คิดถึงศิลปากร
อาจเป็นเพราะท้องฟ้าที่ขมุกขมัวหม่นหมองมาตั้งแต่เช้าพอถึงตอนค่ำ ฝนก็ตกโปรยปรายบรรยากาศเหงาๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าฟังเพลงกับอ่านหนังสือฟังไปหลายเพลง มาสะดุดหูที่ เพลง กลิ่นจันทร์เวอร์ชั่นนี้ไม่ทราบว่าใครร้อง แต่ความไพเราะ ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเวอร์ชั่นเดิมๆที่ฟังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหลังจากฟังไป 5 รอบ ก็เริ่มคิดถึงมหาลัย คิดถึงเพื่อน คิดถึงอาจารย์ไม่ว่าจะผ่านวัน ผ่านเวลามานานเท่าใดแต่ภาพชีวิต ที่เคยมีช่วงเวลาหนึ่งในรั้วศิลปากร ยังคงแจ่มชัดเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานคิดถึงรปภ.หน้ามอเวลาขี่มอเตอไซด์ออกนอกรั้ว ไม่เคยต้องแลกบัตรคิดถึงตึก 50 ปีที่ทำให้ได้พบหน้าสาวอักษรคิดถึงศาลหน้าคณะอักษร ที่รุ่นพี่บอกว่าถ้าขี่จักรยานตอนกลางคืนแล้วไม่ดีดกระดิ่ง มองขึ้นไปจะเจอสาวชุดไทยร่ายรำอยู่ข้างบน (ไม่เคยดีด แต่ก็ไม่เคยเจอ)คิดถึงยูเนี่ยนที่เคยฝากท้อง และนั่งมองสาวๆคิดถึงหอสมุดที่เคยนั่งติวเค็มกับเชอร์รี่คิดถึงตึกหอชาย แหล่งอาศัยเล่นไพ่ และซุกหัวนอนคิดถึงหอเพชรรัตน์ กับลานนม (ที่ไม่มีอยู่แล้ว) โลกนี้จะมีซักกี่คนที่ชงโอวัลตินไปให้สาวคิดถึงสปอร์ตคอมเพล็กซ์ ที่เคยเป็นพี่ว้ากคิดถึงช็อปฟู้ด ที่เคยเปิดโรงงานนรกทำเค้กกับคุ้กกี้ขายก่อนปีใหม่คิดถึงอาจารย์ที่คณะวิศวะ ทั้งอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชา และอาจารย์ผู้มอบความเป็นศัตรูมาให้และคิดถึงเรื่องราวอีกมากมายที่เคยเกิดขึ้นที่ทับแก้วที่คิดถึงมากมาย หรือจะเป็นเพราะใจจดจ่อกับการเตรียมสอบวิทยานิพนธ์ในรั้วเขียวอีกที่หนึ่งปริญญา ใครบางคนบอกว่าก็แค่กระดาษแผ่นเดียว ไม่ต้องสนใจก็ได้บางที คนที่พูดอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ว่า ระหว่างทางตะหากที่สำคัญช่วงเวลาที่ตะเกียกตะกายเพื่อที่จะไปให้ถึงปริญญาต่างหาก ที่สำคัญกว่าคุณได้รู้จักเพื่อน ได้รู้จักการยอมรับ และการอยู่ร่วมกันในสังคมบ่นอะไรไปมากมาย แต่สุดท้ายก็แค่อยากจะบอกว่าคิดถึงศิลปากรครับ