....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
20 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 1-2

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ใช้ฉากในดินแดนสมมติค่ะ
เป็นเรื่องยากทีเดียวในการจะจินตนาการถึงสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง (คนละเรื่องกับปายเลยเนาะ) แต่อิฉันก็จะพยายามลากมันไปให้จบอย่างสวยงามค่ะ

ขอฝากนิยายเรื่องใหม่นี้ไว้ด้วยนะคะ
******************************

-ตอนที่ 1-

ท่ามกลางความจอแจของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอันเป็นจุดผ่านเข้าออกประเทศ ชายหนุ่มต่างวัยสองคนยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าประตูทางเข้าของผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ คนหนึ่งนั้นอายุเกือบ 50 ปี สวมสูทสีเทาเข้มทับเสื้อเชิ้ตสีอ่อน กางเกงผ้าสแล็คขายาวสีเดียวกับเสื้อนอก ในมือมีกระเป๋าเอกสารสีน้ำตาลแก่ใบหนึ่ง เขาสอดส่ายสายตาไปในฝูงชนหลากเชื้อชาติที่เดินขวักไขว่ผ่านมาในระยะสายตา คิ้วหนาเข้มเหนือแว่นตากรอบทองขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งยากใจ บ่อยครั้งที่ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ สลับกับมองซ้ายขวาราวกับกำลังเฝ้ารอใครคนหนึ่งอยู่

ชายอีกคนมีวัยอ่อนกว่าเกือบครึ่ง เขาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ็กเก็ตแบบสูทสีน้ำตาลแก่ ท่อนล่างสวมกางเกงยีนสีเข้ม ไหล่ข้างหนึ่งมีกระเป๋ากล้องใบใหญ่ห้อยอยู่ เขาเดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย และจับจ้องดูนาฬิกาแบบสายหนังที่ข้อมืออย่างกระวนกระวายใจเช่นกัน

ทันทีที่เห็นหญิงสาวร่างโปร่งคนหนึ่งเดินเร็วๆ หลบหลีกผู้คนตรงเข้ามาหา ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นโบก พลางร้องเรียกเสียงดัง

“มัท!!”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกโดยไม่หยุดฝีเท้า จึงชนเข้ากับแหม่มฝรั่งคนหนึ่งที่เดินตัดหน้ามา เธอหันไปขอโทษขอโพย ก่อนสาวเท้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดหอบแฮ่กลงตรงหน้าชายหนุ่ม

“ทำไมชักช้านัก? จะตกเครื่องอยู่แล้ว” ชายหนุ่มโวยเสียงไม่ค่อยนัก

“ขอโทษที ก็แม่น่ะสิ กว่าจะปล่อยตัวมาได้ ต้องร่ำลากันอยู่หลายรอบ” หญิงสาวตอบทั้งๆ ที่ยังหายใจแรง

“อะไรกัน ไม่ใช่เด็กแล้วนะ แม่ยังหวงอยู่อีกเหรอ?”

ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยว่าอะไรต่อไป ชายอีกคนหนึ่งก็เอ่ยเตือนขึ้นเสียก่อน ด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“อย่ามัวแต่คุยกันเลย รีบเข้าไปเถอะ นี่เราเช็คอินเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? มัทรี”

“ค่ะ” มัทรีพยักหน้ารับ แล้วก้าวตามชายคนดังกล่าวเข้าประตูไป โดยมีชายหนุ่มอีกคนเดินรั้งท้าย


บนเครื่องบินโดยสารขนาดโบอิ้งของสายการบินนานาชาติ พนักงานต้อนรับกำลังเดินตรวจเช็คความเรียบร้อยของผู้โดยสารเป็นครั้งสุดท้าย มัทรีนั่งอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยชายต่างวัยทั้ง 2 คน ชายหนุ่มยังคงไต่ถามถึงสาเหตุที่หล่อนมาช้าไม่ขาดปาก พอรู้ว่ามัทรีมาช้าเพราะถูกมารดารั้งไว้เป็นนานสองนาน ก็ส่ายหน้าเบาๆ พลางยิ้มขัน

“แม่เธอนี่หวงลูกสาวเสียจริง ไม่รู้จะหวงไปทำไม อย่างเธอน่ะ ใคร๊จะกล้ามาทำอะไร”

“นี่พูดดีๆ นะนายธันย์ ไปต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ แม่ที่ไหนจะไม่ห่วงลูกกันบ้างล่ะ”

“ใช่ว่าเธอจะไม่เคยไปเมืองนอกซะที่ไหน เรียนเมืองนอกก็ตั้งหลายปี ไปทำข่าวก็เกือบจะทั่วโลกแล้วล่ะมั้ง” ธันย์ว่า

“ก็นั่นมันไปเรียน แล้วประเทศที่เคยไปก่อนหน้านี้ ก็ไม่เหมือนคราวนี้”

มัทรีนึกย้อนไปถึงวันที่หล่อนบอกกับมารดาว่าจะต้องไปทำงานต่างประเทศ เมื่อเอ่ยชื่อประเทศที่เป็นจุดหมายแล้ว มารดาของหล่อนก็ทักท้วงขึ้น

“บ้านเมืองนี้ มันไม่ค่อยจะสงบไม่ใช่เหรอลูก…” คุณรัตนาเอ่ย น้ำเสียงและสายตาที่มองบุตรสาวเพียงคนเดียวมีร่องรอยเป็นกังวลอย่างชัดเจน

“ก็...ใช่ค่ะแม่” มัทรีตัดสินใจตอบอย่างตรงไปตรงมา “แต่เราไปตามคำเชิญของสถานทูต เขาคงไม่ปล่อยให้เราเข้าไปในที่ที่อันตรายหรอกค่ะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” มารดาของหล่อนถอนหายใจเบาๆ “แม่ดูข่าวทีวี เห็นเขาว่ามีประท้วงเกือบทุกวัน มีวางระเบิดกันบ่อยๆ ก็ไม่สบายใจ อีกอย่าง ประเทศอะไรก็ไม่รู้ ลึกลับจนแทบจะชี้ไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหนในแผนที่โลกอย่างนี้ แม่ไม่ค่อยสบายใจเลย...ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก?”

หญิงสาวละมือจากมะม่วงที่ปอกค้างไว้ เดินมาสวมกอดผู้เป็นแม่จากด้านหลัง เอาคางเกยไหล่มารดาไว้อย่างประจบ

“ลูกสาวแม่เป็นนักข่าวนะคะ ไม่ไปเขาก็ไล่ออกสิคะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะแม่ มัทน่ะไปมาทั่วโลกแล้ว ไปอีกซักประเทศ จะเป็นไรไป”

คุณรัตนาถอนใจอีกครั้ง เอ่ยเบาๆ เหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า “ก็ถ้ารู้ว่าเป็นนักข่าวแล้วอยู่ไม่ติดบ้านแบบนี้ แม่จะไม่ให้เป็นหรอก ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาก็หลายปี นึกว่าเรียนจบแล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่บ้าง นี่ตะลอนๆ ไปนู่นไปนี่ไม่ได้หยุดเลย”

“โธ่ นักข่าวนะคะแม่ มีที่ไหนบ้างที่ได้อยู่กับที่เฉยๆ ต่อให้ไม่ได้ทำข่าวต่างประเทศอย่างมัทก็เถอะ แล้วถ้ามัทอยู่กับบ้านเฉยๆ จริง แม่นั่นแหล่ะจะเบื่อมัท ทีนี้ขี้คร้านจะไล่ให้ไปไกลๆ”

มัทรีจำได้ว่ามารดาของหล่อนถอนหายใจอีกหลายครั้งอย่างไม่คลายกังวล หล่อนต้องรับประกันอยู่เป็นนานกว่ามารดาจะยินยอมให้หล่อนไปทำงานไกลบ้านครั้งนี้ แต่เช้านี้ที่หล่อนต้องเดินทางไปจริงๆ มารดาก็อดไม่ได้ที่จะร่ำลาอยู่เป็นนานสองนาน สั่งแล้วสั่งอีกให้ดูแลตัวเองดีๆ และเตือนไม่ให้ไปในที่ที่เสี่ยงอันตราย หล่อนต้องรับปากหลายครั้งกว่ามารดาจะยอมวางใจและปล่อยหล่อนออกจากบ้าน จึงทำให้หล่อนมาถึงสนามบินช้ากว่าที่นัดธันย์และคมเดช เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าของหล่อนเกือบ 2 ชั่วโมง


เครื่องบินเทคออฟและไต่ระดับอยู่ครู่ใหญ่ เสียงสัญญาณให้ปลดเข็มขัดนิรภัยจึงดังขึ้น ตามด้วยเสียงกัปตันประจำเครื่องทักทายผู้โดยสารเป็นภาษาอังกฤษตามธรรมเนียม คมเดชก้มตัวไปดึงกระเป๋าเอกสารที่สอดไว้ใต้เบาะที่นั่ง แล้วยกขึ้นมาวางบนตัก ปากก็พูดกับผู้ร่วมงานทั้งสองคน

“เอกสารเกี่ยวกับ ‘อัคคา’ อ่านกันละเอียดแล้วใช่ไหม?”

มัทรีพยักหน้ารับ เปิดกระเป๋าเอกสารสีเทาที่วางอยู่บนตักเช่นกัน ส่วนธันย์ยังเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ แต่ส่งเสียงมาว่า

“อ่านแล้วล่ะครับ พี่คมเล่นให้มาเป็นตั้ง กว่าจะอ่านจบ เซ็งแทบแย่”

“ถึงนายจะเป็นช่างภาพ แต่ยังไงก็ต้องศึกษาข้อมูลเอาไว้บ้าง เวลาเขาพาไปดูอะไร จะได้พอรู้เป็นเลาๆ ไม่ใช่เอะอะอะไรจะถ่ายรูปท่าเดียว” มัทรีว่า เพื่อนร่วมงานของหล่อนดึงตัวขึ้นจากท่าครี่งนั่งครึ่งนอน เอื้อมมือผ่านคนที่นั่งตรงกลาง รับเอาเอกสารแผ่นบางๆ ที่คมเดชยื่นส่งมาให้ ปากก็ต่อความกับหญิงสาวอย่างไม่ยอมแพ้

“จ้า แม่คนข้อมูลจัด ฉันบอกแล้วไงว่าอ่านมาแล้ว แต่จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ นี่อะไรครับ? พี่คม” ประโยคหลังชะโงกหน้าถามหัวหน้างาน

“ภาษาพื้นเมืองของอัคคา ถึงประเทศนี้จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ แต่ตามชนบทก็ยังใช้ภาษาพื้นเมืองอยู่ ลองจำๆ ไว้ เผื่อไปตามหมู่บ้าน จะได้ทักทายชาวบ้านเขาได้”

“เอ๊ะ นี่มันมีแต่ภาษาพื้นเมืองของอัคคาเหนือนี่คะ แล้วอัคคาใต้ล่ะคะ ไม่มีภาษาพื้นเมืองหรือ?” มัทรีถาม เมื่อหันไปมองคมเดชก็เห็นหัวหน้างานวัยกลางคนปิดกระเป๋าแล้วสอดไว้ใต้เบาะนั่งตามเดิม

“ตามกำหนดการที่ท่านทูตส่งมาให้ ทางนั้นเขาไม่มีแผนจะพาเราไปที่อื่นในอัคคาใต้ นอกจากเมืองหลวงนะ แต่ที่อัคคาเหนือ เขาจะพาเราไปหลายที่เลยล่ะ”

มัทรีพยักหน้ารับรู้ พลางนึกถึงเอกสารเกี่ยวกับประเทศอัคคาปึกใหญ่ที่คมเดชแจกให้หล่อนและธันย์ หลังจากเรียกทั้งสองคนเข้าไปพบยังห้องทำงานเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้

“เอ้า เอาไปอ่านซะ” หัวหน้างานของหล่อนวางเอกสารหนากว่า 50 หน้าลงบนโต๊ะทำงาน ตรงหน้าหล่อนและธันย์คนละชุด

“อะไรครับ? พี่” ธันย์ถาม เอื้อมมือไปหยิบเอกสารมาพลิกดูเช่นเดียวกับมัทรี

“ข้อมูลของ ‘อัคคา’ ที่พี่จะให้เราไปทำงาน อีก 2 อาทิตย์” คมเดชตอบเรียบๆ

“อัคคา... ประเทศเล็กๆ ใกล้อินเดียน่ะเหรอคะ” มัทรีถามพลางเลิกคิ้วน้อยๆ

“ใช่” คมเดชพยักหน้า

“เอ... แต่เรามีฝ่ายข่าวประจำอยู่แถบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ ทำไมพี่ต้องให้เราไปอีก?” ธันย์แย้งขึ้น

“ใช่ แต่ที่พี่จะให้เราไปคราวนี้ ไม่ได้ให้ไปทำข่าว” คมเดชเอ่ยต่อไปเมื่อเห็นผู้ร่วมงานทั้งสองคนมองมาอย่างสงสัย “พอดีท่านทูตสุวิกรม ทูตไทยประจำอัคคาติดต่อมาหาพี่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน ท่านทูตสนิทสนมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอัคคา แล้วทางนั้นเขาอยากจะโปรโมทการท่องเที่ยวของประเทศเขาให้เป็นที่รู้จักในบ้านเรา ท่านสุวิกรมเลยมาขอให้พี่ทำสกู๊ปเกี่ยวกับอัคคาลงหนังสือพิมพ์ของเรา ติดต่อกันซักเดือนหนึ่ง”

ธันย์พยักหน้ารับรู้ พลางก้มหน้าดูเอกสารในมือต่อไป แต่มัทรีเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างตั้งข้อสังเกต “แต่ประเทศนี้กำลังมีปัญหาภายในอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ทำไมเขาถึงคิดจะโปรโมทการท่องเที่ยวในตอนที่บ้านเมืองยังไม่สงบ แล้วนักท่องเที่ยวจะปลอดภัยเหรอคะ?”

“สถานการณ์ของเขาค่อนข้างสงบแล้วล่ะ แล้วปลายปีนี้ก็กำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไป หลังจากเลือกตั้งแล้ว อะไรๆ ก็คงจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เขาจึงคิดอยากจะโปรโมทการท่องเที่ยวเสียแต่เนิ่นๆ ส่วนเรื่องความปลอดภัย ถ้าทางนั้นเขาไม่แน่ใจก็คงไม่คิดจะทำโครงการนี้หรอก อีกอย่าง ท่านทูตท่านสนิทกับรัฐมนตรีต่างประเทศของทางนั้นเป็นการส่วนตัว ก็คงเป็นการขอร้องในฐานะเพื่อนด้วย”

มัทรีไหวไหล่เบาๆ เหมือนไม่ใส่ใจจะซักถามอะไรอีก คมเดชจึงกล่าวต่อว่า

“ทางบก. บห. อนุมัติโครงการนี้มาแล้ว พี่เลยต้องเลือกคนที่จะไปทำงานนี้ มาลงตัวเอาที่เราสองคน ตกลงจะทำไหม?”

“ผมไม่มีปัญหาครับพี่ ไปไหนไปกันอยู่แล้ว” ธันย์ตอบง่ายๆ

ดังนั้น คมเดชจึงหันไปทางมัทรีแล้วเอ่ยปากถามซ้ำ “แล้วเราล่ะ มัท? ที่พี่เลือกเราไปแทนที่จะเป็นนักข่าวผู้ชาย ก็เพราะงานคราวนี้ไม่ได้ไปทำข่าวรบพุ่งที่ไหน เป็นสกู๊ปแนะนำประเทศแล้วก็ที่เที่ยวต่างๆ แล้วบทความสไตล์นี้ มัทก็เป็นมือหนึ่ง งานระดับชาติขนาดนี้ พี่ไม่ไว้ใจคนอื่น เกิดมีอะไรบกพร่อง ไม่ถูกใจเขาขึ้นมา จะเสียไปถึงท่านทูตด้วย”

มัทรีหัวเราะเบาๆ “ตกลงสิคะ พี่คม มัทเคยมีปัญหาเกี่ยงงานที่ไหน ต่อให้พี่คมพาคลานเข้าไปถึงกลางสนามรบ มัทก็ไม่เกี่ยง”

หญิงสาวรับปากโดยทันที แม้ว่าในใจจะกังวลถึงมารดาว่าจะไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องงานแล้ว หล่อนไม่เคยจะลังเลหรือเกี่ยงงอน เพราะรู้ดีว่าอาชีพนักข่าวนั้นต้องทรหดอดทนเพียงใด ไม่อย่างนั้นหล่อนก็คงไม่เลือกเรียนต่อทางด้านนี้ แล้วเดินเข้ามาสมัครงานที่หนังสือพิมพ์ Siam News โดยไม่มีเส้นสายที่ไหนหนุนหลัง หล่อนต้องวิ่งทำข่าวรายวันอยู่หลายปี กว่าจะลับฝีมือขึ้นมาเป็นนักเขียนบทความวิเคราะห์ข่าวมือระดับต้นๆ ในฝ่ายข่าวต่างประเทศของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษยักษ์ใหญ่นี้ โดยรับหน้าที่เขียนสกู๊ปท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมลงในนิตยสารข่าวรายสัปดาห์หัวเดียวกันด้วยอีกงานหนึ่ง


เสียงดนตรีคลาสสิคจากหูฟังประจำที่นั่งดังเบาๆ หญิงสาวพลิกเอกสารเล่มหนาในมือ ไล่สายตาไปตามแถบสีที่หล่อนใช้ปากกาป้ายไว้ตามข้อมูลสำคัญๆ อ่านทวนอีกครั้งเพื่อกันลืม ธันย์ที่เอนร่างหลับอยู่ข้างๆ พลิกตัวเบาๆ หน้าที่ช่างภาพอย่างเขาคงไม่ใส่ใจกับข้อมูลมากนัก ส่วนคมเดช เขาพกหนังสือเล่มเล็กติดตัวไว้สำหรับอ่านเล่นระหว่างเดินทางเสมอ

‘อัคคา เป็นประเทศเล็กๆ อยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย
พรมแดนด้านเหนือเป็นเทือกเขาสูงที่ติดต่อกับเทือกเขาหิมาลัย พรมแดนตอนใต้ติดประเทศอินเดีย...
เดิมแบ่งออกเป็น อัคคาเหนือและอัคคาใต้ ปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร
แต่เมื่อ 8 ปีที่แล้วได้รวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่กรุงอัคการ์ อดีตเมืองหลวงของอัคคาใต้และเป็นเมืองหลวงในปัจจุบัน...
ผู้มีอำนาจสูงสุดคือ จอมพลคาลัน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน’


เอกสาร 20 กว่าแผ่นตอนท้ายเป็นรูปสถานที่ต่างๆ ทั้งในอัคคาเหนือและอัคคาใต้ ภาพส่วนใหญ่เป็นสถานที่สำคัญในกรุงอัคการ์ เมืองหลวงของประเทศ ที่เหลือนั้นเป็นภาพเมืองเล็กๆที่ผู้คนยังคงแต่งชุดพื้นเมืองดูแปลกตา และภาพของทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามสมบูรณ์ ตัวหนังสือใต้ภาพระบุว่าเป็นภาพที่ถ่ายจากแคว้นต่างๆ ของอัคคาเหนือ

ความแตกต่างอย่างชัดเจนของอัคคาเหนือและอัคคาใต้ทำให้หญิงสาวนึกสนใจสภาพบ้านเมืองของอัคคาเหนือ มากกว่าข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ระบุอยู่ในเอกสาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของอัคคาใต้ หล่อนเงยหน้าขึ้นมองจอสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ติดอยู่ด้านหลังพนักพิงของเก้าอี้แถวหน้า จอสี่เหลี่ยมฉายภาพเส้นทางการบินระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปยังกรุงเดลี ประเทศอินเดีย อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมาย คณะของหล่อนต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่นั่นเสียก่อน แล้วจึงนั่งเครื่องบินขนาดเล็กต่อไปจนถึงกรุงอัคการ์ เมืองหลวงของประเทศอัคคา

มัทรีรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่หล่อนเคยเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มาเกือบจะทั่วโลก ทั้งประเทศที่ความเจริญได้พัฒนาจนถึงขีดสุด ไปจนถึงประเทศที่ประชากรกว่าครึ่งยังไม่เคยเห็นหรือแม้แต่รู้จักไฟฟ้า แต่การเดินทางครั้งนี้ กลับทำให้หล่อนรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก หล่อนใคร่ที่จะไปเห็นและได้สัมผัสความแตกต่างทางอารยธรรมของดินแดนเล็กๆ ที่แทบจะไม่เป็นที่รู้จักแห่งนี้เหลือเกิน


เกือบ 3 ชั่วโมงหลังเปลี่ยนเครื่องบินที่กรุงเดลี ประเทศอินเดีย ผู้เดินทางจากเมืองไทยทั้งสามคนก็เข็นรถเข็นบรรทุกกระเป๋าเดินทางออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินนานาชาติกรุงอัคการ์ คมเดชล้วงมือหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อสูทแล้วพลิกดู เอ่ยปากขอความเห็นกับสองหนุ่มสาวที่มาด้วย

“เอ...ท่านทูตบอกว่าจะส่งรถของสถานทูตมารับ นี่ยังมองไม่เห็นใครเลย คงต้องลองโทรเข้าไปที่สถานทูตดู ดีไหม?”

“ไม่ต้องล่ะมั้งครับพี่” ธันย์พูด แล้วชี้มือไปทางกลุ่มคนที่มารอรับผู้โดยสาร มีป้ายเขียนด้วยภาษาอังกฤษชูอยู่จำนวนหนึ่ง หนึ่งในป้ายเหล่านั้นมีข้อความพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นภาษาอังกฤษว่า

“Mr.Komdech & Group;
from Thailand”


ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินกรมท่าที่ยืนถือป้ายอยู่ยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นคณะบุคคลทั้ง 3 คนเดินเข้ามาหา เขายกมือไหว้คมเดช แล้วเอ่ยทักทายเป็นภาษาไทย

“สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณคมเดช” เมื่อคมเดชพยักหน้ารับ เขาก็เอ่ยปากแนะนำตัว “ผมชื่อธวัช ท่านทูตส่งผมมารับพวกคุณครับ”

“สวัสดีครับ นี่ทีมของผม... ธันย์ เป็นช่างภาพ ส่วนนี่ มัทรี นักเขียนที่จะมาทำงานนี้ครับ”

ธวัชยกมือรับไหว้ธันย์และมัทรี เมื่อเขาหันมาทางหล่อน หญิงสาวก็สังเกตเห็นเขามีสายตาไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย แต่ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับไปหาคมเดช

“เราไปกันเลยไหมครับ รถของสถานทูตจอดอยู่ทางด้านโน้น”

คมเดชพยักหน้าแล้วออกเดินตามหลังชายหนุ่มไปทันที ส่วนธันย์ที่เดินเคียงกันไปกับมัทรีจุ๊ปากเบาๆ หันซ้ายหันขวาไปมาท่าทางตื่นเต้น

“เยี่ยมไปเลยนะ ไม่คิดว่าประเทศเล็กๆ แบบนี้จะมีสนามบินใหญ่เอาเรื่อง คิดว่าจะเล็กกว่าดอนเมืองซะอีก”

มัทรียิ้ม ไม่ตอบว่าอะไร แม้หล่อนเองจะศึกษาข้อมูลและรู้ว่าอัคคาใต้มีความเจริญพอใช้ แต่ก็ไม่คิดว่าสนามบินนานาชาติแห่งนี้จะใหญ่โตโอ่โถงและสวยงามอย่างน่าดู ทั้งๆ ที่ประชากรทั้งประเทศมีจำนวนน้อยกว่าประชากรของกรุงเทพฯ และจำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าออกประเทศนี้ในฐานะนักท่องเที่ยวก็ยิ่งน้อยกว่าน้อยเสียอีก ขณะที่หล่อนเข็นรถเข็นไปตามทางเดินมุ่งสู่ประตูทางออกนี้ ก็เห็นมีคนเดินผ่านไปมาเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น และเมื่อพิจารณาดูแล้วก็ลงความเห็นว่าน่าจะเป็นชาวพื้นเมืองอัคคาเองมากกว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศ มิหนำซ้ำกลุ่มคนเหล่านั้นยังเหลียวมองคณะของหล่อนอย่างแปลกใจเสียด้วยซ้ำไป


รถแวนสีบรอนซ์ประทับตราสถานทูตไทย มีธงไตรรงค์เล็กๆ โบกสะบัดอยู่ที่หน้ารถแล่นออกจากสนามบินที่ตั้งอยู่นอกเมือง มุ่งหน้าไปตามถนนขนาด 4 เลน เพื่อเข้าสู่กลางกรุงอัคการ์ สองข้างถนนยังเป็นป่าโปร่งสลับกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่

“ประเทศอัคคา สวยงามกว่าที่ผมคิดไว้เยอะนะครับ” คมเดชซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะแถวหน้าคู่กับธวัชเอ่ยขึ้นอย่างชวนคุย

“ครับ อัคคาใต้อุดมสมบูรณ์พอสมควร ซ้ำยังติดแม่น้ำ มีทางออกสู่มหาสมุทรอินเดีย ถึงแม้จะเพิ่งเปิดประเทศเพราะสถานการณ์การเมืองในประเทศเพิ่งสงบ แต่ดูท่าอีกหน่อยก็คงเจริญไม่แพ้กรุงเทพฯ หรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ลำบากอะไรที่จะโปรโมทการท่องเที่ยวสินะครับ มิน่าล่ะ ท่านทูตถึงตกลงใจรับปากกับรัฐมนตรีของอัคคา” คมเดชกล่าวต่อไป พลางทอดตามองออกไปนอกกระจกรถ

“ครับ แต่อย่าลืมว่าโครงการนี้ ต้องรวมอัคคาเหนือด้วย อาจไม่สะดวกสบายเหมือนที่นี่นัก”

“เอ๊ะ อัคคาเหนือไม่เหมือนที่นี่หรอกหรือครับ? เห็นว่ารวมประเทศกันแล้ว” ธันย์ที่นั่งข้างมัทรีอยู่ที่เบาะหลังชะโงกหน้ามาถาม

“ผมว่า ท่านทูตจะตอบคุณได้ในทุกรายละเอียดครับ” ธวัชกล่าวสั้นๆ เหมือนไม่อยากพูดคุยหรือให้ข้อมูลอะไรมากไปกว่าที่ทางสถานทูตเคยได้ให้ไว้ ธันย์จึงถอยกลับไปนั่งในท่าเดิม ส่วนมัทรียังคงมองดูทิวทัศน์สองข้างทางที่รถแล่นผ่านไปอย่างสนใจ


รถแวนแล่นเข้าประตูไม้หนาหนักขนาดใหญ่ซึ่งเลื่อนเปิดออกในทันทีที่รถเลี้ยวจากถนนสายหลักเข้าสู่ทางเข้าเล็กๆ สองข้างทางครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่ ป้ายสถานทูตไทยขนาดใหญ่ติดอยู่ที่ด้านข้างประตู บนขอบรั้วคอนกรีตสีขาวสูงกว่า 2 เมตรมีธงไตรรงค์ปักอยู่เป็นระยะๆ เมื่อรถผ่านประตูเข้าไป คณะเดินทางทั้งหมดก็มองเห็นอาคารสองชั้นขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่เป็นศูนย์กลาง ด้านหลังอาคารเห็นตึกเล็กๆ 2-3 หลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ ด้านหน้ามีสนามหญ้าและพุ่มไม้ดอกของไทยที่ตัดแต่งเอาไว้อย่างงดงาม รถแวนแล่นเข้าไปจอดด้านหน้าตึก ธวัชก้าวลงจากรถ รอจนทุกคนลงมาครบแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“ผมจะพาคุณไปพบท่านทูตก่อน ท่านกำลังรออยู่ แล้วจากนั้นจึงจะพาพวกคุณไปยังโรงแรมที่พักครับ”

-จบตอนที่ 1-


-ตอนที่ 2-


ท่านทูตสุวิกรมเป็นชายร่างสูงใหญ่ อายุกว่า 50 ปี ดวงหน้าสงบแต่แววตามีแววเฉลียวฉลาดและทันคน ผมสีเทาเกือบทั้งศีรษะตัดสั้นอย่างเรียบร้อย เขาสวมสูทสีดำ ทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผูกเน็คไทสีเหลืองอ่อน เมื่อเดินเข้ามายังห้องรับรองที่คณะบุคคลทั้งสามจากเมืองไทยถูกนำมารออยู่ก่อน คมเดชก็ลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ ธันย์และมัทรีก็ทำตามโดยอัตโนมัติ

“สวัสดีคุณคมเดช เชิญนั่งเถอะ ตามสบาย” ท่านทูตทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวยาวที่ว่างอยู่ ธวัชยืนสงบอยู่ด้านข้าง

“ดีใจจริงที่ได้พบคุณ การเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหม?”

“ครับ เรียบร้อยดี” เมื่อตอบเสร็จ คมเดชก็หันไปแนะนำธันย์และมัทรีตามลำดับ ท่านทูตกล่าวต้อนรับแล้วหันไปทางมัทรี เอ่ยอย่างเป็นกันเอง

“ทีแรก ผมไม่คิดว่าคุณคมเดชจะเลือกนักเขียนผู้หญิงมาในที่แบบนี้”

มัทรียิ้มบางๆ แต่ในใจของหญิงสาวรู้สึกสะดุดใจเล็กน้อยในคำพูดของอีกฝ่าย เขาเห็นว่าผู้หญิงอย่างหล่อนจะทำงานไม่ได้เรื่องหรือไงกันนะ?

“มัทรีเป็นนักเขียนสารคดีที่มีฝีมือมากที่สุดคนหนึ่งของหนังสือพิมพ์เราครับ เธอมีแฟนติดตามอ่านบทความมากพอสมควร ผมคิดว่าจะเป็นผลดีสำหรับงานนี้มากครับ” คมเดชตอบพร้อมรับประกันอย่างหนักแน่น เข้าใจว่าท่านทูตสุวิกรมเป็นกังวลกับนักข่าวสาวที่ดูจะอ่อนเยาว์เกินไปในสายตาคนอื่น

“ผมไม่ได้กังวลเรื่องฝีมือของเธอหรอก คุณดมเดช...” ท่านทูตกล่าวเรื่อยๆ ในขณะที่ธวัชขยับตัวเล็กน้อย “ผมห่วงเรื่องความสะดวกสบายและความปลอดภัยของเธอมากกว่า”

“เอ๊ะ มีอะไรหรือครับ? ผมคิดว่าทุกอย่างที่นี่น่าจะเรียบร้อยดี” คมเดชถาม ในขณะที่ธันย์และมัทรีตั้งใจฟังอย่างเต็มที่

“ก็... ไม่มีปัญหาอะไรมากนักในอัคคาใต้...ที่ผมต้องขอพบพวกคุณก่อน แทนที่จะให้พวกคุณได้พักผ่อนทั้งๆ ที่เพิ่งเดินทางมาถึง ก็เพราะเย็นนี้ผมมีงานสำคัญ และมีเรื่องต้องชี้แจงพวกคุณก่อน เป็นข้อมูลที่ไม่ได้มีอยู่ในข้อมูลของรัฐบาลอัคคา ที่ส่งให้คุณไปก่อนหน้านี้” ท่านทูตหันไปพยักหน้าให้ธวัช ชายหนุ่มก้าวเข้ามาตรงกลางแล้วแจกเอกสารที่ถือมาให้แก่ผู้มาเยือนครบทุกคน

“ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่างานที่ผมได้ตกลงรับปากกับท่านรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอัคคานั้น เป็นเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศ ทางรัฐบาลของเราเห็นถึงลู่ทางลงทุนในประเทศนี้ซึ่งกำลังจะเปิดเสรีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนั้น เมื่อท่านรัฐมนตรีเอ่ยปากขอความร่วมมือ เราจึงไม่ปฏิเสธ แต่การเมืองในประเทศของอัคคาก็เป็นเรื่องที่เรากังวลอยู่พอสมควร จริงอยู่ว่าอัคคาได้รวมประเทศและเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 8 ปีแล้ว แต่การเมืองภายในก็ยังวุ่นวายไม่รู้จบ”

ท่านทูตเว้นวรรคเล็กน้อย ขณะที่ผู้ที่นั่งร่วมอยู่ในวงสนทนาทั้งสามคนอ่านเอกสารที่ได้รับแจกอย่างสนใจ

“พวกคุณคงรู้กันดีว่าอัคคาเหนือและอัคคาใต้มีวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนาที่นับถือแตกต่างกัน อัคคาใต้อยู่ใกล้กับอินเดียจึงได้รับอิทธิพลอย่างเต็มที่ ทั้งอิทธิพลจากอังกฤษสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมด้วย แต่อัคคาเหนือเป็นดินแดนกลางหุบเขา เกือบทั้งภูมิภาคแวดล้อมด้วยเทือกเขามันดราลัย ไม่ต่างอะไรกับเมืองปิด มีภูมิประเทศเป็นปราการสำคัญ ผู้คนในดินแดนแถบนั้นก็ยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ที่สำคัญ...แม่น้ำวินธูที่ไหลผ่านกลางประเทศ ก็เปรียบเสมือนพรมแดนที่แบ่งอัคคาออกเป็นเหนือและใต้อย่างสมบูรณ์”

มัทรีนิ่งฟังอย่างใช้ความคิด ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนา ซ้ำยังมีภูมิประเทศคั่นขวาง ย่อมทำให้ทั้งสองภูมิภาคเชื่อมถึงและรวมกันได้ยากยิ่ง

“เพราะฉะนั้น การรวมประเทศเป็นหนึ่งจึงเป็นเพียงภาพที่เห็นจากภายนอกเท่านั้น แต่ภายในประเทศนี้ การแบ่งออกเป็นสองภูมิภาคยังมีอยู่อย่างชัดเจน แม้ว่าส่วนกลางจะพยายามเข้าแทรกแซงภาคเหนือหลายอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยสำเร็จ...”

“ผมได้ยินว่าทางรัฐบาลก็ส่งคนจากส่วนกลางเข้าไปดูแลปกครองตามหัวเมืองต่างๆ ของภาคเหนือนี่ครับ” คมเดชถามแทรกขึ้น

“นั่นก็เป็นความพยายามที่จะปกครองภาคเหนือของรัฐบาลอย่างหนึ่ง แต่อย่างที่ผมได้บอกไปแล้ว ว่าภาคเหนือมีลักษณะภูมิประเทศที่แร้นแค้นกันดาร เมืองต่างๆ กระจัดกระจายไม่เชื่อมต่อถึงกัน ประชาชนจึงต่างคนต่างอยู่ ยังใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมโดยแทบไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาส่วนกลาง การปกครองแบบรวมศูนย์จึงไม่อาจเข้าถึงได้มากนัก อีกอย่างหนึ่ง คนในภาคเหนือยังยึดถือการปกครองแบบเดิมอยู่ พวกเขายังเคารพนับถือผู้นำของอดีตภาคเหนืออยู่มาก”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับเมื่อก่อนสิครับ อัคคายังแยกออกเป็นสองประเทศเหมือนเดิม” ธันย์เอ่ยถามขึ้นหลังจากนิ่งฟังมานาน

ท่านทูตพยักหน้ารับ “ใช่ ที่สำคัญ อัคคาเหนือยังมีกองกำลังทางทหารเป็นของตัวเอง แม้จะไม่ใหญ่นัก เพราะเป็นกองกำลังสำหรับการพัฒนาที่อดีตผู้นำฝ่ายเหนือขอให้คงไว้ เพราะพื้นที่ทุรกันดารของภาคเหนือนั้น หากไม่ใช่คนในท้องถิ่น ย่อมเข้าถึงลำบาก”

“นี่ใช่ไหมครับที่ท่านทูตกังวล ท่านเกรงว่าอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น เพราะอัคคาเหนืออาจแบ่งแยกตัวเองเองออกไปอีกครั้ง” ธันย์ถามต่อไป

ท่านทูตสุวิกรมยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนตอบคำถามกึ่งคาดเดาของชายหนุ่มช่างภาพหนังสือพิมพ์

“เรื่องการแยกตัวเป็นอิสระอีกครั้งคงไม่ใช่ปัญหา เพราะการรวมอัคคาเหนือและใต้เข้าด้วยกัน เป็นการตกลงร่วมกันของอดีตผู้นำทั้งสองฝ่าย”

“เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้น มีปัญหาอะไรล่ะครับ?”

“การนำพวกคุณไปสำรวจสถานที่ในอัคคาใต้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ถึงแม้ในกรุงอัคการ์และตามเมืองรอบนอกจะมีการประท้วงเกิดขึ้นแทบทุกวัน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะพวกคุณจะทำงานเฉพาะในกรุงอัคการ์นี้เท่านั้น และผมมั่นใจว่าทางรัฐบาลย่อมดูแลและรับรองความปลอดภัยของพวกคุณเป็นอย่างดี” ท่านทูตเอ่ยต่อมาเรียบๆ แต่แววตามีร่องรอยกังวลแฝงอยู่ “แต่การเดินทางเข้าสู่อัคคาเหนือ อาจไม่สะดวกสบายและปลอดภัยนัก”

“เอ ถ้าผมจำไม่ผิด ผมแน่ใจว่าในเอกสารที่ทางรัฐบาลอัคคาได้ส่งไปให้ผมที่เมืองไทย แจ้งว่าโครงการนี้ทางอัคคาเหนือและอัคคาใต้ได้ประสานงานกันไว้แล้ว ไม่ใช่หรือครับ?”

“ใช่ ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมเป็นอย่างดี มีเพียงปัญหาด้านการทหารเท่านั้น ที่ยังตกลงกันไม่ได้ เพราะอดีตผู้นำฝ่ายเหนือไม่ยินยอมให้กองกำลังจากฝ่ายใต้ผ่านพรมแดนกึ่งกลางแม่น้ำวินธูไปอย่างเด็ดขาด”

“อ้อ นี่เราต้องมาทำงานให้กับประเทศที่แบ่งออกเป็นฝักฝ่าย โดยมีพวกเราอยู่ระหว่างกลางหรือนี่” ธันย์รำพึงขึ้นเบาๆ

“อีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างยุ่งยากอยู่ในขณะนี้ พวกคุณคงรู้ว่าอัคคากำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปลายปีนี้?” ท่านทูตตั้งคำถามเหมือนต้องการเรียกความสนใจจากผู้ร่วมสนทนา

“ครับ” คมเดชพยักหน้ารับ “จอมพลคาลัน อดีตผู้นำอัคคาใต้ดำรงตำแหน่งมาถึงสองสมัยแล้ว ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ปีนี้ก็ยังลงแข่งขันอีก และดูท่าจะไม่มีปัญหาอะไร ในการที่เขาจะขึ้นรับตำแหน่งอีกครั้ง”

ท่านทูตส่ายหน้า “ข้อมูลของคุณเป็นข้อมูลจากฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น คุณคมเดช ตอนนี้ ภายในอัคคากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะหัวหน้าฝ่ายค้าน คู่แข่งคนสำคัญของท่านจอมพลคือ นางปรียาวีร์ ดายา”

“ลูกสาวอดีตผู้นำฝ่ายหนือ!” มัทรีเอ่ยแทรกขึ้นเบาๆ

ท่านทูตหันมามองหญิงสาว แล้วยิ้มอย่างพอใจ “คุณรู้ข้อมูลของเธอดีแค่ไหน?”

“ลูกสาวจอมพลยามิน ผู้นำทางทหารของอดีตอัคคาเหนือ เธอถูกส่งไปศึกษาที่ยุโรปตั้งแต่วัยเยาว์ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฏหมายจากฮาวาร์ด เธอเดินทางกลับประเทศเมื่อบิดาของเธอเสียชีวิตลง...อย่างปริศนาเมื่อ 5 ปีก่อน แล้วรับตำแหน่งผู้นำของอัคคาเหนือแทนบิดาต่อมาจนปัจจุบัน เธอมีผู้สนับสนุนจำนวนมากในภาคเหนือ”

“ถูกต้อง ข้อมูลของคุณใช้ได้ทีเดียว” ท่านทูตพยักหน้ารับ กล่าวชมมัทรีอย่างจริงใจ “จอมพลคาลันชนะเลือกตั้งถึง 2 สมัย เพราะเขาเป็นผู้นำฝ่ายใต้ซึ่งประชากรส่วนใหญ่รู้หนังสือ นอกจากนี้แล้วเขายังมีอำนาจมาก ทั้งในทางการทหารและแน่นอน เขามีเงิน! ในขณะที่ประชากรของอัคคาเหนือยังไม่เข้าใจถึงสิทธิหน้าที่ของตัวองอย่างแท้จริง และอัคคาเหนือก็แร้นแค้นกันดาร จอมพลยามินจึงไม่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งที่เขาลงชิงตำแหน่ง”

“แต่ก็ไม่น่าจะหมายความว่านางปรียาวีร์จะชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้นี่ครับ เพราะยังไงก็ตาม เธอก็ไม่น่าจะมีอำนาจหรือเงินมากไปกว่าจอมพลคาลันได้” ธันย์เอ่ยแย้งขึ้น

“แน่ล่ะ เธอไม่มีทางมีอำนาจหรือเงินทองมากไปกว่าจอมพลคาลัน” ท่านทูตกล่าวต่อไปเรื่อยๆ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบเป็นระยะ “แต่ด้วยความรู้ความสามารถของเธอ และการอุทิศตัวทำงานเพื่อพัฒนาอัคคาเหนือมาตลอด 5 ปี ทำให้ชาวอัคคาเหนือรักและบูชาเธอมาก ในขณะเดียวกัน ประชาชนของอัคคาใต้ก็เริ่มต้องการการเปลี่ยนแปลง อย่างที่ผมได้บอกคุณไปแล้ว…”

“ทำไมล่ะครับ ทั้งๆ ที่ดูๆ ไปแล้ว อัคคาใต้ก็เจริญขึ้นทุกอย่าง ภายใต้การปกครองของท่านจอมพล?” ธันย์ตั้งคำถามต่อไป “ผมเห็นสนามบินใหญ่โต เห็นตึกสูงเยอะแยะเต็มเมืองอัคการ์”

“นั่นล่ะปัญหา... คุณคงเห็นว่ากรุงอัคการ์เจริญอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะจอมพลคาลันยอมให้ต่างชาติบางประเทศเข้ามาลงทุน โดยผ่านความเห็นชอบของเขาแต่เพียงผู้เดียว และ... รับใต้โต๊ะอย่างงามทีเดียว สนามบินใหญ่โตที่คุณเห็นนั่น มีปัญหาทุจริตมากเหลือเกิน แต่ไม่มีทางที่จอมพลจะปล่อยให้ข่าวนี้รั่วไหลออกไปนอกประเทศ เพื่อทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของเขาในสายตาต่างชาติ”

คมเดช ธันย์และมัทรี พยักหน้ารับรู้ ข้อมูลใหม่ที่ได้ในครั้งนี้ พวกเขาไม่เคยรับทราบมาก่อนเลย หน่วยข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวไทยก็คงไม่ทราบเหมือนกัน เพราะอัคคาเป็นประเทศที่ค่อนข้างปิด การจะขอวีซ่าสำหรับเดินทางเข้าออกเป็นไปได้ยาก พวกเขาเองหากไม่ได้รับการติดต่อโดยตรงจากสถานทูตไทยที่ร่วมมือกับรัฐบาลของอัคคาเช่นนี้แล้ว การดำเนินการต่างๆ ก็คงไม่ราบรื่นเช่นที่เป็นมา ดังนั้น ข่าวสารจากประเทศอัคคาที่ส่งออกไปจึงเป็นข่าวจากรัฐบาลอัคคาเอง ซึ่งก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าผ่านการพิจารณาหรือคัดสรรโดยผู้ใด

“ประชาชนภาคใต้ โดยเฉพาะชนชั้นกลางในกรุงอัคการ์ส่วนใหญ่รู้เรื่องการทุจริตดี ความเจริญส่วนใหญ่ของภูมิภาคนี้กระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น ในขณะที่ชาวอัคคาใต้ในชนบทยังยากจนไม่ต่างกับชาวอัคคาเหนือ 2-3 ปีมานี้ อัคคามีปัญหาการประท้วงแทบทุกวัน ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มต้องการให้นางปรียาวีร์ขึ้นเป็นผู้นำ แม้นางจะเป็นคนภาคเหนือ แต่การที่นางเติบโตในยุโรปและจบการศึกษาจากต่างประเทศ ทำให้ความคิดของนางค่อนข้างเป็นสากล นางเดินทางมายังอัคคาใต้เพื่อหาเสียงหลายครั้ง และช่วยเหลืองานด้านการกุศลหลายอย่างในภูมิภาคนี้โดยไม่คำนึงถึงความเป็นเหนือหรือใต้ จึงไม่น่าเป็นปัญหา หากนางจะได้เป็นผู้นำประเทศที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความเชื่อเช่นนี้”

“แต่ผมได้ยินมาว่า ประชาชนทางอัคคาเหนือบางส่วน ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง” คมเดชเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถามเพื่อขอคำยืนยัน

“ผมเองก็ได้ยินมาอย่างนั้นเหมือนกัน ทางภาคเหนือจึงมีข่าวกบฏ ลักลอบก่อความไม่สงบอยู่บ่อยๆ คิดว่าเป็นอดีตผู้ที่เคยคัดค้านบิดาของนาง และยังคงต้องการให้อัคคาเหนือและใต้แยกออกจากกัน” ท่านทูตเป็นผู้ตอบคำปรารภกึ่งถามนั้น เขาประสานมือทั้งสองไว้ สีหน้าครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ตอนนี้ สถานการณ์ก็ยังไม่เรียบร้อยดีนัก เราไม่อาจวางใจใครได้ ทั้งฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือซึ่งกำลังคุมเชิงกันอยู่ แม้ว่าทางรัฐบาลอัคคาจะรับรองความปลอดภัยของพวกคุณอย่างแข็งขัน ยิ่งการเดินทางเข้าสู่อัคคาเหนือก็ยิ่งต้องเข้มงวด เรื่องความทุรกันดารของพื้นที่ก็เรื่องหนึ่ง แล้วยังจะปัญหาเรื่องกบฏนั่นด้วย การเดินทางในอัคคาเหนือ เราจะมีกองกำลังทหารของอัคคาเหนือควบคุมไป แล้ว...” ตอนท้ายประโยคท่านทูตสุวิกรมหันมาทางหญิงสาวคนเดียวที่นั่งอยู่ในวงสนทนานั้น

“คุณมัทรีก็จะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในคณะของเรา ซึ่งผมเคยได้ทักท้วงคุณคมเดชไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่เขายังคงยืนยันว่าต้องเป็นคุณ”

มัทรีสบสายตาที่แฝงแววกังวลของท่านทูตด้วยความสงบ เธอกล่าวขึ้นเรียบๆ ทว่าหนักแน่นและมั่นใจ “เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ แม้ดิฉันจะเป็นผู้หญิง แต่สำหรับการทำงานแล้ว ดิฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองมีความสามารถหรือข้อแตกต่างจากนักข่าวผู้ชาย”

“ผมทราบถึงความปรารถนาดีและความห่วงใยของท่านดีครับ ท่านทูต” คมเดชกล่าวสนับสนุนอีกคนหนึ่ง “ในเมื่อทางอัคคารับรองความปลอดภัยของเราในระดับหนึ่งแล้ว เราก็ไม่กังวลถึงข้อนี้มากนัก และหากท่านเป็นห่วงในเรื่องความยากลำบากในการเดินทางและความสะดวกใจของมัทรีแล้ว กรุณาสบายใจได้สำหรับเรื่องนี้ เพราะเธอตั้งใจทำงานและทรหดอดทนกว่าผู้ชายหลายคนนักครับท่าน”

“ยัยมัทไปมาเกือบทุกที่แล้วครับ จะขึ้นเขาลงห้วยก็ทำได้หมด หลายปีก่อนตอนเกิดจลาจลใน... เขาก็วิ่งหลบแก๊ซน้ำตาอยู่ด้วยกันกับผมมาแล้ว หรือตอนทำสกู๊ปพายุฤดูหนาวที่... ก็มีแต่เขานี่ล่ะครับ ที่กล้าไปทำข่าว” ธันย์เอ่ยรับรองขึ้นมาอีกคนหนึ่ง พร้อมกับยกประสบการณ์การทำงานในฐานะเพื่อนร่วมงานมายืนยันกับท่านทูต

ท่านทูตยิ้มน้อยๆ หันมามองหญิงสาวอย่างชื่นชม “ถ้าพวกคุณและคุณมัทรีเองมั่นใจอย่างนั้น ก็คงจะเป็นการเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย หากผมจะไม่เชื่อมือพวกคุณ ผมคงเป็นกังวลมากไป ในประเทศนี้ ผู้หญิงไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก ผมคงจะเคยชินกับประเพณีของที่นี่จนลืมไปว่า ผู้หญิงไทยเรา กล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดไหน”

มัทรียิ้มตอบให้กับคำชมนั้น หล่อนเองก็ใช่ว่าจะไม่กังวลเสียทีเดียว แต่หน้าที่รับผิดชอบที่ได้รับปากไว้ทำให้หญิงสาวไม่อาจแสดงท่าทีลังเลหรือไม่มั่นใจออกไปได้ อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว จะให้หันหลังขึ้นเครื่องบินกลับไปเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มงานก็ไม่ใช่นิสัยของหล่อน ส่วนเรื่องจะกลัวนั้นเป็นไม่มี ไม่อย่างนั้น หล่อนก็คงไม่มาเป็นนักข่าวฝ่ายต่างประเทศเสียแต่ทีแรกหรอก



หลังจากพูดคุยกันต่อในรายละเอียดปลีกย่อยอยู่เกือบชั่วโมง ท่านทูตสุวิกรมก็ขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ พร้อมสั่งให้ธวัชเป็นผู้ดูแลคณะของคมเดชอย่างใกล้ชิด ชายหนุ่มข้าราชการสถานทูตซึ่งทราบต่อมาว่าดำรงตำแหน่งเลขานุการเอกอัครราชทูตได้รับหน้าที่ดูแลรับผิดชอบโครงการนี้ในฐานะตัวแทนของสถานทูตไทย เขาพาคณะนักข่าวทั้ง 3 คนเข้าพักยังโรงแรมระดับห้าดาวกลางกรุงอัคการ์ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสถานทูตไทยนัก

“ทางรัฐบาลอัคคาได้จัดให้พวกคุณพักอยู่ที่โรงแรมนี้ วันนี้พวกคุณพักผ่อนตามสบายนะครับ แล้ววันพรุ่งนี้ทางรัฐบาลจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ต้อนรับพวกคุณ”

“มีงานเลี้ยงด้วยเหรอครับ?” ธันย์ถามอย่างตื่นเต้น

“ครับ คิดว่าท่านรัฐมนตรีจาฟาลจะมาพบพวกคุณในงานนี้ด้วย”



“โอ้โห เหมือนเราเป็นแขกบ้านแขกเมืองระดับวีไอพีเลยนะ มีงานเลี้ยงต้อนรับด้วย” ธันย์ยังตื่นเต้นไม่หาย แม้ว่าธวัชจะขอลากลับไปแล้ว แต่ชายหนุ่มช่างภาพก็ยังพูดถึงงานเลี้ยงที่กำลังจะจัดขึ้นในเย็นวันพรุ่งนี้ไม่หยุดปาก

“แน่ล่ะ ก็เราจะมาโฆษณาประเทศให้เขานี่ เขาก็ต้องต้อนรับเราเต็มที่ ให้เราประทับใจที่สุดนั่นล่ะ จะได้ไปเขียนชมประเทศเขาดีๆ ไงล่ะ” มัทรีพูด

พวกเขาทั้งสามคนนั่งสนทนากันอยู่ในห้องพักของคมเดชและธันย์ซึ่งใช้เป็นศูนย์กลางการทำงานขณะที่อยู่ในกรุงอัคการ์

“ถ้าเลี้ยงดูเราสบายอย่างนี้ จะให้เขียนชมยังไงก็ได้ ไม่มีปัญหา” ธันย์พูดพร้อมกับทิ้งตัวหงายหลังนอนลงบนเตียง

“พูดดีไปก่อนเถอะนายธันย์ ยังไม่รู้เลยว่าจะเจออะไรบ้าง ข้อมูลที่ได้มาจากรัฐบาลก็น้อยเต็มที ยิ่งเรื่องอัคคาเหนือไม่ต้องพูดถึง นายรู้อะไรบ้าง?”

“ฉันรู้ว่าเราจะสำรวจสถานที่ในเมืองอัคการ์นี่ 2 วัน แล้วจากนั้นถึงจะไปอัคคาเหนือ โดยเริ่มที่เมืองมันตรา อดีตเมืองหลวงและศูนย์กลางของอัคคาเหนือเป็นที่แรก” ธันย์ตอบ ทั้งๆ ที่ยังนอนหลับตา “ส่วนเขาจะพาไปไหนต่อ หรือจะมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ มันเป็นหน้าที่ของเธอนี่”

มัทรีค้อนให้เพื่อนร่วมงาน หล่อนและธันย์ทำงานร่วมกันมาหลายปีจนเรียกได้ว่ารู้ใจกันดี เขาเป็นคนง่ายๆ จึงไม่ค่อยใส่ใจในข้อมูลที่ได้รับล่วงหน้ามากนัก แต่สำหรับการทำงานแล้ว ชายหนุ่มเป็นช่างภาพที่มีฝีมือดีมากคนหนึ่ง งานที่เขาทำแทบไม่มีข้อบกพร่อง ทั้งยังเคยได้รับรางวัลภาพถ่ายระดับชาติมาแล้วถึง 2 ครั้ง มัทรีจึงไว้ใจและไม่ได้เซ้าซี้ให้เขาอ่านข้อมูลอะไรอีก

คมเดชละสายตาจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่อ่านอยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองลูกน้องสาว กล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “แต่ยังไงก็ตามนะมัท ถึงพี่จะรับรองกับท่านทูตแข็งขัน พี่ก็ยังอดเป็นห่วงเราไม่ได้ ทีแรกที่ให้มัทมาก็เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อนนัก แต่พอมาได้ยินข้อมูลเพิ่มเติมแบบนี้ ก็อดจะกังวลไม่ได้ เพราะฉะนั้น เวลาไปที่ไหนก็อย่าทะเล่อทะล่าออกนอกแผนการที่เขาวางไว้ล่ะ”

“โธ่ พี่คม ใช่ว่ามัทจะไม่กลัวนะคะ มาต่างบ้านต่างเมือง แถมยังมีเรื่องไม่ค่อยน่าวางใจแบบนี้ มัทจะกล้าทำอะไรนอกเหนือจากแผนล่ะคะ”

“ไม่รู้ล่ะ พี่เตือนไว้ก่อน เราสองคนน่ะ เอาแน่ได้ที่ไหน เห็นอะไรน่าสนใจเป็นต้องอยากรู้อยากเห็นไปหมด” คมเดชเตือน น้ำเสียงจริงจังเกินกว่าจะเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น แม้คมเดชจะเป็นหัวหน้างานที่เป็นกันเองกับลูกน้อง แต่เมื่อถึงเวลาทำงานแล้วเขาก็เป็นคนเด็ดขาดและเคร่งครัด ทำให้ลูกน้องและเพื่อนร่วมงานทั้งรักและเคารพอย่างจริงใจ



บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเล็กๆ ของโรงแรมแห่งนั้นคึกคักพอสมควร พนักงานของโรงแรมในชุดแต่งกายพื้นเมืองยืนอยู่เป็นจุดๆ เพื่อคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มแก่แขกผู้ร่วมงาน โดยมีคนของรัฐบาลอัคคาในชุดสูทสากลอีก 3-4 คนคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้วย

คมเดชและธันย์สวมเสื้อสูทสีเข้มทับเสื้อเชิ้ตด้านใน พร้อมด้วยมัทรีในชุดสูทเช่นกันแต่สีอ่อนกว่า ท่อนล่างเป็นกระโปรงทรงสอบสีเข้ากันกับท่อนบน เดินตามหลังธวัชเข้ามาในห้องรับรอง ภายหลังจากที่ชายหนุ่มตัวแทนจากสถานทูตนัดพบทั้งสามคนที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมที่พักก่อนเวลาเริ่มงานเล็กน้อย เมื่อพ้นประตูรูปโค้งเข้ามา ธันย์ก็จุ๊ปากอย่างลืมตัวเมื่อแหงนหน้าขึ้นแล้วมองเห็นความงดงามของการตกแต่งแบบศิลปะตะวันตกภายในห้องนั้น

“โฮ่ น่าจะติดกล้องถ่ายรูปมาด้วย สวยจริงๆ”

มัทรีกระทุ้งข้อศอกเข้าที่สีข้างชายหนุ่มเบาๆ เพื่อให้เขาละสายตาจากเพดานห้อง เมื่อธวัชเดินนำพวกเขาตรงเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มในชุดสูทสีน้ำเงินคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องด้านหนึ่ง

มัทรีสังเกตเห็นเขาจับตามองมาทางคณะของหล่อนอยู่ก่อนแล้ว ในมือของเขาถือวิทยุสื่อสารและมีหูฟังเสียบอยู่ที่หูข้างหนึ่ง เมื่อธวัชเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองก็ยื่นมือออกสัมผัสกันเป็นการทักทาย ชายหนุ่มชาวไทยผู้ประสานงานโครงการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวหันมาทางคณะของคมเดช แล้วกล่าวแนะนำชายคนดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ

“คุณคมเดช คุณธันย์ คุณมัทรีครับ นี่ มิสเตอร์การ์เซีย ผู้ประสานงานจากรัฐบาลกลางอัคคาครับ” แล้วเขาก็หันไปแนะนำชาวไทยทั้งสามกับชายหนุ่มคนดังกล่าว เมื่อสัมผัสมือและกล่าวทักทายกันตามธรรมเนียมจนครบทุกคนแล้ว ชายหนุ่มชาวอัคคาใต้ก็เปิดยิ้มกว้าง กล่าวอย่างยินดี

“อัคคายินดีต้อนรับครับ ดีใจที่ได้พบพวกคุณ หวังว่าพวกคุณจะมีความสุขและสะดวกสบายทุกอย่างเมื่ออยู่ที่นี่ หากมีปัญหาหรือต้องการสอบถามอะไร คุณสามารถสอบถามจากผมได้โดยตรงครับ!”

มัทรีสังเกตว่าเขาเน้นย้ำคำว่า ‘โดยตรง’ อย่างจงใจ นั่นน่าจะหมายความว่าเขาเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวว่าจะให้ข้อมูลอะไรแก่คณะของหล่อนได้บ้าง

“ทำไมงานเลี้ยงวันนี้จึงดูเคร่งครัดนักละครับ ผมสังเกตเห็นด้านนอกมีทหารเดินกันขวักไขว่ ก่อนเข้ามาที่นี่ผมกับพวกของคุณคมเดชก็ถูกตรวจค้นอย่างละเอียด” ธวัชถามขึ้นอย่างตั้งข้อสังเกต

“ท่านจอมพลจะมาร่วมงานนี้ด้วยครับ ท่านแจ้งมากระทันหันในนาทีสุดท้ายพอดี”

ธวัชเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้สอบถามรายละเอียดอะไรต่อไป การ์เซียก็พูดเป็นเชิงไขข้อข้องใจของชายหนุ่มขึ้นเสียก่อน “ท่านคงต้องการมาพบกับคณะจากเมืองไทยด้วยตัวเองน่ะครับ พวกคุณเป็นแขกสำคัญของอัคคา นานๆ ทีถึงจะมีแขกของรัฐบาล ซ้ำพวกคุณยังมาเพื่อทำงานที่เป็นประโยชน์ให้แก่ชาวอัคคาอีกด้วย เราย่อมต้องต้อนรับพวกคุณเต็มที่อยู่แล้ว”

มัทรีออกจะตื่นเต้นและแปลกใจอยู่ในที แม้จะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าการทำงานครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศที่ทางรัฐบาลของอัคคาเองเป็นฝ่ายร้องขอ แต่หล่อนก็นึกไม่ถึงว่าผู้นำสูงสุดของอัคคาจะมาต้อนรับคณะนักข่าวด้วยตัวเอง

“อ้อ ท่านทูตกับท่านรัฐมนตรีมาแล้วครับ” ธวัชเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อเหลือบเห็นท่านทูตสุวิกรมเดินผ่านประตูเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนร่างท้วมท่าทางอารมณ์ดีคนหนึ่ง มีคณะผู้ติดตามจำนวนหนึ่งเดินตามมาด้านหลัง ทั้งสองคนกำลังพูดคุยพลางหัวเราะให้กัน เมื่อท่านทูตหันมาเห็นธวัชและคณะนักข่าวทั้งสามคน ธวัชและการ์เซียก็เดินตรงเข้าไปหา ตามด้วยผู้มาเยือนจากเมืองไทย

“อ้อ มากันนานแล้วหรือ คุณคมเดช” ท่านทูตกล่าว เมื่อคมเดชตอบคำถามกึ่งทักทายนั้นแล้ว ท่านทูตก็หันไปพูดกับชายร่างท้วม ผิวคล้ำ และมีหนวดเครารกครึ้ม เป็นภาษาอังกฤษ

“ท่านรัฐมนตรี นี่มิสเตอร์คมเดชหัวหน้าฝ่ายข่าวต่างประเทศของ Siam News และนี่มิสเตอร์ธันย์ เป็นช่างภาพมือดีที่จะถ่ายทอดภาพของอัคคาออกมาได้อย่างงดงามที่สุด ส่วนสุภาพสตรีท่านนี้ มิสมัทรี ผู้รับหน้าที่ด้านงานเขียน เธอจะเป็นผู้แนะนำอัคคาให้เป็นที่รู้จักของคนไทยครับ...ส่วนท่านนี้คือ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอัคคา มิสเตอร์จาฟาล” ประโยคท้ายท่านทูตหันมากล่าวกับคณะนักข่าวจากเมืองไทยโดยเฉพาะ

รัฐมนตรีจาฟาลจับมือแล้วกล่าวทักทายกับคมเดชและธันย์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อมาถึงมัทรี เขาจับมือหล่อนนิ่งนาน และกล่าวกับหล่อนว่า

“ผมทราบมานานแล้วว่าผู้หญิงไทยอ่อนหวานและบอบบางน่าทะนุถนอม คุณเองก็เป็นเช่นนั้น แต่ผมต้องยอมรับว่าออกจะทึ่งเมื่อท่านทูตสุวิกรมบอกผมว่านักเขียนที่จะทำงานนี้เป็นผู้หญิงและไม่รังเกียจเลยหากว่าจะต้องพบกับความยากลำบาก”

“เป็นงานที่ท้าทายสำหรับดิฉันค่ะ ท่านรัฐมนตรี” มัทรีตอบสั้นๆ แต่น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมั่นคง รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอัคคายิ้มรับคำตอบของหล่อนอย่างพอใจ จากนั้นจึงหันไปทางการ์เซีย

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ?”

“ครับ ท่านรัฐมนตรี ขบวนของท่านจอมพลจะมาถึงภายใน 10 นาทีนี้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปรอต้อนรับท่านที่ด้านหน้าดีไหม” จาฟาลหันกลับมาทางเอกอัครราชทูตไทยประจำอัคคา จากนั้น คณะทั้งหมดจึงเดินออกไปรอต้อนรับผู้นำสูงสุดของประเทศที่ล็อบบี้ด้านนอก


จบตอนที่ 2







Create Date : 20 กรกฎาคม 2551
Last Update : 5 สิงหาคม 2551 11:38:38 น. 8 comments
Counter : 514 Pageviews.

 
รออ่านตอนต่อไปค่ะ


โดย: nathanon วันที่: 20 กรกฎาคม 2551 เวลา:7:38:19 น.  

 
Finally!

Long time too see your story.

(เกิดกระแดะขึ้นมาอยากใช้ภาษาอิงลิชซะงั้นน่ะ)


โดย: BestChild วันที่: 20 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:18:06 น.  

 
^
^
^
ฮ่วย! แถมพิมพ์ผิดกลับไปแก้ไม่ได้อีก

เปลืองช่อง comment คุณยาลีไหมเนี่ย



โดย: BestChild วันที่: 20 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:19:35 น.  

 
แวะมา comment ที่บ้านด้วย

รอพระเอกอยู่ง่ะ มายัง ๆ


โดย: Paulo วันที่: 21 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:17:04 น.  

 
ไม่มีแบบอ่านให้ฟังหยอ ...

ทำเป็น mp3 อะ ...อิอิ


โดย: -1- IP: 125.24.72.36 วันที่: 21 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:19:22 น.  

 

ขอติดไว้ก่อนละกันนะ จะกลับมาอ่านอย่างตั้งใจ


โดย: Escobar วันที่: 22 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:18:25 น.  

 
อื่มมมม
คนละแนวกับอุ่นรัก ณ ปายเลยแฮะ เหมือนว่าสำนวนก็เปลี่ยนด้วยนะคะ หุหุ แต่ยังเรียบง่ายแบบได้ใจเหมือนเดิม



โดย: PPpIRCU วันที่: 25 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:40:10 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ติดตามมาอ่านเรื่องยาวค่ะ


โดย: pimpagee วันที่: 16 สิงหาคม 2551 เวลา:12:05:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.