ในเอกสารของกองทัพฯสหรัฐระบุว่า
เกียวโตเป็นเมืองในเขตอุตสาหกรรม ที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน
ทั้งยังไม่เคยถูกทิ้งระเบิดมาก่อน ทำให้มีการย้ายฐานอุตสาหกรรมจากพื้นที่อื่นของญี่ปุ่นไปตั้งที่นั่นจำนวนมาก เกียวโตจึงเป็นเป้าหมายการโจมตีที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม นายสติมสันได้สั่งให้ลบชื่อของเกียวโตออก
ด้วยเหตุผลของการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรม
และแม้ทางกองทัพจะใส่ชื่อของเกียวโตกลับเข้าไป
ในรายชื่อการทิ้งระเบิดใหม่หลายครั้ง
แต่นายสติมสันได้พยายามคัดค้านครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยได้เข้าพบและชี้แจงต่อประธานาธิบดีเฮนรี่ เอส. ทรูแมนโดยตรง
นายสติมสันเขียนบันทึกไว้ในไดอารี่ส่วนตัว ลงวันที่ 24 ก.ค.ปี 1945
ว่า ประธานาธิบดีทรูแมนเห็นด้วยกับคำชี้แจงของเขาที่ว่า
หากทิ้งระเบิดปรมาณูที่เกียวโตแล้ว จะทำให้เกิดความขมขื่นในหมู่ประชาชนชาวญี่ปุ่น จนถึงขั้นที่สหรัฐฯไม่สามารถจะคืนดีกับญี่ปุ่นหลังสงครามได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม ศ. อเล็กซ์ วอลเทอร์สไตน์ นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า
ยังมีข้อที่น่าสงสัยว่านายสติมสันพยายามไม่ให้มีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เกียวโตด้วยเหตุผลส่วนตัว เช่นในเรื่องที่ว่าเขาเคยเดินทางเยือนเกียวโตหลายครั้ง และเป็นผู้ชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างมาก
แต่การที่เขาเป็นผู้ออกคำสั่งให้มีการจับชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นเข้าค่ายกักกัน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเกรงว่าคนเหล่านั้น
จะมีความภักดีต่อญี่ปุ่น ทำให้เขาไม่ได้รับการยกย่องว่า
เป็นผู้ช่วยเหลือเมืองเกียวโตให้รอดพ้นจากระเบิดปรมาณู
โดยทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่เชื่อว่า
นายแลงดอน วอร์เนอร์ นักโบราณคดี
และนักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอเมริกัน เป็นผู้ชักจูงทางการสหรัฐฯ
ไม่ให้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เกียวโต
โดยความเชื่อนี้ มาจากการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐฯหลังสงครามสงบ
จนถึงกับมีการตั้งรูปปั้นของนายวอร์เนอร์เป็นอนุสรณ์ที่เมืองเกียวโต
และคามาคุระในญี่ปุ่นด้วย