....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
16 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 3-4

-ตอนที่ 3-

บรรยากาศการตรวจตราวุ่นวายภายนอกเมื่อแรกที่มัทรีมาถึงนั้นดูจะสงบเงียบลง มีเพียงเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล 3-4 คนเท่านั้นที่ยังเดินไปมาเพื่อสำรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย ทุกคนต่างคอยเงี่ยหูฟังเสียงสั่งการจากใครสักคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาทางวิทยุสื่อสารเป็นระยะๆ ผู้ร่วมงานทั้งฝ่ายไทยและอัคคายืนเรียงเป็นแถวอยู่ทั้งสองฟากของทางเข้าล็อบบี้ที่เชื่อมต่อกับบันไดด้านหน้าโรงแรม มีพรมสีแดงปูลาดจากบันไดขั้นล่างสุดขึ้นมาจนถึงทางเข้าห้องจัดเลี้ยง มัทรีเห็นทหารชาวอัคคาในชุดเครื่องแบบสีกากียืนระวังตรงอยู่เป็นระยะ ตั้งแต่ลานเทียบรถเรื่อยไปจนถึงประตูใหญ่ด้านหน้าโรงแรม

“เป็นงานเป็นการน่าดูเลยนะ พลอยทำเราตื่นเต้นไปด้วย” ธันย์เอียงหน้ามากระซิบกับเพื่อนร่วมงานสาว

“นายอย่าทำเลิกลั่กจนขายหน้าระดับชาติก็แล้วกัน” มัทรีกระซิบตอบกลับไปด้วยเสียงเบาพอได้ยินกันเพียงสองคน

อีกอึดใจหนึ่ง มัทรีสังเกตเห็นผู้คนบริเวณโถงทางเดินนั้นนิ่งสงบลงโดยพร้อมกัน แล้วก็ได้ยินเสียงเป่าแตรสัญญาณดังมาจากด้านหน้าโรงแรม มอเตอร์ไซค์ใหญ่ 2 คันตีคู่กันเลี้ยวเข้าประตูนำมาก่อน ตามด้วยรถยนต์สีน้ำเงินคาดแถบขาวตรงกลาง มีสัญญาณไซเรนบนหลังคาคันหนึ่ง จากนั้นลีมูซีนสีดำเงาวับที่มีธงชาติสีน้ำเงินสลับขาว ตรงกลางเป็นรูปคบเพลิงอันเป็นธงชาติของอัคคาประดับที่ด้านหน้าก็ตีวงโค้งเข้ามาตามถนนคอนกรีตของโรมแรม ทหารที่ยืนประจำจุดอยู่ยกมือขึ้นทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน ด้านหลังรถคันหลักของขบวนเป็นรถยุโรปราคาแพงลิบสีดำและรถแวนยี่ห้อและสีเดียวกัน ปิดท้ายขบวนผู้นำสูงสุดของประเทศด้วยรถตำรวจแบบเดียวกับรถยนต์คันแรก

รถมอเตอร์ไซค์และรถตำรวจนำขบวนแล่นเลยบันไดหน้าโรงแรมไป แต่ลีมูซีนสีดำสนิทนั้นจอดเทียบลงที่บันไดพอดี เจ้าหน้าที่รัฐบาลในชุดสูทสากลคนหนึ่งตรงเข้าไปเปิดประตูหลังด้านตรงข้ามคนขับ บุรุษที่ก้าวลงจากรถขยับชุดสูทสีดำที่สวมอยู่เล็กน้อย แล้วพยักหน้าให้กับทหารที่ทำความเคารพ รถยนต์คันหรูและแวนสีดำด้านหลังมีคณะบุคคลราว 6-7 คนทยอยลงจากรถด้วยเช่นกัน

มัทรีเห็นการ์เซียเดินตรงเข้าไปโค้งคำนับแล้วพูดกับบุรุษผู้ก้าวลงจากรถลีมูซีนด้วยท่าทางนอบน้อม หญิงสาวเห็นเขาเงยหน้ามองมาทางที่พวกของหล่อนยืนอยู่ แล้วเดินขึ้นบันไดหินอ่อนตรงเข้ามาหา ก็พอดีกับท่านทูตสุวิกรมที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก ตรงเข้าสัมผัสมือกับผู้นำสูงสุดของอัคคา กล่าวทักทายกันเป็นภาษาอังกฤษ

“ท่านเอกอัครราชทูต ไม่พบกันนาน สบายดีไหม?”

“สบายดีครับ ไม่คิดว่าจะได้พบท่านจอมพลในงานนี้”

จอมพลคาลันหัวเราะเสียงค่อนข้างดัง มัทรีสังเกตว่าเขาเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ ผิวออกคล้ำเป็นสีทองแดงตามชาติพันธุ์ อายุน่าจะเกือบ 60 ปี ดูท่าทางยังองอาจผึ่งผาย คงเพราะเคยชินกับระเบียบทหารมากว่าครึ่งชีวิต แต่ใบหน้ารกหนวดเคราที่ฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มนั้นกลับทำให้หญิงสาวจากประเทศไทยรู้สึกไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะดวงตาดำใหญ่ที่กลอกไปมาอย่างมีเลศนัยนั้น

“งานเลี้ยงต้อนรับแขกของรัฐบาล ผมในฐานะผู้นำประเทศ จะไม่มาร่วมก็ออกจะเสียมารยาทไปหน่อย จริงไหม?” ท่านจอมพลพูดกลั้วหัวเราะ เสียงห้าวกังวานดังก้องอยู่ในส่วนล็อบบี้โรงแรม “อ้อ ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศจาฟาล”

รัฐมนตรีจาฟาลโค้งคำนับรับคำทักทายนั้น ท่านจอมพลจึงหันมาพบกับคณะของคมเดชที่ยืนถัดมา การ์เซียก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างท่านจอมพลแล้วกล่าวแนะนำ

“นี่คือคณะจาก Siam News ที่จะมาสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวในอัคคาเพื่อโครงการประชาสัมพันธ์นี้ครับ”

การแนะนำตัวจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และก็อีกเช่นกันเมื่อมัทรีได้รับการแนะนำให้แก่ท่านจอมพล

“นักเขียนเป็นผู้หญิงหรอกหรือนี่? น่าแปลกใจจริง” เขาเบิกตากว้างแสดงทีท่าว่าทึ่งกึ่งประหลาดใจ แต่ดวงตากลับฉายแววครุ่นคิดบางอย่าง

มัทรีไม่กล่าวอะไรนอกจากยิ้มบางๆ อย่างสุภาพ เสียงท่านจอมพลหันไปกล่าวกับท่านทูตสุวิกรมดังขึ้นว่า “ผู้หญิงไทยงดงามและอ่อนหวานสมกับที่เคยได้ยินมา น่าประหลาดใจจริงว่าเธอสามารถทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชายได้อย่างไร แต่ก็นั่นแหล่ะนะ หากเธอไม่สามารถก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้”

ท่านทูตสุวิกรมกล่าวยิ้มๆ “ในข้อนั้นท่านไม่ต้องกังวล โครงการนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงามแน่นอน”

จอมพลคาลันยิ้มเล็กน้อย แต่มัทรีคิดว่าดูเหมือนเขาเหยียดริมฝีปากออกมากกว่า ดวงตาดำใหญ่ที่ดูหลุกหลิกไปมานั้นกวาดมองหล่อนและคณะอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ท่านจอมพลเดินนำคณะผู้ติดตามทั้งหมดเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง โดยมีท่านทูตสุวิกรมและรัฐมนตรีจาฟาลเดินขนาบทั้ง 2 ข้าง ตามด้วยคมเดช ธันย์และมัทรี กลุ่มบุคคลที่ยืนเรียงแถวไปตามทางเดินด้านนั้นโค้งคำนับให้แก่ท่านจอมพลตลอดทางที่เดินผ่านไปจนถึงห้องจัดเลี้ยง



“คณะผู้ติดตามนั่นมีใครบ้าง ดูจะใหญ่โตไม่ใช่ย่อยนะ คุณธวัช” ธันย์เขยิบเข้ามากระซิบถามธวัช เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องจัดเลี้ยงแล้ว

“บรรดาคนในคณะรัฐบาลนั่นแหล่ะครับ แต่ที่สำคัญก็คงจะเป็นคนใส่เครื่องแบบนายทหารที่พวกคุณเห็นยืนอยู่ข้างๆ ท่านจอมพลนั่น”

มัทรีและธันย์หันไปมองยังหมู่เก้าอี้ชุดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้องด้านหนึ่งซึ่งขณะนี้มีจอมพลคาลัน รัฐมนตรีจาฟาล ท่านทูตสุวิกรม และคมเดชนั่งสนทนากันอยู่ มัทรีสังเกตเห็นบุรุษร่างผอม หน้าเสี้ยมในชุดเครื่องแบบทหารสีกากี ติดเครื่องหมายบอกตำแหน่งเต็มหน้าอกเสื้อทั้งสองข้าง เขาคอยประกบท่านจอมพลแจอยู่ตลอดเวลา

“พลเอกอามีร์ ผู้บัญชาการทหารของอัคคาใต้ เขาเป็นมือขวาของจอมพลคาลัน”

“น่าแปลกนะคะ ทั้งที่อัคคาเหนือและอัคคาใต้ต่างก็รวมประเทศกันแล้วแต่ก็ยังมีกองกำลังทหารแยกต่างหากเป็นของตัวเอง ทำไมท่านจอมพลจึงไม่สั่งให้ทหารจากส่วนกลางเข้ายึดพื้นที่ของภาคเหนือเสียเลยล่ะค่ะ ทั้งๆ ที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดของประเทศแล้ว” มัทรีถาม

“เป็นสัญญาร่วมกันระหว่างอดีตผู้นำน่ะครับ อัคคารวมประเทศกันอย่างสันติโดยมีมหาอำนาจอย่างอเมริกาคอยเป็นกาว แต่อดีตผู้นำของอัคคาเหนือคงจะไม่ไว้ใจจอมพลคาลันหากเขาได้เป็นผู้นำประเทศ คงจะแสวงหาประโยชน์จากอัคคาเหนือซึ่งอุดมด้วยทรัพยากรมีค่าโดยไม่สนใจพลเมืองท้องถิ่น อีกอย่างถ้าจอมพลคาลันสั่งกองทัพบุกเข้าอัคคาเหนือ ก็ต้องเกิดสงครามกลางเมืองและการประท้วงของชาวอัคคาเหนือ ซึ่งเขาคงไม่ยอมเสี่ยงกับปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ทางสหประชาชาติจะเล่นงานเขาแน่”

“เอ๊ะ? ไหนว่าอัคคาเหนือยากจนไงครับ แล้วทรัพยากรที่คุณว่าน่ะหมายถึงอะไร?” ธันย์เป็นผู้ตั้งคำถามขึ้น

“ใช่แล้วครับ คุณธันย์ อัคคาเหนือยากจนและแร้นแค้นเพราะมีภูมิประเทศที่แห้งแล้งและทุรกันดาร แต่ภายใต้ผืนแผ่นดินแห่งนั้นเต็มไปด้วยแร่มีค่าและถ่านหิน ขาดก็เพียงแต่กำลังทรัพย์ที่จะลงทุนและบุคลากรที่มีความรู้เท่านั้น”

มัทรีเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที จอมพลคาลันต้องการครอบครองทรัพยากรมีค่าเหล่านั้น ในขณะเดียวกันจอมพลยามินก็ต้องการพัฒนาภูมิภาคของตน แต่ขาดกำลังทรัพย์และความรู้ที่จะดำเนินการ ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงรวมประเทศกันเพื่อให้ประเทศอัคคาเจริญรุดหน้าเทียบเท่าอารยประเทศ หากแต่จอมพลคาลันคงจะเจ้าเล่ห์เพทุบายเกินกว่าที่อดีตผู้นำฝ่ายเหนือจะไว้วางใจได้ ทั้งสองฝ่ายจึงยังคุมเชิงกันอยู่ ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะปกติสุขในขณะนี้อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ทุกเมื่อ อยู่ที่ว่าเมื่อใดเท่านั้น

“แล้วตอนนี้จอมพลคาลันเลิกล้มความตั้งใจที่จะปกครองภาคเหนือโดยเด็ดขาดหรือยังครับ?” ช่างภาพหนุ่มถาม

“เท่าที่ทราบ ตอนนี้เขายังไม่ได้มีแผนการอะไรครับ ดูเหมือนจะตั้งใจปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าหากเขาได้รับการเลือกตั้งในปลายปีนี้ เขาอาจดำเนินการอะไรลงไปก็ได้ เพราะตอนนี้จอมพลยามินก็เสียชีวิตไปแล้ว บางที...อีกไม่นาน กองกำลังของอัคคาเหนือก็อาจจะต้องสลายไปด้วย”

มัทรีลงมาจากห้องพักเมื่อเวลา 7 นาฬิกาตรง หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยแจ็กเก็ตผ้าลูกฟูกสีเทา ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำกับรองเท้าหนังส้นเตี้ยดูคล่องแคล่วและพร้อมที่จะทำงาน กระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบโตที่คล้องไหล่อยู่เป็นเสมือนกระเป๋าเอนกประสงค์ เพราะหล่อนใช้ต่างกระเป๋าเอกสารสำหรับบรรจุอุปกรณ์เครื่องเขียนและสมุดเล่มบางที่ใช้เสมอเวลาทำงานเพราะสะดวกในการจดโน้ตและสเก็ตภาพสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับเป็นข้อมูลในการเขียนบทความ นอกจากนี้ยังมีกล้องถ่ายรูปดิจิตอลอันเล็กและของใช้ส่วนตัวของหล่อนอีกด้วย

หญิงสาวพบกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่ห้องอาหารของโรงแรม ทั้งสามจัดการอาหารเช้าแบบอเมริกันนั้นเรียบร้อยแล้วเมื่อธวัชมาถึง

“อรุณสวัสดิ์ครับ” ชายหนุ่มเลขาฯ ท่านทูตกล่าวทักทายเมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะ

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณธวัช ทานอาหารเช้ามาหรือยัง? ทานก่อนได้นะครับ ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย” คมเดชเลื่อนเก้าอี้ข้างๆ ออกให้

“ผมขอแต่กาแฟดีกว่าครับ” ธวัชทรุดตัวลงนั่ง กวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟเข้ามา เด็กหนุ่มชาวพื้นเมืองผิวคล้ำก้าวเข้ามารินกาแฟจากเหยือกลงในแก้วกระเบื้องตรงหน้า ชายหนุ่มตักน้ำตาลและครีมใส่ลงไปแล้วใช้ช้อนเล็กๆ คนให้เข้ากัน กาแฟร้อนควันกรุ่นและส่งกลิ่นหอมฉุย

“ท่านทูตฝากคำอวยพรให้พวกคุณทำงานให้สำเร็จมาด้วยครับ สัปดาห์นี้ท่านติดงานคงไม่ได้มาพบพวกคุณอีกจนกว่าพวกคุณจะเดินทางกลับ กำชับกับผมมาว่าต้องดูแลพวกคุณให้ดีที่สุด” ธวัชพูดขึ้นเบาๆ พลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบช้าๆ

“ต้องขอบคุณคุณธวัชมากเลยนะครับ ที่อุตส่าห์มาคอยดูแลพวกเรา คุณมาดูแลทางนี้ แล้วท่านทูตละครับ มีใครคอยช่วยงานไหม?” คมเดชพูด

“ไม่ต้องห่วงครับ ท่านมีเลขาฯ หลายคน ผมรับผิดชอบงานนี้ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วที่จะดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่พวกคุณอย่างเต็มที่”

“เวลา 2 วันในอัคการ์ คุณธวัชคิดว่าเราจะสำรวจได้ทั่วไหมครับ?” ธันย์เอ่ยถามขึ้น เขายังก้มหน้าก้มตาตรวจเช็คความเรียบร้อยของกล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ต่างๆ แม้ว่าจะได้ตรวจดูแล้วถึง 2 ครั้ง แต่เพื่อความไม่ประมาท ชายหนุ่มจะต้องตรวจตราอุปกรณ์ของเขาให้ถี่ถ้วนก่อนออกไปทำงานทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ

“ทั่วครับ อัคการ์ไม่กว้างใหญ่นัก ตามกำหนดการที่ทางรัฐบาลส่งมา เราอาจเสร็จงานในอัคการ์นี่ภายในบ่ายวันพรุ่งนี้ก็ได้”

“น่าเสียดายนะคะ เราน่าจะได้ไปตามเมืองต่างๆ รอบนอกด้วย คงมีอะไรน่าสนใจอยู่มาก” มัทรีเอ่ยขึ้นเบาๆ

ยังไม่ทันที่ธวัชจะพูดว่าอะไร พนักงานจากส่วนล็อบบี้โรงแรมก็ตรงเข้ามาแจ้งว่า คนจากรัฐบาลอัคคามาถึงแล้ว

“คนจากรัฐบาลมารับแล้ว เราออกไปกันเลยดีไหมครับ?” ธวัชเอ่ยชวน

คณะจาก Siam News พยักหน้ารับ มัทรีคว้าแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มแล้วหยิบกระเป๋าตามคมเดชที่เดินออกไปก่อนพร้อมธวัช ส่วนธันย์ก็ฉวยกระเป๋ากล้องถ่ายรูปและขาตั้งกล้องตามมาเป็นคนสุดท้าย

ที่ล็อบบี้ด้านนอก การ์เซียยืนรออยู่ใกล้กับบันไดหินอ่อนที่ทอดลงสู่ลานเทียบรถ รถแวนสีดำ มีตราวงกลมรูปคบเพลิงติดอยู่ที่ด้านข้างตัวรถจอดนิ่งอยู่ตรงนั้น ธวัชก้าวเข้าไปจับมือทักทายกับชายหนุ่มตัวแทนของรัฐบาลอัคคา ตามด้วยคมเดช มัทรีและธันย์

“อรุณสวัสดิ์ครับทุกท่าน พร้อมกันหรือยังครับ จะได้ไปกันเลย” การ์เซียถามเป็นภาษาอังกฤษ วันนี้เขาก็ยังอยู่ในชุดสูทสีเข้มเช่นเดียวกับธวัช

ทั้งหมดพยักหน้ารับ เขาจึงเดินนำไปยังรถแวนที่จอดคอยอยู่ เมื่อทุกคนขึ้นนั่งเรียบร้อย การ์เซียก็ขึ้นประจำที่นั่งด้านหน้าคู่กับคนขับซึ่งเป็นชายชาวอัคคาผู้อยู่ในชุดพื้นเมืองตัวยาวสีหม่นๆ มัทรีเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่ามีรถตำรวจสีน้ำเงินคาดขาวแล่นนำขบวนและปิดท้ายด้วยรถตำรวจอีกคันหนึ่ง

“ใหญ่โตน่าดูเหมือนกันนะ พวกเรา” ธันย์เอ่ยขึ้นอย่างติดตลก ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ชายหนุ่มก็ดูจะอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา



ถนนคอนกรีตขนาด 4 เลนอันเป็นถนนสายหลักของเมืองอัคการ์นั้นตัดตรงและเรียบสม่ำเสมอกันทุกสาย นานๆ จึงจะมีรถยนต์แล่นผ่านมาสักคันหนึ่ง นอกนั้นเป็นรถมอเตอร์ไซค์ของชาวเมืองที่วิ่งกันอยู่ขวักไขว่ เมื่อรถตำรวจคันหน้าซึ่งเปิดสัญญาณไซเรนเสียงลั่นไปทั้งถนนแล่นเข้าไปใกล้ ก็พากันหลีกเข้าข้างทางทันที บริเวณเกาะกลางถนนและขอบถนนทั้งสองข้างมีต้นไม้ปลูกเรียงรายอย่างสวยงาม สองข้างทางมีตึกทรงโบราณก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเรียงรายสลับกับตึกสูงที่สร้างเสร็จใหม่ๆ หลายหลัง บางช่วงบางตอนก็เป็นโครงการก่อสร้างที่ยังไม่แล้วเสร็จ แต่เมื่อรถแล่นผ่านถนนตอนหนึ่ง ซึ่งด้านซ้ายมือเป็นตรอกเล็กๆ ที่ทั้งแคบและมืด หญิงสาวก็มองเห็นชายชาวอัคคา 3-4 คนในชุดพื้นเมืองที่มีลักษณะเป็นเหมือนเสื้อตัวยาวเกือบถึงหน้าแข้ง สวมทับเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวด้านใน นั่งคุยกันอยู่ตามเพิงที่มีลักษณะเหมือนร้านขายกาแฟ เพราะตรงหน้าชายแต่ละคนมีแก้วบรรจุน้ำสีน้ำตาลขุ่นๆ ตั้งอยู่ นอกจากนี้ ตามกำแพงของตึกเก่าๆ ข้างทางที่รถแล่นผ่านไป ก็มีโปสเตอร์รูปจอมพลคาลันในชุดทหารสีกากีเต็มยศติดอยู่เต็ม

“โอ้โห เหมือนฤดูหาเสียงที่บ้านเราเลยนะ” ธันย์พูดกลั้วหัวเราะ

ขบวนรถแล่นเข้าสู่ถนนขนาด 4 เลนที่ดูจะใหญ่โตเป็นพิเศษอีกครั้งหนึ่ง รถราแล่นไม่หนาแน่นนัก สองข้างทางประดับด้วยเสาไฟฟ้าที่ส่วนยอดเป็นรูปคบเพลิงดูวิจิตรงดงาม มีพุ่มไม้ดอกปลูกเป็นแนวไปตลอดทางที่มุ่งสู่จัตุรัสกว้างใหญ่ซึ่งดูแล้วคงจะเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อขบวนรถแล่นเข้าไปใกล้ ทุกคนในรถคันนั้นจึงได้เห็นว่าเป็นอนุสาวรีย์รูปปั้นขนาดใหญ่กว่าจริงเกือบเท่าตัวของจอมพลคาลัน ซึ่งยืนตระหง่านอยู่บนฐานหินอ่อนรูปทรงสี่เหลี่ยมกว้างประมาณ 2 เมตรและสูงท่วมศีรษะของผู้ใหญ่

“อนุสาวรีย์ท่านจอมพลครับ” การ์เซียซึ่งนั่งนิ่งมาตั้งแต่ออกเดินทางหันมาพูดกับคนทั้ง 4 ที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถแวน เมื่อรถจอดสนิท เขาก็เปิดประตูลงไปพร้อมๆ กับที่ประตูรถตอนหลังเลื่อนออกด้วยระบบไฟฟ้า ธวัชและคมเดชก้าวนำลงไปก่อน ตามด้วยมัทรีซึ่งต้องหยีตาเพราะแสงแดดภายนอกเริ่มจัดจ้า ธันย์หอบอุปกรณ์การทำงานของเขาตามลงมาอย่างทุลักทุเล

คณะทั้งหมดอันประกอบด้วยการ์เซียและธวัชซึ่งเดินนำหน้า คมเดชที่มีกล้องถ่ายรูปส่วนตัวคล้องอยู่ที่คอ มัทรีซึ่งถือดินสอกับสมุดวาดเขียนไว้ในมือ และธันย์ซึ่งเริ่มสอดส่ายสายตามองหามุมถ่ายภาพ ก็พากันเดินตรงเข้าไปยังบริเวณอนุสาวรีย์ซึ่งตั้งอยู่กลางจัตุรัสขนาดใหญ่เกือบเท่าสนามฟุตบอล พื้นปูด้วยอิฐรูป 6 เหลี่ยมสีฟ้าอมเขียว ตัวอนุสาวรีย์ตั้งอยู่บนยกพื้นคอนกรีตปูด้วยหินอ่อนที่ทำเป็นขั้นบันได 3 ชั้นโดยรอบ เมื่อไปหยุดยืนอยู่หน้าอนุสาวรีย์นั้น มัทรีก็แหงนหน้ามองดูรูปปั้นของท่านจอมพลซึ่งอยู่ในท่ายืนตรงรับความเคารพ หันหน้าออกไปสู่ถนนที่มุ่งตรงเข้ามายังจัตุรัส บริเวณโดยรอบจัตุรัสยกเว้นด้านที่เป็นถนน เป็นสวนสาธารณะกว้างใหญ่ที่ดูท่าเพิ่งจะสร้างขึ้นเพราะต้นไม้ยังไม่ร่มครึ้มมากนัก

“นี่คืออนุสาวรีย์ของท่านจอมพลครับ สร้างขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้วตามความประสงค์ของท่านจอมพลที่ต้องการจะให้เป็นศูนย์กลางของกรุงอัคการ์และศูนย์รวมจิตใจของประชาชนด้วย ตัวรูปปั้นสร้างด้วยสัมฤทธิ์ เราสั่งทำจากฝรั่งเศสและจัดส่งทางเรือ มาขึ้นที่เมืองท่าของอินเดียและขนส่งต่อมาทางบก เรามีขบวนไปรับรูปปั้นอย่างใหญ่โต และจัดงานฉลองอนุสาวรีย์ใหม่นี้อยู่ถึง 3 วัน 3 คืนทีเดียวครับ เสียดายที่พวกคุณไม่ได้เห็น ส่วนโดยรอบนี่เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในอัคคา กว้างเกือบ 30 ไร่ เดี๋ยวเราจะพาไปชมนะครับ”

มัทรีจดข้อมูลยิกตามที่การ์เซียบรรยาย แล้วจึงจดรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้างซึ่งจารึกไว้ที่แผ่นทองเหลืองบริเวณฐานของรูปปั้น เสร็จแล้วจึงถอยออกมาจนได้ระยะแล้วลงมือสเก็ตภาพอย่างคร่าวๆ ธันย์เดินวนรอบๆ อนุสาวรีย์และบันทึกภาพเอาไว้หลากหลายมุมเช่นเดียวกับคมเดช

ธวัชเดินตรงเข้ามายังที่หญิงสาวยืนสเก็ตภาพอยู่พร้อมกับการ์เซีย เมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่รัฐบาลอัคคาก็ก้มลงมองภาพสเก็ตของหญิงสาวพลางกล่าวชม

“ภาพสวยมากทีเดียว ผมไม่คิดว่าคุณจะมีฝีมือในการวาดภาพด้วย”

“เล็กน้อยเท่านั้นค่ะ มิสเตอร์การ์เซีย งานของดิฉันจำเป็นต้องเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด สำหรับใช้ประกอบการเขียนในภายหลัง” หญิงสาวตอบเป็นภาษาอังกฤษที่ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษา

“มีอะไรจะสอบถามผมเพิ่มเติมไหมครับ มิสมัทรี?”

หญิงสาวชาวไทยเอ่ยถามเรียบๆ ทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากสมุดวาดภาพ “แต่เดิม บริเวณอนุสาวรีย์นี้เป็นที่ตั้งของอะไรคะ ดูกว้างใหญ่เหลือเกิน”

การ์เซียนิ่งอยู่ชั่ววินาที เหลือบตามองหญิงสาวซึ่งคงก้มหน้าอยู่กับสมุดวาดเขียน นิ้วเรียวยาวนั้นบังคับดินสอไม้ให้ตวัดเป็นลายเส้นไปมาอย่างสม่ำเสมอ ราวกับกำลังจดจ่ออยู่กับการสเก็ตภาพตรงหน้าอย่างเต็มที่ เขาตอบคำถามของหล่อนด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดาที่สุดว่า “พื้นที่รกร้างธรรมดาน่ะครับ ท่านจอมพลจึงมาสร้างให้เกิดประโยชน์”

“แล้วนอกจากเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์แล้ว บริเวณจัตุรัสนี้ ได้ใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นอีกไหมคะ?”

“ตรงนี้เราเรียกกันว่า ‘จัตุรัสอัคการ์’ ครับ เป็นลานสำหรับจัดงานสำคัญระดับประเทศด้วย อย่างเช่นงานฉลองอนุสาวรีย์ที่บอกไปแล้ว แล้วก็งานฉลองวันชาติ งานสวนสนามของกองทัพ”

มัทรีพยักหน้า แล้วจดข้อความเป็นภาษาไทยลงในสมุดตรงที่ว่างข้างภาพที่สเก็ตคร่าวๆ ไว้ ธันย์และคมเดชเดินกลับเข้ามารวมกลุ่มพอดี

“ใหญ่โตสวยงามดีนะครับ มิสเตอร์การ์เซีย” คมเดชกล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตมาซับเหงื่อตามหน้าผากที่เริ่มผุดพรายออกมา อากาศยามสายอบอ้าวขึ้นเล็กน้อยเพราะดวงอาทิตย์ที่แผดแสงร้อนแรงขึ้นตามลำดับ

“ครับ อนุสาวรีย์นี้เป็นความภูมิใจของกรุงอัคการ์ เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาเมืองใหม่ของท่านจอมพล”

“โครงการพัฒนาเมืองใหม่เหรอครับ?” คมเดชเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถามอย่างสนใจ “ไม่ทราบว่าอยู่ในแผนที่เราจะได้ไปเยี่ยมชมวันนี้ไหมครับ?”

“แน่นอนครับ แต่เดิมกรุงอัคการ์บอบช้ำพอสมควรจากสงครามระหว่างฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือที่มีมายาวนาน เมื่อทั้งสองประเทศรวมเป็นหนึ่งเดียว ท่านจอมพลจึงเร่งฟื้นฟูสถานที่สำคัญต่างๆ และจัดสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นใหม่เพื่อลบภาพความขัดแย้งเก่าๆ ทิ้งไปน่ะครับ”

ตลอดเวลาที่สนทนากันอยู่นั้น ธวัชยืนฟังอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไร จนกระทั่งเมื่อธันย์เก็บภาพบริเวณอนุสาวรีย์แห่งนี้เสร็จแล้ว การ์เซียก็ชักชวนทั้งหมดให้เดินตัดจัตุรัสบริเวณด้านหลังของอนุสาวรีย์เพื่อเข้าสู่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่โอบรอบจัตุรัสแห่งนั้นไว้

จากประตูเหล็กโปร่งขนาดใหญ่ซึ่งเป็นประตูทางเข้า คณะทั้งหมดเดินมาตามทางเดินปูกระเบื้องสี่เหลี่ยมที่ทอดยาวเข้าสู่บริเวณต่างๆ ของสวน ต้นไม้ส่วนใหญ่ที่ปลูกเรียงรายอยู่รอบๆ เป็นพืชท้องถิ่น ลำต้นไม่ใหญ่แต่สูงชะลูดและมีใบโปร่งสีเขียวอมเหลืองเพราะใกล้ฤดูใบไม้ร่วง ตามพื้นเพิ่งปูหญ้าใหม่ๆ เพราะยังคงสีเขียวสด ไม้ดอกสีเหลืองๆ แดงๆ ขึ้นเป็นพุ่มอยู่ตามบริเวณสองข้างทางเดิน ธันย์เอามือจับกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ที่มีสายคล้องติดกับคอ ต่อเมื่อเห็นสิ่งสวยงามน่าสนใจ เขาจึงยกขึ้นประทับช่องมองสักครั้ง เสียงลั่นชัตเตอร์ดังเป็นระยะๆ ขณะที่คณะสำรวจสถานที่พากันเดินทอดน่องผ่านไปตามทางเดินช้าๆ

“สวนสาธารณะแห่งอัคการ์ครับ เพิ่งแล้วเสร็จเมื่อปีที่ผ่านมานี่เอง กว้างราว 30 ไร่ ภายในแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกพืชท้องถิ่นและพืชจากเกือบทุกมุมโลก แม้แต่พืชเมืองหนาวเราก็มีปลูกและเลี้ยงเอาไว้ในเรือนกระจกฟากโน้น หรือพืชเขตร้อนอย่างแถบเอเชียอาคเนย์ก็มีเหมือนกัน” การ์เซียบรรยาย

“นั่นเขาทำอะไรกันคะ?” มัทรีถาม ชี้มือไปยังใต้ร่มไม้ซึ่งค่อนข้างครึ้มกว่าบริเวณอื่น มีชายชาวพื้นเมือง 3-4 คนนั่งอยู่ตามใต้ต้นไม้นั้น ชายเหล่านั้นสวมชุดขาวเหมือนผู้ทรงศีล บนศีรษะมีผ้าคลุมสีเดียวกับชุด เบื้องหน้ามีกระดาษแข็งแผ่นใหญ่ที่ขีดเขียนด้วยอักษรพื้นเมืองอัคคาซึ่งหล่อนอ่านไม่ออก

“หมอดูพื้นเมืองน่ะครับ แต่เดิมก็ทำมาหากินกันตามตลาดที่คนคึกคัก พอท่านจอมพลสร้างสวนสาธารณะแห่งนี้ขึ้น ก็พากันมารวมกันอยู่เต็มไปหมด เดี๋ยวลองเดินไปอีกหน่อยสิครับ คุณจะได้เห็น”

แล้วก็เป็นจริงตามที่การ์เซียว่า เมื่อมัทรีเดินตามทางเดินปูกระเบื้องผ่านพุ่มไม้ดอกสีเหลืองเข้มรูปร่างแปลกตาที่โชยกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ได้เห็นว่าบริเวณสนามหญ้าริมบึงเล็กๆ มีชายชุดขาวนั่งอยู่บนผ้าผวยของใครของมันอยู่ตามใต้ร่มไม้ ตรงหน้าของหมอดูบางคนมีสตรีชาวอัคคาในชุดพื้นเมืองสีสันต่างๆ นั่งอยู่ ท่าทางเหมือนกำลังถกปัญหาบางอย่างอยู่อย่างเคร่งเครียด

“ตรงนี้ก็เลยกลายเป็นสถานที่รวมเหล่าหมอดูดวงชะตาไปโดยปริยายน่ะครับ พวกคุณจะลองดูหน่อยไหม?” ตอนท้ายการ์เซียหันมาถามมัทรี

มัทรีมองดูคนเหล่านั้นเงียบๆ โดยปกติหล่อนไม่ใคร่เชื่อเรื่องดวงอะไรสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะเห็นเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จ แต่เป็นเพราะหล่อนเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ที่เชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าจะฝากชีวิตไว้กับเรื่องของดวงดาว

“ดูซะหน่อยสิมัท ถามพ่อหมอเขาดูซีว่าเธอจะได้พบเนื้อคู่เมื่อไหร่?” ธันย์ยุ ส่งสายตากึ่งล้อเลียนมาให้

-จบตอนที่ 3-


-ตอนที่ 4-

มัทรีถลึงตาใส่เพื่อนร่วมงาน แต่ในใจก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหมอดูเหล่านี้จะทำนายได้แม่นยำเพียงใด หล่อนจะได้นำไปประกอบการเขียนบทความเผื่อว่านักท่องเที่ยวชาวไทยคนไหนแวะเวียนมาเที่ยวจะได้รู้ไว้เป็นข้อมูล

นักข่าวสาวเดินตัดสนามหญ้าออกไปยังบริเวณลานกว้างใต้ต้นไม้ มองหาหมอดูสักคนที่น่าเชื่อถือพอจะเสียสตางค์ค่าทำนายอนาคตของตัวเอง ธวัชเดินตามมาเพื่อช่วยเจรจากับหมอดูเหล่านั้นหากว่าไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้

หญิงสาวชาวไทยเหลือบเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นที่อยู่ไกลออกไป ร่างนั้นเห็นได้ชัดเจนจากเครื่องแต่งกายว่าเป็นหญิง สวมชุดพื้นเมืองสีม่วงเข้มจนเกือบดำ ผ้าโพกศีรษะสีเดียวกันปิดบังใบหน้าไว้เกือบครึ่ง หล่อนซ่อนสายตาไว้ภายใต้ผ้าคลุมสีเข้มนั้น มัทรีเดินตรงเข้าไปใกล้ สังเกตเห็นที่ข้อมือของหญิงนั้นสวมกำไลฝังหินสีต่างๆ ลวดลายงดงามข้างละเกือบ 10 อัน และแหวนทองคำวงเล็กๆ ครบทุกนิ้ว เมื่อหญิงสาวจากต่างแดนทรุดตัวลงนั่งที่ผ้าฝ้ายทอมือซึ่งปูลาดอยู่เบื้องหน้า หญิงนั้นก็ช้อนตาดำขลับ มีขนตาดกหนาเป็นแพขึ้นมองหล่อนนิ่งๆ

“พูดภาษาอังกฤษได้ไหม?” มัทรีถาม พยายามออกเสียงช้าๆ เพื่อให้คู่สนทนาเข้าใจ แต่เมื่อเห็นหญิงนั้นยังนั่งนิ่ง ธวัชที่ทรุดตัวลงข้างๆ ก็เอ่ยปากถามเป็นภาษาพื้นเมือง

เสียงที่ดังลอดผ่านผ้าคลุมนั้นเป็นเสียงแหลมเล็กของหญิงสาวรุ่นที่อายุไม่น่าจะเกิน 30 ปี หล่อนโต้ตอบกับธวัชครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็หันมาบอกกับหญิงสาวชาวไทย

“นางคิดราคา 5 ดอลล่าห์ครับ คุณมัทรี ถือว่าแพงทีเดียวสำหรับหมอดูแถวนี้”

มัทรีพยักหน้ารับรู้ แต่เมื่อชั่งใจดูแล้ว นางหมอดูคงเป็นหมอดูหญิงเพียงคนเดียวในสวนแห่งนี้และท่าทางอายุก็ยังน้อย หล่อนอยากจะรู้เหมือนกันว่านางจะใช้วิธีไหนตรวจดวงชะตาให้กับหล่อน

“บอกเธอเถอะค่ะ ว่าดิฉันตกลง”

ธวัชหันไปส่งภาษาพื้นเมืองสำเนียงแปลกหูกับหญิงนั้น มัทรีเห็นนางพยักหน้าแล้วจ้องหล่อนเขม็งจนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา ธันย์ที่เดินถ่ายรูปอยู่บริเวณใกล้ๆ เตร่เข้ามายืนเมียงมอง พลางขอให้ธวัชบอกแก่นางหมอดูด้วยว่าเขาจะขอถ่ายภาพ เมื่อธวัชแจ้งแก่นาง เขาก็ไม่เห็นแม่หมอพื้นเมืองตอบรับหรือปฏิเสธอะไร ธันย์จึงคิดเอาว่านางคงยินยอมเลยกดชัตเตอร์บันทึกภาพของมัทรีและนางหมอดูชาวอัคคาเอาไว้

“เอ แล้วนี่เธอจะให้ดิฉันทำอะไรบ้างล่ะคะ?” มัทรีหันไปหาธวัช เมื่อไม่เห็นว่าแม่หมอตรงหน้าจะทำอะไรอย่างอื่นมากไปกว่าจ้องหน้าของหล่อนนิ่ง

ธวัชแปลคำถามนั้นเป็นภาษาพื้นเมือง เมื่อเขาได้รับคำตอบก็หันมาแปลให้มัทรีฟังอีกทอดหนึ่ง

“นางว่า ไม่ต้องทำอะไรครับ นางกำลังตรวจดวงชะตาให้คุณอยู่แล้ว ขอเพียงคุณนั่งนิ่งๆ ให้นางเห็นหน้าของคุณชัดๆ หน่อยเท่านั้น”

หมอดูใบหน้า! เคยได้ยินแต่หมอดูลายมือ หรือไม่ก็หมอดูลายเท้า นี่เป็นหมอดูใบหน้า แปลกแท้ๆ มัทรีคิด

เอาแล้วล่ะซี หล่อนจะถูกหลอกเอาเงิน 5 ดอลล่าห์ไปฟรีๆ เสียล่ะกระมัง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพลาดท่าเสียเงินให้กับหมอดูคนไหนมาก่อน แม้ว่าสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจะถูกเพื่อนสนิทลากไปดูดวงแถวท่าพระจันทร์อยู่หลายครั้ง แต่หล่อนก็ไม่เคยเออออกับเพื่อนเลย ดูท่าคราวนี้ หล่อนจะเสียทีให้หมอดูชาวอัคคาคนนี้เสียแล้ว

เกือบ 5 นาทีที่หญิงสาวชาวไทยได้แต่นั่งนิ่งๆ ให้นางหมอดูพื้นเมืองชาวอัคคาจ้องหน้าจ้องตาอยู่โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ จนมัทรีเกือบจะหมดความอดทนและบอกเลิก แม่หมอดูก็หลุบตาลงตามเดิม พูดภาษาพื้นเมืองเสียงสูงๆ ต่ำๆ อยู่ครู่หนึ่ง ธวัชที่รับฟังอยู่ใกล้ๆ จึงหันมาหาร่างบอบบางที่ขยับตัวอย่างอึดอัดอยู่ข้างๆ เพราะฟังคำพูดเหล่านั้นไม่เข้าใจ

“นางว่า คุณกำลังมีเคราะห์ครับ คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากยังต่างบ้านต่างเมือง แต่ความทุกข์ยากนี้จะผ่านไปได้หากคุณมีใจที่เข้มแข็งและเมตตา แล้วคุณก็จะได้พบกับสิ่งมีค่าที่มนุษย์ทุกคนตามหา”

มัทรีเกือบจะหัวเราะออกมาดังๆ ดีแต่สะกดกลั้นไว้ได้ หล่อนดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบแบงค์ดอลล่าห์ตามจำนวนที่ตกลงส่งให้หญิงนั้น พลางกล่าวขอบคุณเป็นภาษาพื้นเมืองตามธวัชเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่ยืนมองอยู่ห่างๆ

“เป็นยังไง ยัยมัท แม่หมอว่าเธอจะได้แต่งงานเมื่อไหร่?” ธันย์ถามมาอย่างเจตนาจะเย้า

“บ้าซี ฉันไม่ได้ถามอะไรเลยสักคำ ได้แต่นั่งให้เขาจ้องหน้าเอาๆ”

“เป็นยังไงบ้างครับ มิสมัทรี หมอดูพื้นเมืองของเราแม่นยำดีไหม?” การ์เซียเตร่เข้ามาถาม มัทรีจึงเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ

“ไม่ทราบซีคะ มิสเตอร์การ์เซีย เธอว่าดิฉันจะมีเคราะห์ เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่หมอดูของอัคคามีวิธีตรวจดวงชะตาแปลกๆ อยู่เหมือนกัน น่าสนใจดี”

“หมอดูร้อยทั้งร้อยก็ต้องว่าเรามีเคราะห์ เขาจะได้หลอกล่อให้เราหาทางสะเดาะเคราะห์อย่างใดอย่างหนึ่งกับเขาน่ะซีครับ” การ์เซียว่า

“ดิฉันก็คิดอย่างนั้นค่ะ เพราะเขาบอกว่าดิฉันจะต้องพบความยากลำบากยังต่างบ้านต่างเมือง ดิฉันเองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยากอย่างนั้นเหมือนกัน”

“แน่นอนครับ” การ์เซียกล่าวเสียงหนักแน่น “ตราบใดที่คุณอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลอัคคา พวกคุณย่อมจะต้องปลอดภัย”

“เราไปกันต่อดีไหมครับ? เห็นมิสเตอร์การ์เซียบอกว่าทางด้านโน้นมีเรือนกระจก เราไปดูกันดีกว่า” คมเดชกล่าวแทรกขึ้นเบาๆ การ์เซียจึงออกเดินนำไปตามทางเดินนั้นอีกครั้ง ธันย์ถอยลงมาเดินข้างๆ เพื่อนร่วมงานสาว กระซิบถามเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน

“ทำไมเธอไม่ถามเขาล่ะ? ว่าชาตินี้จะได้แต่งงานไหม เสียดายโอกาสจริงๆ ยัยมัท”

“ไม่ล่ะ นายอยากรู้ก็ไปถามเอาเองซี บอกตรงๆ ว่าฉันล่ะหมดศรัทธาตั้งแต่รู้ว่าเป็นหมอดูใบหน้านั่นแล้วล่ะย่ะ!”



การเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวในวันแรกเสร็จสิ้นลงราวทุ่มตรง การ์เซียมาส่งคณะชาวไทยทั้งหมดที่โรงแรม พร้อมกับนัดพบกันในวันพรุ่งนี้ ณ เวลาเดิม ภายหลังจากขบวนรถของรัฐบาลอัคคากลับไป ธวัชก็ขอตัวกลับไปด้วย จึงเหลือแต่เพียงคณะนักข่าวจากเมืองไทยทั้ง 3 คนที่ยังนั่งดื่มกาแฟและสนทนากันเบาๆ อยู่ที่ล็อบบี้

“ผมไม่คิดว่าคนไทยจะดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อช้อปปิ้งในห้างหรอกนะพี่” ธันย์เอ่ยเบาๆ เหมือนบ่น ช่างภาพหนุ่มคิดถึงเหตุการณ์ในตอนบ่ายที่การ์เซียพาคณะของพวกเขาไปยังห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ถึง 2 แห่งกลางย่านการค้าของกรุงอัคการ์ ที่แม้จะยังไม่เจริญมากนักแต่ก็คึกคักพอสมควร เขาจำได้ดีว่าตัวเองรู้สึกเบื่อหน่ายเพียงใดที่ต้องถ่ายรูปบรรยากาศห้างร้านต่างๆ ที่จัดตกแต่งไว้อย่างสวยงามไม่แพ้ห้างสรรพสินค้าดังๆ ในกรุงเทพฯ

“ลืมไปแล้วหรือไง ว่าคนไทยไม่แพ้ใครในเรื่องชอปปิ้ง” หัวหน้างานของเขาแย้ง “พี่ว่าอย่าไปกังวลเลยว่าจะไม่มี ที่ไหนแปลกๆ พี่ไทยเราไม่เคยพลาด”

“แต่มัทสนใจตลาดเล็กๆ ด้านล่างห้างนั่นมากกว่า เสียดายที่เราไม่มีเวลาพอ ดูเขาจะไม่ยอมให้เราออกนอกตารางที่วางไว้เลย” หญิงสาวพึมพำ พลางนึกถึงตลาดค้าผ้าและของพื้นเมืองที่อยู่รอบบริเวณที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าทั้ง 2 แห่ง หล่อนสนใจผ้าทอลายพื้นเมืองสีสวยสดและข้าวของรูปร่างแปลกตาที่แขวนเรียงรายอยู่ตามหน้าร้านค้าเหล่านั้น ตามทางเดินข้างถนนมีหญิงชาวอัคคาเดินเลือกซื้อของกันเป็นกลุ่มๆ หล่อนเอ่ยถามการ์เซียว่าหล่อนจะมีโอกาสลงไปเดินดูบ้างไหม ก็ได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าไม่อยู่ในแผนการที่กำหนดไว้

“ถ้าพรุ่งนี้เราทำงานเสร็จเร็วอย่างที่คุณธวัชว่า เราลองไปเดินเที่ยวดูกันไหม?” ธันย์เอ่ยชวน

“ดีเหมือนกัน” มัทรีพูดอย่างตื่นเต้น “จะได้เอาไปลงบทความด้วย แปลกพิลึกที่มีแต่แผนพาเราไปเที่ยวดูแต่ของใหม่ๆ ร้านอาหารที่พาไปเมื่อตอนเที่ยง ถึงจะเป็นอาหารพื้นเมือง แต่ก็ดูประดิดประดอยมากไปหน่อย”

“ทางรัฐบาลคงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยมากกว่าอย่างอื่น แล้วก็คงกลัวว่าถ้าพาเราไปแต่ที่ไม่งามตา ภาพลักษณ์ของประเทศก็จะเสียหายเอาน่ะสิ” คมเดชพูดเรื่อยๆ

“ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวนี่คะพี่คม บ้านเมืองเขาก็ดูสวยงามดี มีสถานที่สร้างใหม่เยอะแยะ คงอย่างที่มิสเตอร์การ์เซียว่านั่นล่ะค่ะ...โครงการพัฒนาเมืองใหม่ น่าแปลกจริงๆ นะคะ ประเทศเล็กๆ อย่างนี้เอาเงินทองจากไหนมากมายมาสร้างนู่นสร้างนี่กันใหญ่โต”

“ก็ท่านทูตบอกแล้วไงว่า เขาให้บางประเทศมาลงทุน ห้าง 2 ที่นั่นก็คงใช่ด้วย ดูมีข้าวของแบรนด์เนมเต็มไปหมด” ธันย์พูด แล้วยกกาแฟดื่มจนหมดแก้ว “เอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ถ้าเสร็จงานเร็ว เราก็ค่อยชวนคุณธวัชไปด้วยก็แล้วกัน เขาจะได้เป็นไกด์ให้ไง ดีเสียอีก ถ้าเราจะช่วยโปรโมทย่านค้าขายของชาวบ้านให้เขาด้วย ดีกว่าไปโปรโมทให้ห้างต่างชาตินั่นตั้งเยอะ”

คมเดชพยักหน้าน้อยๆ ถึงแม้จะนอกแผนการที่ทางรัฐบาลอัคคาวางไว้ แต่เท่าที่ได้ออกไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ มาตลอดทั้งวัน เขาก็ไม่เห็นว่าในกรุงอัคการ์นี้จะมีอะไรที่เป็นอันตราย และหากมีธวัชไปด้วยก็คงไม่ต้องเป็นกังวลนัก



วันรุ่งขึ้น การ์เซียนำขบวนรถมารับคณะนักข่าวพร้อมด้วยธวัชที่โรงแรมตรงตามเวลาที่ได้นัดไว้ เขาพากลุ่มนักท่องเที่ยวเล็กๆ นี้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอัคคา ซึ่งดูจากสภาพตึกที่ใหม่เอี่ยมแล้วก็คงเป็นอีกหนึ่งในโครงการพัฒนาเมืองใหม่ มัทรียังรู้สึกโชคดีอยู่บ้างที่ของซึ่งจัดแสดงอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนั้นไม่ได้ใหม่ตามตัวตึกไปด้วย ข้าวของเครื่องใช้แบบพื้นเมืองแท้ๆ ที่ได้รับบริจาคมาจากคหบดีตระกูลใหญ่ๆ ของอัคคาแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะสร้างอัตลักษณ์ให้กับชาติที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานของตน

ตลอดเช้า คณะนักข่าววนเวียนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่เพียง 2 ชั้นนั้นโดยมีการ์เซียเป็นผู้ให้ข้อมูล หญิงสาวสนอกสนใจในข้าวของแปลกตาเหล่านั้นพอสมควร หล่อนบอกตัวเองว่าที่นี่ก็ยังดูน่าพิศมัยกว่าที่อื่นๆ ที่หล่อนได้ไปมาแล้วเมื่อวาน แฟนประจำคอลัมน์ของหล่อนมีจำนวนไม่น้อยที่สนใจศึกษาวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของตัวเอง คงมีน้ำมีเนื้อให้เขียนถึงบ้างก็วันนี้เอง

มื้อกลางวันสำหรับวันนั้น การ์เซียนำคณะนักข่าวในความดูแลของเขาไปยังโรมแรมหรูหราระดับห้าดาวอีกแห่งหนึ่ง อาหารที่จัดเสิร์ฟเป็นอาหารอิตาเลียนแบบฟูลคอร์ส มัทรีและธันย์ลอบสบตากันอย่างเบื่อหน่าย คอลัมนิสต์สาวและชายหนุ่มช่างภาพชาวไทยออกจะผิดหวังเล็กน้อย นักอ่านที่ติดตามคอลัมน์แนะนำการท่องเที่ยวคราวนี้คงรู้สึกว่าอัคคาไม่ต่างอะไรนักกับประเทศเล็กๆ ในแถบยุโรป

“ทางรัฐบาลอัคคาจัดโปรแกรมอย่างหรูหราทีเดียวนะครับ” ธวัชเอ่ยขึ้นกับการ์เซียในระหว่างรับประทานอาหารมื้อนั้น

การ์เซียยิ้ม ท่าทีของเขาดูระมัดระวังขึ้นเล็กน้อยเมื่อตอบคำถามของเลขานุการเอกอัครราชทูตไทย “ครับ ท่านจอมพลตรวจตราโปรแกรมต่างๆ ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ด้วยตัวเอง พร้อมกำชับมาอย่างแข็งขันให้ดูแลคณะของคุณคมเดชอย่างดีที่สุด”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งทีเดียวครับ มิสเตอร์การ์เซีย เพียงแต่ผมอยากจะเสนออะไรสักหน่อย” ธวัชเอ่ยเรียบๆ ขณะยกกาแฟขึ้นจิบ “ทำไมในโปรแกรมครั้งนี้ไม่มีการพาไปเยี่ยมชมย่านเมืองเก่าหรือย่านร้านค้าของชาวบ้านละครับ? ผมคิดว่าทางหนังสือพิมพ์ Siam News คงจะได้ข้อมูลไปประกอบการเขียนบทความมากทีเดียว”

“ไม่มีอะไรน่าดูมากนักหรอกครับ ย่านเมืองเก่าอย่างนั้น อีกไม่นานก็จะมีการปรับปรุงพัฒนากันขนานใหญ่”

“เอ๊ะ อย่างนั้นหรือครับ?” ธวัชเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ครับ เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาเมืองใหม่ของท่านจอมพลอีกเช่นกัน ประเทศของเรายังต้องการการพัฒนาอีกมากครับ”

ธวัชไม่พูดว่าอะไรอีก แม้เขาจะรู้ถึงความเป็นไปบางอย่างภายในประเทศนี้ แต่เขาก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้ ตำแหน่งข้าราชการสถานทูตจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางตัวเป็นกลางเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ

บ่ายวันนั้น การ์เซียนำคณะทั้งหมดไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ อีก 2-3 แห่งและแวะชมร้านค้าเครื่องประดับจำพวกพลอยและหินสีอีกสองร้าน ดูจากการตกแต่งอย่างหรูหราและความใหญ่โตโอ่โถงของร้านแล้ว มัทรีเดาได้ว่าเจ้าของคงเป็นคหบดีมีชื่อของอัคคาเป็นแน่ ขบวนรถนำเที่ยวของรัฐบาลอัคคามาส่งหญิงสาวพร้อมคณะที่โรงแรมตอนสี่โมงเย็น เมื่อท้ายรถตำรวจคันสุดท้ายเลี้ยวออกจากประตูโรงแรม ธันย์ก็หันมาเอ่ยกับธวัช

“คุณธวัชครับ ไม่ทราบหลังจากนี้แล้วคุณว่างรึเปล่าครับ?”

“ครับ คุณธันย์” ธวัชพยักหน้ารับงงๆ

“โชคดีจริง พอดีผมคุยกับมัทไว้ว่าอยากจะไปเที่ยวตลาดขายของพื้นเมืองในอัคการ์ที่เราผ่านเมื่อวานนี้น่ะครับ มิสเตอร์การ์เซียเขาไม่ยอมให้เราแวะท่าเดียว ไอ้ครั้นจะไปกันเองก็ไม่รู้ทาง คุณพอจะพาเราไปได้ไหมครับ?”

ธวัชมีสายตาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากอย่างลังเล “ผมเองก็คิดว่าตลาดนั่นน่าสนใจมากทีเดียวครับ เสียดายที่เมื่อวานนี้มิสเตอร์การ์เซียไม่ได้พาพวกคุณไป แต่ไปกันเองอย่างนี้ ก็เท่ากับนอกเหนือแผนการที่ทางรัฐบาลวางไว้”

“ไม่น่าจะมีอะไรนะคะ คุณธวัช ดิฉันดูๆ จากสองวันที่ผ่านมา ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี ปัญหาเรื่องการประท้วงที่เห็นในข่าวบ่อยๆ ก็ไม่เห็นจะมี” มัทรีสนับสนุนขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

ธวัชนิ่งไปอึดใจ เขาหันไปทางคมเดชซึ่งเป็นหัวหน้าคณะอย่างขอความเห็น

“แล้วแต่ความสะดวกใจของคุณดีกว่าครับ คุณธวัช ถ้าคุณเห็นว่าไม่ปลอดภัยก็อย่าไปเลย แต่ผมอ่อนใจกับเจ้าสองคนนี้จริงๆ กลัวว่าจะกล้าบ้าบิ่นแอบไปกันเองมากกว่า” คมเดชเอ่ยเบาๆก่อนส่ายหน้าอย่างระอา เขารู้จักลูกน้องทั้งสองคนนี้ดี ลองว่าสนใจอะไรแล้วเป็นต้องลักลอบทำจนถึงที่สุด โดยไม่เกรงกลัวอันตรายอะไรทั้งสิ้น

“ตกลงครับ ดีเหมือนกัน” ธวัชตกปากรับคำหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ผมเองก็อยากให้พวกคุณได้ข้อมูลดีๆ ไปเขียนเหมือนกัน ดูๆ มา 2 วัน พวกคุณคงแทบไม่ได้อะไรเลย”

“ถ้าอย่างนั้น ฝากสองคนนี่ด้วยแล้วกันนะครับ คุณธวัช” คมเดชพูด “ผมคงจะต้องขอตัว... เหนื่อยเต็มที พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางกันอีก” ว่าแล้วเขาก็ขอตัวกลับไปยังห้องพัก

“เราไปกันเลยดีกว่ามั้ยครับ ตลาดปิดตอนทุ่มตรง เดี๋ยวจะไม่ทันเสียก่อน” ธวัชหันมาเอ่ยชักชวน เขาเดินนำมัทรีและธันย์ไปขึ้นรถของสถานทูตไทยที่เขาเป็นคนขับมาจอดไว้ยังลานจอดรถของโรงแรมตั้งแต่ตอนเช้า



ตลาดแห่งนั้นคึกคักพอสมควร มัทรี ธันย์และธวัชเดินทอดน่องมาตามทางเดินที่อยู่ระหว่างกลางร้านขายของซึ่งมีกำแพงก่อขึ้นจากดิน หลังคามุงกระเบื้องดินเผาอย่างหยาบๆ เรียงรายยาวเหยียดอยู่ทั้งสองฟาก หญิงชายชาวอัคคาในชุดพื้นเมืองที่เดินสวนมาพากันเหลียวมองชาวต่างชาติทั้งสามคนอย่างสนใจ ธันย์ถ่ายรูปไปตลอดทาง เมื่อเห็นสินค้าแปลกตาน่าสนใจ เขาก็ชี้ชวนให้มัทรีและธวัชดู และก็เป็นหน้าที่ของธวัชที่จะต้องเจรจากับเจ้าของร้านด้วยภาษาพื้นเมืองเพื่อขอให้ชายหนุ่มช่างภาพได้ถ่ายรูปไว้

มัทรีเที่ยวเดินดูข้าวของที่วางบ้างแขวนบ้างอยู่ตามหน้าร้านค้าเหล่านั้นอย่างสนใจ หล่อนซื้อตุ๊กตาดินเผารูปร่างแปลกตาสำหรับเป็นของฝากเพื่อนที่กรุงเทพฯ และซื้อผ้าทอมือลวดลายงดงามผืนหนึ่งสำหรับมารดา ขณะที่กำลังพิจารณาเครื่องแต่งกายและอากัปกิริยาของชาวเมืองอัคคาที่เดินผ่านไปมา มัทรีก็เหลือบไปเห็นป้ายโปสเตอร์ที่ติดเป็นพืดอยู่ตามข้างกำแพงและเสาไฟฟ้า ในโปสเตอร์นั้นเป็นภาพหญิงพื้นเมืองชาวอัคคาคนหนึ่ง อายุราว 40 ปี มีผ้าสีน้ำตาลอ่อนคลุมจากศีรษะแล้วอ้อมมาพันรอบลำคอตามแบบชุดพื้นเมืองชาวอัคคา ดวงตาดำขลับแฝงแววเมตตาทำให้ใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างองอาจนั้นอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันก็แลดูเข้มแข็งอย่างประหลาด หญิงสาวเห็นโปสเตอร์ลักษณะเดียวกันนี้ติดอยู่ภายในร้านค้าบางร้านที่เดินผ่านมาด้วย

“นั่นนางปรียาวีร์ ใช่ไหมคะ?” หล่อนหันไปถามธวัชที่เดินอยู่ข้างๆ

“ครับ” ธวัชตอบสั้นๆ เมื่อมองตามสายตาของหญิงสาว

“ดูเธอจะได้รับความนิยมมากทีเดียวนะคะ ทีแรกเมื่อเข้าไปในเมือง ดิฉันเห็นแต่ภาพจอมพลคาลันเต็มไปหมด”

“ครับ เธอได้รับความนิยมในหมู่ชาวบ้านน่ะครับ เพราะงานด้านการกุศลที่เธอทำมาตลอด ทำให้ชาวบ้านชื่นชมเธอมาก แม้แต่ในอัคคาใต้ก็ตาม”

“จอมพลคาลันมีคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวพอดูทีเดียว” หญิงสาวรำพึงเบาๆ สัญชาตญาณของนักข่าวในตัวทำให้หญิงสาวอดกระตือรือร้นกับสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ ถึงแม้ว่าขณะนี้เธอจะอยู่ในระหว่างทำงานอีกอย่างหนึ่งก็ตาม

ทางเดินเท้านั้นค่อยๆ กว้างขึ้น แล้วบรรจบกับทางแยกอีกสายหนึ่งซึ่งนำไปสู่ร้านค้าอื่นๆ อีกเช่นกัน บริเวณกลางทางแยกนั้นมีพื้นที่กว้างเล็กน้อย มัทรีและธันย์เห็นกลุ่มคนขนาดใหญ่เดินผ่านมา ชาวเมืองอัคคาที่เดินจับจ่ายใช้สอยอยู่รวมทั้งเหล่าเจ้าของร้านต่างพากันเข้าไปรุมล้อมด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี ผู้คนบริเวณนั้นมากขึ้นทุกที จนชาวต่างชาติสามคนในที่นั้นต้องเลี่ยงไปยืนอยู่หน้าร้านขายผลไม้เชื่อมตรงหัวมุมทางแยก

“มีอะไรกันรึเปล่าครับ?” ธันย์ถามอย่างนึกระแวง

ธวัชชะเง้อมองเข้าไปในกลุ่มคน ตอบมาว่า “เอ คงไม่มีอะไรร้ายแรงมังครับ อ้อ เห็นจะเป็นขบวนหาเสียงมากกว่า”

มัทรีมองตาม กลุ่มคนดังกล่าวเคลื่อนมาใกล้บริเวณที่ทั้งสามคนหยุดยืนอยู่ กลางวงล้อมนั้น หล่อนเห็นหญิงร่างท้วมในชุดพื้นเมืองสีเทาตัวยาวเกือบกรอมเท้า มีผ้าสีน้ำตาลอมแดงคลุมรอบศีรษะแล้วตลบอ้อมลำคอปล่อยชายไปด้านหลัง ดวงหน้ายิ้มแย้มภายใต้ผ้าคลุมนั้นคือดวงหน้าเดียวกับที่หล่อนเห็นในภาพโปสเตอร์ หญิงนั้นกำลังสัมผัสมือกับชาวบ้านนับสิบคนที่เข้ามารายล้อม ชายฉกรรจ์ใบหน้าดุดัน 2-3 คนที่ดูจากท่าทีแล้วคงจะเป็นบอดี้การ์ดยืนขนาบอยู่ใกล้ๆ

“นางปรียาวีร์นี่คะ” มัทรีเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น บังเอิญเหลือเกินที่หล่อนได้มาเห็นบุคคลสำคัญของอัคคาในระยะใกล้เช่นนี้

“ครับ นางคงมาช่วยลูกพรรคหาเสียง” ธวัชพยักหน้าพลางเอ่ยอย่างคาดเดา

“ผมถ่ายรูปได้ไหมครับ?” ธันย์ถาม เขาถือกล้องในมือค้างอยู่ ไม่กล้ายกขึ้นถ่ายเพราะเกรงสายตาของบอดี้การ์ดที่ล้อมรอบตัวผู้นำฝ่ายค้านของอัคคา

“เกรงว่าจะไม่ได้ครับคุณธันย์ ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ในฐานะนักข่าวที่ได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาล ถ้าทางนางปรียาวีร์ไม่ยินยอมให้ถ่ายแล้วแจ้งแก่รัฐบาล ผมเกรงว่าทางเราจะลำบาก”

มัทรีเฝ้ามองดูกลุ่มคนเหล่านั้นเคลื่อนผ่านไปช้าๆ สังเกตจากจำนวนคนที่มากขึ้นๆ ในระหว่างทางที่นางปรียาวีร์ผ่านไป ทั้งๆ ที่เป็นที่อัคการ์ เมืองหลวงของอัคคาใต้ ไม่ใช่ที่อัคคาเหนือ ดูท่าแล้วผลการเลือกตั้งในปลายปีนี้จะไม่เป็นที่แน่นอนสำหรับจอมพลคาลันอีกต่อไป

“กลับกันเสียทีดีไหมครับ? เดี๋ยวคุณคมเดชจะเป็นห่วงแย่ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้าด้วย” ธวัชถาม เมื่อกลุ่มคนเริ่มเบาบางลง และทั้งสามคนกลับมาเดินอยู่บนทางเท้าอีกครั้งหนึ่ง

มัทรีพยักหน้ารับเช่นเดียวกับธันย์ที่กำลังเก็บกล้องถ่ายรูปลงในกระเป๋า

...พรุ่งนี้แล้วสินะ...หญิงสาวคิดขณะออกเดินกลับไปยังบริเวณที่ธวัชจอดรถไว้ เธอจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทางไปยังอัคคาเหนือ ดินแดนลึกลับที่เพียงได้เห็นจากภาพถ่าย ก็ทำให้เธอติดตาติดใจ อยากไปสัมผัสด้วยตัวเอง



เสียงใบพัดหมุนแหวกอากาศอย่างรวดเร็วดังกระหึ่มอยู่รอบตัว เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอัคคาใต้บินมุ่งหน้าขึ้นเหนือมากว่าสามชั่วโมงแล้ว นับตั้งแต่ออกจากสนามบินทางทหารชานกรุงอัคการ์ราวแปดโมงเช้า การ์เซียส่งรถมารับที่โรงแรมเช่นเคย ตัวเขารออยู่ที่สนามบินและแจ้งแก่ทางคณะของมัทรีว่าเขามีหน้าที่ไปส่งพวกเธอถึงชายแดนอัคคาใต้ และจากนั้นเจ้าหน้าที่ของอัคคาเหนือจะมารับพวกเธอต่อไป

“น่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้ไปกับพวกคุณด้วย” การ์เซียทำสีหน้าตามที่พูด “ผมมีงานด่วนที่จะต้องจัดการ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของอัคคาเหนือจะดูแลพวกคุณต่อเป็นอย่างดี”

เสียงลมพัดอู้และเสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มจนพูดกันแทบไม่ได้ยิน การ์เซียนั่งคู่กับคนขับที่ด้านหน้า ธวัชนั่งอยู่ข้างๆ คมเดชแต่ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน ธันย์ถ่ายรูปทิวทัศน์ของอัคคาใต้จากมุมสูงอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยมีทหารในชุดเครื่องแบบอีกคนหนึ่งคอยนั่งกำกับอยู่ที่ประตูเครื่องซึ่งเปิดออกกว้าง มัทรีทอดตามองลงไปยังพื้นเบื้องล่างซึ่งต่ำลงไปหลายร้อยเมตร ภูมิประเทศทางตอนเหนือของอัคคาใต้เป็นเทือกเขา มีต้นไม้ขึ้นไม่หนาแน่นนัก ลักษณะเหมือนภูเขาหินสลับกับทุ่งหญ้า แต่กระนั้นก็ยังสวยงามและน่าตื่นใจ ยิ่งบินขึ้นเหนืออากาศก็ยิ่งเย็นขึ้นโดยลำดับ มัทรีกระชับเสื้อแจ็กเก็ตผ้าลูกฟูกที่สวมอยู่เพื่อป้องกันลมตี อีกมือหนึ่งรวบผมสีอ่อนที่หยิกเป็นลอนน้อยๆ ไม่ให้ปลิวกระจุยกระจายปรกหน้า

“อีกนานไหมครับ กว่าจะถึง” ธันย์ตะโกนถามธวัช

“อีกสักครู่ครับ เดี๋ยวก็จะถึงแล้ว” ธวัชตะโกนตอบแข่งกับเสียงอื้ออึงรอบข้าง

“คุณธวัชเคยไปอัคคาเหนือแล้วหรือคะ?” มัทรีตะโกนถามบ้าง

ชายหนุ่มเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยพยักหน้า “สองครั้งเท่านั้นครับ สมัยที่ท่านทูตสุวิกรมมาประจำที่อัคคาใหม่ๆ ท่านไปเยือนอัคคาเหนือเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีน่ะครับ อีกครั้งหนึ่งก็เมื่ออัคคาเหนือประสบภัยหนาวเมื่อสองปีก่อน เราเอาของและเงินไปบริจาคชาวบ้านในนามมิตรประเทศ”

“ดิฉันดูจากในรูป อัคคาเหนือดูแตกต่างจากอัคคาใต้มากพอสมควรนะคะ ทั้งๆ ที่เป็นประเทศเดียวกันแท้ๆ”

“ครับ เพราะอัคคาเหนือมีเทือกเขาสูงล้อมรอบ ตรงกลางภูมิภาคเป็นที่ราบกว้างใหญ่ แห้งแล้งและกันดาร ชาวอัคคาเหนือก็ยังใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม แม้แต่ในกรุงมันตราอดีตเมืองหลวงอัคคาเหนือ ความเป็นอยู่ก็ยังห่างจากอัคการ์มาก เพิ่งจะมีไฟฟ้าใช้เมื่อไม่กี่ปีมานี่เองครับ”

มัทรีพยักหน้ารับรู้ เฮลิคอปเตอร์เริ่มลดเพดานบินต่ำลง ทิวทัศน์เบื้องล่างใกล้ขึ้นมาโดยลำดับ มองเห็นหมู่บ้านเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ในระหว่างป่าโปร่ง เหนือขึ้นไปเป็นแม่น้ำกว้างสายหนึ่งที่ทอดตัวยาวคดเคี้ยวจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวและเป็นสีน้ำตาลขุ่นขลัก เฮลิคอปเตอร์ลงจอดยังลานกว้างกลางสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีรั้วสูงกั้นโดยรอบ ฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจัดกระจายและค่อยๆ เบาบางเมื่อใบพัดหมุนแผ่วลงจนนิ่งสนิท

-จบตอนที่ 4-



เรื่องนี้ตัวหนังสือเยอะหน่อยนะคะ





Create Date : 16 สิงหาคม 2551
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 12:28:30 น. 7 comments
Counter : 474 Pageviews.

 
ตามมาอานต่อค่ะ


โดย: pimpagee วันที่: 16 สิงหาคม 2551 เวลา:12:17:32 น.  

 
อยากรู้เหมือนกันค่ะว่ามัทรีเจอเนื้อคู่เมื่อไหร่ แต่ไม่ชอบจอมพลคาลันเลยค่ะรู้สึกเหมือนเป็นตัวร้าย


โดย: PiN.VE IP: 203.172.85.35 วันที่: 16 สิงหาคม 2551 เวลา:19:46:52 น.  

 
อื่มม
ให้บรรยากาศแนว realism ผสมกับจินตนาการล้วนๆดีค่ะ


โดย: PPpIRCU วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:20:10:34 น.  

 
เอ่อ...

Realism ผสมจินตนาการเป็นไงอ่ะคะ?
คุณ PPpIRCU


โดย: ชญาลี วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:23:12:51 น.  

 
คราวนี้ไม่มีเพลงเหรอ?


โดย: BestChild วันที่: 23 สิงหาคม 2551 เวลา:18:02:51 น.  

 
อ้าว เพลงไม่ขึ้นเหรอ?

...ก็ขึ้นหนิ...


โดย: ชญาลี วันที่: 23 สิงหาคม 2551 เวลา:20:43:02 น.  

 
กลับมาอ่านซ้ำเป็นครั้งที่สอง เพื่อเก็บรายละเอียด สนุกค่ะ


โดย: nathanon วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:19:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.