....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 17-18

-ตอนที่ 17-


คืนนั้น หญิงสาวฝันร้าย

ในความฝัน หล่อนพบตัวเองตกอยู่ในวงล้อมของทหารอัคคาใต้ พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันเอกราดิชที่ตะครุบคอหล่อนไว้ด้วยมือข้างเดียว ปืนทุกกระบอกจ้องมาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ แม้จะตะโกนกรีดร้องเท่าใด พวกมันก็ไม่ปรานี กลับมองหล่อนด้วยดวงตาวาววับราวกับเสือจ้องขย้ำเหยื่อ เสียงหัวเราะเยาะของพวกมันดังอึงอลอยู่รอบตัว

มัทรีรู้สึกว่าหล่อนร่ำร้องเรียกชื่อใครคนหนึ่งให้ช่วย แต่เขาก็ไม่ปรากฏตัวออกมา หล่อนดิ้นทุรนทุรายพลางเอื้อมมือออกไขว่คว้า จนในที่สุดก็เริ่มต้นร้องไห้...

แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงมือใหญ่อุ่นจัดของใครคนหนึ่งที่คว้ามือหล่อนไปกุมไว้แน่น ได้ยินสุ้มเสียงของเขากระซิบปลอบประโลมมาเบาๆ บางครั้งเสียงนั้นก็ชัดเจนเหมือนอยู่ใกล้ และบางครั้งก็ฟังคล้ายแว่วมาจากที่ไกลๆ

แต่สัมผัสอ่อนโยนบนเรือนผมของหล่อน และอาการไล้หยดน้ำตาออกจากสองข้างแก้ม ก็บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ห่างไกล

แม้สัมผัสนั้นจะเลือนรางคล้ายครึ่งฝันครึ่งจริง แต่กระนั้นก็ทำให้หญิงสาวหยุดดิ้นรนและหลุดพ้นจากฝันร้าย หล่อนเบียดร่างเข้าหาแหล่งกำเนิดไออุ่นเพียงแห่งเดียวที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะพบว่านั่นช่างเป็นสถานที่ที่อุ่นสบายและทำให้หล่อนรู้สึกปลอดภัย



แสงตะวันอบอุ่นสาดผ่านเข้ามายังซอกหิน มัทรีกะพริบตาถี่ เมื่อลืมตาขึ้นแล้วพบว่าแสงแดดยามเช้าส่องพาดใบหน้าของหล่อนและทำให้ตาพร่า

หลังจากหลับตาลงอีกครั้งเพื่อทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อคืนนี้ ความรู้สึกโศกเศร้าก็เข้าเกาะกุมหัวใจของมัทรีใหม่ หล่อนนึกอยากจะนอนหลับไปโดยไม่ต้องตื่น เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องเผชิญและรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นอีก

แต่หล่อนก็จำต้องยันกายลุกขึ้น เปล่าประโยชน์ที่จะทอดอาลัยอีกต่อไปเพราะถึงอย่างไร หล่อนก็ไม่อาจช่วยให้พวกเขาฟื้นกลับคืนมา

ข้างกายหล่อนไม่มีร่างสูงใหญ่ของวินธัยอยู่แล้ว เหลือก็แต่เสื้อคลุมตัวยาวของเขาที่ห่มอยู่บนร่างหล่อนอย่างเรียบร้อย เขาถอดออกแล้วคลุมให้หล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่หญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิด แม้ว่าจะได้นอนหนุนแขนเขาต่างหมอนมาตลอดคืนก็ตาม

หล่อนยกมือขึ้นป้องหน้า มองฝ่าแสงแดดออกไปภายนอก ก็เห็นร่างอันคุ้นตายืนตระหง่านอยู่บนโขดหินใหญ่ริมหน้าผา หันหลังให้ ปลายแถบผ้าคาดเอวและชายผ้าคลุมศีรษะสะบัดตามแรงลมที่กรรโชกขึ้นมาจากเบื้องล่าง แต่ร่างนั้นก็ไม่ได้สะทกสะท้าน ทิศทางที่เขาหันหน้าไปเป็นทิศทางเดียวกับที่ตั้งหมู่บ้าน บางทีเขาอาจกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่กระมัง

มัทรีรวบเสื้อคลุมตัวนั้นขึ้นมาพาดไว้บนท่อนแขน ก่อนจะก้าวเข้าไปหยุดยืนเบื้องหลัง ห่างออกมาเล็กน้อย

วินธัยหันกลับมาหา แม้สีหน้าของเขาจะกลับมาเรียบเฉยเป็นปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววหม่นลึก

“ตื่นแล้วหรือ?”

“ค่ะ เอ่อ นี่ของคุณ ขอบคุณมาก”

นายพันตรีหนุ่มรับเสื้อคลุมของตัวเองคืนไป แต่สายตาจ้องมาที่ร่างบอบบางของหญิงสาวตรงหน้า

“นอนหลับไหม?” เสียงถามฟังดูเป็นกังวล

“ค่ะ” มัทรีตอบสั้น หลุบตาลงมองพื้น รู้สึกวางหน้าไม่สนิทนัก

“อืม ดีแล้ว” วินธัยพึมพำ “หิวไหม? กินอะไรรองท้องเสียหน่อยดีกว่า”

ว่าแล้วก็ตรงกลับเข้าไปใต้ซอกหินที่ซึ่งเขาวางห่อสัมภาระไว้ภายในนั้น ทีแรกมัทรีคิดจะปฏิเสธเพราะหล่อนยังรู้สึกทานอะไรไม่ลง แต่พอเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขาก็จำต้องยอมรับห่ออาหารที่เขาส่งมาให้แต่โดยดี และพยายามฝืนกินเข้าไปพอไม่ให้ชายหนุ่มต้องเป็นกังวล

“อิ่มแล้วหรือ? คุณกินไปนิดเดียวเองนะ” วินธัยว่า เมื่อเห็นมัทรีวางมือจากห่ออาหารที่ยังเหลือกว่าครึ่ง

หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะ ฉันอิ่มแล้วจริงๆ”

เขาชำเลืองดูหล่อนแวบหนึ่ง แล้วเก็บห่ออาหารนั้นไว้ตามเดิม จากนั้นก็หันไปเก็บของตัวเองด้วยเช่นกัน มัทรีมองเห็นว่าแม้แต่ส่วนของเขาก็พร่องลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

พอเขาส่งกระติกน้ำให้ หล่อนก็รับมาดื่มกลั้วคอ แล้วเอ่ยปากถาม

“เราจะทำยังไงกันต่อไปคะ?”

นายพันตรีหนุ่มนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ก่อนตอบว่า

“ทีแรก ผมตั้งใจจะไปที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาเดินเท้าประมาณสองวัน แต่ตอนนี้...เราคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่เสียแล้ว”

มัทรีได้แต่ฟังเขาอธิบายไปเงียบๆ

“การเดินทางผ่านหมู่บ้านต่างๆ คงเสี่ยงเกินไป ป่านนี้พันเอกราดิชคงส่งทหารกระจายกำลังเข้าไปควบคุมไว้จนหมด ทันทีที่เราโผล่เข้าไป พวกมันก็คงรอตะครุบเราอยู่แล้ว”

เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดเสียงต่ำลึก “อีกอย่าง...ผมก็ไม่อยากให้พวกชาวบ้านต้องเดือดร้อนเพราะเราอีก”

น้ำเสียงของวินธัยแฝงแววปวดร้าวจนมัทรีรู้สึกได้อย่างชัดเจน หล่อนมองเห็นสีหน้าของเขาหม่นหมองลงไปวูบหนึ่ง แต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม

“เพราะฉะนั้น เราคงต้องผ่านเข้าไปใน ‘ที่ราบแสงจันทร์’ พวกมันคงคิดไม่ถึงว่าเราจะกล้าเสี่ยงตายขนาดนั้น แต่...มีอย่างหนึ่งที่ผมต้องบอกให้คุณรู้ล่วงหน้า”

นักข่าวสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะจ้องตากับคนตรงหน้าเพื่อรอให้เขาพูดต่อไป

“น้ำกับอาหารที่เตรียมไว้เพียงพอสำหรับแค่สองวันเท่านั้น ดังนั้น เราคงต้องอดกันบ้างเพื่อให้ผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ไม่ต้องกังวลนักหรอกนะ การเดินเท้าผ่านที่ราบแสงจันทร์ไปจนถึงเมืองจิซู ใช้เวลาอย่างช้าก็ราวๆ ห้าหรือหกวัน...เร็วกว่ากำหนดเดิมตั้งครึ่ง” ประโยคหลังเขาเอ่ยเบาๆ พลางเหลือบตาขึ้นดูสีหน้ามัทรี

หญิงสาวได้แต่มองตอบ หล่อนไม่มีความคิดเห็นโต้แย้งใดๆ สำหรับแผนการใหม่ที่เขาว่านี้ เชื่อแน่ว่าคงเป็นหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้จะต้องลำบากเดินทางด้วยเท้าไปเป็นระยะเวลาสักเท่าใด หรือจะต้องอดๆ อยากๆ บ้าง แต่เพื่อเอาชีวิตรอดไปให้ได้ มัทรีก็บอกตัวเองว่าหล่อนต้องทนไหว

อย่างน้อยที่สุด พวกชาวบ้านตาดำๆ จะได้ไม่ต้องมารับเคราะห์กรรมอย่างที่ชาน่าห์และชาวบ้านในหมู่บ้านของพ่อเฒ่าอัสมาเผชิญมาแล้ว

“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ท่านพันตรี ลำบากยังไงฉันก็ทนได้ ฉันเองก็ไม่อยากเห็นใครต้องมาเสียสละเพื่อฉันอีกแล้วเหมือนกัน” หล่อนตอบเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

วินธัยยิ้มให้หล่อนนิดหนึ่ง รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนและปลอบประโลม

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ คุณพร้อมหรือยัง? ช้ากว่านี้ พวกทหารอัคคาใต้อาจจะตามมาเจอ”

หญิงสาวชาวไทยพยักหน้า แววตามุ่งมั่นบอกชัดว่าหล่อนพร้อมออกเดินทางแล้ว แม้ว่าในหัวใจจะยังคงโศกเศร้าเพราะเหตุการณ์เมื่อวันวาน แต่มัทรีก็บอกตัวเองว่าหล่อนจะต้องเอาตัวรอดกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนให้ได้ และคราวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ตัวเองได้รอดปลอดภัยกลับไปหาผู้เป็นแม่ แต่ยังเพื่อไม่ให้ความตั้งใจของชาวบ้านที่เสียสละเลือดเนื้อเพื่อหล่อนนั้นสูญเปล่า

หล่อนตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่าจะต้องเปิดโปงความชั่วช้าของจอมพลคาลันให้จงได้!



มัทรีติดตามวินธัยไปโดยกระชั้นชิด ทางที่เขานำหน้าไปมุ่งลงต่ำ ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการก้าวเดินไปบนพื้นที่มีโขดหินเล็กบ้างใหญ่บ้างงอกเกะกะอยู่ทั่วไป หลายครั้งที่หล่อนก้าวพลาด ลื่นไถลลงมาตามทางอันลาดชัน แต่วินธัยก็หันกลับมารับร่างหล่อนไว้ได้ทุกครั้ง

จนในที่สุด เขาก็ส่งมือมาให้

“ส่งมือคุณมา”

“เอ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้” มัทรีอึกอัก

“เถอะ ให้ผมช่วย เราจะได้ไปกันให้เร็วขึ้น” เขาว่าพลางเอื้อมมาดึงมือหล่อนไปกุมไว้ ไม่ยอมให้ขัดขืนอีก

มัทรีจึงปล่อยให้เขาจูงหล่อนเดินไปเรื่อยๆ และช่วยประคับประคองเวลาก้าวจากโขดหินหนึ่งไปยังอีกโขดหินหนึ่ง หญิงสาวนึกรำคาญชุดรุ่มร่ามที่สวมอยู่เต็มที นึกถึงกางเกงขายาวของตัวเองที่ถอดทิ้งไปเสียตั้งแต่อยู่ที่ชาคาก็ให้นึกเสียดาย แต่พอหล่อนเอ่ยปากบอกวินธัยว่าอยากจะฉีกชายเสื้อคลุมยาวตัวนอกทิ้งไปเสีย เพื่อให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ชายหนุ่มก็บอกมาเรียบๆ

“อย่าดีกว่า เวลานี้คุณอาจคิดว่ามันรุ่มร่ามน่ารำคาญ แต่พอถึงตอนกลางคืน มันจะช่วยให้คุณอบอุ่น”

เขาเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อมาว่า “จะให้ผมสละเสื้อคลุมให้คุณตลอดเวลาคงไม่ไหว ผมก็หนาวเป็นเหมือนกันนะ”

มัทรีหัวเราะคิก ความรู้สึกเคร่งเครียดและเหน็ดเหนื่อยคลี่คลายลง หล่อนออกจะรู้สึกแปลกใจที่นายทหารหน้าตายคนนี้มีอารมณ์ขันอยู่บ้างเหมือนกัน

“ดีใจที่คุณหัวเราะได้ในสถานการณ์แบบนี้” เขาว่ายิ้มๆ

หญิงสาวไหวไหล่นิดหนึ่ง ขณะกระโดดจากหินก้อนหนึ่งลงไปยังหินก้อนที่ต่ำกว่า โดยมีวินธัยคอยรอรับ

“ก็ขนาดคนหน้าตายอย่างคุณยังมีอารมณ์ขันได้ ก็ทำไมฉันจะต้องเศร้าด้วยล่ะ”

“ผมหรือหน้าตาย?” วินธัยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มองดูหน้าหล่อนอย่างฉงน

“ใช่ซี ไม่รู้ตัวหรอกหรือว่าคุณน่ะชอบทำหน้าเหี้ยม แล้วก็ดุฉันอยู่ตลอดเวลา”

“ก็คุณมันน่าดุน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ขืนไม่ปรามเสียบ้าง คงไม่พ้นตายเสียตั้งแต่คืนแรกนั่นแล้ว”

“คุณดุฉันอีกแล้วนะ” มัทรีแหว

“โธ่ นี่ดุที่ไหน แค่ยกตัวอย่าง”

“หึ! อยากจะรู้จริงๆ ว่าตอนคุณออกคำสั่งกับทหารใต้บังคับบัญชาจะดุกว่านี้สักกี่เท่า พวกเขาคงกลัวคุณจนหัวหด”

“กับลูกน้องของผม ผมไม่เคยดุพวกเขาสักที”

“แสดงว่าพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของคุณได้ดีไม่มีบกพร่อง?”

“เปล่า เพราะพอพวกเขาทำผิดทีไร ผมก็ไม่ทันได้ดุ สั่งลงโทษไปก่อนทุกที”

“บ้า” มัทรีค้อนขวับ “งั้นคุณก็เป็นเจ้านายที่โหดจริงๆ นั่นแหล่ะ”

วินธัยหัวเราะเบาๆ สีหน้าที่เคร่งเครียดอยู่เป็นนิจคลายลง แสงตะวันยามสายสาดจับใบหน้าครึ้มหนวดเคราของเขาทำให้แลดูอ่อนโยน จนมัทรีเกือบเผลอจ้องเขาอยู่เป็นนาน

“ผมไม่ได้ไร้เหตุผลเสียจนสั่งลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอกน่า นอกไปเสียจากว่าเขาจะทำเรื่องร้ายแรงเท่านั้น”

“เช่นอะไรบ้างล่ะ?”

“ก็...เช่นว่าไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ทำอะไรโดยพลการ แล้วก็เถียงผู้บังคับบัญชาอย่างผม”

“ถ้านั่นหมายถึงฉันล่ะก็...คุณจะสั่งลงโทษฉันก็ได้นะ” มัทรีว่า มองหน้าเขาฉิวๆ เพราะรู้ว่าที่เขาพูดน่ะประชดมาถึงตัวหล่อนชัดๆ

“เอาไว้ให้คุณมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผมก่อนเถอะ ผมไม่ปล่อยคุณไว้เฉยๆ แน่” วินธัยพูดกลั้วหัวเราะ กระชับมือนุ่มแน่นขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะทำเสียงจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณต้องเข้าใจนะ มัทรี” เขาทอดเสียงอ่อน คำนำหน้าชื่อหล่อนที่เคยเรียกอย่างเช่นทุกครั้งหายไป ทำให้รู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยกันมากขึ้นกว่าเดิม

“ชีวิตของทหารอย่างพวกเราแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา จะอยู่หรือตายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในเพียงชั่วเสี้ยววินาที ในฐานะผู้บังคับบัญชา ผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบทั้งภารกิจและชีวิตของพวกเขา หากมีใครคนใดคนหนึ่งแตกแถวไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง อาจทำให้งานไม่สำเร็จลุล่วง หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือพรรคพวกที่เหลือพลอยตายกันหมด”

“เข้าใจแล้วค่ะ ท่านพันตรี” มัทรีว่า “ฉันสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำอะไรโดยไม่บอกคุณอีก ถึงจะไม่เคยเป็นทหาร แต่ฉันก็เคยเรียนยุวกาชาดมาบ้าง เอาเป็นว่าสัญญาด้วยเกียรติของยุวกาชาดเลย เอ้า!”

พูดจบ หล่อนก็ยกสามนิ้วขึ้นแตะปลายหางคิ้ว ทำสีหน้าขึงขัง แต่แววตาวิบวับอย่างล้อเลียน วินธัยหันมามองแวบหนึ่งแล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น ก่อนจะก้าวยาวๆ จากที่ลาดชันซึ่งเหยียบอยู่ก่อน ลงไปยืนอยู่ตรงพื้นเบื้องล่าง

มัทรีรีบก้าวเท้าตาม เพื่อไปให้ถึงบริเวณที่ราบเรียบนั้นให้ได้โดยเร็ว แต่ก้าวของหล่อนคงยาวไม่เท่าของเขาจึงเหยียบไม่ทันถึงพื้น เท้าข้างที่ก้าวนำออกไปก่อนไถลลงไปตามลาดชัดซึ่งเป็นดินแห้งร่วนซุย แล้วก็เสียหลักถลาขมำลงไปข้างหน้าทั้งตัว

โชคดีที่วินธัยซึ่งยืนเป็นหลักรออยู่ก่อนแล้วกางแขนออกรับร่างโปร่งบางนั้นไว้ได้พอดี เขาโอบแขนรัดหล่อนแน่นเมื่อมัทรีถลาเข้าไปปะทะกับแผงอก แกล้งครางเบาๆ

“โอย เจ็บน่าดู ผมคงต้องเพิ่มคำสั่งให้คุณระมัดระวังเข้าไว้ด้วยอีกข้อ ก่อนที่ผมจะเจ็บตัวมากไปกว่านี้”

มัทรีได้แต่ค้อนขวับทั้งใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งเมื่อสบสายตาคมกล้าที่มองตรงมา ก็ให้รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง คล้ายๆ กับว่าจะถูกดึงดูดเข้าไปสู่ความลึกล้ำของนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้น



กองบัญชาการชั่วคราวของกองกำลังทหารอัคคาใต้ที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อไล่ล่าตัวโจรกบฏอัคคาเหนือผู้ลักพาตัวนักข่าวชาวไทย เป็นกระโจมผ้าใบสีเขียวขี้ม้าค้ำด้วยเสาเหล็กสี่มุม หลังคาเป็นรูปโดมแหลม ผนังสามด้านปิดมิดชิดโดยรอบ เหลือด้านหนึ่งซึ่งสามารถแหวกเปิดออกได้ต่างประตู ด้านนอกเต้นท์บัญชาการหลังนั้นสร้างเป็นแคมป์พักแรมชั่วคราว มีเต้นท์ลายพรางทหารอีกเกือบสิบหลังกระจายอยู่โดยรอบ ทหารในชุดสีกากีจำนวนหนึ่งพากันนั่งล้อมวงเล่นไพ่บ้าง สูบบุหรี่บ้างอย่างสำราญใจ

ในเต้นท์หลังใหญ่ตรงกลาง พันเอกราดิชซึ่งคาดผ้าพันแผลที่ไหล่ และนายทหารยศนายร้อยจำนวนหนึ่งยืนล้อมวงอยู่รอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ตรงกลางเต้นท์ บนโต๊ะมีวิทยุสื่อสารแบบทหารเครื่องหนึ่งตั้งอยู่

นายพันเอกตัวแทนรัฐบาลกำลังเจรจาโต้ตอบกับใครคนหนึ่งซึ่งมีเพียงเสียงดังออกมาจากลำโพงสีดำตัวใหญ่ หากแต่เขาไม่ได้เอ่ยปากใดๆ นอกจากปล่อยให้อีกฝ่ายที่อยู่ตรงปลายสายพูดไปเพียงลำพัง ฟังดูจากน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของฝ่ายนั้น และสีหน้าของทหารแต่ละคนที่ยืนรายรอบก็บอกได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดี

“ว่าอะไรนะ? พันเอกราดิช คุณปล่อยให้พวกมันหนีรอดไปได้งั้นเรอะ?” เป็นเสียงพลเอกอามีร์ที่ดังลั่นออกมาจากลำโพง

“ครับผม! เราเกือบจะได้ตัวมันแล้ว แต่เกิดโกลาหลขึ้นเสียก่อน พวกชาวบ้านต่อสู้ขัดขวาง ช่วยให้มันหนีไปได้ครับ”

“แล้วทำไมคุณกับทหารของคุณไม่ตามไปจับมันมาให้ได้?”

“เอ้อ เราพยายามตามไปแล้วครับท่าน แต่ทหารของเราไม่ชำนาญพื้นที่ ภูมิประเทศแถบนี้เป็นภูเขาสูงและพื้นที่ลาดชัน เหตุการณ์เกิดขึ้นในตอนกลางคืน มืดมากจนมองอะไรไม่เห็น ถ้าพลาดพลั้งไป ทหารของเราอาจจะตกเหวตายก็ได้ครับ” พันเอกราดิชรายงาน

“ผมไม่ต้องการฟังเหตุผลแก้ตัวของคุณ!” พลเอกอามีร์ตวาด “ถึงอย่างไรคุณก็ไม่ควรปล่อยให้พวกมันหนีไปได้ ทั้งๆ ที่เกือบจะจับตัวได้แล้วแท้ๆ”

พันเอกราดิชเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็น หากพลเอกอามีร์มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เขาคงไม่กล้าทำเช่นนี้แน่

“ผมอยากรู้ว่าคุณดำเนินการอะไรลงไปแล้วบ้าง?” ผู้บัญชาการกองทัพอัคคาใต้ถามต่อมา

“เช้านี้ ผมได้ส่งกำลังกระจายไปตามหมู่บ้านต่างๆ ในแถบนี้ ที่คาดว่าพันตรีวินธัยอาจหลบไปอาศัย คิดว่าพรุ่งนี้ เอ้อ...วันนี้ คงจะได้เบาะแสเพิ่มเติมครับ”

“ดี มันคงยังไปไหนไม่ได้ไกลหรอก มันต้องเข้าไปหาเสบียงตามหมู่บ้านแน่ ถ้าการคาดการณ์ของผมไม่ผิด อย่างน้อยวันพรุ่งนี้มันต้องโผล่หัวออกมาแน่ คอยจับตาไว้ให้ดี ราดิช!”

“ครับท่าน” นายพันเอกรับคำ ทำท่าจะตัดสัญญาณเลิกการติดต่อ แต่อีกฝ่ายท้วงไว้

“เดี๋ยวก่อนราดิช แล้วพวกชาวบ้านในหมู่บ้านเมื่อคืนนี้ เป็นยังไงบ้าง?”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับท่าน” พันเอกราดิชตอบเสียงเย็น

เมื่อคืนวาน กระสุนลึกลับซึ่งคาดว่าเป็นของฝ่ายที่ถูกตามล่าพุ่งออกมาจากความมืดเพื่อเปิดช่องให้มีโอกาสได้หนี นัดหนึ่งในจำนวนนั้นเจาะเข้าที่ไหล่ขวาของเขาอย่างถนัดถนี่ และทำให้การสั่งการต่างๆ ชะงักลงทันควัน พอตั้งสติได้เขาก็สั่งให้ทหารใต้บังคับบัญชารีบตามล่าตัวผู้หลบหนีทันที ด้วยจำนวนทหารมากขนาดนั้น การตามล่าคนแค่สองคนไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย

แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือพวกชาวบ้านมือเปล่าที่เกิดฮึดสู้ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่คนของเขาส่วนใหญ่ออกไล่ล่าวินธัยกับมัทรี พวกผู้ชายก็เข้ายื้อแย่งปืนจากพวกทหารที่เหลือ ยิงทหารของเขาตายไปสาม บาดเจ็บอีกเล็กน้อย

แต่ถึงอย่างไร พวกชาวบ้านธรรมดาก็ย่อมจะสู้ทหารที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้วไม่ได้ เมื่อเกิดการต่อสู้ขึ้น พวกมันย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ผลก็คือชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นตายไปนับสิบ รวมผู้หญิงที่เขาเป็นฝ่ายลั่นไกสังหารนั่นด้วยอีกคนหนึ่ง

และแน่นอนว่ามาตรการขั้นเด็ดขาดที่รู้กันในหมู่ทหารอัคคาใต้สำหรับลงโทษผู้ต่อสู้ขัดขืนกองทัพก็มีแต่ ‘ความตาย’ เท่านั้น ดังนั้น พวกชาวบ้านทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้หญิงหรือลูกเด็กเล็กแดงก็ไม่มีใครเหลือรอดออกไปฟ้องโลกภายนอกถึงเหตุการณ์นองเลือดเมื่อคืนที่ผ่านมาได้

ช่วยไม่ได้...ในเมื่อพวกมันไม่รักตัวกลัวตาย อยากรนหาที่เอง...


เสียงพลเอกอามีร์เงียบไปอึดใจ ก่อนออกคำสั่งต่อมาว่า

“ดีมาก เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าให้แพร่งพรายออกมาได้ ตอนนี้พวกชาวเมืองมันตรากำลังระแวงท่านจอมพลหนัก หากเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูพวกมัน คงไม่เกิดผลดีแน่”

“ครับท่าน ไม่มีชาวบ้านคนใดหนีรอดไปได้แน่นอน ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

“ดี! และถ้าได้เบาะแสของพันตรีวินธัยกับนักข่าวชาวไทยเมื่อไหร่ ติดต่อมาทันที”

พลเอกอามีร์ตัดสายสนทนาไปแล้ว พันเอกราดิชและทหารที่ยืนรายล้อมอยู่ต่างก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะเพิ่งรอดพ้นจากการถูกลงโทษไปหยกๆ นายพันเอกปลดไมโครโฟนตัวเล็กส่งให้แก่พลทหารผู้ควบคุมวิทยุสื่อสาร ก่อนหันไปสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคนหนึ่ง

ถึงพลเอกอามีร์จะไม่เหี้ยมเกรียมเด็ดขาดเท่าจอมพลคาลัน แต่ก็นับว่าเลือดเย็นพอใช้ โดยเฉพาะต่อทหารใต้บังคับบัญชา ซึ่งนั่นสร้างความไม่พอใจให้แก่เขามานานแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะยศตำแหน่งที่สูงต่ำผิดกัน

แต่หากว่าเขาสามารถปฏิบัติภารกิจคราวนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างดียิ่ง พันเอกราดิชก็หวังเหลือเกินว่า ความดีความชอบครั้งนี้จะทำให้จอมพลคาลันพอใจและปูนบำเหน็จให้เขาอย่างงาม ดังนั้น นายพันเอกแห่งกองทัพอัคคาใต้จึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้ตัววินธัยและมัทรีมาให้ได้ในเร็ววัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แม้แต่การฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างโหดร้ายอำมหิตดังที่เขาลงมือไปแล้วเมื่อคืนนี้ก็ตาม



ทันทีที่ก้าวขึ้นนั่งบนเบาะตอนหลังของรถยุโรปคันใหญ่ ชายวัยกลางคนในชุดสูทสากลสีดำก็เอนร่างลงพิงเบาะหุ้มหนังชั้นดี ขยับเสื้อนอกที่สวมอยู่ให้เข้าที่เพื่อให้ตัวเองนั่งได้สบายขึ้น แต่บนใบหน้าของเขาก็ยังคงปรากฏริ้วรอยของความวิตกกังวลและเคร่งเครียด ซึ่งคนใกล้ชิดต่างรู้ดีว่าสีหน้าของตัวแทนรัฐบาลไทยเป็นเช่นนี้มาหลายวันแล้วนับตั้งแต่เกิดเรื่อง

เขาถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากพูดกับชายหนุ่มที่นั่งประจำอยู่ยังที่นั่งตอนหน้าข้างคนขับ

“คุณคมเดชกับคุณธันย์เป็นอย่างไรบ้าง? ธวัช”

“พวกเขารอฟังข่าวอยู่ทุกวันครับท่านทูต ทีแรกวันนี้คุณคมเดชตั้งใจจะมารอฟังความคืบหน้าจากท่านอยู่ที่สถานทูต แต่ผมเกรงว่างานเลี้ยงจะเลิกดึกจึงบอกให้รออยู่ที่โรงแรม พรุ่งนี้เช้าผมจะไปส่งข่าวด้วยตัวเอง”

ท่านทูตสุวิกรมถอนใจยาวอีกครั้ง “ผมหวังว่าผมคงจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง”

“วันนี้จอมพลคาลันจะมาร่วมงานอย่างแน่นอนครับท่าน”

ตัวแทนอย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทยพยักหน้านิดหนึ่ง “หวังว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงกำหนดการอีก เขาเลี่ยงการพบปะกับผมมาหลายครั้งแล้ว”

เอกอัครราชทูตไทยครุ่นคิดอย่างคร่ำเคร่ง เหตุการณ์การลักพาตัวนักข่าวสาวชาวไทยล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว แต่การติดตามค้นหาก็ยังไม่ปรากฏความคืบหน้าใดๆ นอกไปจากแถลงการณ์ของจอมพลคาลันที่อ้างว่าพันตรีวินธัยอดีตหัวหน้ากองกำลังนักรบทมิฬของอัคคาเหนือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแล้ว ก็ไม่พบว่ารัฐบาลกลางของอัคคาจะดำเนินการอย่างใดต่อไปอีก

ตั้งแต่เกิดเหตุร้ายนี้ขึ้น ประธานาธิบดีคาลันก็ปฏิเสธการขอเข้าพบของเขามาโดยตลอด ทั้งๆ ที่การชี้แจงสถานการณ์โดยละเอียดให้แก่ประเทศไทยน่าจะเป็นสิ่งแรกที่ต้องปฏิบัติ

พร้อมๆ กับความวิตกกังวลของฝ่ายคนไทย โดยเฉพาะคมเดชและธันย์ซึ่งเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับมัทรีมากที่สุด ข่าวคราวต่างๆ ในด้านลบของจอมพลคาลันก็เล็ดรอดออกมาเป็นระยะ นับตั้งแต่ความไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาและติดตามช่วยเหลือนักข่าวสาว การเจตนาเพิกเฉยไม่ยอมเจรจากับฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงข่าวลือที่ว่าฝ่ายรัฐบาลกลางเองนั่นล่ะที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด

น่าแปลกที่วานนี้ จู่ๆ ผู้นำสูงสุดของอัคคาซึ่งปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับเอกอัครราชทูตไทยมาโดยตลอดกลับส่งบัตรเชิญมาเทียบให้ถึงโต๊ะประจำตำแหน่ง เพื่อเชิญให้ไปร่วมเป็นเกียรติในงานเลี้ยงของรัฐบาล ในฐานะตัวแทนอย่างเป็นทางการของประเทศไทย

ไม่ว่ามันจะเป็นงานเลี้ยงการกุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในชนบทดังที่ระบุเอาไว้ในบัตรเชิญหรือจะเพื่ออะไรก็ตามแต่ ท่านทูตสุวิกรมก็แน่ใจว่า จุดประสงค์แท้จริงของงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นไปเพื่อชี้แจงถึงเหตุการณ์การลักพาตัวมัทรี และเรียกความเชื่อมั่นในตัวจอมพลคาลันในสายตาของนานาประเทศกลับคืนมา เขาจึงได้เชิญเอกอัครราชทูตประจำประเทศต่างๆ มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้อย่างเอิกเกริก

มันเป็นโอกาสแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้นที่ประธานาธิบดีแห่งอัคคายอมออกมาเผชิญหน้ากับเขา ทั้งยังอาจเป็นโอกาสสำคัญที่จะสังเกตการณ์และชี้ชัดลงไปถึงท่าทีของจอมพลคาลันด้วยว่า เขาน่าเชื่อถือและควรค่าแก่การไว้วางใจมากแค่ไหน...

(จบตอนที่ 17)


-ตอนที่ 18-

งานเลี้ยงของรัฐบาลจัดขึ้น ณ อาคารรูปโดมทรงยุโรปหลังใหญ่ภายในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล บรรยากาศโดยรอบคึกคักด้วยแสงไฟประดับ และผู้คนในชุดราตรีหลากสีสันซึ่งกำลังทะยอยเดินทางมาถึง ตรงด้านหน้าอาคารมีพรมสีแดงสดปูลาดยาวออกมาจากห้องโถง ผ่านบันไดหินอ่อนจนจดลานเทียบรถ ซึ่งขณะนี้ขบวนรถของเอกอัครราชทูตไทยเป็นแขกกลุ่มล่าสุดที่เพิ่งมาถึง

ธวัชก้าวลงจากรถก่อน แล้วหันไปเปิดประตูที่นั่งตอนหลังให้แก่ท่านทูตซึ่งก้าวลงมาด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็นอันเป็นบุคลิกประจำตัว

"ท่านเอกอัครราชทูต"

ทันทีที่ท่านทูตสุวิกรมเดินผ่านพรมสีแดงขึ้นไปหยุดอยู่บนชานพักบันไดขั้นบน สุดก่อนถึงประตูทางเข้ารูปโค้งแบบโรมัน รัฐมนตรีต่างประเทศจาฟาลก็ตรงเข้ามาสัมผัสมือพร้อมกับกล่าวคำทักทายด้วยความ คุ้นเคยกันเป็นส่วนตัว ท่ามกลางแสงแฟลชจากช่างภาพสื่อมวลชนหลายแขนง

"รัฐบาลอัคคารู้สึกยินดีมากที่ท่านให้เกียรติมาร่วมงานนี้ หวังว่าท่านคงสบายดี"

"ถ้าหมายถึงเรื่องสุขภาพล่ะก็ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมสบายดีมาก แต่ก็อย่างที่คุณรู้ ท่านรัฐมนตรี ตอนนี้ผมมีเรื่องให้ต้องคิดและกังวลอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก"

รัฐมนตรีจาฟาลยิ้มน้อยๆ "เสียใจจริงๆ ที่ยังไม่มีความคืบหน้าที่น่าพอใจนักสำหรับเรื่องนี้ แต่อย่ากังวลไปเลยท่านเอกอัครราชทูต ทางรัฐบาลของเราไม่เคยนิ่งนอนใจ และคิดว่าวันนี้ ท่านประธานาธิบดีคงจะได้พูดคุยกับท่านถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง"

ท่านทูตสุวิกรมพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวขอบคุณและเดินเข้าไปภายในงานโดยมีธวัชเดินตามมาข้างหลัง ปล่อยให้รัฐมนตรีต่างประเทศแห่งอัคคาทำหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อต่อไป

ในบรรดาคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอัคคา รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจาฟาลเป็นรัฐมนตรีหนึ่งในไม่กี่คนที่มาจากภาค พลเรือน ซึ่งก็นับว่าจอมพลคาลันหลักแหลมพอใช้ที่ไม่ได้เลือกคนจากกองทัพมารับตำแหน่ง ซึ่งต้องการความเชื่อมั่นจากต่างชาติมากเช่นนี้

เพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัวพอสมควรและเคยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกันมา ก่อน ทำให้ท่านทูตสุวิกรมพอจะไว้วางใจรัฐมนตรีฯ ผู้นี้อยู่บ้าง หลังจากเหตุการณ์การลักพาตัวมัทรี แม้ทางรัฐบาลและจอมพลคาลันจะปฏิเสธการขอเข้าพบและการเจรจาใดๆ แต่รัฐมนตรีจาฟาลก็ยังคงยินดีรับฟังและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่เท่าที่ จะเป็นไปได้

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงสงวนท่าทีและต้องรอรับคำสั่งจากประธานาธิบดี เพราะเรื่องการเมืองภายในประเทศไม่ใช่เรื่องที่จะแพร่งพรายหรือพูดจากันได้ ในฐานะมิตรสหาย ถึงอย่างไร ในฐานะรัฐมนตรีฯ เขาก็ยังคงต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและความมั่นคงของรัฐบาลเป็นสำคัญ



ภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่คลาคล่ำด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คือเหล่าเอกอัครราชทูตและคณะผู้ติดตาม ข้าราชการสถานทูต คนของรัฐบาลและภาคเอกชน หลายคนในที่นั้นท่านทูตสุวิกรมคุ้นเคยและรู้จักมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในห้องก็ได้รับการทักทาย

"ท่านเอกอัครราชทูตไทย" เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้น เมื่อท่านทูตสุวิกรมเดินผ่านเข้าไปใกล้วงสนทนากลุ่มหนึ่ง

"อ้อ สวัสดีมิสเตอร์เบิร์นนิ่ง" ท่านทูตหันไปสัมผัสมือกับชายชาวตะวันตกผู้นั้น จำได้ทันทีว่านี่คือนักธุรกิจชาวอังกฤษ ผู้เป็นนายทุนคนสำคัญของอัคคาใต้ เขาเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งกลางเมืองอัคการ์นี้ด้วย

"ผมติดตามข่าวการลักพาตัวนักข่าวไทยมาตลอด ขอแสดงความเสียใจด้วย หวังว่าคงมีความคืบหน้าไปในทางที่ดีนะครับ"

"ขอบคุณมาก ผมก็หวังเช่นนั้น"

ท่านทูตสุวิกรมร่วมสนทนาอยู่ในกลุ่มนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์การลักพาตัวมัทรีนั่นเอง ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ต่างพากันแสดงความเห็นใจและขอให้มีความคืบหน้าเกิดขึ้นในเร็ววัน และแน่นอนว่าพวกเขาเชื่อโดยสนิทใจว่าพันตรีวินธัยเป็นตัวการสำคัญที่จะต้อง นำตัวมาลงโทษให้จงได้

แม้จะอึดอัดใจเพียงใดที่จะต้องพยายามให้ข้อมูลและความคิดเห็นอย่างเป็นกลาง ที่สุด แต่ท่านทูตก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย และพยายามหยั่งเสียงในหมู่คนเหล่านี้ด้วยว่า หากเรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นไปอย่างที่ทางรัฐบาลประกาศออกมาแล้ว คนเหล่านี้จะให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนประเทศไทยอย่างใดบ้าง

จนกระทั่งธวัชขยับเข้ามาประชิด และกระซิบเบาๆ ว่า

"จอมพลคาลันมาถึงแล้ว พร้อมมิสเตอร์คล้าก ทูตสหรัฐฯ ครับท่าน"

เสียงพูดคุยที่ดังอยู่แต่แรกพลันเงียบลง ก่อนที่กลุ่มคนจำนวนหนึ่งจะเดินผ่านประตูห้องจัดเลี้ยงเข้ามา ชายสองคนที่เดินนำหน้าท่าทางเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนั้น คนหนึ่งคือจอมพลคาลันในชุดสากลเต็มยศ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายชาวตะวันตกร่างท้วม ศีรษะล้านและไว้หนวดสีเทา

ทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยสีหน้าท่าทางยิ้มแย้มเป็นมิตร และเมื่อเดินผ่านกลุ่มสนทนาใดๆ แขกที่มาร่วมงานต่างก็เอ่ยปากทักทายด้วยเป็นระยะๆ จนทำให้การสนทนาตรงมุมอื่นๆ ของห้องหยุดชะงักลง แล้วต่างหันไปให้ความสนใจแก่ผู้มาใหม่จนหมด

"ไปเถอะ ธวัช เราคงต้องเข้าไปทักทายเสียหน่อย" เอกอัครราชทูตไทยพยักหน้ากับเลขานุการส่วนตัว เมื่อขบวนของจอมพลคาลันและเอกอัครราชทูตแห่งสหรัฐอเมริกาเคลื่อนเข้ามาใกล้

ท่านทูตสุวิกรมกล่าวขอตัวก่อนก้าวออกจากวงสนทนา ตรงเข้าไปยังวงล้อมของแขกเหรื่อที่ยังจับมือทักทายกับบุคคลสำคัญทั้งสองคน ไม่หยุด และก็เหมือนกับทุกฝ่ายต่างรอคอยอยู่แล้ว เมื่อพวกเขาหันมาเห็นเอกอัครราชทูตไทยเดินตรงเข้ามาก็พากันหลีกทางให้ กล้องถ่ายรูปและกล้องบันทึกภาพของสื่อมวลชนก็รุมเข้ามาจับภาพทั้งสามคนโดย พร้อมเพรียง

ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายสำหรับท่านทูตสุวิกรมแต่อย่างใดสำหรับ ปฏิกิริยาของสื่อทุกแขนงที่เกิดขึ้น ใครเล่าจะไม่สนใจการพบปะกันเป็นครั้งแรกของผู้นำประเทศอัคคาและตัวแทนรัฐบาล ไทย ซึ่งมีประเด็นให้ต้องติดตามว่าด้วยการถูกลักพาตัวไปของนักข่าวชาวไทยที่จน ป่านนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า และยิ่งน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีตัวแทนจากประเทศมหาอำนาจมายืนอยู่ตรง กลางอย่างเช่นในตอนนี้

สื่อต่างชาติคงจับตามองว่าการพบกันครั้งนี้จะมีการยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดถึงหรือไม่ หรือสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทิศทางใด

ส่วนสื่อในประเทศก็มีหน้าที่ต้องนำเสนอสิ่งที่ประธานาธิบดีแห่งอัคคาจะแถลงแก่ประชาชนและประชาคมโลกออกมาให้ชัดเจนที่สุด


"อ้อ ท่านเอกอัครราชทูตไทย" จอมพลคาลันเปิดยิ้มกว้างเมื่อสัมผัสมือทักทายกับท่านทูตสุวิกรมตามธรรมเนียม พร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้สื่อมวลชนที่รุมเข้ามาบันทึกภาพ

"ยินดีจริงๆ ที่ได้พบท่านในงานนี้ ขอบคุณที่มาเป็นเกียรติให้กับทางอัคคาของเรา"

ท่านทูตไทยยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย "งานนี้ผมคงไม่พลาดอยู่แล้ว ในฐานะมิตรประเทศเรายินดียิ่งที่จะให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นชน บทของอัคคา"

จากนั้นจึงหันไปหาเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ "สวัสดี มิสเตอร์คล้าก ยินดีมากที่ได้พบท่าน"

"เช่นกันมิสเตอร์สุวิกรม" เขายื่นมือออกมาให้ เอ่ยต่อไปช้าๆ ด้วยคำพูดที่ตัวแทนรัฐบาลไทยคาดหวังว่าจะได้ยินอยู่ก่อนแล้ว

"ผมเสียใจด้วยจริงๆ กับเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับนักข่าวของประเทศคุณ ไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าอย่างใดบ้างหรือไม่"

"ตอนนี้ นอกจากตามที่ท่านประธานาธิบดีได้แถลงไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง" ทูตไทยกล่าว รอยยิ้มไม่จางไปจากสีหน้า

"อ้อ อย่างนั้นหรือ? น่าเสียดายจริงๆ แต่ผมคิดว่าทางอัคคาคงมีแผนการเตรียมเอาไว้แล้วกระมัง" ตอนท้ายเขาหันไปทางจอมพลคาลัน

ผู้นำสูงสุดของประเทศพยักหน้ารับ สายตาที่มองตรงมายังเอกอัครราชทูตไทยมีแววประหลาด "ท่านทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น จริงๆ แล้วเมื่อคืนนี้ กองกำลังที่เราส่งเข้าไปในอัคคาเหนือพบร่องรอยของพันตรีวินธัยแล้วที่หมู่ บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้เมืองบันดุค"

"เอ๊ะ? จริงหรือท่านประธานาธิบดี แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ ทหารของท่านได้ตัวเขาไว้ไหม?" มิสเตอร์คล้ากถามอย่างสนใจ ในขณะที่ท่านทูตสุวิกรมยังคงรักษาสีหน้าไว้อย่างราบเรียบ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จับจ้องจอมพลคาลันไม่ยอมเปลี่ยน

"น่าเสียดายที่พวกมันหนีรอดไปได้ เพราะอาศัยความชำนาญในพื้นที่"

"แล้วมิสมัทรีเล่า เธอปลอดภัยดีไหม ได้เบาะแสของเธอบ้างหรือเปล่า?"

จอมพลคาลันหรี่ตาลงนิดหนึ่ง "สำหรับประเด็นนี้เรายังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัด แต่จากรายงานที่ได้รับล่าสุด ทหารของเราบาดเจ็บไปไม่น้อยเพราะเกิดปะทะกับพันตรีวินธัยและพวก"

"หมายความว่ามีพวกกบฏที่ยังหลบซ่อนตัว และคอยให้ความช่วยเหลือแก่พันตรีวินธัยอยู่อย่างนั้นหรือ?"

"แน่นอน ท่านเอกอัครราชทูต พวกกบฏอัคคาเหนือได้ซ่องสุมกำลังคนเอาไว้จำนวนมากมานานแล้ว ไม่เพียงแต่พวกทหารที่ถูกปลดอาวุธไปก่อนหน้านี้เท่านั้นหรอก ยังมีพวกชาวบ้านที่ถูกฝึกมาแล้วเป็นอย่างดีและแฝงตัวอยู่ตามชนบทเพื่อรอคอย เวลาที่จะรุกฆาตอยู่อีกมาก"

"อืม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมเกรงว่าทางท่านคงจะลำบากอยู่ไม่น้อยในการติดตามตัวนักข่าวชาวไทย"

"ถึงจะลำบากอย่างไร ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าทางรัฐบาลไม่ได้นิ่งเฉยในเรื่องนี้เลย มิสเตอร์สุวิกรม ขอได้โปรดวางใจ" ประโยคหลังเขาหันมาสบตาเอกอัครราชทูตไทย

ท่านทูตสุวิกรมยิ้ม "ผมย่อมวางใจในการดำเนินการของท่านเสมอ ท่านประธานาธิบดี แต่อยากจะถามอะไรสักหน่อย ท่านว่ากองกำลังของท่านปะทะกับฝ่ายกบฏที่หมู่บ้านใกล้ๆ เมืองบันดุคอย่างนั้นหรือ?"

"ใช่แล้ว ท่านเอกอัครราชทูต"

"ถ้าผมจำไม่ผิด เมืองบันดุคนี่อยู่ห่างจากเมืองชาคามาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เล็กน้อยใช่หรือไม่?"

ประธานาธิบดีแห่งอัคคาพยักหน้าแทนคำตอบ ท่านทูตสุวิกรมจึงกล่าวต่อไป

"เขาออกจากเมืองชาคามาได้อย่างไรกัน เพราะเท่าที่ทราบ ทางรัฐบาลได้ส่งทหารเข้าไปควบคุมไว้หมดแล้วไม่ใช่หรือ?"

"อย่างที่บอก นอกจากพวกทหารอัคคาเหนือแล้ว พวกชาวบ้านก็ยังคอยให้ความช่วยเหลือด้วยเหมือนกัน พวกมันคงร่วมมือกันใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างปิดบังอำพรางจนสามารถเล็ดรอดออก ไปจนได้"

"ถ้าอย่างนั้น ท่านก็น่าจะประเมินสถานการณ์ได้แล้วกระมังว่าพันตรีวินธัยและพวกกบฏวางแผนจะทำอะไรกันต่อไป"

"ตามความเห็นส่วนตัวของผม พวกมันน่าจะพามิสมัทรีไปควบคุมไว้ยังฐานที่มั่นที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เรายังไม่ทราบแน่ชัด แต่แน่นอนว่าทางเราไม่ได้นิ่งนอนใจ กองทหารของเรายังติดตามไล่ล่าฝ่ายนั้นไปอย่างกระชั้นชิด"

"ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย ผมรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ทางรัฐบาลอัคคาให้ความสำคัญกับกรณีนี้อย่าง เต็มที่ แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมอยากให้ท่านช่วยยืนยันด้วยว่า แผนการทุกอย่างที่ทางรัฐบาลและกองทัพอัคคาใต้จะกระทำต่อจากนี้ไป ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของมิสมัทรีอย่างสูงสุด"

ท่านทูตสุวิกรมกล่าวแช่มช้า แต่ทว่าชัดเจนขณะประสานสายตากับจอมพลคาลันโดยไม่สะทกสะท้าน

ต่างฝ่ายต่างสบตากันนิ่ง และโดยไม่ทันที่ฝ่ายใดจะได้เอ่ยปากอะไรออกมาก่อน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ซึ่งเปรียบเสมือนคนกลางในที่นั้นก็กล่าวเสริมขึ้นอีกคน

"ถูกต้องแล้ว ท่านประธานาธิบดี ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นหรอกนะที่ต้องการคำยืนยันอย่างเป็นทางการจาก รัฐบาลและกองทัพของท่าน แม้แต่ประชาชนชาวอเมริกันและประชาคมโลกภายนอกก็ต้องการความมั่นใจในเรื่อง นี้ด้วยเช่นกัน"

ดวงตาใหญ่ลึกของจอมพลคาลันมีประกายคล้ายขุ่นเคืองปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่เพียงชั่ววินาทีเดียวมันก็หายวับไป ผู้นำสูงสุดของอัคคาระบายรอยยิ้มบนริมฝีปากอีกครั้ง สบตาท่านทูตสุวิกรมและเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ก่อนพูดว่า

"แน่นอน ท่านทั้งสองโปรดวางใจ ความปลอดภัยของมิสมัทรีเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ผมได้กำชับไปทางกองทัพแล้ว ว่าจะต้องคำนึงถึงก่อนเรื่องอื่นใด แต่ผมต้องขอให้เข้าใจด้วยว่าพวกกบฏอัคคาเหนือเป็นพวกที่ไม่น่าไว้ใจ และเราไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะกระทำการอะไรลงไปบ้าง"

"แล้วการเจรจาต่อรองเล่า ฝ่ายกบฏได้ยื่นเงื่อนไขอะไรให้แก่รัฐบาลบ้าง?" มิสเตอร์คล้ากซักถามต่อไป

"เงื่อนไขยังคงเดิม คือการขอแบ่งแยกดินแดนและขอให้ปล่อยตัวพลเอกชาครีกับทหารที่ถูกควบคุมตัวเอา ไว้ ซึ่งท่านคงรู้ว่าเราไม่อาจยินยอมให้แก่เงื่อนไขที่มากเกินไปเช่นนั้นได้"

"แต่การยืนกรานคำเดิมและแสดงท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ ผมเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีนักหรอกนะ ท่านประธานาธิบดี" ท่านทูตสุวิกรมแย้ง "โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อตัวประกันอย่างมิสมัทรี"

"ผมทราบเรื่องนี้ดี ท่านเอกอัครราชทูต แต่ความมั่นคงภายในก็เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผมยังคงยืนยันและขอให้ท่านวางใจเถอะว่า ตราบใดที่มิสมัทรียังมีชีวิตอยู่...เราจะต้องนำตัวเธอกลับมาให้ได้...โดย ปลอดภัย"

ใบหน้าของจอมพลคาลันเรียบเฉยในขณะที่กล่าวคำยืนยันอย่างหนักแน่น แต่ท่านทูตสุวิกรมทราบดีว่าเบื้องหลังความสงบราบเรียบเช่นนี้มีความไม่ชอบมา พากลซ่อนอยู่ อย่างน้อยที่สุด ประธานาธิบดีแห่งอัคคาก็แสดงให้เห็นแม้จะเพียงแวบเดียวว่า ไม่พอใจนักที่ถูกต้อนให้ต้องกล่าวรับรองความปลอดภัยของมัทรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ มหาอำนาจที่ทางรัฐบาลอัคคากริ่งเกรงอยู่ไม่น้อย

และแม้ว่าถ้อยคำในประโยคสุดท้ายของจอมพลคาลันจะไม่ได้ให้ความมั่นใจอะไรนัก แต่วงสนทนานั้นก็จำต้องหยุดชะงักลง เมื่อการ์เซียซึ่งติดตามมาด้านหลัง ก้าวเข้ามากระซิบบอกอะไรบางอย่างแก่ประธานาธิบดีแห่งอัคคา

จอมพลคาลันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วหันกลับมาหาคู่สนทนา "เสียใจจริงที่จะต้องขอตัวก่อน ได้เวลากล่าวเปิดงานแล้ว เอาไว้พบกันภายหลัง ขอเชิญท่านทั้งสองตามสบาย"

แล้วร่างสูงใหญ่ออกท้วมก็ก้าวตามหลังการ์เซียที่เดินนำออกไปก่อน เพื่อเปิดทางไปสู่ทางขึ้นเวทีขนาดใหญ่ตรงส่วนหน้าของห้องจัดเลี้ยง ซึ่งขณะนี้พิธีกรได้ขึ้นไปกล่าวเชิญประธานาธิบดีแห่งอัคคาเรียบร้อยแล้ว

พิธีการทั่วไปไม่แตกต่างจากการเปิดงานเลี้ยงการกุศลอื่นๆ แต่อย่างใด สุนทรพจน์ในระหว่างการกล่าวเปิดงานของจอมพลคาลันซาบซึ้งน่าประทับใจ เมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ที่ต้องการช่วยเหลือและให้การสนับสนุนด้านทุนทรัพย์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ชนบท

แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่ลืมที่จะกล่าวถึงสถานการณ์ความวุ่นวายภายในประเทศที่ เกิดขึ้นในขณะนี้ด้วยฝีมือของอดีตกองกำลังทหารอัคคาเหนือ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็น 'กบฏอัคคาเหนือ' ไปเสียแล้ว ผู้นำสูงสุดของอัคคาให้คำมั่นแก่ประชาชนว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะต้องสงบลงในเร็ววัน และผู้กระทำผิดจะต้องถูกนำตัวมาลงโทษสถานหนักไม่มียกเว้น

ความปลอดภัยของมัทรีเป็นประเด็นเล็กน้อยที่สุดที่เขาพูดถึง จอมพลคาลันเพียงแต่กล่าวโดยสรุปว่า ตราบใดที่นักข่าวสาวชาวไทยยังคงมีชีวิตอยู่ กองทัพอัคคาใต้ก็ย่อมจะได้ตัวหล่อนกลับมา...


"คุณคิดอย่างไรกับคำรับรองของจอมพลคาลัน? ท่านเอกอัครราชทูตไทย"

มิสเตอร์คล้ากเอ่ยขึ้นเบาๆ พอได้ยินกันสองคน ระหว่างที่จอมพลคาลันยังคงกล่าวสุนทรพจน์อยู่บนเวทีต่อไป และคราวนี้เป็นประเด็นด้านเศรษฐกิจที่เขาต้องการจะพัฒนา หากว่าได้กลับมาครองตำแหน่งอีกสมัยหนึ่ง

"เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือที่ ผมย่อมจะต้องการคำยืนยันที่หนักแน่นและเป็นทางการกว่านี้ ตราบใดที่คนของผมยังคงตกอยู่ในอันตราย ผมก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจอมพลคาลันยังยืนกรานที่จะใช้มาตราการรุนแรงต่อไป" ท่านทูตสุวิกรมกล่าวตอบ รักษาสีหน้าได้อย่างสงบ

"แน่นอน ผมเข้าใจได้ดีในข้อนั้น และทางเราเองก็ไม่ได้นิ่งเฉยเช่นกัน เรากำลังจับตาดูสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้มีกระแสข่าวไม่สู้ดีเกี่ยวกับจอมพลคาลันเล็ดรอดออกมา เป็นระยะๆ"

"ทางสหรัฐฯ เชื่อตามข่าวลือพวกนั้นหรือ?"

มิสเตอร์คล้ากยิ้ม หันมาสบตาเอกอัครราชทูตไทยผู้มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

" ผมไม่ได้หมายความว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ มิสเตอร์สุวิกรม แต่สถานการณ์ของอัคคาตอนนี้ไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าข่าวลือของจอมพลคาลันหรือเรื่องกบฏอัคคาเหนือจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ ตาม แต่มันก็อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ส่งผลต่อความมั่นคงใน ภูมิภาคนี้ก็เป็นได้"

ท่านทูตสุวิกรมมองดูเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาได้รางๆ แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากซักถามหรือสนทนาต่อไป มิสเตอร์คล้ากก็พูดขึ้นว่า

"สำหรับกรณีนักข่าวไทยที่ถูกลักพาตัวไป ทางสหรัฐฯ และมิตรประเทศอื่นๆ ก็ให้ความสนใจและวิตกกังวลไม่แพ้กัน วางใจเถอะมิสเตอร์สุวิกรม หากมีอะไรที่ทางเราจะช่วยเหลือได้ ขอเพียงคุณบอกมา เราจะร่วมมืออย่างเต็มที่ ถ้าแม้แต่สื่อมวลชนก็ยังไม่ได้รับการคุ้มครอง ผมคิดว่ารัฐบาลอัคคาอาจต้องทบทวนมาตราการความปลอดภัยเสียใหม่ ก่อนที่จะเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ"

เอกอัครราชทูตไทยกล่าวขอบคุณ ก่อนที่ตัวแทนแห่งสหรัฐอเมริกาจะขอตัวไปให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนที่มารอทำ ข่าว ท่านทูตสุวิกรมมองตามร่างท้วมของมิสเตอร์คล้ากจนกลืนหายไปในกลุ่มนักข่าว แล้วเอ่ยเสียงเครียดกับชายหนุ่มที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง

"คิดว่ายังไง? ธวัช"

" แปลกใจนิดหน่อยครับ ท่านทูต ผมคิดว่าจอมพลคาลันกับท่านทูตสหรัฐฯ จะมีท่าทีไปในทิศทางเดียวกันเสียอีก นี่ดูเหมือนทางสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้วางใจในตัวจอมพลคาลันนัก"

เอกอัครราชทูตไทยพยักหน้านิดหนึ่ง "ผมก็เคยกังวลอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะเดิมทีรัฐบาลของจอมพลคาลันได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกามาก่อนเป็น อย่างดี"

"แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนจะคลายความสัมพันธ์กันไปเสียแล้วล่ะครับ?"

ตัวแทนอย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทยยิ้มเยือกเย็น ขณะกล่าวกับเลขานุการส่วนตัว

"การเมืองไม่เคยมีความแน่นอนหรอก ธวัช อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้มีทางเลือกที่ดีกว่าอย่างนางปรียาวีร์ บางที...จอมพลคาลันอาจไม่รู้ตัวก็ได้ว่ากำลังคิดผิด"



โต๊ะตัวใหญ่ตรงมุมห้องอาหารของโรงแรมระดับห้าดาวกลางกรุงอัคการ์ ถูกจับจองด้วยชายสามคนซึ่งนั่งสนทนากันเงียบๆ มากว่าชั่วโมงแล้ว ทั้งสามมีสีหน้าเคร่งเครียด คนที่ท่าทางอายุน้อยที่สุดในที่นั้นดูกระวนกระวายกว่าอีกสองคนที่มีสีหน้า สงบนิ่งกว่า

"นี่แปลว่าจอมพลคาลันก็ยังไม่ได้ให้ความคืบหน้าอะไรอีกตามเคย แถมยังไม่คิดจะปรับเปลี่ยนท่าทีเลยหรือครับ? คุณธวัช"

"เท่าที่เขาบอกแก่ท่านทูตเมื่อคืนนี้เป็นอย่างนั้นครับ คุณธันย์"

"โธ่เอ๊ย แล้วนี่เราจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนกันล่ะครับ" ธันย์ยกมือเกาหัวแกรก ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดหลายครั้งติดๆ กัน

"ใจเย็นๆ ก่อนน่ะ ธันย์" คมเดชปรามลูกน้อง ก่อนหันมาซักถามต่อ "แล้วท่านทูตมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ?"

"ท่านทูตก็ยังกังวลถึงความปลอดภัยของคุณมัทรีเป็นอันดับแรกเหมือนเดิมนั่นแห ล่ะครับ ยิ่งเมื่อวานเกิดการปะทะกันอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพวกกบฏอัคคาเหนือจะทำอะไรเพื่อเป็นการข่มขู่รัฐบาลบ้างหรือเปล่า?"

"หมายถึง...ด้วยการทำร้ายมัทรีน่ะหรือครับ?"

"อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ถ้าพวกกบฏถูกกดดันอย่างนี้ต่อไป"

"แล้วเขาไม่ได้กังวลถึงเรื่องนี้บ้างเลยหรือครับ? หรือจริงๆ เขาก็ไม่ได้แคร์ว่าตัวประกันจะเป็นยังไง ขอแค่ปราบพวกกบฏได้เป็นพอ!" ธันย์โพล่งออกมาอย่างเหลืออด

"ผมคิดว่านั่นคงเป็นเป้าหมายสูงสุดของจอมพลคาลันครับ" ธวัชตอบอย่างใจเย็น ยกกาแฟขึ้นจิบนิดหนึ่ง กล่าวต่อไป "แต่สำหรับเรื่องนี้ ท่านทูตตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ข้อหนึ่งครับ"

คมเดชและธันย์ขยับเข้ามาใกล้ เปลี่ยนท่าทางท้อแท้เมื่อสักครู่เป็นสนอกสนใจขึ้นมาทันที

"ตามที่จอมพลคาลันอ้างว่ากองกำลังของรัฐบาลปะทะกับพวกของพันตรีวินธัยที่ ใกล้เมืองบันดุค ทำให้เราแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าฝ่ายนั้นก็กำลังเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างอยู่ เหมือนกัน"

"มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือครับ เขาอาจจะพามัทรีไปไว้ที่ไหนสักแห่งที่ปลอดภัย เพื่อไม่ให้ฝ่ายรัฐบาลตามเจอ" ธันย์แย้ง

"ใช่ครับ แต่อย่าลืมว่าเราได้รับข้อมูลจากร้อยเอกนาธานซึ่งยืนยันหนักแน่นว่าพันตรีวิ นธัยไม่ใช่กบฏ ทั้งยังเป็นนายทหารฝีมือดีของอัคคาเหนืออีกด้วย"

"คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือครับ? คุณธวัช"

"ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ" เลขานุการเอกอัครราชทูตตอบเรียบๆ "แต่ถ้าทางรัฐบาลไม่อาจพึ่งพาอะไรได้ ซ้ำยังมีท่าทีไม่น่าไว้ใจแบบนี้ ผมคิดว่าลองดูท่าทีอีกฝ่ายหนึ่งบ้างก็คงไม่ผิดอะไร ขอแค่ให้เราได้ตัวคุณมัทรีกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ว่าฝ่ายใดจะถูกหรือผิด นั่นก็เป็นเรื่องการเมืองภายในของเขา"

"แล้วท่าทีของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ล่ะครับ จะเป็นประโยชน์ต่อเราบ้างไหม?"

"สหรัฐฯ เองก็จับตาดูจอมพลคาลันอยู่เหมือนกันครับ และจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ไว้วางใจอะไรนัก สหรัฐฯ มองว่าการเมืองภายในอัคคากำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเมืองภายในภูมิภาคนี้ที่สงบมาระยะหนึ่งแล้ว"

"เอ ก็ไหนว่าเป็นมิตรกันมาดิบดี แล้วรัฐบาลชุดนี้ก็ได้รับแรงหนุนจากมหาอำนาจมากไงครับ"

"ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องในอดีตครับ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว มีโอกาสเป็นไปได้มากว่า จอมพลคาลันอาจปฏิวัติตัวเองและใช้กำลังเข้ายึดอัคคาเหนือ โดยอ้างว่าเพื่อปราบปรามความไม่สงบ แล้วกลับไปใช้การปกครองแบบเดิมอีกครั้ง ซึ่งนั่นย่อมเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ยอมไม่ได้"

คราวนี้ คมเดชและธันย์จึงถึงบางอ้อพร้อมกัน

" เพราะฉะนั้น หากจอมพลคาลันคิดจะดำเนินการเช่นที่ว่ามา ผมคิดว่าเขาคงจะถูกกดดันเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเรา อย่างน้อยที่สุด คุณมัทรีก็อาจจะปลอดภัย ตราบใดที่จอมพลคาลันยังไม่ได้ใช้ความรุนแรงขั้นเด็ดขาด"

ธันย์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน ครางออกมาเบาๆ

"โอย ผมปวดหัวไปหมดแล้วครับ เรื่องการเมือง เรื่องแย่งชิงอำนาจกันพวกนี้ บอกตรงๆ ว่าผมไม่เคยเห็นเป็นสาระมาก่อน แล้วก็ไม่คิดจะสนใจเลย นี่ถ้าไม่เพราะมัทโดนจับตัวไป ผมสารภาพว่าไม่อยากจะรับรู้เรื่องพรรค์นี้เลยจริงๆ"

ธวัชยิ้มนิดหนึ่ง "ถูกของคุณแล้วครับ คุณธันย์ มันไม่ได้มีสาระอะไรเลย แต่มนุษย์เรานี่แหล่ะที่โลภไม่จบสิ้น จึงได้เกิดเป็นเรื่องสู้รบกันขึ้นมาอยู่ทุกวันนี้ไงล่ะครับ"

"แล้วนี่เราจะได้รู้ข่าวเกี่ยวกับมัทกันเมื่อไหร่ล่ะครับ รอมาเป็นอาทิตย์แล้วก็ไม่คืบหน้าสักที"

"คงต้องอดทนรอต่อไปครับ แต่ตอนนี้ท่านทูตเห็นว่าเราคงต้องขอความร่วมมือจากนานาประเทศ เพื่อกดดันจอมพลคาลันไม่ให้ใช้ความรุนแรงในการปราบปราม ซึ่งเมื่อคืนนี้ท่านก็ได้ดำเนินการเจรจากับเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ ไปบ้างแล้ว"

"ผมเกรงว่าผมและธันย์คงจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกไม่กี่วัน เพราะทำเรื่องมาเท่านี้ นี่ก็ใกล้ถึงเวลากลับแล้ว คงต้องกลับเมืองไทยไปก่อน แล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด"

"อย่ากังวลเลยครับ คุณคมเดช ผมอยู่ทางนี้จะพยายามติดตามข่าวคุณมัทรีอย่างสุดความสามารถ และจะส่งข่าวให้เป็นระยะครับ"

"ฝากด้วยนะครับ คุณธวัช ผมเองก็คงต้องกลับไปแจ้งข่าวกับแม่ของมัทรีเขาด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง"

"ผมคอยโทรหาทุกวันครับ พี่คม ท่าทางคุณป้าเป็นห่วงมาก เห็นบอกว่านอนไม่หลับมาหลายคืน น่าเป็นห่วงเรื่องสุขภาพจริงๆ" ธันย์พูด น้ำเสียงวิตกกังวล

มารดาของมัทรีอาศัยอยู่เพียงลำพังกับเด็กรับใช้ ที่ไม่รู้ประสีประสาคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เขาโทรทางไกลกลับไป ก็รู้สึกลำบากใจที่ต้องตอบคำถามด้วยประโยคเดิมๆ ว่า ยังไม่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับมัทรีเลย

วันนี้เขาก็ต้องโทรไปหามารดาของ เพื่อนสนิทอีกตามเคย แต่ก็ยังลังเลใจอยู่ว่าจะบอกเรื่องการปะทะกันของทหารอัคคาใต้กับฝ่ายกบฏให้ หญิงวัยกลางคนทราบดีไหม ด้วยเกรงว่าจะทำให้ตื่นตกใจและเป็นกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก

...อย่าบอกเลยดีกว่า รอให้ทุกอย่างชัดเจนกว่านี้ก่อน...ธันย์สรุปกับตัวเอง

กลับไปคราวนี้ เขาอาจต้องไปค้างที่บ้านมัทรีเพื่ออยู่เป็นเพื่อนมารดาของหล่อนและคอยรายงานสถานการณ์ให้ทราบเป็นระยะๆ

ช่างภาพหนุ่มหวังเหลือเกินว่าจะมีข่าวดีเกี่ยวกับเพื่อนสาวในเร็ววัน

(จบตอนที่ 18)






Create Date : 19 ธันวาคม 2551
Last Update : 3 มีนาคม 2552 9:33:55 น. 5 comments
Counter : 347 Pageviews.

 
ตอนนี้อ่านแล้วอยากเป็นมัทรี ..
ฝากบอกว่าถ้าหนีเหนื่อยแล้ว เปลี่ยนตัวกันมั่งก็ด้ายย
ตอนหลบลูกกระสุนค่อยเปลี่ยนตัวกลับ


โดย: Paulo วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:10:02:15 น.  

 
เพิ่งมาอ่านเพราะไม่รู้ว่าตอนที่17 มาแล้ว ตอนต่อไปช่วยกระซิบบอกหน่อยนะคะ

ทำไมเขียนเก่งอย่างนี้ บรรยายจนเห็นภาพเหมือนตามเข้าไปในเมืองโหดร้ายนั้นด้วย ตัดเรื่องได้เหมาะเจาะมาก ไม่อ้อมค้อมแต่เข้าใจได้กระจ่าง พิมพ์ก็ไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว มีความละเมียดละไมเหลือเกิน ชวนอ่าน ชวนติดตาม บอกได้ว่า "ตื่นเต้นและสนุกค่ะ"


โดย: nathanon วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:1:26:13 น.  

 
หายไปนานเลยนะค่ะ เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากๆค่ะ เขียนดีมากๆค่ะ แต่ไม่มีตอนต่อไปแล้วเหรอค่ะ


โดย: JUTE IP: 115.67.184.29 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:53:34 น.  

 
มีข้อความหลังไมค์ค่ะ


โดย: nathanon วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:2:47:57 น.  

 
มาตามพี่วินธัยอ่ะ อยู่หนายยยยย


โดย: Paulo วันที่: 5 มีนาคม 2552 เวลา:13:25:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.