|
 |
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
 |
10 เมษายน 2549
|
|
|
|
เตียวหยุน จูล่ง - สุภาพบุรุษนักรบ(2)
ต่อ......
ภารกิจในการยึดฮันต๋งนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากแม่ทัพที่เฝ้าฮันต๋งนั้นก็คือแฮหัวเอี๋ยน 1 ใน 4 ขุนพลคนสนิทของโจโฉและยังเป็นญาติที่โจโฉไว้ใจมาก และยังมีเตียวคับ แม่ทัพผู้ห้าวหาญและชำนาญกลศึกเป็นรองแม่ทัพด้วย
เล่าปี่ได้ส่งฮองตงแม่ทัพชราผู้เป็นจอมขมังธนูแห่งยุค เป็นทัพหน้าและมีหวดเจ้งเป็นที่ปรึกษา และด้วยแผนการรบของหวดเจ้งฮองตงก็สามารถตัดศีรษะแฮหัวเอี๋ยนและตีซิหลงแตกพ่ายพร้อมกับยึดเมืองฮันต๋งได้
ปีค.ศ.219 โจโฉต้องการล้างแค้นให้แฮหัวเอี๋ยน จึงยกกองทัพกว่า 2 แสนมาล้างแค้น ฮองตงซึ่งกำลังลำพองในชัยชนะจึงขออาสาเป็นทัพหน้าอีกครั้ง
แต่จูล่งเองคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่าฮองตงอายุมากแล้วอาจพลาดพลั้งได้ ตัวเองจึงขอไปแทน แต่เมื่อต่างก็ไม่ยอมกันเพราะถือในฝีมือทั้งคู่ เล่าปี่จึงได้ให้ฮองตงกับจูล่งเป็นทัพหน้าไปทั้งคู่ โดยฮองตงเป็นแม่ทัพใหญ่ จูล่งเป็นรองแม่ทัพ
เมื่อทั้งคู่ช่วยกันวางแผนการรบนั้น ฮองตงกับจูล่งซึ่งต่างก็ถือดีในฝีมือของตน ต่างจะขอเป็นฝ่ายยกทัพออกไปก่อน ในที่สุดทั้งคู่ยอมถอยให้กันคนละก้าว และอาศัยวิธีจับสลากเลือกว่าใครจะได้เป็นคนยกทัพออกไปก่อน
ฮองตงจับชนะ ได้ออกไปก่อน จูล่งจึงบอกว่าให้ท่านไปก่อนแต่หากเลยเที่ยงเมื่อไหร่ฮองตงยังไม่ชนะเขาจะยกทัพไปสมทบ เพราะไม่อยากเห็นแม่ทัพผู้เก่งกาจต้องตายไป โดยเมื่อเลยเที่ยงแล้วให้เป็นเวลาของเขา
ฮองตงยอมตกลง จึงยกทัพไปก่อน ส่วนจูล่งรอฟังผลการรบอยู่ในค่าย จนเมื่อเวลาเที่ยงแล้วยังไม่มีข่าวดีมาจากฮองตง เขาจึงตัดสินใจยกทัพตามไปเพราะได้สัญญากันไว้แล้ว เมื่อยกทัพไปถึงพบว่าการสู้รบอยู่บนเนินเขาซึ่งจูล่งไม่อาจจะขี่ม้าอย่างที่ตัวเองถนัดขึ้นไปได้
แต่เขาไม่สนใจ รีบนำกองทัพเดินเท้าบุกขึ้นเนินเขาและตีข้าศึกจนแตกกระเจิงและมาติดอยู่ที่นายพลเจาปิงของฝ่ายโจโฉ จูล่งนั้นนึกว่าเจาปิงเป็นทหารของตัวเองจึงตะโกนถามไปว่าแล้วพวกเราอยูไหนกันหมด เจาปิงตอบกลับว่า พวกมึงตายหมดแล้ว จูล่งโกรธจึงฟันเจาปิงตายในฉับเดียวแล้วยกพลขึ้นไหล่เขาที่ๆฮองตงกำลังรบอยู่
เมื่อขึ้นมาถึงก็พบว่าทัพของฮองตงกำลังตกอยู่กลางวงล้อมข้าศึก จูล่งจึงบุกตีฝ่าทัพโจโฉจนแตกพ่ายและพาตัวฮองตงหนีออกมา ระหว่างทางหนีกลับนั้นไม่ว่าจะมีทหารข้าศึกขวางมากน้อยแค่ไหน ก็ถูกนักรับชุดขาวตีแตกกระเจิงทุกครั้ง จนโจโฉที่สังเกตการณ์จากที่สูงถึงกับเอ่ยว่า เจ้านั่นมันใครกัน ทุกที่ๆมันเดินไปราวกับไม่มีทหารของเราขวางอยู่เลย ทหารฝ่ายเสนาธิการบอกโจโฉว่านั่นคือ เตียวจูล่ง ชาวเสียงสาน
โจโฉเมื่อได้ฟังถึงกับตกตะลึงและร้องว่า ไอ้เสือร้ายเมื่อเนินเตียงปันนั่นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ และสั่งหยุดทัพไม่ให้รุกต่อทันที
เมื่อกลับมาที่ค่ายจูล่งบอกฮองตงว่าเขายกทัพไปช่วยครั้งนี้เพราะเห็นว่าตะวันถึงเที่ยงแล้วจึงเข้ารบตามที่ได้สัญญากันไว้ ฮองตงเมื่อได้ฟังถึงกับน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจของจูล่ง
จูล่งเมื่อกลับค่ายแล้วก็ไม่ประมาทเพราะรู้ว่าโจโฉต้องสั่งทหารรุกตามมาแน่ จึงได้วางกลอุบายหมายจะตลบหลังโจโฉ
นั่นคือจูล่งเห็นว่าทัพของโจโฉที่ยกตามมานั้นมีมากกว่าหลายเท่า เขาจึงได้สั่งให้เปิดประตูค่าย แต่ให้กองทหารธนูแอบซุ่มไว้ ส่วนตัวเองขี่ม้าถือทวนออกไปยืนหน้าค่ายเพียงลำพัง
ทัพหน้าของโจโฉศัตรูที่ยกมานั้นเคยเห็นความเก่งกาจของจูล่งเมื่อครั้งเนินเตียงปันมาแล้วจึงได้แต่หยุดอยู่หน้าค่ายไม่กล้ายกเข้าไป ส่วนตัวเขานั้นยืนตะโกนท้าทายว่าหากศัตรูไม่กลัวตายก็เข้ามาได้เลย
ทัพโจโฉได้แต่หยุดอยู่แบบนั้นเพราะกลัวว่าจูล่งจะซุ่มทหารไว้ และเมื่อลังเลและเริ่มถอยทัพกลับ จูล่งถือโอกาสที่ศัตรูถอยทัพสั่งระดมยิงธนูเข้าใส่และยกทหารกองหนึ่งเข้าตีทัพของโจโฉจนแตกกระเจิงไปไกล
ยุทธวิธีของจูล่งครั้งนี้นับเป็นกลศึกตามแบบฉบับของจูล่งที่มักเอาตัวเข้าเสี่ยงภัย ซึ่งหลังจากนี้เขาจะใช้กลศึกทำนองนี้ตลอด โดยอาศัยวีรกรรมที่เนินเตียงปันซึ่งดังไปทั่วมาใช้ในการข่มขวัญข้าศึกล่วงหน้า แล้วจึงอาศัยกำลังทหารเข้าหักอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับว่าได้ผลอย่างยอดเยี่ยม ทำให้เขาชนะศึกมาตลอด
จากผลการรบครั้งนี้โจโฉถึงกับบอกต่อทหารของตนเองว่า หากพบจูล่งเมื่อใด ต้องระวังตัว ซึ่งเมื่อเล่าปี่มาตรวจผลการรบถึงกับออกปากชมจูล่งว่า มีดีไปทั้งตัว และยกย่องจูล่งเป็น หู่เวยเจียงจวุน หรือ นายพลพยัคฆ์เดช
ดีในที่นี้หมายถึงดีที่เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกาย ที่เล่าปี่พูดแบบนี้เพราะคนจีนมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าคนที่มีความกล้าหาญจะมีดีใหญ่ และความกล้าของจูล่งนั้นก็มีมากมายมหาศาล
เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกในสามก๊กทุกฉบับ
หลังเสร็จศึกที่ฮันต๋งนี้แล้ว เล่าปี่ก็ได้สถาปนาตนขึ้นเป็นฮั่นจงอ๋อง ก่อตั้งอาณาจักรจ๊กก๊กขึ้นและแต่งตั้งให้จูล่งขึ้นเป็น1 ในห้านายพลทหารเสือซึ่งว่ากันว่าเป็นยอดขุนศึกแห่งยุค ซึ่งประกอบไปด้วย กวนอู เตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียว ฮองตง
โดยจูล่งนั้นยังคงรับตำแหน่งองครักษ์พิทักษ์ครอบครัวเล่าปี่อยู่เช่นเดิม
ตอนนี้มีจุดน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งซึ่งเป็นจุดเล็กๆที่คนอ่านสามก๊กหลายคนอาจมองข้ามไป โดยเฉพาะคนที่ดูหนังคงไม่รู้ เพราะในหนังไม่ได้เอ่ยถึงเลย ในบันทึกประวัติศาสตร์นั้นได้บอกไว้ชัดแจ้งว่าเล่าปี่ที่เพิ่งยึดเมืองเสฉวนได้นั้น ได้ฉลองความสำเร็จอย่างใหญ่โต และได้นำเอาทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากเล่าเจี้ยงมาแจกจ่ายเป็นรางวัลให้แก่พรรคพวกดังนี้
กวนอู เตียวหุย ขงเบ้ง ได้รับทองคำแท่งคนละห้าร้อยชั่ง เงินแท่งหนึ่งพันชั่ง เงินเหรียญห้าสิบล้านอีแปะ ผ้าแพรหนึ่งหมื่นพับ
และเรือกสวนไร่นาซึ่งมิได้มีผู้ใดจับจองทำมาหากินนั้นให้แบ่งแก่ขุนนางใหญ่น้อยเป็นกำลังทำราชการสืบไป
แต่จูล่งคัดค้านว่าเมืองเสฉวนนี้มีศึก ราษฎรต่างพลัดพรากจากภูมิลำเนาที่ทำมาหากิน ซึ่งจะเอาเรือกสวนไร่นามอบให้ขุนนางนั้น ราษฎรซึ่งเป็นเจ้าของก็จะได้รับความเดือดร้อน ท่านจงให้ป่าวร้องไพร่บ้านพลเมืองว่า ภูมิลำเนาและเรือกสวนไร่นาของผู้ใดก็ให้เข้ามาอยู่ทำมาหากินดังเก่า ราษฎรจึงมีความสุขสืบไป เล่าปี่เห็นชอบด้วย ก็ให้ทหารไปประกาศป่าวร้องแก่ราษฎรตามที่จูล่งว่า
จากตรงนี้จะเห็นอะไรได้หลายอย่างว่าเล่าปี่นั้นเมื่อสามารถเข้ายึดเมืองเสฉวนได้แล้วก็เริ่มเผยธาตุแท้อีกด้านของตนออกมา หากไม่เพราะจูล่งเป็นผู้ที่ออกมาคัดค้านแบบนั้นราษฎรคงจะได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว
จูล่งเป็นขุนศึกเพียงไม่กี่คนของยุคนั้นที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับของรางวัลและเงินทองที่ได้รับ เขาไม่เคยขอของใดๆจากเล่าปี่เลย แม้ตนจะมีความชอบมากมายแต่ก็มักไม่พูดถึงความชอบของตนนัก และไม่ชอบโอ้อวดหรือยกตนข่มท่าน
นี่จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาทำงานต่างๆไม่ค่อยพลาด ทั้งนี้เพราะเขารู้จักที่จะอ่อนน้อมต่อผู้อื่น สุขุมเยือกเย็น และรู้จักใช้สติปัญญา ที่สำคัญเลยคือยึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง เหตุนี้เขาจึงเป็นขุนศึกเพียงคนเดียวในจ๊กก๊กของเล่าปี่ที่ขงเบ้งนิยมใช้งานมากที่สุด เวลาที่ต้องอาศัยคนที่เชื่อใจได้เพราะในยามคับขันที่จำต้องใช้ความกล้าและฝีมือรบพุ่งเข้าแก้ไข จูล่งก็มีฝีมือที่ไม่เป็นสองรองใครติดตัว
และในปลาย ปี ค.ศ.219 ก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เมื่อกวนอูที่อยู่เกงจิ๋วประกาศศักดายกทัพเข้าตีเมืองเซียงหยางที่โจหยินแม่ทัพแห่งก๊กวุยของโจโฉเฝ้าอยู่ แต่ขณะที่บุกตะลุยไปนั้นได้พลาดท่าเสียทีให้ลิบองและลกซุนแม่ทัพแห่งก๊กง่อของซุนกวนซึ่งแอบเข้ามาตลบหลัง และถูกจับประหารชีวิต
เมื่อเสียเกงจิ๋วให้ซุนกวนแล้วเล่าปี่และเตียวหุยก็เสียใจอย่างหนักและคิดจะยกทัพไปแก้แค้นแต่เหล่าขุนนางทัดทานไว้ เล่าปี่จึงต้องหยุดรอก่อน
ปีค.ศ.222 เล่าปี่ไม่รออีกแล้วเหตุหนึ่งเพราะเตียวหุยคอยรบเร้า ทำให้ตัดสินใจยกกองทัพไปตีซุนกวนเพื่อล้างแค้น ช่วงที่เตรียมทัพนั้นเตียวหุยโดนทหารของตัวเองสังหารและหนีไปหาซุนกวน ดังนั้นในเดือน 6 โดยที่ไม่สนใจคำทัดทานของจูล่งรวมถึงฎีกาห้ามปรามของขงเบ้ง
เล่าปี่เกณฑ์คนถึง 7 แสนคนโดยมีฮองตงเป็นทัพหน้า ส่วนจูล่งเนื่องจากเขาเป็นผู้หนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการทำศึกครั้งนี้จึงได้เป็นเพียงกองส่งเสบียงเท่านั้น รวมไปถึงขงเบ้งที่ต้องอยู่เฝ้าเมืองเสฉวน
ผลจากการที่ไม่มีจูล่งอยู่ในทัพหน้านั้นสาหัสยิ่งนักเมื่อฮองตงแม่ทัพเฒ่าใจร้อนเกินไปในการเข้าโจมตีจนต้องจบชีวิตลง และอุยเอี๋ยนแม่ทัพที่ชำนาญการศึกอีกคนต้องอยู่เฝ้าเมืองฮันต๋ง นั่นทำให้เล่าปี่ไม่มีขุนศึกที่ชำนาญด้านการศึกหลงเหลือแม้แต่คนเดียว และเมื่อต้องไปปะทะกับลกซุน แม่ทัพหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตอัจฉริยะ กองทัพ 7 แสนของเล่าปี่ก็ถูกไฟคลอกตายและแตกพ่ายยับเยิน ซึ่งศึกครั้งนี้ถูกเรียกว่า สงครามอิเหลง
ยังดีที่จูล่งซึ่งอยู่แนวหลังนำกองทัพของตนช่วยพาเล่าปี่หนีกลับมาได้
จากนั้นไม่นานเล่าปี่ก็ป่วยหนักและประทับอยู่ที่เมืองเป๊กเต้เสียเพราะไม่กล้ากลับไปสู้หน้าขงเบ้งและเหล่าขุนนางในเสฉวนที่ทัดทานเรื่องศึกครั้งนี้
ปี ค.ศ.223 เล่าปี่เรียกตัวลูกชาย 2 คนและขงเบ้งให้มาเข้าเฝ้าพร้อมทั้งสั่งให้ขงเบ้งช่วยดูแลบ้านเมืองต่อ จากนั้นรับสั่งกับจูล่งให้ช่วยดูแลอาเต๊าและครอบครัวของพระองค์ด้วยและสิ้นพระชนม์ไป
เมื่อเล่าปี่สิ้นพระชนม์ลง อาเต๊าจึงได้ขึ้นครองราชย์ด้วยวัยเพียง 16 ปี นามพระเจ้าเล่าเสี้ยน
ขงเบ้งได้รับแต่งตั้งให้เป็นมหาอุปราชมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ส่วนจูล่งได้รับแต่งตั้งเป็น หย่งชาง ถิงโหว ซึ่งเป็นตำแหน่งอะไรผมเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่กระนั้นก็ยังคงรับหน้าที่องครักษ์ของเล่าเสี้ยนอยู่เช่นเดิม
เวลาผ่านไปหลายปี ขงเบ้งในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด คิดที่จะรวบรวมทหารบุกตีวุยก๊กซึ่งในเวลานั้นโจผีบุตรของโจโฉได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้นามพระเจ้าเว่ยวุ๋นตี้
ก่อนจะเปิดศึกนั้นขงเบ้งได้ยกทัพบุกลงใต้เพื่อปราบเผ่าหมานที่กระด้างกระเดื่องโดยมีจูล่งร่วมทัพไปด้วย แต่ผลงานของจูล่งในการศึกนี้ไม่ได้เด่นชัดนักจึงไม่ขอพูดถึง
จากนั้นเมื่อถึงปี ค.ศ.228 หลังจากที่ขงเบ้งสามารถปราบเผ่าหมานทำให้ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนสงบลงแล้ว เป้าหมายต่อไปของขงเบ้งก็คือการโจมตีวุยก๊กที่ครอบครองภาคกลางและภาคเหนือ
ขงเบ้งยกทัพใหญ่บุกตีหัวเมืองต่างๆทางทิศเหนือเพื่อใช้เป็นช่องทางสำหรับเข้าตีเมืองเตียงฮันในภายหลัง ซึ่งขณะนี้จูล่งมีอายุได้ 70 กว่าปีแล้ว ผมขาวไปทั้งหัว หน้าตามีร่องรอยแห่งความชรา แต่ความห้าวหาญและฝีมือรบอันเลื่องลือนั้นยังคงดังเดิม
ในการเข้าตีวุยก๊กนี้ ขงเบ้งเรียกระดมนายพลและแม่ทัพทั้งหมดกว่า 33 คน แต่ในนั้นไม่มีชื่อของจูล่ง ซึ่งเป็นแม่ทัพที่ฝีฝีมือการรบเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นไม่
จูล่งจึงรีบเข้าพบขงเบ้งและถามว่าทำไมศึกใหญ่แบบนี้จึงไม่มีชื่อตนอยู่ในฐานะแม่ทัพด้วย ขงเบ้งจึงว่าเมื่อครั้งไปปราบเบ้งเฮ็กก็เสียม้าเฉียวซึ่งป่วยหนักไปคนแล้ว บัดนี้ห้าทหารเสือผู้ยิ่งยงแห่งจ๊กก๊กเหลือเพียงจูล่งเป็นคนสุดท้าย และมีอายุมากแล้วกลัวว่าจะพลาดท่าในสนามรบและทำให้เสียเกียรติประวัติไป
จูล่งจึงว่าข้าทำศึกมาตั้งแต่หนุ่มจนอายุเพียงนี้ ก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้แก่ผู้ใด ในที่สุดขงเบ้งก็ยอมให้จูล่งเป็นแม่ทัพหน้าในการเข้าตีข้าศึกก่อนผู้อื่น ซึ่งเหตุหนึ่งเป็นเพราะขงเบ้งรู้ว่าจูล่งเป็นผู้ที่พระเจ้าเล่าปี่อดีตฮ่องเต้แห่งจ๊กก๊กผู้ล่วงลับให้ความรักใคร่นับถือมาก จึงไม่กล้าขัดใจเท่าไหร่
ดังนั้นตำแหน่งแม่ทัพหน้าซึ่งควรจะเป็นของคนหนุ่มจึงกลายเป็นของแม่ทัพชราไป
ในการศึกครั้งนี้กองหน้าของจูล่งมีทหารเพียง 5 กองพัน แต่ฝ่ายก๊กวุย ซึ่งให้แม่ทัพแฮหัวหลิม ผู้เป็นเขยของพระเจ้าโจผีออกมารับศึกนั้นมีกองพลถึง 20 กองพล ส่วนทัพหน้านั้นมี 8 กองพล
จำนวนทหารนั้นผมไม่ทราบแน่ชัดแต่ดูจากจำนวนกองพลที่ต่างกันมากนั้นก็บอกให้รู้แล้วว่าจำนวนทหารของทั้ง 2 ฝ่ายต่างกันมากแค่ไหน แต่สิ่งที่เป็นตัวแปรนั้นก็คือการที่กองกำลัง 5 กองพันนั้นมีผู้บังคับบัญชาคือจูล่ง
ผู้นำทัพหน้าของแฮหัวหลิมนั้นคือ ฮันเต๊ก ซึ่งมีชื่อในด้านการเป็นมือขวาน เขามีลูกชาย 4 คน เอ๋ง เอี๋ยว เขง และกี๋ ซึ่งทั้ง 4 ต่างก็เชี่ยวชาญในการรบเช่นกัน
ในการปะทะของทั้ง 2 ฝ่ายนั้น จูล่งขี่ม้าขาวอยู่หน้าทัพของตน เตรียมปะทะกับกับฮันเต๊กและลูกทั้ง 4 คน
ฮันเอ๋งเข้าปะทะคนแรกและเสียท่าให้กับจูล่งด้วยการโจมตีเพียงสามท่า เอี๋ยว เขงและกี๋จึงเข้ามาพร้อมกัน และรุมจูล่งทั้ง 3 ด้านแต่ก็ไม่เทียบกับความโชกโชนในการรบของจูล่งได้ สุดท้ายเอี๋ยวถูกจับเป็นเชลย เขงและกี๋ตายในที่รบ
ฮันเต๊กผู้พ่อถึงกับตกตะลึงในฝีมือการรบที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนจึงควบม้าหนีเข้าเมือง แฮหัวหลิมโกรธมากจึงให้จัดกำลังพลใหม่และให้ฮันเต๊กแก้ตัว
ฮันเต๊กจึงนำกองทัพออกมาอีกหมายจะกู้ชื่อของจอมขวานแห่งวุยก๊ก แต่เมื่อเข้าปะทะกับจูล่งเพียงสามท่าก็ถูกแทงตาย ทัพของแฮหัวหลิมจึงแตกพ่ายอีกครั้ง
เตงจี๋ผู้เป็นรองแม่ทัพได้เห็นฝีมือของคนวัย 70 อย่างจูล่งแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ที่จูล่งสามารถผลาญชีวิตแม่ทัพของศัตรูได้ 4 คนในวันเดียวและยังจับเป็นอีกหนึ่งด้วย
จากผลการรบนี้ทำให้ฝ่ายจ๊กก๊กได้ชัยและสามารถรุกคืบเข้าไปใกล้เมืองเตียงฮันทุกขณะ
ทัพของขงเบ้งนั้นมาหยุดที่เขากิสานซึ่งเป็นจุดที่จะเข้าสู่เตียงฮันเต็มที ทำให้ทางฝ่ายโจผีตัดสินส่ง สุมาอี้ ยอดอัจฉริยะจอมแสบแห่งยุคและเป็นผู้เดียวที่ขงเบ้งครั่นคร้ามเป็นแม่ทัพออกมาต้าน
ผลการศึกระหว่างขงเบ้งกับสุมาอี้นั้นผมจะขอสรุปอย่างย่อๆว่า เป็นเพราะการเลือกใช้คนที่ผิดพลาดของขงเบ้งทำให้ทัพจ๊กก๊กต้องพ่ายแพ้และถอยกลับอย่างไม่เป็นขบวน
ในศึกครั้งนี้จูล่งไม่ได้รับเป็นทัพหน้า แต่ขงเบ้งใช้ให้เขาไปเป็นทัพอิสระคอยโจมตีอยู่ที่ราบลุ่มกิก๊กซึ่งไม่ได้เป็นจุดที่ชี้ขาดการรบ
จูล่งนั้นแม้จะถูกใช้ให้แยกมาจากทัพใหญ่แต่ก็ยังคงความจมูกไวในแบบของยอดแม่ทัพอยู่ เขาจะคอยส่งคนไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของทัพใหญ่อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อรู้ว่าทัพใหญ่เกิดแตกพ่ายและถอยทัพกลับ เขาก็ไม่รอช้ารีบสั่งการให้ทัพของตนแปรสภาพเป็นทัพระวังหลังให้กับกองทัพใหญ่ทันที เผื่อว่าจะได้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง
ในตอนนี้เองที่จูล่งได้ฝากกลยุทธ์ในการถอยระดับสูงเอาไว้ให้โลกได้ตะลึง ซึ่งตรงจุดนี้ผมค่อนข้างเสียดายอยู่บ้างเพราะว่าในหนังสามก๊กนั้นได้ตัดส่วนนี้ทิ้งไป ทั้งที่การถอยทัพกลับของจูล่งในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาและความกล้าหาญอันสูงส่งของเขาที่รวมอยู่ในตัวคนเดียว และเป้นการถอยทัพในแบบที่คงจะไม่มีใครอีกแล้วในประวัติศาสตร์จีนที่ทำได้เช่นเดียวกับเขา
เรื่องคือจูล่งรู้ว่าสุมาอี้จะต้องใช้ให้ทหารของตนเข้าติดตามกองทัพของขงเบ้ง ดังนั้นทัพของเขาซึ่งเป็นเพียงทัพเดียวที่ยังไม่ได้รับความบอบช้ำจึงควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยให้ทัพใหญ่ถอยกลับไปได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงให้เตงจี๋ซึ่งเป็นผู้ช่วยของตน ชักธงที่มีตัวหนังสือเขียนว่า จูล่ง ชาวเสียงสาน แล้วนำไปกับกองทัพจำนวนหนึ่งเพื่อหลอกล่อให้ทัพสุมาอี้ไล่ตามไป ส่วนตัวเองแอบซุ่มอยู่ในราวป่า เมื่อกองติดตามของศัตรูไล่ตามมาก็เข้าตีจนเกิดความสับสนและให้เตงจี๋นำกองทัพที่แกล้งถอยหันกลับเข้ารบ ก็จะขยี้ข้าศึกได้ราบเรียบ ซึ่งแผนการของจูล่งครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ถึงจะตีกองติดตามจนแตกไปแล้ว ก็ยังคงมีกองหนุนตามมาอีก จูล่งจึงใช้แผนการที่ถ้าไม่ใช่ตัวเขาเป็นผู้กระทำมันก็จะไม่บรรลุผล
นั่นคือจูล่งปล่อยให้กองพลของตัวเองเดินล่วงหน้าไปก่อน 12 กิโลจากนั้นตัวเขาเพียงผู้เดียว ขี่ม้าขาว เกราะขาว มือหนึ่งถือทวน ยืนรอทัพหนุนของข้าศึก
เมื่อกองหนุนของข้าศึกตามมาและเห็นนักรบชัดขาวขี่ม้าขาวยืนรออยู่เพียงลำพัง ก็รู้ว่านั่นคือ จูล่ง จึงไม่มีใครกล้าผลีผลามบุกเข้าไป จูล่งยืนคอยอยู่ถึงเวลาเย็นเมื่อไม่เห้นทหารข้าศึกบุกเข้ามาจึงควบม้าออกไป
การกระทำอันองอาจที่เหมือนเย้ยทหารวุยก๊กนี้ ได้ถูกรายงานไปให้กองบัญชาการทราบ ซึ่งแม่ทัพซึ่งผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร โกรธมากจึงสั่งให้นายพลบั้นแจ้งนำกองทหารเข้ารบและจับตัวจูล่งมาให้ได้
บั้นแจ้งเกิดฮึกเหิมจึงนำกองทหารไปหนึ่งกองร้อย และได้พบกับจูล่งที่กำลังควบม้าถอยกลับไปตามปกติ จูล่งเมื่อเห็นบั้นแจ้งกับทหารหนึ่งกองร้อยก็หัวเราะ ซึ่งระยะห่างตอนนั้นไกลเกินกว่าที่จะรบกันด้วยอาวุธ จูล่งจึงง้างเกาทัณฑ์ยิงใส่พู่หมวกของบั้นแจ้งจนร่วงลง เพื่อเป็นการประกาศฝีมือ
บั้นแจ้งแม้จะกลัวแต่ก็ยังรักเกียรติดังนั้นจึงควบม้าตรงเข้าหาจูล่งอย่างบ้าบิ่น จูล่งเห็นดังนั้นจึงใช้ฝีมือทวนเล่นงานจนบั้นแจ้งตกลงจากหลังม้า แต่จูล่งไม่ฆ่าเขาเพียงเอาปลายทวนจ่อคอหอยและกล่าวว่าถึงจะฆ่าไปก็เท่านั้น ให้บั้นแจ้งกลับไปแจ้งนายให้ยกทัพออกมาสู้ ตัวเขาจะคอยท่าอยู่ที่นี่
บั้นแจ้งรีบลนลานกลับไปแจ้งแม่ทัพของตน ฝ่ายจูล่งนั้นรออยู่จนถึงเวลาเย็นแต่ก็ยังไม่มีทัพศัตรูมา เขาจึงควบม้าออกไปตามเดิม ซึ่งนั่นเป็นเพราะแม่ทัพของวุยก๊กได้ขยาดต่อฝีมือของเขาเกินกว่าที่จะกล้าออกมาสู้ด้วย
จากนั้นกองทัพของจูล่งก็ได้กลับเข้าค่ายได้อย่างปลอดภัยโดยไม่เสียทหารหรือม้าแม้แต่ตัวเดียว ทั้งที่กองทหารอื่นๆของจ๊กก๊กนั้นต่างก็แตกกระเจิงกลับมาหมด
ในหนังสือสามก๊กพูดถึงตรงนี้ไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อตอนที่ขงเบ้งกลับมาถึงค่ายนั้น รู้สึกกังวลใจกับจูล่งที่ตนได้สั่งให้แยกไปฏิบัติการโดยลำพัง เพราะในขณะที่ทุกทัพถอยกลับมาหมดแล้วยังไม่ได้ข่าวคราวจากทัพของจูล่งเลย
จนเมื่อจูล่งกับเตงจี๋นำกองทหารกลับมาโดยที่ไม่เสียไพร่พลแม้แต่คนเดียวนั้น ขงเบ้งถึงกับพิศวงว่าจูล่งทำได้อย่างไร จึงสอบถาม แต่จูล่งไม่สนใจที่จะตอบโดยพูดในทำนองที่ว่านั่นไม่ได้เป็นผลงานยิ่งใหญ่อะไรเพราะทัพใหญ่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เตงจี๋ทนเฉยไม่ไหวจึงบอกต่อขงเบ้งถึงการกระทำอันห้าวหาญและเปี่ยมด้วยปัญญาของจูล่งที่นำทหารถอยทัพกลับมาได้ เมื่อขงเบ้งได้ยินแล้ว ก็ถึงกับรำพึงว่า นี้เป็นทหารเอกหาผู้เสมอเหมือนมิได้
จากนั้นจึงปูนบำเหน็จให้อย่างงาม แต่จูล่งมิใช่คนที่หลงใหลในเงินทอง และของรางวัล เขาถือว่าทั้งกองทัพประสบความพ่ายแพ้ จึงไม่สมควรที่จะประทานรางวัล เขาจึงได้ปฏิเสธที่จะรับและกล่าวว่า ขอให้นำทองซึ่งเขาได้เป็นบำเหน็จนี้คืนแก่ท้องพระคลังเถิด และถ้าถึงกำหนดเบี้ยหวัดแล้วจงเอาแจกแก่ทหารทั้งปวง
ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนของจูล่งนี้ หนังสือสามก๊กได้บันทึกอย่างชัดเจนทุกฉบับว่า นับแต่นั้นไปขงเบ้งก็มีความคารวะจูล่งเป็นอันมาก
และนั่นก็เป็นวีรกรรมครั้งสุดท้ายของเขาด้วย
ปี ค.ศ. 229 ขงเบ้งตระเตรียมกำลังพลหวังที่จะบุกวุยก๊กอีกครั้ง ในหนังสือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลังหนได้แปลไว้ดังนี้
ขณะเมื่อประชุมทหารพร้อมอยู่นั้น พอเกิดลมหัด้วนพัดมาถูกกิ่งสนตรงหน้าโรงประชุมขุนนางหักสะบั้นลง ทหารทั้งปวงพากันตกใจ ขงเบ้งจึงจับยามดู ก็รู้ว่าทหารเอกตายเป็นมั่นคง จึงบอกแก่ขุนนางและทหารทั้งปวงว่าบัดนี้ทหารเอกเขี้ยวศึกของเราตายเสียแล้ว พอขาดคำลงทหารคนหนึ่งก็เข้ามบอกว่า เตียวกอง เตียวหอง บุตรจูล่งจะเข้ามาหาท่าน
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็รู้ว่าจูล่งถึงแก่ความตาย กระทืบเท้าทิ้งจอกสุราลงเสีย ขณะนั้นเตียวกอง เตียวหอง ก็เข้ามาคำนับบอกว่า เวลาคืนนี้ประมาณสามยามบิดาข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว ขงเบ้งก็ร้องไห้รักจูล่งจนสลบไป ครั้นฟื้นขึ้นแล้วจึงว่า อันจูล่งถึงแก่ความตายนี้เสมือนหนึ่งแขนซ้ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนหักด้วยเป็นนายทหารผู้ใหญ่เขี้ยวศึกมา ทหารทั้งปวงก็พากันร้องไห้รักจูล่งทุกคน แล้วขงเบ้งก็ให้บุตรจูล่งไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งว่าจูล่งถึงแก่ความตายก็ทรงพระกันแสงรำพันไปถึงความหนหลังทุกประการ แล้วก็ให้แต่งการศพจูล่งไปฝังไว้ที่สมควร จึงปลูกเป็นศาลเทพารักษ์ไว้บูชามาตราบเท่าทุกวันนี้ แล้วตั้งให้บุตรจูล่งทั้งสองเป็นทหารผู้ใหญ่
นี่คือครั้งสุดท้ายที่ได้กล่าวถึงจูล่งในสามก๊ก ความดีที่เขาได้กระทำไว้นั้น ได้รับผลตอบแทนเมื่อตายไปแล้วเมื่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นควรให้ตั้งบรรดาศักดิ์ย้อนหลังแก่จูล่งเป็น ซุ่นผิงโหว หรือพระยาสามัญนิยม
ถ้าความสำเร็จของคนวัดกันที่ว่าคนรุ่นหลังจะพูดถึงคนๆนั้นแบบไหนล่ะก็ผมถือว่าจูล่งเป็นผู้หนึ่งในสามก๊กที่ผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูง
เพราะนี่คือตัวละครหนึ่งเดียวในเรื่องสามก๊กที่ไม่มีใครในยุคหลังหาจุดด่างพร้อยในประวัติชีวิตและการกระทำของท่านได้ นอกจากนี้คุณธรรมของท่านที่แสดงออกมาและได้รับบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็เป็นความจริงใจที่มิได้เกิดจากการเสแสร้ง ขอคารวะ.......

Create Date : 10 เมษายน 2549 |
Last Update : 10 เมษายน 2549 16:04:47 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2726 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: Ryuichi วันที่: 23 พฤษภาคม 2549 เวลา:5:17:11 น. |
|
|
|
โดย: เอริษา IP: 58.9.93.81 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:53:21 น. |
|
|
|
| |
|
 |
อินทรีสามก๊ก |
|
 |
|
|
Another fallen to my spear!!!
Do you dare to face the dragon of Changsan?
Or he's called Zhao Yun
โคตรเท่