ก่อนหน้านั้นหนุ่มๆ เร้ดบูล เมอร์เซเดส โลตัส โตโร รอสโซ และแคเทอร์แฮมออกมาแจกลายเซ็นในช่วงแรกพร้อมกันไปแล้ว เวทเทลโดนรุมหนักกว่าใครเพื่อนขนาดที่ว่าเราแทบจะถ่ายรูปเขาแทบไม่ได้เลย คนขอลายเซ็นก็เอาแต่รุมเขา การ์ดก็ต้องเข้าไปรุมด้วยเพราะต้องคอยกันตัวแฟนๆ ที่อ้อยอิ่งให้ลงไปเสียที แต่มีอยู่ตอนหนึ่งตลกตัวเอง ครั้งเดียวที่เราเคยถ่ายรูปนักขับแล้วมือสั่นกดกล้องไม่ลงเพราะความตื่นเต้น คือตอนที่เห็นคิมี่ใกล้ๆ ครั้งแรกในปี 2009 หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเป็นอย่างนั้น พอมาปีนี้อาการนั้นกลับมาอีกเมื่อเวทเทล นักขับที่เรารักเหมือนน้องเหมือนนุ่งเลือกนั่งโต๊ะแจกลายเซ็นกลางเวทีตรงกับตำแหน่งที่พวกเรายืนอยู่เป๊ะ ตอนแรกที่เขาใส่แว่นดำก็ยังรู้สึกปกติอยู่เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเห็นเซ็บ ใกล้กว่านี้ก็เคยมาแล้ว แต่พอเขาถอดแว่นออก เราได้เห็นตาสีฟ้าใสขนตายาวเป็นแพอย่างที่เห็นในรูปถ่ายแบบชัดๆ โอ๊ย! ตายแล้ววว ตาหวานๆ คู่นั้นที่ฉันชอบลอยมาให้เห็นชัดเจนตรงหน้า! เราอึ้งไป 3 วิพร้อมกับประสาทเริ่มไม่สั่งการ มือสั่นกดชัตเตอร์กล้องไม่ได้เสียอย่างนั้น ไอ้ที่ว่าเคยเห็นใกล้ๆ มาแล้วตอนปี 2012 ครั้งนั้นยังไม่ช็อกเพราะน้องใส่แว่นดำอยู่ แต่คราวนี้ทนไม่ไหวจริงๆ เราแพ้คนตาหวาน...
หนุ่มๆ กลุ่มแรกน่ารักมาก ลงจากเวทีแล้วยังไม่ยอมกลับ เซ็บลงไปแจกโปสการ์ดพร้อมลายเซ็นต่อให้กับแฟนๆ ที่ยืนอออยู่ด้านหลังออกไป ส่วนสาวแถวหน้าอย่างเรายังได้ฟินกับนิโค รอสเบิร์ก ที่ตอนแรกนั่งทำตาสะลึมสะลือเหมือนกับคนเพิ่งตื่นแต่ตอนหลังเดินลงมาหา เราได้โปสการ์ดมาจากมือเขาด้วย อีกสองคนที่เราได้จากมือเหมือนกันคือโรแมง โกรส์ฌอง และคามุย โคบายาชิ แต่น่าเสียดายที่โคบายาชิไม่ได้เซ็นชื่อมาให้
สำหรับหนุ่มๆ กลุ่มหลังสุดนำโดยแม็คลาเรน วิลเลียมส์ ฟอร์ซอินเดีย และมารุสเซีย รู้สึกว่าจะถูกปล่อยให้ทำหน้าที่นานที่สุดเพราะแฟนๆ ยังเหลือต่อคิวอีกมาก แต่ทุกคนดูสบายๆ ไม่รีบร้อนและพูดคุยกับแฟนๆ อย่างอารมณ์ดี เจนสัน บัตตัน และนิโค ฮูลเคนเบิร์ก รับแขกได้ดีมาก ยิ้มแย้มทักทายตลอด อีกคนที่เราว่าก็ขยันรับแขกจากที่เห็นมาหลายปีคือเฟลิเป้ มาสซ่า แต่ความที่เขาตัวเล็กเลยโดนทั้งการ์ดทั้งคนขอลายเซ็นยืนบังมิด
เสร็จสิ้นจากช่วงแจกลายเซ็นเรายังมีโอกาสได้เห็นนักขับก่อนลงแข่งอีกครั้งในช่วงพาเหรดนักขับ ซึ่งเริ่มก่อนการแข่งขัน 2 ชั่วโมง ลักษณะที่พวกเราเคยเห็นผ่านจอโทรทัศน์ก็จะมี 2 แบบ คือแบบที่ให้นักขับขึ้นรถบัสรวมและแบบนั่งรถแยกแต่ละคันซึ่งมักเป็นรถโบราณ แล้วมีคนขับวนรอบสนามให้ได้โบกมือทักทายแฟนๆ ตอนที่เรามาสนามเซปังครั้งแรกปี 2009 เป็นแบบขึ้นรถบัสรวมค่ะ แต่ปีหลังจากนั้นไม่รู้ว่าทางสนามนึกอย่างไร เปลี่ยนรูปแบบมาให้นักขับออกมายืนเรียงแถวหน้ากระดานบนทางตรงหน้าพิตพร้อมกับสาวสวยคอยกางร่ม จากนั้นจะมีเด็กๆ ผู้โชคดีที่สนามคัดเลือกมาถามคำถามนักขับทุกคน ซึ่งเราว่าเป็นวิธีที่ไม่ดีเลย นอกจากแฟนๆ ส่วนอื่นของสนามไม่มีโอกาสได้เห็นนักขับแล้ว เวลานักขับตอบอะไรก็ฟังแทบไม่รู้เรื่องเพราะเสียงตีกันไปหมดทั้งเสียงนักขับและเสียงคนดู เราจึงดีใจมากที่ได้เห็นพาเหรดนักขับรูปแบบปกติกลับมาอีกครั้ง
พิตเลนเปิดอีกครั้งครึ่งชั่วโมงก่อนการแข่งขัน รถแต่ละคันก็ได้ฤกษ์มาจอดประจำกริดที่ตนควอลิฟายได้ในวันเสาร์ ที่นั่งของเราอยู่ข้างกับกริดที่ 2 ของเจ้าเซ็บพอดิบพอดี แหม...ก็นั่งมองเขาเพลินไปซิคะ ส่วนบรรยากาศก็ดูวุ่นวายอย่างที่เราเห็นกันในโทรทัศน์ ทีมงานทุกคนเร่งมือทำกิจกรรมประจำก่อนการแข่งขันเพื่อเตรียมรถของตนให้พร้อมที่สุด ฝ่ายนักขับหลังจากจอดรถแล้วก็ลงมาถอดหมวกออก หลายคนใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อลดความร้อน บ้างก็เดินกลับไปการาจของตนซึ่งคาดว่าคงจะทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ส่วนสื่อที่ได้รับอนุญาตก็ทำหน้าที่กันไป และเราก็ได้สังเกตเห็นบุคคลสำคัญของวงการและแขกพิเศษเดินกันเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เบอร์นี่ เอ็กเคิลสโตน เรายังเห็นเจ้าของกระทิงแดงของไทยและภรรยาลงไปเดินในกริดด้วยล่ะค่ะ
เมื่อถึงเวลาการแข่งขัน โชคดีมากที่สนามแห้ง มีเพียงปรอยฝนโปรยเล็กน้อยบริเวณโค้ง 10 ช่วงกลางของการแข่งขัน ผลก็เป็นอย่างที่เราทราบแล้วนะคะ ด้วยความเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัดของเมอร์เซเดสโดยเฉพาะทางตรง มีหรือที่ทีมอื่นจะไล่ทัน ตั้งแต่เข้าโค้งแรกได้ ลูอิส แฮมิลตัน ก็นำโด่งไปคนเดียวสบายใจ โดยมีรอสเบิร์ก เพื่อนร่วมทีมตามมาแบบห่างๆ เรามีความสุขกับผลการแข่งขันได้เพียงครึ่งหนึ่งจากการที่เวทเทลได้ขึ้นโพเดียม แต่กับคิมี่นั้นเราเสียดายมาก จากช่วงซ้อมเรามีความรู้สึกว่ารถของคิมี่ปรับบาลานซ์ได้ดีขึ้นมาก และถึงแม้จะออกจากกริดที่ 6 แต่สตาร์ทออกมาแล้วก็ดูใช้ได้ แต่เพียงแค่รอบแรกก็โดนเควิน แม็กนุสเซน จิ้มยางหลังขวาแตกเสียแล้ว เขาวิ่งกลับมาจนก่อนจะถึงพิตเฟอร์รารี่ เสียงยางระเบิดบุ้มดังลั่นทีเดียว เปลี่ยนยางออกไปแล้วเรซของคิมี่ก็ไม่มีอะไรมาก รอแค่เมอร์เซเดสมาน็อกรอบแค่นั้น!
ไฮไลท์ของทริปนี้มาอยู่ที่ช่วงสุดท้ายของวันสุดท้ายนี่เอง อย่างที่เราเห็นกันแล้ว ช่วงหลังเอฟไอเออนุญาตให้ผู้ชมทุกสนามลงสนามไปได้เพื่อร่วมในช่วงสัมภาษณ์ของนักขับสามอันดับแรกบนโพเดียม อย่างที่เซปัง พอฟังเสียงเพลงชาติของผู้ชนะเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูด้านล่างที่กั้นไว้ระหว่างสนามกับแกรนด์สแตนออก จากนั้นคงไม่ต้องบรรยายมาก แฟนๆ ต่างกรูลงไปอย่างบ้าคลั่งเหมือนเป็นนาทีทองของชีวิต แต่ความรู้สึกเป็นแบบนั้นเลยค่ะ ในชีวิตหนึ่งจะมีสักกี่ครั้งที่แฟนฟอร์มูล่าวันอย่างเราได้มีโอกาสลงสนามหลังแข่ง ตอนแรกเรายังไม่ได้ลงไปค่ะเพราะไม่รู้จะลงไปอย่างไร ของทั้งกระเป๋า ทั้งกล้อง ทั้งอุปกรณ์เชียร์ก็กองเต็มยังไม่ได้เก็บสักอย่าง รวมทั้งบางคนในคณะของเราก็ไม่สะดวกลง เราก็ละล้าละลัง แต่พอได้นัดแนะกันเรียบร้อยว่าต่างแยกย้ายกันกลับโรงแรมจะดีกว่า เจ้าหน้าที่สนามก็มาปิดประตูทางลงเสียแล้ว
โชคดีที่น้องๆ ในคณะของเราที่ลงไปก่อนเดินมาตะโกนเรียกจากด้านล่างชวนให้ลงไปด้วยกันและชี้ให้เดินย้อนไปทางโค้งสุดท้ายเพื่อหาทางลง แต่จะให้พี่ลงยังไงล่ะน้อง? เนื่องจากประตูปิดไปแล้ว ทางเดียวที่ทำได้คือปีนข้ามลูกกรงที่กั้นที่นั่งลงมา ซึ่งแถว 1 ของที่นั่งชั้นล่างสูงจากพื้นสนามราว 2 เมตรได้ และตัวเราก็ไม่ใช่เบาๆ 555 ต้องขอบคุณน้องๆ ในก๊วนของเรามากเลยนะคะที่พยายามช่วยเหลือให้เราปีนลงสนามไปจนได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตเชียวแหละ
ลงได้ก็ใช้โอกาสทองเสียให้คุ้ม เราเก็บเศษยางบนทางตรงมาเป็นที่ระลึก แล้วยังไปถ่ายรูปกับกริดสตาร์ทและเส้นชัย รวมถึงรถฟอร์มูล่าวันที่จอดเรียงรายรอรับการตรวจสภาพหลังการแข่งขัน เราเดินไปถ่ายรูปไปไม่หยุดหย่อน หลายคนยังอารมณ์ค้างหรือเมาค้างก็สุดจะรู้ โดยเฉพาะกลุ่มแฟนๆ ชาวฟินน์ของคิมี่ที่คงดื่มจนได้ที่ พวกเขาปีนขึ้นไปบนตาข่ายกั้นพิตวอลล์ โห่ร้องเพลงภาษาฟินน์เสียงดังอยู่หน้าการาจของคิมี่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาจัดการให้ลงไป พื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้เดินลงสนามเป็นแค่บริเวณทางตรงหน้าพิต และไม่นานเท่าไหร่เจ้าหน้าที่ก็มาเดินไล่ให้พวกเราเดินออกจากสนามไปตามทางออกที่อยู่จนสุดแกรนด์สแตนด์แรกใกล้กับโค้ง 1 โดยที่กลุ่มแฟนคิมี่ก็เมาสะเปะสะปะเดินตามหลังมาด้วย เราจึงได้เป็นสักขีพยานเพลงสุดท้ายที่พวกเขาร้องในวันนั้น ฟังแรกๆ ยังนึกไม่ออกว่าร้องเพลงอะไร ฟังๆ ไป อ๋อ...ร้องเพลงชาติฟินน์ รักชาติยิ่งนะพ่อคุณ! เป็นอันว่าทริปนี้ครบถ้วนกระบวนความที่สุดนับตั้งแต่เราได้มาเซปังครั้งแรกเมื่อ 5 ปีก่อน สนุกและประทับใจที่สุดเลยค่ะ
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม
สำหรับวันเดินทางกลับทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ เว้นแต่กระเป๋าเดินทางเจ้ากรรมของเราไม่อยากกลับบ้านกับเราเสียแล้ว มันพยศทำล้อหลุดตั้งแต่ลากออกจากโรงแรมมาได้ไม่เท่าไหร่จนเราโดนแซวว่าติดโรคคิมี่ในเซปังมา เราเลยได้ช้อปกระเป๋าเดินทางใบใหม่จากห้าง Nu Sentral ที่เพิ่งแกรนด์โอเพนนิ่งไปเมื่อสองวันก่อน ห้างนี้อยู่ติดกับสถานีรถ KL Sentral ซึ่งเรามาขึ้นรถที่นี่กันทุกวันอยู่แล้ว เป็นห้างที่ใหญ่พอสมควรและมีอะไรให้เลือกซื้อมากมาย ที่สำคัญเป็นโอกาสนี้ทำให้เราได้เดินเข้าห้างนี้เป็นครั้งแรกหลังจากเรามองดูการก่อสร้างมาเป็นปีๆ
ในที่สุดทริปเซปัง 2014 ก็สิ้นสุดลงพร้อมกับความสนุกบนความประทับใจของใครทุกคนที่ร่วมเดินทางไปกับ จบ. ในครั้งนี้ โดยส่วนตัวคงไม่มีอะไรตื่นเต้นมากแล้วเพราะมาจนจะหลับตาเดินได้ แต่ที่มีอย่างหนึ่งในความรู้สึกคือสุขใจที่ได้ช่วยสานฝันของใครหลายคนที่ครั้งหนึ่งอยากมาสัมผัสกับการแข่งขันฟอร์มูล่าวันอย่างใกล้ชิดติดขอบสนามให้สำเร็จ เราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไปเห็นกับตาแบบนี้อีกเมื่อไหร่ แต่ไม่ว่าทริปต่อไปจะเป็นสนามนี้หรือสนามไหน เราจะมาเล่าสู่กันฟังแบบนี้อีกแน่นอน รวมทั้งใครที่อยากจะเดินทางไปดูบ้างในปีต่อๆ ไป จขบ. ก็ยินดีให้คำแนะนำนะคะ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางและคุณผู้อ่านทุกท่าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะชอบในสิ่งที่นำมาฝากกันในครั้งนี้ค่ะ
*เรื่องและภาพโดย finishline