เมื่อเรามีหัวใจสองดวง
สองเดือนผ่านไปแล้วที่เราย้ายตามฝาละมีมาที่ Doha ตอนนี้ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะลงตัวแล้ว เริ่มคุ้นกับสิ่งใหม่ๆในชีวิตเช่นเสียงปลุกจาก Mosque แต่เช้ามืด เสียงจะดังไปทั่วเมือง แทบทุกบล็อกถนน ที่มีย่านที่อยู่อาศัยจะมี มัสยิดตั้งอยู่ พอใกล้ๆเที่ยงก็จะมีเสียงจากมัสยิดบอกเวลาสวดมนต์กลางวัน (เราก็จะเตรียมตัวทำกับข้าว) ตอนใกล้ๆหกโมงเย็น พอมีเสียงมาจากมัสยิด เราก็จะรู้ว่าเตรียมทำกับข้าวมื้อเย็นได้แล้ว แดดที่แยงตาตั้งแต่ตีห้า (พระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นเร็วจัง) แต่เราก็ต้องออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงครึ่งเพราะที่ทำงานเริ่มงานตอนเจ็ดโมงเช้ามารยาทแย่ๆของคนใช้รถที่นี่ เพราะฉะนั้นขับรถที่นี่ต้องใจเย็นๆ (เราเลยยังไม่ได้ขับไง) พวกคนอินเดียชอบมากเลยกับการบีบแตร (อันนี้เรายังทำใจคุ้นไม่ได้)วิวสวยๆของ Croniche ที่เราต้องผ่านเพื่อไปทำงานทุกเช้า วันทำงานที่ไม่เหมือนประเทศอื่นๆเค้า ที่นี่จะเริ่มต้นวันแรกของสัปดาห์ด้วยวันอาทิตย์ ถึง วันพฤหัส ส่วนวันศุกร์ - เสาร์จะเป็นวันหยุด การช้อปปิ้งเป็นกิจกรรมประจำชาติของที่นี่ อย่างตอนช่วงเดือนแรกที่เรายังไม่ได้ทำงาน อยู่เป็นแม่บ้านเฉยๆ ก็มีไปช้อปปิ้งบ้าง แล้วก็จะเห็นว่ามีแต่คุณผู้หญิงทั้งชาวต่างชาติ และชาวอาหรับ (ที่แต่ชุดสีดำ คลุมทั้งตัว) เดินกันขวักไขว่ในห้างสรรพสินค้า เพื่อซื้อๆๆๆๆ ซือ้กันเก่งจิงๆ ส่วนพวกหนุ่มๆอาหรับ (ใส่ชุดประจำชาติสีขาวยาวๆ) ก็ไปเดินห้างเพื่อเหล่สาว และทุกคนจะต้องถือมือถือในมือ (ทำไมไม่ใส่ในกระเป๋าก็ไม่รู้) แล้วก็ใส่ bluetooth/ headset เพื่อคุยโทรศัพท์ระหว่างเหล่สาวของกินของใช้ที่แพง แต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ถูก(เมื่อเทียบกับเมืองไทย) ค่าเช่าบ้านที่แพงมหาโหด อย่างบ้านนี่ไม่มีต่ำกว่าเดือนละแสน ส่วนอพาร์ทเม้นท์สามห้องนอนก็ตกเจ็ด - แปดหมื่น แต่ว่ารถกับน้ำมันรถนี่สิมันถูกจิงๆ น้ำมันลิตรละเจ็ดบาท วันก่อนเห็นประกาศขาย mini cooper s ปี 2005 ราคาแปดแสน เห็นแล้วอยากได้จังงงงคนอินเดียที่มีมากกว่าประชากรของเจ้าของประเทศ จากข้อมูลบอกว่าตอนนี้มีอินเดีย รวมถึงบังคลาเทศ และปากีสถานเข้ามาอยู่ใน กาต้าร์กว่า 70% ของประชากรทั้งหมด ถ้าไปในย่าน old town ในวันศุกร์ จะตกใจนึกว่าเรามาอยู่ในบอมเบย์ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่แขกในที่ทำงานกว่า 80% เป็นคนอินเดีย หนีไม่พ้นจิงๆ ไม่ชอบฟังภาษาอังกฤษสำเนียงแขกเลยจิงๆ รู้สึกคันในรูหูทุกครั้งที่ได้ยินชื่อแปลกๆของเพื่อนร่วมงาน ทั้งชื่อที่เป็นภาษาอินเดีย และภาษาอาหรับ มันฟังยาก และออกเสียงยากจริงๆ (แต่ก็ต้องพยายาม) เพราะอย่างภาษาอาหรับชอบใช้เสียงที่ต้องเปล่งลมออกจากคอ ซึ่งเราทำไม่เป็นหง่ะ และกระดกลิ้นเยอะ (ทุกวันนี้เวลาบอกแท็กซี่ว่าจะไป Al Nasr ต้องพูดทวนตั้งหลายครั้งเพราะเราออกเสียงผิดตลอด อัลล นะซะห์ อู้วววมันยากส์จิงๆ)เวลาทำงานของบริษัทเรามันช่างเหมาะกับแม่บ้านมาก เพราะเริ่มงานเจ็ดโมงเช้า ทำรวดเดียวถึงบ่ายสาม (ระหว่างวันถ้าหิวก็พกอาหารเที่ยงมากินเอง ไม่มีพักกลางวัน) กลับถึงบ้านไม่เกินสี่โมงเย็น ทำให้เรายังมีเวลาทำงานบ้านเช่นซักผ้า รีดผ้า จ่ายกับข้าว ทำกับข้าว ก่อนคุณสามีจะกลับบ้านร้านสตาร์บัคเป็นที่นั่ง Hang out ของหนุ่มๆชาวอาหรับ ที่ชอบมานั่งคุย กันที่ร้านกาแฟไม่มีหมูกิน (แต่ที่บ้านนี้มีกุนเชียงแหละ โชคดีที่เจ้าหน้าที่เค้าเล็งตรวจแต่พวกที่บรรจุในกระป๋อง ส่วนแบบที่แปรรูปเป็นดุ้นๆนี่เค้าคงยังไม่รู้จัก ก็อย่าไปบอกเค้าแล้วกัน)วันที่มีพายุทะเลทราย (sand storm)มันเลวร้ายจริงๆ เพราะหลังจากนั้นเราต้องมานั่งเช็ดฝุ่น ดูดฝุ่น และออกไปไหนไม่ได้เพราะไม่อยากหายใจเอาฝุ่นทรายเข้าปอด แล้วท้องฟ้ามันเป็นสีส้มๆดูแล้วเศร้า แล้วถ้าโชคร้ายตากผ้าไว้ละก้อ ซักใหม่เลยเพราะว่าผ้าขาวๆจะกลายเป็นผ้าสีตุ่นๆเหลืองๆเพราะผงทรายละเอียดมันจะเกาะผ้า ช่วงใกล้เปลี่ยนฤดูจะมีบ่อย ก่อนตากผ้าก็ต้องสังเกตุดูท้องฟ้าก่อนว่าสีมันตุ่นๆ หรือว่าตึกที่เคยมองเห็นแต่ว่าวันนี้มันมัวๆมองไม่ค่อยเห็นก็ต้องตากผ้าในบ้านผักสดที่ปลูกในประเทศนี้ดูยังไงก็ไม่น่ากิน เพราะมันเหี๊ยวเหี่ยว และมีทรายปนอยู่เต็มเลย แต่ว่าจะกินแต่ผัก imported ก็ไม่ไหวเพราะมันแพง มีผัก import จากทุกมุมโลกเห็ดเข็มทองที่บ้านเราแพคละ 15 บาท ที่นี่ 90 บาท ถั่วงอกหยิบมือละ 20 บาท ตอนนี้เราเลยเพาะถั่วงอกกินเอง เพราะถั่วเขียวครึ่งโลแค่ 20 บาทปลูกได้ตั้งหลายรอบอ่านแล้วไม่เห็นค่อยมีอะไรดีเลยเน้อดีที่สุดคงเป็นเรื่อง tax freeละมั้ง ทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ก็ถือเป็น net เลยเพราะไม่มีการโดนหักภาษี ไม่ว่าคนต่างชาติ หรือคนพื้นเมืองมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ปัญหาอาชญากรรมน้อย อย่างเรื่องขโมยนี่น้อยมาก น่าจะเป็นเพราะกฏหมายที่นี่แรงคนเลยไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ เอาไว้ค่อยเข้ามาใส่เพิ่มแล้วกันวันนี้ง่วงแล้ว
แต่ จ ข ก ท น่ารักมากเลยปรับตัวได้เร็วดีค่ะ
ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่นี่น่ะค่ะ