่งที่ฝั่งอยู่รายทาง


นิ้วมือของเขากระตุกก่อนที่จะกำเกร็งโดยอัตโนมัติจนทำให้ผิวไหล่ขาวนวลของอีกฝ่ายยิ่งซีดขาวหนักขึ้น กระแสไฟฟ้าแล่นปรูดขึ้นมาตามท่อนแขน เลี้ยววนอ้อมหัวใจของเขารอบสองรอบก่อนพุ่งลงไปรวมกับแนวคลื่นที่คืบขึ้นมาจากด้านล่าง สองพลังประชุมร่วมกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะจัดเรียวแถวหน้ากระดานเพื่อเตรียมการบุกตะลุยเข้าไปค้นหาสมาชิกเผ่าเอลฟ์ที่ถูกฝังจนขึ้นอืดอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในร่างของสตรีผู้นั้น กระแสไฟฟ้าสายหนึ่งยังสงสัยอยู่ว่าพวกมันต้องการแผนที่ด้วยหรือเปล่า


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นครวญครางให้กับพระจันทร์ดวงใหญ่เบื้องบนเมื่อความหฤหรรษ์อันสุดขีดทะลักล้นออกจากร่างในรูปแบบของคลื่นยักษ์ทรงอานุภาพรุนแรง ความรู้สึกอันเกิดจากแท่งเนื้อที่พองขยาย แข็งเกร็งจนกระตุกสั่น รวมถึงคลื่นของเหลวที่พุ่งผ่านเข้าไปภายในเร่งเร้าอารมณ์ของหญิงสาวจนกระเจิง และเสียงกรีดร้องโหยหวนก็หลุดจากปากของนางอีกครั้ง


กระแสคลื่นของสองฝ่ายปะทะกันกลางทางก่อนจะหลอมรวมเข้ากันเป็นกลุ่มก้อนมหึมา


ขาข้างหนึ่งของนางเลื้อยขึ้นไปตามลำตัวของเขาด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยยิ่งกว่าการแสดงของนักยิมนาสติกชาวรัสเซียวัย 12 ปี นางงอขาเกี่ยวศีรษะของเขาไว้แล้วออกแรงถ่วงให้หงายไปด้านหลังในมุมที่น่าจะทำให้กระดูกคอหักได้ง่าย ๆ ในขณะที่ร่างของฝ่ายชายกำลังบิดส่ายอย่างรุนแรง นางยกริมฝีปากขึ้น เผยให้เห็นแนวฟันขาว แล้วกดลงบนริมฝีปากล่างของเขาในขณะที่ลิ้นของนางเรียกร้องหาทางสอดใส่เข้าไปภายใน เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายจางหายไปแล้ว แต่เสียงครางต่ำ ๆ เหมือนเสียงร้องของสัตว์ยังคงเล็ดลอดออกมาจากส่วนลึกในลำคอของนาง เสียงที่เหมือนกับเสียงคำรามของหมีบาดเจ็บที่ถูกต้อนเข้าไปจนมุมในถ้ำมืดที่ชื้นแฉะ


เมื่อคลื่นอารมณ์แผ่วลง และความเงียบสงบกลับคืนมาสู่ผืนป่าอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงทาบทับร่างบาง เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังกังวานเมื่อบริเวณรอบด้านเงียบลงอย่างทันทีทันใด


เวลาผ่านไปอีกหลายนาที กว่าที่หนึ่งในนั้นจะทำลายความเงียบทั้งหมดลง


"คณะเทพเป็นพยาน ลีลาของเจ้าเร่าร้อนจริง ๆ พุ้ค" ทู'ลลอชกระซิบเสียงแหบพร่า


พ่อเทพบุตรเจ้าเล่ห์ทำได้เพียงพยักหน้าให้กับลาดไหล่ได้รูปของแม่มดสาว เขาเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรงลงไปถึงไขกระดูก และยินดีเป็นที่สุดที่กิจกรรมเช่นนี้จะเกิดขึ้นเพียงเดือนละครั้ง เขาเก่งด้านนี้อยู่แล้วล่ะ โอ...แน่นอน แต่ทู'ลลอชคือสัตว์


ความชั่วร้ายช่างทรงอำนาจเสียจริง


สายลมเย็นช่วยระเหยหยาดเหงื่อที่เคลือบอยู่บนผิวกายเปลือยเปล่า และนกเค้าแมวตัวหนึ่งที่เกาะอยู่สูงเหนือศีรษะขึ้นไปส่งเสียงร้องออกมาด้วยความปรีดาที่เสียงหวีดร้องโหยหวนเงียบลงได้เสียที


แต่เจ้านกไม่ได้อยู่ตามลำพัง พุ่มไม้ใกล้ ๆ สั่นไหวเบา ๆ ก่อนที่ร่างที่เป็นเพียงแค่เงาดำจะเคลื่อนกายหายไปในความมืดมิดแห่งราตรีกาล



...



ทู'ลลอชเอนกายลงนอนตะแคงข้าง ยักศอกข้างหนึ่งไปกับพื้นป่านุ่ม ร่างงามไร้สิ่งปิดป้อง นางส่งเสียงครางเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ


แสงสว่างเรืองทาบทอลงบนเรือนกายงดงามของนางเหมือนแสงจันทร์ที่ล้อระยับอยู่บนผิวน้ำเรียบนิ่งในทะเลสาบ จะมียกเว้นก็เพียงรอยสักสีน้ำเงินลวดลายซับซ้อนตามแบบศิลปะเคลทิค (ซึ่งภูตหนุ่มก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันมีมาตั้งแต่ที่นางถือกำเนิดขึ้นมาหรือเปล่า?) ที่ทอดยาวจากเต้านมด้านซ้ายลงมาจนถึงขาอ่อน


กู๊ดเฟลโล่ทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดตาราวกับว่าแสงจากดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่นั้นเจิดจ้าเริงแรง แผ่นอกเกลี้ยงเกลาขยับขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในขณะที่นางแม่มดแห่งป่าใช้ปลายเล็บกรีดฉวัดเฉวียนไปมาอยู่บนผิวเนื้อเรียบเนียนของเขา กระตุ้นให้ปุ่มขนลุกเกรียวเป็นแนวตามเส้นทางที่ไล้ผ่านและเร่งเร้าหัวนมให้แข็งตึงจนตั้งชันขึ้น นิ้วมือของนางเลื่อนต่ำลง หมุนวนอยู่รอบผิวหน้าท้องของเขาสองสามรอบก่อนจะเดินทางต่ำลงไปอีก นางลากปลายนิ้วขึ้นลงตามความยาวของแก่นกายอ่อนปวกเปียกด้วยสัมผัสแผ่วเบาราวขนนกปัดผ่าน ท่อนเนื้อนั้นกระดกน้อย ๆ อย่างอ่อนล้า เหมือนหมาแก่ ๆ ที่ขยับปากไล่งับขนมปังกรอบที่เจ้าของยื่นล่อเอาไว้ไกลเกินเอื้อมถึง


ภูตพุ้คถอนหายใจแล้วเอ่ยปากถามด้วยเสียงระโหย "เจ้าไม่เคยเหนื่อยบ้างหรือไง?"


ทู'ลลอชส่ายหน้า "ไม่เคย" นางจับตามองคู่สนทนาที่ยังคงนอนปิดหูปิดตาอยู่อย่างนั้น "ข้ายังแปลกใจเลยที่เจ้าหมดแรงเอาง่าย ๆ แบบนี้ ไม่สมกับที่เขาเล่าลือกันไว้เลยนะ"


"แหงล่ะ ก็เจ้าไม่ต้องทำงานวันละยี่สิบห้าชั่วโมงครึ่งนี่นา"


ทู'ลลอชจุ๊ปากด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจในขณะที่กางนิ้วออกกำรอบแท่งเนื้อไว้หลวม ๆ รู้สึกถึงการตอบสนองที่เริ่มเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง


"แล้วทำไมต้องทำงานหนักขนาดนั้นด้วย?" นางถามเสียงเบา พยายามดึงเขาให้จมอยู่ในความง่วงงุนต่อไป


"ก็ ลอร์ดฟินวาร์รามีธุระต้องจัดการกับมนุษย์นางนั้นจนเต็มมือน่ะสิ เลยสั่งให้ข้าบินไปโน่นมานี่จนจะกลายเป็นคนบ้าอยู่แล้ว" กู๊ดเฟลโล่ถอนใจ ส่วนหนึ่งมาจากความรู้สึกเหนื่อยล้า และอีกส่วนมาจากความรู้สึกซ่านเสียวเมื่อมือของนางแม่มดขยับเคลื่อนขึ้นลงอย่างนุ่มนวล


"ได้แวะเที่ยวกลางทางบ้างหรือเปล่าล่ะ?" นางชวนคุยไปงั้น ๆ ในขณะที่โน้มตัวลงต่ำ แล้วเม้มริมฝีปากเข้ากับยอดถันข้างหนึ่งของเขาแผ่วเบา โอ... นุ่มนวลอย่างที่สุด


โชคดีที่ภูตพุ้คยังคงใช้มือปิดตาตัวเองอยู่ จึงไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าของทู'ลลอชที่แสดงถึงความขยะแขยงออกมาอย่างเด่นชัด ทำไมพวกภูตขาวถึงได้รสชาติห่วยแตกแถมตัวเหม็นได้ถึงขนาดนี้นะ? เอาเถอะ กามกรีฑาบ้าคลั่งแบบนี้เกิดขึ้นเพียงเดือนละครั้ง แถมยังให้ความสำราญกับนางได้มากกว่าการร่วมรักกับพวกเอลฟ์ดำเป็นไหน ๆ และนี่ถ้านางสามารถหลอกล่อให้เขาคายข้อมูลบางอย่างออกมาได้...


นางแม่มดพ่นลมหายใจออกในขณะที่มือเรียวยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง


กู๊ดเฟลโล่หัวเราะหึให้กับคำถามของนาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและแรงเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสจากปลายลิ้นของนางที่จรดลงบนร่าง "ท่านเจ้า... กำลังสำรวจความเป็นไปได้ในทุกทาง" เขาเล่าด้วยเสียงขาดหายเป็นห้วง


"โอ งั้นหรือ?" ทู'ลลอชรำพึง นางเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วให้เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปไม่ตอบคำ จากนั้นจึงเริ่มรุกล้ำต่ำลง ปลายลิ้นของนางทำหน้าที่ผู้นำการสำรวจ และม่านผมสีดำหนานุ่มแผ่กระจายอยู่บนผิวกายของภูตหนุ่มเหมือนสายฝนในฤดูหนาว


"อืมมมมมมม" เขาครางงึมงำเมื่อนางแม่มดกดปลายลิ้นลงในร่องสะดือแล้ววนไปโดยรอบ "ท่านเจ้าถึงกับให้ข้าบินลงไปออสเตรเลียเลยนะ --นี่บินไปบินกลับมารอบครึ่งแล้ว"


คิ้วของทู'ลลอชโก่งสูงขึ้น แต่นางก็ยังพยายามรักษาระดับน้ำเสียงให้ดูเหมือนว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับบทสนทนามากนัก "เหรอ? แต่ข้ากล้าพนันได้เลยว่าเจ้าสามารถจัดการงานนี้ได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ อย่างแน่นอน จริงไหม?" ลิ้นของนางยังคงไล้ต่ำลงไปอย่างต่อเนื่อง


"ก็ใช่ แต่ก็มีหลายครั้งนะที่ข้าเหนื่อยแทบร่วงจากอากาศ แล้วยังมีพวกภูตแอฟริกาที่ไล่ปาหอกใส่ข้า ส่วนหนที่ผ่านมาก็..."


ทู'ลลอชอ้าปากหาวแล้วขัดขึ้น "ที่เมืองใต้เป็นยังไงบ้าง?" ทั้งนี้เพื่อเบนประเด็นออกไปจากเรื่องราวการผจญภัยอันน่าเบื่อนั้น


"มันเป็นประเทศที่แปลกดีนะ" เขาตอบกลับในทันทีเช่นกันโดยไม่มีทีท่าแปลกใจอะไรที่นางเปลี่ยนเรื่องคุยกระทันหัน "พวกคนแถวนั้นก็... ดูติดดินดี"


"แล้วลงไปทำอะไร?" นางแม่มดซักต่อ "ฟินวาร์ราคิดที่จะไล่ตามนางมนุษย์คนนั้นไปหรือไง?" ว่าแล้วก็ส่งแท่งเนื้อของเขาเข้าปากเพื่อให้ดูเหมือนว่านางไม่ได้ใส่ใจกับคำถามจริงจังอะไรนัก


"ยิ่งกว่าคิดอีก" กู๊ดเฟลโล่เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไประยะหนึ่ง ลมหายใจของเขากระชั้น สองแขนเหยียดออก สองมือไขว่คว้ากอหญ้าข้างตัวแล้วกำไว้แน่น "นี่ข้ากำลังรอคำสั่งสุดท้ายในการจัดการแลกเปลี่ยนภูตทั้งคฤหาสน์จากท่านเจ้าอยู่"


ครั้งนี้ทู'ลลอชแทบกระอัก ดวงตาเบิกกว้าง นางคายสิ่งที่อยู่ในปากออกก่อนอุทานลั่น "แลกเปลี่ยนคฤหาสน์งั้นเรอะ? จะไปกันนานเท่าไหร่?"


ภูตพุ้คยังไม่เอะใจกับท่าทีตื่นตระหนกอย่างกระทันหันของคู่สนทนา คงเพราะตอนนั้นเขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ในหัว จึงได้แต่เพียงพยักหน้าในขณะที่ก้มลงมองเจ้าของคำถาม "อือ ฝ่ายเราคงได้ยกโขยงไปเที่ยวกันแน่ และข้าเดาว่าเจ้าคงต้องทนเห็นหน้าพวกนิยมอาณานิคมไปสักเดือน"


ทู'ลลอชพยักหน้าน้อย ๆ ในขณะที่แผนการนับพันปะทุอยู่ภายในสมอง


คราวนี้ภูตพุ้คจับสังเกตอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของนางได้


"บ้าฉิบ ข้าไม่ควรพูดเรื่องนี้กับเจ้าเลย นี่ถ้าฟินวาร์รารู้ว่าข้าปากโป้งเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง เขาคงเฉือนไข่ข้าไปใส่ขนมมัฟฟิ่นย่างโปะด้วยชีสแน่ ๆ"


ทู'ลลอชช้อนตาขึ้นมองสบพลางยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้าแสนงามนั้นถูกล้อมกรอบด้วยม่านผมสีดำสนิทที่นุ่มราวเส้นไหม แก้วตาสีเทาแวววาวราวดวงตาแมวสะท้อนแสงนวลของดวงจันทร์กระจ่าง และร่างเปล่าเปลือยของนางก็เรืองแสงสีเงินเปล่งปลั่งเย้ายวนหัวใจยิ่งนัก มือเรียวข้างหนึ่งประคองแก่นกายนุ่มลื่นของเขาที่ตึงตัวขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนอีกข้างหนึ่งลูบไล้แผ่วเบาอยู่บนแผ่นอก


"แหม โรบินที่รัก เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนปากสว่างช่างฟ้องสักหน่อย อีกอย่าง ข้าจะมี ปัญญา ไปทำอะไรได้"


"นั่นสินะ?" เขาครางให้กับตัวเอง ในขณะที่ริมฝีปากเย็นเยียบของนางแม่มดดำเคลื่อนต่ำลงไปอีกครั้ง








******************************




ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)




******************************




หมายเหตุ :


* Neighbors และ Home and Away ถือเป็นละครเวทีซีรี่ย์ที่ขึ้นชื่อของออสเตรเลียเลยนะคะ เรื่องราวจะประมาณละครน้ำเน่าเมืองฝรั่งค่ะ แต่งานนี้ไม่มีพระเอกรวยขนาดขี่รถเบนซ์ นางเอกเจ้าแง่แสนงอนที่จู่ ๆ กลายเป็นคนหูเบากว่านุ่นไปซะง่าย ๆ เวลานางร้ายมาเป่าหูแว้ด ๆ เหมือนละครไทยนะคะ แต่เป็นเรื่องราวความวุ่นวายในครอบครัว เดี๋ยวแม่ทะเลาะกับลูก เดี๋ยวลูกสาวทะเลาะกันแฟน เดี๋ยวลูกชายไปเมาอาละวาดในผับ อะไรประมาณนั้นมากกว่าค่ะ หากท่านใดสนใจ มีเว็บไซต์ Home and Away ให้เข้าไปชมกันได้ค่ะ


** ใครอยากเห็นหน้า "พ่อหนุ่มที่ชอบใส่กางเกงสีกากีขาสั้นเต่อ เที่ยวเอาไม้ยาว ๆ ไปเขี่ยจระเข้!" ล่ะก็ ขอเชิญที่เว็บไซต์นี้ค่ะ ---> Crocodilehunter แล้วลองมองหาพ่อหนุ่มที่ว่าดูนะคะว่าอยู่ตรงไหน ฮิฮิฮิ


***เวลามนุษย์ ในหนังสือใช้ตัวย่อว่า MT มาจากคำว่า Mortal Time จ้า ฮิฮิ เห็นศัพท์มันแปลกดีเลยเอามาลงให้ดูเล่นกันค่ะ










 

Create Date : 25 มิถุนายน 2548
0 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2548 22:57:36 น.
Counter : 505 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Poceille
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





.
.
.

Busy Woman
but
Non-productive

.
.
.


Friends' blogs
[Add Poceille's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.