ลดงานด้วย Gilbreth

อะไรหว่า Gilbreth


เป็นคนครับ ชื่อเต็มๆ เค้าคือ Frank Bunker Gilbreth <แฟรงค์ บังเคอร์ จิลเบรธ> ตำราเค้าว่างั้น

แฟรงค์ บังเคอร์ จิลเบรธ เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1868 เป็นคนอเมริกัน จบการศึกษาระดับ High School หรือ ที่เราเรียกว่า มัธยมปลาย แต่มีผลงานโดดเด่นในเรื่อง การศึกษาการเคลื่อนไหว (Motion Study) ซึ่งจัดเป็น การบริหารจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ อย่างหนึ่ง

จิลเบรธ จบการศึกษาแค่มัธยมปลาย เริ่มงานเป็นช่างก่ออิฐ และพัฒนาตนเองจนเป็นเถ้าแก่ และกลายเป็นนักคิดด้านการบริหารจัดการ และเปิดบริษัทที่ปรึกษา รวมทั้งเคยสอนใน Purdue University อีกด้วย

ผลงานโด่งดังของ จิลเบรธ คือ Therbligs คำนี้ไม่มีคำแปลในภาษาอังกฤษ เพราะเป็นคำที่ จิลเบรธ คิดเอง เป็นการลดท่าทางในการทำงานเรียงอิฐ ซึ่งเกิดจากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมการทำงาน และจากนั้นแบ่งการทำงานออกเป็นขั้นตอน และหาวิธีการลดขั้นตอนการทำงานลง

จิลเบรธ ช่วยลดงานยังไงละ


แนวทาง Therbligs นี่เอง เป็นหลักการของการบริหารจัดการด้านคุณภาพ และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องที่มีอยู่แทบทุกระบบงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น TQM, QCC, Six Sigma หรือ ISO 9000

กุญแจไขปริศนาวิธีการทำงานของเราให้รวดเร็วขึ้น เริ่มที่การแบ่งขั้นตอนการทำงานออกเป็นส่วนๆ และกำจัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นที่ทำให้เสียทั้งแรงงาน และเวลาออกไป ซึ่งการทำเช่นนี้จะเป็นผลดีต่อผู้ปฏิบัติงาน เพราะงานจะสบายขึ้น

ที่นี้ถ้าพูดในภาพกว้างหลายคนอาจมองไม่เห็นทางออกของตน จิลเบรธ จึงกำหนดขั้นตอนการทำงานไว้ 18 ขั้น เพื่อให้ผู้สนใจได้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนางาน <ลองจินตนาการว่าเราอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม>

1. Search/ค้นหา – กระบวนการเริ่มจากตาที่มองหาสิ่งของก่อน ซึ่ง จิลเบรธ ให้พิจารณาเรื่องช่วงเวลาด้วย (เช้า สาย บ่าย เย็น) นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญเรื่องมิติด้วย เช่น แผ่นกระดาษบนโต๊ะถือเป็น1 มิติ สวิตช์ไฟเป็น 2 มิติ เชือกติดพัดลมเป็น 3 มิติ เพราะสิ่งเหล่านี้กระทบต่อการใช้เวลาในการมองหา จิลเบรธ บอกว่าจะลดเวลาในการค้นหาได้โดยการจัดวางเครื่องมือให้เป็นระบบตามแบบ Packet Principle <ไว้จะหามาให้อ่านเพิ่ม>

2. Find/พบ – เป็นขั้นตอนที่เราพบสิ่งที่ค้นหาแล้ว รายคนบอกว่าขั้นตอนนี้ไม่เห็นช่วยลดเวลาเลย แต่เข้าใจว่า จิลเบรธใส่ขั้นตอนนี้ไว้เพื่อให้เกิดความครบถ้วนในกระบวนการที่วิเคราะห์ตามลักษณะพฤติกรรม

3. Select/เลือก – กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีวัตถุเหมือนกันหลายชิ้น เช่น เลือกดินสอสีในกล่องสี วิธีการลดระยะเวลาในขั้นตอนนี้คือ การทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ไว้บนวัตถุนั้นๆ เช่น หาแถบติดที่ดินสอ การทำสีดินสอตามไส้

4. Grasp/จับ – กระบวนการจับจะสินค้าสุดเมื่อคนเอื้อมมือไปสัมผัสวัตถุ จิลเบรธ บอกว่าเวลาในการจัดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความยากง่ายของสิ่งที่จะจับ เช่น รูปทรง ตำแหน่งการวาง ของร้อน หรือเย็น การลดเวลาในขั้นตอนนี้จึงเป็นการเลือกจับให้ถูกต้อง เช่น ของร้อนก็ใส่ถุงมือ เป็นต้น

5. Hold/ยึด – เรียกว่าถือก็ได้ เป็นอาการที่ไม่เคลื่อนไหว จิลเบรธ บอกว่าจะเป็นการดี ถ้าเราสามารถถือของได้ด้วยมือเดียว และใช้อีกมือทำสิ่งอื่น ความจริงต้นฉบับของ จิลเบรธ ไม่ได้เขียนขั้นตอนนี้ไว้ แต่รวมอยู่ใน Grasp ต่อมา Alan Mogensen และRalph Barnes เป็นผู้นำหลักการมาขยายแนวคิดต่อ

6. Transport Loaded/ลงมือเคลื่อนไหว – ขั้นตอนนี้ คือ เมื่อมือถือไว้มั่นแล้วก็ลงมือทำงาน จะเกิดน้ำหนักอยู่ที่มือ โดยจะจบลงที่ก่อนมือปล่อยน้ำหนักทิ้ง หรือหยุดงาน หรือหยุดประกอบชิ้นส่วน ความมุ่งมั่นในขั้นตอนนี้ก็เพื่อลดระยะทาง และเวลาลง หากต้องการทำตามแนวคิดของ จิลเบรธ ก็ต้องนำเรื่องน้ำหนักต่างๆที่อยู่ในมือมาคำนวณด้วย เพื่อแก้ปัญหา และลดความเครียดที่มือ เช่น เราอาจใช้พื้นลาดเอียงในการลดน้ำหนักการขนย้าย

7. Transport Empty/ปล่อยมือ – เป็นการเคลื่อนมือออกจากวัตถุที่ถือ ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่ไม่เกิดผลผลิต ดังนั้นลดได้ก็ลดเสีย ทงแก้ไข คือลดระยะทางลงให้มากที่สุด

8. Position/วางตำแหน่ง – เป็นการวางตำแหน่งของวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับขั้นตอน Hold เช่น ถ้าเสียบปากกาไว้ที่กระเป๋าเสื้อ เวลาหยิบก็ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับขึ้นมา แต่ถ้าว่างบนโต๊ะ การหยิบก็จะแตกต่างออกไปโดยจะจับที่กลางด้าม และต้องเอื้อมมือไป

9. Assemble/ประกอบ – เป็นกระบวนการที่นำชิ้นส่วนตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไปประกอบเข้าด้วยกัน จบลงที่มือไปหยิบอีกชิ้นส่วนหนึ่ง ตรงนี้ในระบบทั่วไปจะเป็นขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถปรับลดเวลาได้ นอกจากนั้นการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสมก็ช่วยได้ เช่น ในการขันสกรูหรือนอต หากตัวเล็กจะขันยาก ก็เปลี่ยนมาใช้สกรู หรือนอตตัวที่เหมาะกับมัน การขันก็จะเร็วขึ้น ตรงนี้ทางวิศวกรรมอุตสาหการ เอาไปพัฒนาระบบสายการผลิตเพื่อให้ผลิตเร็วขึ้น

10. Use/ใช้ – ตรงนี้อย่าสับสนกับ Assemble นะครับ เช่น ถ้าเรากำลังเอาดอกสว่านใส่เข้ากับตัวสว่าน ตรงนี้เป็น Assemble แต่ถ้าเราเอาสว่านไปใช้เจาะอะไร ตรงเจาะนี้แหละ เรียกว่า Use ขั้นตอนนี้สำคัญมากเพราะถ้ากำจัดสิ่งไม่จำเป็นออกไปได้ จะยิ่งทำให้เรามีผลผลิตมากขึ้น

11. Disassemble/ถอดออก – กระบวนการนี้ตรงข้ามกับ Assemble ซึ่งก็แล้วแต่ว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร จะถอดออกอย่างไร หากเป็นกระบวนการที่ต้องมีการเปลี่ยนขนาดอุปกรณ์ เช่น เปลี่ยนขนาดดอกสว่าน ก็ต้องหาทางปรับปรุงงานที่เหมาะสม ถ้าออกแบบดีๆ อาจถึงกับตัดขั้นตอนนี้ไปได้เลย <ลองศึกษากรณีการเปลี่ยนไลน์การผลิตของ โตโยต้า จะเรื่องมหัศจรรย์เกี่ยวกับ Disassemble>

12. Inspect/ตรวจสอบ – เป็นการตรวจดูเทียบกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งต้องใช้ความสามารถพอควร และขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตรวจด้วย โดยเริ่มดูตั้งแต่เริ่มกระบวนการไปจนปล่อยมือว่ามีอะไรควรปรับปรุงบ้าง เช่น จิลเบรธ เคยสังเกตคนงานตรวจสอบหลอดไฟว่าไส้ขาดหรือไม่ คนงานจะยกหลอดไฟขึ้นส่องดูกับแสงส่วางบนเพดาน จิลเบรธได้ปรับปรุงใหม่ โดยให้วางหลอดไว้บนโต๊ะที่ติดกระจกแล้วมีแสงไฟอยู่ด้านใต้ นี่ก็เป็นการลดเวลาได้มาก

13. Pre-position – เป็นการเคลื่อนไหวของการหยิบสิ่งหนึ่งไปแทนที่อีกสิ่งหนึ่งเพื่อเตรียมไว้ทำงานต่อไป เช่น ในการผลิตปากกา เราหยิบปากกาที่ผลิตเสร็จออกจากแท่นยึด และนำปากกาด้ามใหม่มาเสียบที่แท่นยึด รอการประกอบไส้ และหัวปากกา

14. Release Load –หมายถึงการปล่อยวัตถุเมื่อถึงปลายทางแล้ว ซึ่งเวลาที่ใช้ขึ้นกับรูปแบบของสิ่งที่กำลังทำ เช่น อาจจะสะดวกในการที่จะทิ้งวัตถุลงในถัง เมื่อจบการทำงานแล้ว แต่ต้องคำนึงถึงขั้นตอนต่อไปด้วยว่าจะสะดวกหรือไม่ เค้าจะเสียเวลาในการ Pre-position เท่าใด

15. Unavoidable Delay – เป็นการเสียเวลาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เป็นช่วงที่มือไม่ได้ทำอะไรจนถึงมือเริ่มทำงานใหม่ การเสียเวลาตรงนี้ จิลเบรธ บอกว่าทำอะไรไม่ได้ อาจเกิดจากวัตถุดิบขาดตอน การซ่อมเครื่องมือ การหยุดพักเครื่องจักร ซึ่งตรงนี้ไม่ได้เกิดจากคนงาน และก็จะกลายเป็นเวลาพักของคนงานไป

16. Avoidable Delay – เป็นการเสียเวลาที่หลีกเลี่ยงได้ เช่น การเลือกสิ่งของในภาชนะเพื่อนำมาประกอบ พนักงานก็ควรเลือกโดยใช้สองมือ หากใช้มือเดียว อาจทำให้การหาล่าช้า และสร้างความเมื่อยล้าให้กับมือข้างนั้นมากเกินไป อันนี้ต้องแก้ที่ตัวคนงาน

17. Plan – ตรงตัวครับ “การวางแผน” จิลเบรธ บอกว่าจะเกิดขึ้นก่อนการประกอบ หรือก่อนจะตรวจสอบ เป็นช่วงที่หยุดคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เวลาตรงนี้จะขึ้นกับสภาพของงาน เช่น งานประจำควรมีตรงนี้น้อยที่สุด เพราคงไม่มีอะไรที่ต้องตัดสินใจมาก

18. Rest for Overcoming Fatigue – อันนี้ทุกคนชอบที่สุด คือ การพักเพื่อลดความเมื่อยล้า เป็นธรรมดาคนไม่ใช่เครื่องจักร ต้องมีการหยุดพักบ้าง ตรงนี้ผู้บริหารต้องกำหนดเวลาให้เหมาะสม และสมดุลกับสภาพของคนงานด้วย

จะสังเกตว่าขั้นตอนทั้งหมดนี้ ในงานทุกงานไม่จำเป็นต้องเรียงตามนี้ อาจสลับได้ หรือไม่มีครบทุกขั้นตอนก็ได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำ สิ่งที่ จิลเบรธ ต้องการบอกก็คือ ลดงานที่ไม่จำเป็นออกไป อย่าทำเพราะเคยทำ มองเป้าหมายของงานให้ออก และลงมือปรับให้ง่ายขึ้น แล้วงานที่คุณทำอยู่จะสบาย

Credit: 111 กูรูบริหารจัดการอุตสาหกรรมโลก

 

Create Date : 11 กันยายน 2552		4 comments
Last Update : 15 กันยายน 2552 13:42:37 น.
Counter : 5267 Pageviews.
Share Tweet