
การถ่ายภาพแบบนี้ จะว่าไปแบบไม่ลงทุน ไม่ต้องเลือกภาพใช้ตัดต่อมาก การตัดต่อก็ง่าย เพราะมีเพียงฉากเดียวภาพเดียว ไม่ต้องวุ่นวายกับการจัดแสง จึงสงสัยว่ามันจะพาหนังไปรอดหรือเปล่า ถ้าบทหนังไม่แข็งพอที่จะพาการถ่ายภาพแบบนี้ออกมาให้หนังน่าติดตาม แล้วสุดท้ายหนังที่ประหยัดงบการถ่ายภาพง่ายๆแบบนี้ก็พาหนังไม่รอด ยิ่งการแสดงที่แสนจืดชืดด้วยแล้ว นี้ทำไมเหตุผลว่าหนังถึงไม่มีใครพูดถึงเลย
ภาพก็สวยดูดีใช้ได้ แต่เที่สวยกว่านั้นคือใบหน้านวลขาวผ่องใสของ จวน จี ฮุน คือศูนย์กลางของเรื่องพูดง่ายคือตัวเดินเรื่อง ทำให้หนังพอจะดูได้จนจบ

พล๊อตหนังก็ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวในเมืองเล็กๆ ที่แวดล้อมผู้คนบ้านเรือนและสิ่งแวดล้อมที่สงบเงียบ เธอรับบทเด็กสาวชอบวาดรูป เป็นหลานสาวคนเดียวของคนตาที่มีร้านหนังสือในเมืองเล็ก งานอดิเรกของเธอคือเขียนจดหมายติดต่อกับทหาร จนวันหนึ่งทหารปลดประจำการนั้นเดินทางมาเปิดร้านขายนกในเมืองนี้ นกพิราบเกิดบินออกจากร้านไปเกาะที่หน้าต่างบ้านเธอ บังเอิญว่ามีชิ้นจดหมายเล็กติดอยู่ขานก จึงทำให้กลายเป็นสื่อติดต่อกันทั้งสองคน แต่กว่าทั้งสองจะรู้ความจริงหนังก็เกือบจบแล้ว เลยต้องมาเท้าความกันว่าทำไมพระเอกมาที่เมืองนี้ และนั้นทำให้เธอไม่กล้าจะบอกเขา มันเลยเป็นความทรงจำของเธอที่จะเก็บมันไว้ ความประทับใจของนกเธอได้วาดมันออกมาเป็นภาพบอกเล่าเรื่องของเธอ เมื่อเรื่องได้ตีพิมพ์ พระเอกไปพบหนังสือในร้านหนังสือ สุดท้ายกลับมาหานางเอกอีกครั้ง
หนังแบ่งเป็น 2 ธีมสลับกัน ธีมหนึ่งความรักความห่วงใจกันระหว่างตาและหลานแต่มึนตึงในท่าที โดยมีหนุ่มใส่แว่นที่มาวนเวียนซื้อหนังสือที่ร้านเพียงมาเฝ้าติดตามหลานตา ในขณะที่ความห่วงใจของผู้ใหญ่ก็มียายคนขายดอกไม้มาเป็นตัวช่วยให้หนังไม่น่าเบื่อ อย่างน้อยก็ยังมีคนอื่นอีกนอกจากตาคนเดียว
ในขณะเดียวกันอีกธีมหนึ่ง และความรักโรแมนติกของหนุ่มสาว (ที่จริงทั้งสองยังไม่ได้รักกัน) บทของนางเอกกับพระเอกมีนกพิราบตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง
ไม่แน่ใจว่าจงใจให้ทั้ง 2 ธีมนี้แยกขาดกันหรือเปล่าจึงไม่มาเชื่อมให้เป็นเรื่องเดียวกัน เหมือนเดินขนานกัน
ตัวแย่งซีนแม้ออกมาไม่มาก คือบุรุษไปรษณีย์ฉากเปิดและปิดเรื่อง แต่ก็น่าชมเชยคือการใช้สัญญลักษณ์ การส่งจดหมายติดต่อกัน ในการสื่อสารแบบตกยุคไปแล้ว เพราะนี้คือความเรียบง่ายของการสื่อสารยุคเก่าแก่ที่ยังคลาสสิค และโดยเฉพาะนกพิราบที่ส่งสารด้วยข้อความบินไปมาถึงกัน อันเป็นประเด็นของเรื่อง โดยมีกระถางต้นไม้เล็กๆอันนั้น กับเจ้าหมาพันธ์ไซบีเลียนตัวนั้นอีก เป็นสื่อให้ทั้งสองได้มาพบพูดคุยทักทายกัน
หนังนี้น่าเกิดจากแนวคิดที่ว่าจะเป็นอย่างไรถ้ามีการใช้นกพิราบสร้างสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
เพื่อให้หนังเดินไปในแนวคิดนี้ หนังหลีกเลี่ยงการใช้อินเตอร์เนทหรือคอมพิวเตอร์ ดังนั้นนางเอกจะต้องไม่ได้เรียนหนังสือ เมื่อไม่มีเพื่อน ไม่มีพ่อแม่ญาติที่ไหน นอกจากตากับยายเพื่อนของตา ก็เลยไม่มีมือถือไว้โทรหาใคร และตาคงจะบังคับมากจึงไม่มีแม้กระทั่งทีวีคอมพิวเตอร์ให้เธอ ดูแล้วฐานะทางบ้านอย่างร้านหนังสือก็ไม่น่าจะขาดแคลนอุปกรณ์เหล่านี้
เธอจึงมีโต๊ะในห้องใช้เขียนจดหมายหนังสือ และผ้าใบพู่กันใช้วาดภาพ ละแวกบ้านที่นางเอกอยู่เป็นบ้านหลังเล็กสร้างอยู่ติดกัน คล้ายๆสลัมถนนสายเล็กเพียงแค่เอาไว้เดิน แต่เป็นสลัมแบบเมืองมีระเบียบ คนถึงเลยเดินกันมากกว่าใช้รถ พูดง่ายเป็นเมืองชนบทนั้นเอง เห็นได้จากที่ภาพทิวทัศน์ตอนที่นางเอกปั่นจักรยานตามรถไฟ
สวนสาธารณะเป็นจุดที่บอกถึงความสงบสุขของเมืองดูได้จากผู้คนที่ออกเดินเล่น เด็กที่วิ่งเล่นตามสวน และนางเอกก็มักจะออกมานั่งวาดรูปตามสวน หนังหลีกเลี่ยงภาพศูนย์การค้าหรือแหล่งพลุ่กพล่าน เมืองแห่งนี้คงจะอยู่อย่างเงียบเหงาแต่ก็อบอุ่น หนังจะไม่เห็นผู้คนอื่นมากนัก นอกจากยายขายต้นไม้ คนขายของร้านติดกันเพื่อนบ้านของพระเอก และนอกจากนั้นก็เห็นนักเรียนเดินไปมา หนุ่มสาวเดินไปมาผ่านหน้าร้าน และบ้านเรือนที่เก่าตัดกับอาคารตึกอาคารสูง และสวนสาธารณะและก็แม่น้ำ ซึ่งทั้งหมดหนังจงใจให้เห็นเพียงแค่นี้ นี้คือส่วนที่ดีของหนัง นางเอกจึงมีความสุขไปกับสิ่งแวดล้อม 2 อย่างในชีวิต คือบ้านที่อบอุ่นแม้จะมีตาที่ขี้บ่น และสวนสาธารณะที่สงบเงียบใช้สร้างสรรค์งาน
ดูบรรยากาศแล้วหนังน่าจะดี แต่กลับเป็นว่ามาสร้างละครตัวเอกออกจะให้จืดชืดไปสักหน่อย ที่มีสีสันบ้างก็มีแต่คุณตากับคุณยาย ที่ช่วยให้หนังพอได้สนุก ว่าแต่ว่าการใช้ประเด็นความสัมพันธ์ผ่านการสื่อสารด้วยนกพิราบสีขาว ก็สร้างสถานการณ์ให้เลี่ยงไปหลบมากว่าจะมาพบกัน หรือใช้ผ้าสีเดียวกันระหว่างของพระเอกกับของนางเอก มันจงใจแบบตั้งใจเกินไปจนดูแล้วน่าขัดใจ แบบว่าคนดูนี้ช่วยส่งใจไม่ขึ้นเลย
จะว่าเรื่องนี้บทไม่ดีก็ไม่เชิง เพราะยังเห็นว่าผู้เขียนบทยังพอคิดได้ลึกซึ้ง ที่ใช้หรือหาตัวกลางมาเชื่อมให้ตัวละครมาพบกันและดำเนินเรื่องไปได้กลมกลืน และตัวกลางนี้ก็มีเหตุผลว่าทำไมเขา(เธอ) ถึงมีอาชีพอย่างนี้ (เพราะถ้าไม่มีอาชีพนี้ ก็ไม่รู้จะเอาตัวกลางอะไรมาเชื่อมเรื่องกัน) แต่หนังมันยังไม่สื่ออะไรให้พอจับเป็นชิ้นหลักได้ นี้ยังไม่รู้สึกประทับใจหรือซาบซึ้งอีกต่างหาก
หนังพยายามชูบทบาทนางเอกให้เด่น แต่ก็อีกนั้นแหละไม่ได้สร้างคาแรกเตอร์ของเธอให้ชัดเจน การแสดงจึงเรียบๆ หนังเลยไม่สนุกเพลิดเพลินให้รู้สึกถึงความอิ่มเอมใจ น่าเสียดายยิ่งนักกับการเปิดตัวหนังเรื่องแรกของเธอไม่ประสบความสำเร็จ มาที่เรื่องที่ 2 ยังดีหน่อยที่มีพล๊อตแปลกน่าสนใจ จนมาถึงเรื่องที่ 3 นี้แหละที่คาแรคเตอร์ในหนังของเธอชัดเจน จนกลายเป็นโลโก้คิดตัวให้เป็นที่จดจำและกลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมในที่สุด
Create Date : 16 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 19 สิงหาคม 2552 4:24:38 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3588 Pageviews. |
 |
จะว่าไปเราชอบการแสดงของจวนจีฮุนเรื่องนี้มากกว่า My Sassy Girl ด้วยซ้ำ ส่วนปาร์คชินยังนี่หลงรักเลยล่ะค่ะ