....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
5 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 11-12

-ตอนที่ 11-


ครู่หนึ่ง วินธัยก็เดินกลับมาพร้อมกับหิ้วเนื้อย่างส่วนที่เฉือนแบ่งมาด้วย อีกมือถือชามไม้ขนาดย่อมๆ พร้อมห่อกระดาษสีขุ่นในอ้อมแขน เมื่อมาถึงร่างสูงนั้นก็ทรุดลงบนก้อนหินตรงหน้ามัทรี แล้ววางสิ่งที่ถือมาด้วยลง

“รีบทานเสีย” เขาเอ่ยสั้นๆ

ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ มัทรีคว้าเนื้อทั้งท่อนขึ้นมาแทะกินอย่างคนหิวจัด กลิ่นเนื้อชนิดนั้นค่อนข้างสาบและรสชาติก็พิกล เป็นกลิ่นและรสชาติเดียวกับเนื้อตากแห้งรมควันที่หล่อนกินเมื่อมื้อกลางวัน แต่จะว่าไปมันก็อร่อยพอใช้ และช่วยให้หล่อนรอดตายไปได้อีกมื้อ

“อร่อยดีเหมือนกันนะ เนื้ออะไรน่ะ?” หล่อนถามอย่างชวนคุย เมื่อแทะไปได้เกือบครึ่ง

วินธัยกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับห่อกระดาษในมือ ซึ่งภายในบรรจุขนมปังแผ่นแบนๆ สีออกเหลือง เขาเคี้ยวตุ้ยขณะตอบคำถามมัทรี

“เนื้อจามรี”

หญิงสาวชาวไทยอ้าปากค้าง ปล่อยเนื้อในมือทันที แต่โชคดีที่วินธัยคว้าไว้ได้ทันก่อนที่เนื้อทั้งท่อนนั้นจะร่วงลงพื้น เขาขมวดคิ้วมองหน้านักข่าวสาวที่มีท่าทีผะอืดผะอมราวกับอยากจะล้วงคอเต็มแก่

กำลังตั้งท่าจะดุที่หล่อนปล่อยเนื้อกระทันหันจนเกือบทำของกินดีๆ ตกพื้น มัทรีก็โวยขึ้นเสียก่อน

“โอ๊ย ทำไมคุณไม่บอกฉันก่อน ตายแล้ว เนื้อจามรี โอย...”

“แล้วยังไงล่ะ ผมก็เห็นคุณทำท่าอร่อยดี ดูสิ กินไปจนจะหมดแล้วถึงได้มาถาม” เขาว่า วางเนื้อชิ้นนั้นลงบนห่อกระดาษของตัวเอง

“ก็ตอนกินมันไม่รู้นี่” ว่าพลางหล่อนชำเลืองไปทางฝูงจามรีที่ผูกไว้ตรงสุดลานอีกด้านหนึ่ง

วินธัยชำเลืองมองตาม และอย่างเดาความคิดของหล่อนได้ เขาก็เอ่ยออกมาว่า

“ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่พวกมันตัวใดตัวหนึ่งหรอกน่ะ นี่เป็นเนื้อส่วนที่เตรียมไว้เป็นเสบียงโดยเฉพาะ”

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...มัทรีคิด แม้ว่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก และไม่ควรเลยที่จะมาเลือกกินอะไรเอาในตอนนี้ แต่พอได้รู้ว่าอาหารที่ตัวเองกินเข้าไปนั้น เป็นของแปลกใหม่ที่ไม่เคยและไม่คิดว่าจะได้ลิ้มลองมาก่อน หล่อนก็คิดว่าตัวเองควรจะมีเวลาสำหรับการเตรียมใจล่วงหน้าไว้ก่อนเหมือนกัน

และถึงหล่อนจะยอมรับว่ารสชาติของมันก็อร่อยพอใช้ แต่ก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น เมื่อวินธัยส่งเนื้อชิ้นนั้นกลับมาให้อีกครั้ง หล่อนจึงส่ายหน้าปฏิเสธ

“งั้นลองนี่” เขาว่า ผลักชามไม้มาตรงหน้า มัทรีก้มลงดูก็พบว่ามันคือแกงถั่วสีน้ำตาลข้นคลั่ก หญิงสาวทดลองตักมาชิมแล้วก็ทำหน้าแหย กลิ่นเครื่องเทศฉุนจัดจนขึ้นจมูก หล่อนพยายามฝืนกินไปได้เพียงเล็กน้อยก็ต้องวางช้อน

“ฉันอิ่มแล้ว” มัทรีว่าเมื่อสบตาวินธัย แล้วก็ยังคงปฏิเสธต่อไป เมื่อเขายื่นขนมปังมาให้แผ่นหนึ่ง

“คุณไม่ควรจะเลือกกินเลยนะ เรากำลังลำบาก แล้วจะว่าไป นี่มันก็ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ อีกหน่อยเราอาจจะต้องกินอะไรที่ย่ำแย่กว่านี้ก็ได้” เขาว่า พลางมองดูหล่อนด้วยสายตาตำหนิ

“ฉันรู้ ฉันไม่ตั้งใจจะเลือกกินหรอก เพียงแต่...” หล่อนครางอ่อยๆ “ฉันอิ่มแล้วจริงๆ คุณก็เห็น ฉันกินเข้าไปแล้วตั้งเยอะ”

นายพันตรีหนุ่มจ้องตาหล่อนนิดหนึ่ง แล้วจึงไหวไหล่เบาๆ หันไปสนใจอาหารของตัวตามเดิม เขายกเนื้อที่มัทรีกินเหลือขึ้นกัดกินต่อโดยไม่แสดงท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด และอาหารทั้งหมดนั้นก็ถูกเขาจัดการหมดในเวลาอันรวดเร็ว

จากนั้นก็หันไปคว้าหม้อสนามใบเล็กขึ้นวางพาดบนไม้ง่ามเหนือกองไฟ เทน้ำจากกระติกลงไปครึ่งหนึ่ง รอจนน้ำเดือดดีแล้วก็ยกลง สอดมือเข้าไปในเสื้อคลุม ทำท่าเหมือนควานหาอะไรสักอย่างแล้วก็ล้วงกระป๋องเหล็กสนิมเขรอะใบเล็กออกมา มัทรีได้แต่นั่งกอดเข่าด้วยอาการตาปริบๆ ขณะมองดูเขาหยิบอะไรจากในกระป๋องนั้นใส่ลงไปในหม้อ

ครู่เดียว เขาก็เทน้ำลงในฝากระติก ก่อนยื่นส่งมาให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

หญิงสาวรับฝากระติกที่กำลังส่งควันฉุยนั้นมา ยกขึ้นจรดปลายจมูกด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ กลิ่นเฝื่อนๆ ของมันทำให้หล่อนลังเล แต่พอเห็นวินธัยยกหม้อขึ้นดื่มโดยไม่กลัวว่าจะลวกปาก หล่อนก็ลองจิบดูบ้าง

เป็นชารสขมสนิทเพราะไม่มีน้ำตาลหรืออื่นใดเจือปน แต่อย่างน้อยก็พอช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวไปได้มาก มัทรีประคองฝากระติกไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ปล่อยให้ความร้อนถ่ายเทสู่ฝ่ามือเย็นเฉียบที่จวนจะแข็งเต็มที

วินธัยซุนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกท่อนหนึ่ง เปลวสีส้มสว่างโชติช่วงและแผ่ไอร้อนออกมา ช่วยให้ความหนาวเย็นคลายลงไปบ้าง ชายหนุ่มนั่งจิบชาด้วยท่าทางสบายๆ นานๆ จึงเขี่ยไฟให้ลุกโชนขึ้นสักครั้ง เขาคงเคยชินกับสภาพภูมิอากาศอย่างนี้ดีแล้ว ผิดกับมัทรีที่คอยแต่จะอังมือเข้ากับไอไฟแล้วยกขึ้นแนบแก้มเย็นชืดบ่อยๆ หล่อนพยายามขยับเข้าไปใกล้กองไฟจนเปลวร้อนแรงแทบจะแลบเลียเสื้อผ้า

“ยิ่งดึก อากาศก็ยิ่งหนาว คุณเข้าไปนอนเสียเถอะ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันแต่เช้า” เสียงวินธัยเอ่ยเตือน

มัทรีอึกอักลังเล หล่อนหนาวจนแทบจะแข็งตายอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้ามุดเข้าไปในกระโจมก่อนเขาอยู่ดี เพราะถ้าเผลอหลับไปก่อนแล้ว หล่อนก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองต่อไป

“เอ่อ...ฉันยังไม่ง่วง ถ้าคุณง่วง เข้าไปนอนก่อนก็ได้ ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้สักพัก”

ได้ยินเสียงพึมพำด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรงเช่นนั้นแล้ว วินธัยก็ถอนใจ เขาเอื้อมมาหยิบฝากระติกจากมือมัทรีไปเติมน้ำชาให้หล่อน ก่อนจะส่งคืนมาให้พร้อมกับพูดเสียงอ่อน

“ไปนอนเสียเถอะ ผมไม่เข้าไปหรอก จะนั่งเฝ้าอยู่หน้ากระโจมนี่แหล่ะ ไม่ต้องห่วง”

มัทรีกระพริบตามองหน้าเขาด้วยความงุนงง

“มิสมัทรี” เมื่อเห็นหล่อนยังนั่งนิ่ง มองหน้าเขาด้วยดวงตาบอกความพิศวง วินธัยก็เอ่ยชื่อหล่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเป็นการเป็นงาน

“ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างใดขึ้นก็ตาม คุณก็ยังคงเป็นอาคันตุกะของอัคคา ซึ่งผมในฐานะของเจ้าบ้านย่อมจะต้องรับรองและให้เกียรติคุณอย่างเต็มที่ เท่าที่เกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้นกับคุณ เราก็รู้สึกละอายใจมากพออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น อย่ากังวลไปเลยว่าผมจะทำให้คุณต้องลำบากใจมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ไปนอนเสีย ความปลอดภัยของคุณ ขอให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ”

ตลอดเวลาที่เขาพูดกับหล่อน มัทรีได้แต่มองหน้าเขาเงียบๆ ดวงตาสีเข้มคู่นั้นทอประกายคมกล้า และไม่ได้เบือนหลบหรือส่อพิรุธแต่อย่างใด อะไรอย่างหนึ่งในน้ำเสียงและแววตาของเขาทำให้มัทรีบอกตัวเองว่า หล่อนสามารถไว้วางใจเขาได้

ในที่สุด หล่อนจึงถอนใจยาวออกมา

“ขอบคุณมากค่ะ ท่านพันตรี ฉันเสียใจจริงๆ ที่แสดงท่าทีไม่ไว้ใจคุณ จนถึงกับเคยหนีไป ทำให้คุณต้องเดือดร้อนตามไปช่วย ฉันไม่กล่าวโทษคุณเลยในเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นนี่ ออกจะลำบากใจเสียอีกที่กลายมาเป็นภาระให้คุณต้องคอยช่วยเหลือ”

“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”

มัทรียิ้มนิดหนึ่ง “ฉันคงทำให้คุณลำบากมากซีนะ”

“ผมชินเสียแล้วล่ะ เรื่องความยากลำบาก แล้วจะว่าไป ภารกิจคราวนี้ผมก็รู้ตัวล่วงหน้าอยู่แล้วว่าอาจจะต้องเหนื่อยหนักกว่าเดิมหลายเท่า”

“หมายความว่ายังไง?”

“ตั้งแต่ท่านนายพลมอบหมายให้ผมคอยดูแลความปลอดภัยให้แก่คณะนักข่าวชาวไทยที่มีผู้หญิงร่วมทางมาด้วย ผมก็คิดไว้อยู่แล้วว่างานนี้คงไม่ง่าย”

มัทรีขมวดคิ้ว ชักจะไม่พอใจขึ้นมาอีก ทั้งๆ ที่เพิ่งจะคลายอาการตั้งแง่กับเขาไปหยกๆ

“คุณหมายความว่าผู้หญิงเป็นตัวยุ่งยากซีนะ”

“ก็รึไม่จริง ผู้หญิงน่ะแสนจะวุ่นวาย เรื่องมาก แล้วก็ช่างอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด ดูอย่างคุณรึ ช่างซักช่างถามเสียจนผมชักจะหน่าย แล้วก็เกือบทำเสียเรื่องมาตั้งหลายครั้ง”

มัทรีชักสีหน้านิดหนึ่ง แต่แล้วก็เอ่ยอย่างใจเย็น “เป็นเพราะคุณมองว่านั่นเป็นข้อเสียของพวกผู้หญิงต่างหาก ทำไมคุณไม่มองมุมกลับบ้างล่ะว่านั่นน่ะเป็นข้อดีที่ทำให้พวกเราผู้หญิงละเอียดอ่อนและรอบคอบมากกว่าพวกผู้ชายอย่างคุณ”

“มีข้อพิสูจน์ไหม?” เขาถาม

“สำหรับฉันคงยังไม่มีข้อพิสูจน์ให้คุณในตอนนี้หรอก แต่คุณลืมไปแล้วหรือไงล่ะว่า มิสซิสปรียาวีร์ ผู้นำของพวกคุณเองก็เป็นผู้หญิง แล้วก็ไม่ใช่เพราะบุคลิกอันอ่อนโยน การดำเนินนโยบายที่ชาญฉลาด ครอบคลุมทุกด้านของเธอหรอกหรือ ที่ทำให้เธอได้รับความนิยมมากจากชาวอัคคาทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านการพัฒนาที่เข้าถึงประชาชนโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนทำให้เธออาจได้เป็นถึงประธานาธิบดีของอัคคาคนต่อไป”

วินธัยอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อฟังคำพูดของนักข่าวสาวจบลง เขากะพริบตามองดวงหน้าภายใต้แสงเรืองจากกองไฟ ใบหน้ารูปไข่นั้นละมุนละไมแบบหญิงชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หัวคิ้วโก่งยาวสีดำสนิทขมวดมุ่นนิดหนึ่ง คงเพราะไม่สบอารมณ์ต่อคำพูดของเขา ดวงตาเรียวล้อมกรอบด้วยขนตาดกหนาแม้จะมีประกายหวั่นเกรงซ่อนอยู่ลึกๆ แต่อาการมองจ้องมาโดยไม่เบือนหลบก็ทำให้เขารู้ว่าหล่อนเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ

ร่างบอบบางของผู้หญิงตรงหน้าอาจไม่ทานทนต่อความยากลำบาก อากาศอันหนาวเย็นหรือภยันตรายใดๆ เท่ากับผู้ชายอกสามศอกที่ผ่านการฝึกฝนต่อสู้มาทุกรูปแบบเช่นเขา

แต่ในเรื่องหัวจิตหัวใจและไหวพริบที่หล่อนใช้โต้ตอบกับเขา วินธัยก็ต้องยอมรับว่าเขาอาจประเมินหล่อนต่ำไป เท่าที่หล่อนตัดสินใจหนีเขาไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่อาจต้องไปเจอกับอันตรายอย่างอื่นเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกมันว่าความโง่เขลาหรือความกล้าหาญดี

แล้วในที่สุด นายพันตรีหนุ่มก็หัวเราะออกมา เขามองหล่อนด้วยประกายตาขันๆ จากนั้นก็ก้มศีรษะให้นิดหนึ่ง

“จริงของคุณ สำหรับท่านผู้นำนั้น ผมยอมรับว่าท่านเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและชาญฉลาดมากทีเดียว เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้รับการยอมรับทั้งจากประชาชนและกองทัพ ผมเถียงคุณไม่ได้เลยในข้อนี้ แล้วนั่นก็ถือเป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอแล้วว่า ผมไม่ควรจะดูถูกผู้หญิงอีกต่อไป เอาเป็นว่าผมขออภัยที่หาว่าพวกผู้หญิงนั้นช่างเรื่องมาก แล้วก็สอดรู้สอดเห็น แถมยังจะยกย่องพวกคุณเพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่ง...”

“อะไร?”

“ก็ความช่างเจรจาแล้วก็ช่างหาเหตุผลของพวกคุณน่ะสิ อ๊ะๆ นี่ชมนะ ไม่ได้ประชดประชันหรือมีเจตนาอื่นใดเลย” ประโยคหลังเขาว่า เมื่อเห็นมัทรีตั้งท่าจะโวยวาย

“แล้วไป...” หญิงสาวพึมพำเป็นภาษาไทย...รู้หรอกว่าประชด แต่ก็ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว

“ส่วนคุณจะพิสูจน์อะไรอย่างอื่นให้ผมดูอีกต่อไป ก็ขอให้เป็นวันพรุ่งนี้เถอะนะ ตอนนี้คุณเข้าไปในกระโจมเถอะ พักผ่อนเสีย ปล่อยให้ผู้ชายอย่างผมได้ทำหน้าที่หยาบๆ อย่างเช่น การคุ้มครองความปลอดภัยของคุณเถอะ”

คำพูดนั้นเหมือนประชด แต่มัทรีก็ไม่อยากจะหาเหตุผลอะไรมาคัดง้างกับเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้หล่อนหนาวจนปวดกระดูก อยากจะซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เต็มแก่ หล่อนจึงลุกขึ้น ตวัดหางตาเหมือนจะค้อนใส่หน้าวินธัยทีหนึ่ง แล้วก็หันหลังเดินตรงไปยังกระโจม

นายพันตรีแห่งกองทัพอัคคาเหนือมองตามร่างบอบบางนั้นจนกระทั่งหล่อนมุดหายเข้าไปแล้ว จึงหันกลับมาเหม่อมองเปลวสีส้มที่แลบเลียอยู่ในกองไฟตรงหน้า โยนดุ้นฟืนลงไปท่อนหนึ่ง แล้วก็ทำท่าจะเอนตัวลงนอนอยู่แถวๆ นั้นเอง

แต่แล้วหูที่ไวต่อเสียงผิดปกติทุกชนิดก็รับรู้ได้ถึงฝีเท้าคู่หนึ่งที่เดินใกล้เข้ามา วินธัยขยับตัวขึ้นนั่ง จ้องสายตาอันคมกริบไปยังโขดหินเบื้องหน้า รอจนกระทั่งร่างตะคุ่มในเงามืดปรากฏตัวพ้นโขดหินที่กำบังอยู่ออกมา

แสงจากกองไฟส่องจับใบหน้าและร่างของคนที่เพิ่งจะโผล่พ้นเหลี่ยมบังของหินก้อนใหญ่ มองเห็นแก้มตอบและตาเรียวเล็กคู่นั้นชัดเจน

“อ้อ ท่านยังไม่นอนหรอกหรือ?” หัวหน้าคนงานของบาลาดิห์ยาเอ่ยถาม เมื่อมองเห็นกันและกันถนัด

“ยัง” วินธัยตอบ ขณะจับตามองตูฟานิ่ง

ตูฟาสอดส่ายสายตาไปรอบๆ บริเวณกระโจมที่พักหลังเล็กนั้น ก่อนเอ่ยปากถาม

“ทำไมท่านมาตั้งกระโจมอยู่โดดเดี่ยวตรงนี้เล่า? ทำไมไม่เข้าไปอยู่ตรงลานโน่นด้วยกัน? น่าจะอบอุ่นและปลอดภัยกว่ามาตั้งในที่เปลี่ยว อับสายตาอย่างนี้”

“ภรรยาข้าไม่ชอบคนมากๆ นางขี้อายแล้วก็ไม่ชอบให้ใครมองนางด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น”

“โธ่เอ๋ย ใครจะกล้า นางเป็นภรรยาของท่าน ซึ่งเป็นถึงญาติผู้น้องของนายท่านเชียวนะ เออ...ว่าแต่นี่นางนอนแล้วหรือ ทำไมจึงปล่อยท่านมานั่งคนเดียวอยู่ตรงนี้?”

“นางไม่ค่อยสบาย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก ข้าก็เลยให้นางนอนพักไปก่อนแล้ว”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ วิสัยสตรีอัคคาเรา จะนอนก่อนแล้วปล่อยให้สามีปรนนิบัติตัวเองได้อย่างไร พูดก็พูดเถอะนะ ท่านไอมาน ข้าไม่เคยเห็นใครตามใจภรรยาเช่นท่านมาก่อนเลย ทั้งดูแลที่หลับที่นอน แถมยังต้องนำอาหารมาให้นางถึงที่ แล้วนี่ยังต้องนั่งเฝ้ากองไฟให้เสียอีก”

เสียงพูดเหมือนบ่นมาจากร่างผอมที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า วินธัยเหลือบตาขึ้นมองนิดหนึ่ง แล้วก็แกล้งถามเหมือนไม่ได้ยินคำพูดอย่างตั้งข้อสังเกตนั้น

“ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมยังไม่นอน หรือมีธุระอะไรจะคุยกับข้า?”

“อ้อ เปล่าหรอก” ตูฟารีบปฏิเสธ “เพียงแต่เวลานี้เป็นเวรยามของข้า ข้าก็เลยมาเดินตรวจดูความเรียบร้อยเท่านั้นเอง ถ้าท่านไม่มีอะไรจะใช้ ข้าก็ต้องขอไปตรวจดูอะไรๆ ทางด้านโน้นต่อ”

ว่าแล้วตูฟาก็หันหลังจะเดินกลับไป ไม่วายชำเลืองสายตาไปทางกระโจมหลังเล็กที่วินธัยนั่งขวางปากทางเข้าอยู่ พอปะเข้ากับสายตาคมกริบของนายพันตรีหนุ่ม ก็รีบเบือนหน้าหนีแล้วเร่งฝีเท้าจากไปทางด้านหน้ากระโจมของบาลาดิห์ยา

วินธัยมองตามร่างผอมของตูฟาไปจนลับตา เขาหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ท่าทางหัวหน้าคนงานของพ่อค้าผ้าแห่งชาคาไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย บางทีมันคงจะสงสัยและนึกแคลงใจในพฤติกรรมของเขาอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่กล้าพูดหรือทำอะไรออกมาชัดเจนนัก เพราะติดว่านายจ้างของมันเองเป็นผู้ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเขาเป็นเพียงญาติผู้น้องที่ขอร่วมทางไปด้วย

แม้ว่าบาลาดิห์ยาจะรับรองแล้วว่าคนของเขาไว้ใจได้ แต่วินธัยก็ไม่เคยประมาท หากไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากพึ่งพาใคร เพราะนี่ก็เท่ากับว่ามีคนจำนวนมากที่ได้พบเห็นเขาและมัทรี โชคดีที่เขาไม่ต้องเดินทางร่วมไปกับกองเกวียนนี้นานนัก บ่ายจัดของวันพรุ่งนี้ก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

เขานึกภาวนาขอให้ตูฟาเป็นเพียงแค่คนอยากรู้อยากเห็นธรรมดา อย่าได้กระทำการอย่างใดที่จะทำให้เขาและมัทรีต้องเดือดร้อนเลย เขาไม่อยากจัดการอะไรลงไปก่อนหน้าที่จะพ้นไปจากกองเกวียนนี้ ไม่อย่างนั้น เขาก็คงเลี่ยงความขัดแย้งกับบาลาดิห์ยาไปไม่พ้น



มัทรีลืมตาขึ้นทันทีเมื่อรู้สึกตัวตื่นหลังจากนิทราอันแสนสุขและปราศจากสิ่งใดมารบกวน นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่หลับได้สนิท ทั้งๆ ที่ก่อนนอน หล่อนยังพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย จะหลับตาก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะแม้ว่าวินธัยจะยืนยันหนักแน่นว่าเขาจะเฝ้าอยู่แต่นอกกระโจม แต่ผู้หญิงตัวคนเดียวในดินแดนแปลกหน้าเช่นนี้ ก็เป็นสถานการณ์ที่ทำให้หล่อนไม่อาจวางใจได้สนิทนัก

พอคิดถึงนายทหารหน้าเข้มคนนั้นขึ้นมา มัทรีก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที หล่อนป่ายมือไปยังความมืดข้างตัว เมื่อสัมผัสได้แต่เพียงความว่างเปล่าและผ้าขนสัตว์ผืนหน้าที่ใช้ปูรองพื้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ บางทีคงจะยังอยู่ที่ด้านหน้ากระโจมกระมัง

ทั้งๆ ที่ยังมืดสนิท และอากาศก็หนาวจัดจนทำให้ไม่อยากละไปจากผ้าห่มและที่นอนอันอบอุ่นนั่นเลย แต่มัทรีก็เคลื่อนตัวตรงไปยังปากกระโจม หล่อนขอออกไปชะโงกหน้าดูเขาสักหน่อย ถ้าเขายังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิมกับเมื่อคืนนี้ หล่อนก็จะสบายใจได้ว่า นอกจากเขาจะรักษาคำพูดที่ว่าจะไม่กล้ำกรายเข้ามาในกระโจมแล้ว เขาก็ยังไม่ได้ทิ้งหล่อนไว้คนเดียว


หญิงสาวค่อยๆ แหวกปากกระโจมออก ตั้งใจจะมุดออกไปมองหาวินธัยซึ่งคงจะเอนหลังอยู่กับโขดหินข้างๆ กองไฟที่จุดเอาไว้เมื่อคืนนี้ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าร่างใหญ่โตของใครคนหนึ่งทอดตัวลงนอนขวางปากทางเข้าออกของกระโจมเอาไว้

หล่อนเกือบสะดุ้งและเผลอร้องออกมาแล้ว ถ้าไม่ทันเฉลียวใจคิดว่า นั่นคือร่างของนายพันตรีแห่งอัคคาเหนือ ซึ่งเจตนาจะเอาตัวเองเป็นปราการป้องกันอันตรายใดๆ ก็ตามที่จะมีมาถึงคนที่อยู่ในกระโจมนี้

เขารักษาคำพูด ไม่ได้ล่วงเกิน ไม่ได้ทอดทิ้งหล่อน มิหนำซ้ำยังทำหน้าที่ของเขาเป็นอย่างดีอีกด้วย...


มัทรีจ้องมองร่างที่นอนเหยียดยาวตะแคงข้างหันหลังมาให้ด้วยความรู้สึกทั้งซาบซึ้งและอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก หล่อนตัดสินใจคว้าผ้าห่มอีกผืนหนึ่งออกมา เขามานอนเสียห่างกองไฟอย่างนี้คงหนาวเต็มที ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีแต่ชุดทหารชั้นในกับเสื้อคลุมยาวตัวนอกเท่านั้นที่ช่วยให้ความอบอุ่น

แต่ยังไม่ทันคลี่ผ้าห่มออกคลุมร่างให้ วินธัยก็พลิกตัวนอนหงายพร้อมกับลืมตาขึ้นทันที แม้ภายนอกจะปราศจากแสงใดๆ เพราะตะวันยังไม่ทันขึ้น และกองไฟทุกกองก็มอดดับไปนานแล้ว แต่ดวงตาคมกล้าของเขาก็แวววาวอยู่ในความมืด ซ้ำยังจ้องมองหล่อนนิ่ง โดยที่มัทรีซึ่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ได้แต่จ้องหน้าเขาตาค้าง เพราะตกใจกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

“เอ้อ...ตื่นแล้วเหรอ?” หล่อนอึกอัก

“อืม...” เสียงตอบมาจากร่างนั้น “คุณล่ะ? ทำไมตื่นเร็วนัก ยังเช้ามืดอยู่แท้ๆ”

“ก็...ฉันนอนเต็มอิ่มแล้วน่ะซี”

“แล้วนี่จะออกไปไหน? ข้างนอกนี่อากาศเย็นมาก คุณควรจะอยู่แต่ข้างในนั้นจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น” เขาถามมาอีก ทั้งๆ ที่ยังคงนอนหงาย มองหน้าหล่อนอยู่เช่นเดิม

“ฉันก็...ตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นนั่นแหล่ะ” หล่อนว่า โยนผ้าห่มที่ถือติดมืออยู่กลับเข้าไปในกระโจมตามเดิมโดยที่วินธัยไม่ทันเห็น

“ดูพระอาทิตย์ขึ้น?” เขาทวนคำเสียงสูงเหมือนแปลกใจ

“ก็ดูพระอาทิตย์ขึ้นน่ะสิ นี่เราอยู่บนที่สูงใช่ไหม? ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากตรงนี้คงจะสวยน่าดู”

ชายหนุ่มค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้น แต่ก็ยังคงใช้ร่างกายใหญ่โตของเขาขวางปากกระโจมไว้ เพื่อไม่ให้มัทรีออกไปได้

“คุณนี่พิลึกคน อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ยังมีอารมณ์สุนทรีย์มาชมธรรมชาติอีกหรือ”

“คุณสิพิลึกคน” มัทรีว่า “ทำไมจะต้องเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาด้วย แค่ดูพระอาทิตย์ขึ้น มันคงไม่อันตรายอะไรนักหนาหรอก แล้วทิวทัศน์งดงามของประเทศคุณน่ะ หาดูง่ายๆ เสียที่ไหน ถ้าฉันรอดกลับไปได้ ฉันจะได้มีวัตถุดิบไปเขียนบทความเกี่ยวกับธรรมชาติอันสวยงามของอัคคาเหนือบ้างน่ะสิ”

“เอาไว้ให้รอดไปได้ก่อนเถอะน่ะ!”

วินธัยบ่นออกมาเหมือนรำคาญมากกว่าอย่างอื่น แต่เพราะประโยคนั้นของเขา มัทรีจึงเงียบเสียงลงไปทันที ดวงหน้าที่เพิ่งจะยิ้มรื่นเพราะหมายมาดถึงแผนการในอนาคตสลดลงทันที ไหล่บางลู่ตก แขนทั้งสองตกลงข้างตัวเมื่อสำนึกขึ้นได้ว่าอนาคตของตัวจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรต่อไป ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ แล้วหล่อนจะมีอารมณ์มาชื่นชมความงดงามของธรรมชาติอยู่ได้อย่างไร

นายพันตรีหนุ่มเห็นอาการของหล่อนอย่างนั้นก็ให้รู้สึกผิดขึ้นมา เท่าที่มาตกระกำลำบากยังต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้ก็นับว่ารุนแรงหนักหนามากเกินพอแล้วสำหรับผู้หญิงร่างบอบบางคนหนึ่ง ก็แล้วทำไมเขาจะต้องทำให้หล่อนรู้สึกไม่มั่นคงหรือคอยระแวงระวังอะไรอยู่ตลอดเวลาอีกเล่า

เขาเองไม่ใช่หรือที่รับรองความปลอดภัยให้แก่หล่อนเป็นมั่นเป็นเหมาะ และความปลอดภัยนี้ก็ไม่ควรจะหมายถึงความปลอดภัยทางร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันควรจะหมายรวมถึงความมั่นคงทางจิตใจเข้าไว้ด้วย เพราะหากเอาแต่คิดระแวงจนไม่เป็นอันทำอะไร ก็คงไม่ต่างกับการทอดอาลัยและสิ้นหวังในชีวิต

“เดี๋ยวก่อน” เขารีบท้วงไว้เมื่อเห็นมัทรีทำท่าจะถอยกลับเข้าไปในกระโจม

“จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ใช่หรือ ไปสิ ผมไปด้วย”

มัทรีเลิกคิ้ว จ้องหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ วินธัยจึงเอ่ยออกมาเบาๆ

“เอาเถอะ ถูกของคุณ เราไม่ควรจะระแวงอะไรให้มากเกินไป ผมเองก็อยากให้คุณเห็นความงดงามของดินแดนของเราเหมือนกัน แล้วอีกอย่าง...ตามวิสัยนักข่าวอย่างคุณ ถ้าผมไม่ไปกับคุณวันนี้ วันหลังคุณอาจจะแอบหนีไปดูโดยไม่บอกผมอีกก็ได้”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุมตัวยาวโดยไม่สนใจมัทรีที่ค้อนปะหลับปะเหลือกเพราะถูกแขวะเอาในตอนท้าย

หญิงสาวก้าวออกจากกระโจมโดยมีผ้าห่มคลุมอยู่บนไหล่ ถึงจะกันลมหนาวไม่ได้มากนัก แต่ก็ค่อยยังชั่วกว่าจะเดินตัวเปล่าออกมาโดยมีเพียงชุดพื้นเมืองที่แม้จะหนาหนักสักเพียงใด ก็ยังไม่อาจช่วยให้หล่อนต้านทานอากาศอันเหน็บหนาวนี้ได้

รอบด้านมืดสนิท มัทรีออกเดินตามหลังร่างสูงใหญ่นั้นไปทางด้านหลังกระโจมซึ่งเดาได้ว่าคงเป็นทิศตะวันออกซึ่งจะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ชัดเจน หล่อนมองอะไรไม่ถนัด เพราะไม่เพียงแต่ความมืดที่เป็นอุปสรรคเท่านั้น หากแต่หมอกหนาที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณก็ยังทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นแย่เต็มที

“จับมือผมไว้” วินธัยว่า ส่งมือมาให้เมื่อเห็นแล้วว่าคนที่เดินตามหลังมาท่าทางเหมือนกำลังคลำมะงุมมะงาหราอยู่ในความมืด

พอเห็นมัทรียังเฉย เขาก็สำทับมาอีก

“จับมือผมไว้ อย่าลืมว่าที่เราอยู่นี่เป็นไหล่เขา และถ้าคุณยังจำได้ รอบๆ นี่เป็นเหวทั้งหมด คุณคงไม่อยากจะเดินๆ อยู่ แล้วหล่นวูบลงไปหรอกนะ”

มัทรีกลืนน้ำลายฝืดๆ เมื่อนึกขึ้นได้ตามที่เขาพูด ก่อนตะวันตกดินเมื่อวานนี้ หล่อนยังพอมองเห็นได้จากแสงมัวๆ ว่ารอบที่ราบซึ่งกองเกวียนมาหยุดพักแรมนี้เป็นหุบเหว มีเพียงต้นไม้และโขดหินขึ้นกีดขวางเป็นระยะๆ อย่าว่าแต่ตอนที่มืดสนิทและหมอกลงจัดอย่างตอนนี้เลย ถ้ายังสว่างๆ อยู่ หล่อนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเดินทะเล่อทะล่าจนพลัดตกลงไปหรือเปล่า เพราะลมบนนี้ก็พัดแรงปานจะหอบเอาหล่อนลงไปได้ทุกเมื่อ

ดังนั้น หล่อนจึงวางมือลงบนฝ่ามือหนาที่ยื่นส่งมาให้แต่โดยดี

วินธัยกุมมือหล่อนแน่นแล้วหันหลังออกเดิน น่าแปลกที่มือเรียวของหล่อนเย็นเฉียบ หากแต่ฝ่ามือของเขากลับอุ่นจนเกือบจะร้อน เขาดึงมือหล่อนนิดหนึ่งเพื่อบังคับให้เข้าไปอยู่ชิดกันกับเขา บีบให้หล่อนเดินโดยใช้พื้นที่ให้แคบที่สุดเพื่อระวังไม่ให้ก้าวพลาดออกนอกเส้นทาง

และในที่สุด วินธัยก็ต้องจับมือหล่อนไว้ทั้งสองข้าง เมื่อมาถึงตรงบริเวณที่เต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ ทำให้เดินลำบากมากขึ้น ไหนยังจะต้องใช้สายตาเพ่งฝ่าความมืด ไหนยังจะต้องระวังไม่ให้ก้าวพลาดจนพลัดตกเหวไป แล้วไหนยังจะต้องระวังโขดหินแหลมคมที่ผุดขึ้นมาตามพื้น

ดังนั้น เมื่อวินธัยกระตุกมือให้หล่อนก้าวตามหลังไป มัทรีที่อารามรีบร้อนก็เหยียบลงบนหินก้อนหนึ่งซึ่งงอกขึ้นมาจากพื้นตามปกติธรรมดาเช่นเดียวกับหินก้อนอื่นๆ โดยไม่รู้เลยว่าถัดจากหินก้อนนั้นออกไปเพียงก้าวเดียว เป็นอาณาบริเวณอันเวิ้งว้างว่างเปล่าของอากาศ ซึ่งเบื้องล่างเป็นหุบเหวที่ไม่อาจหยั่งความลึกถึง

ก้อนหินก้อนนั้นงอกอย่างหมิ่นเหม่ และเพียงแค่มัทรีทิ้งน้ำหนักลงไปยังไม่เต็มฝ่าเท้า มันก็พลิกหลุดออกจากที่เดิมของมัน ยังผลให้ร่างของหญิงสาวลื่นไถลตามไปทันที!

แต่วินธัยที่คอยระวังอยู่แล้วทุกฝีก้าวรับรู้ถึงอาการนั้นได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่มือของมัทรีข้างที่เขากำไว้แน่นกระตุกรุนแรงคล้ายมีเรี่ยวแรงมหาศาลกระชากออกไป เขาก็หันกลับมา ดึงมือหล่อนข้างนั้นเต็มกำลัง ก่อนที่แขนอีกข้างจะรัดร่างที่ปลิวเข้ามากระทบ ดึงเข้ามาประชิดตัวได้จังหวะอย่างพอเหมาะพอดี

ทุกการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแม้แต่มัทรีที่เกือบจะกลายเป็นเหยื่อของโขดหินเบื้องล่าง ไม่ทันได้กะพริบตาด้วยซ้ำ

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”

เสียงนั้นพึมพำอยู่เหนือศีรษะหล่อน ในขณะที่มัทรียังคงตัวสั่นระริกด้วยความตกใจอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงและอบอุ่นของนายพันตรีแห่งกองทัพอัคคาเหนือ

(จบตอนที่ 11)


ตอนที่ 12

“เป็นอะไรไหม?” เสียงห้าวนั้นถามมาโดยที่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากร่างโปร่งบางและอุ่นนุ่มในวงแขน

มัทรีเองก็ยังตั้งสติไม่ได้เต็มที่ หล่อนหอบหายใจถี่ ซบหน้าลงกับแผงอกของคนตรงหน้า คล้ายต้องการยึดเป็นที่พึ่งสำหรับรวบรวมสติและพละกำลังที่บินหายไปกว่าครึ่งด้วยเหตุการณ์คาดไม่ถึงเมื่ออึดใจที่แล้วมานี้

“มิสมัทรี” วินธัยเรียกชื่อหล่อน พลางเขย่าแขน “คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”

“เอ้อ เปล่าค่ะ” มัทรีพึมพำเสียงปร่า ทั้งตกใจทั้งประหม่าปะปนกัน เมื่อสติเริ่มกลับคืนมา และสำนึกได้ว่าขณะนี้ตนอยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มเพียงใด

แต่พอหล่อนขืนตัวออกจากอ้อมแขนนั้นได้สำเร็จ เขาก็ยังจับมือหล่อนไว้แน่นเหมือนเดิม

“ระวังหน่อย ทางมืดแล้วก็เดินลำบากมาก แต่อีกนิดเดียวก็จะถึงตรงที่ที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยๆ แล้ว”

หญิงสาวชาวไทยรวบรวมกำลังใจอีกครั้ง ก่อนจะออกเดินตามหลังเขาไป เพียงครู่เดียว วินธัยก็หยุดเดิน แล้วหันมาพูดกับหล่อน

“ตรงนี้แหล่ะ นั่นไง ขอบฟ้าด้านนั้นเริ่มมีแสงสว่างแล้ว อีกเดี๋ยวพระอาทิตย์ก็จะขึ้น”

มัทรีมองตรงไปแล้วก็เห็นจริงตามเขาว่า ในความมืดเบื้องหน้า เส้นแสงสีอ่อนจางปรากฏขึ้นตรงขอบฟ้า แม้ยังไม่สว่างชัดเจนนัก แต่อีกไม่นาน พระอาทิตย์ดวงกลมสีส้มจัดก็คงจะโผล่พ้นกลุ่มเมฆออกมา

“รออีกหน่อย เดี๋ยวคุณก็จะได้เห็นแล้วล่ะ” เสียงจากคนข้างตัวดังมาอีก

มัทรีเพ่งดูเขาในความมืด ทั้งๆ ที่ปกตินายทหารแห่งกองทัพคนนี้ออกจะเคร่งขรึมและคอยแต่จะดุหล่อนอยู่ตลอดเวลา แต่น่าแปลกที่คราวนี้น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน และดูเหมือนจะเจือกระแสตื่นเต้นเอาไว้ด้วย

อากาศหนาวจัด น้ำค้างชื้นฉ่ำในบรรยากาศและลมก็ยังกรรโชกแรงไม่ยอมหยุด มัทรีห่อไหล่ ตัวสั่นเทา และคางก็กระทบกันอยู่เกือบตลอดเวลา พอเห็นว่าคงต้องรออีกสักพักใหญ่ๆ กว่าพระอาทิตย์จะขึ้น หล่อนจึงทรุดตัวลงบนหินก้อนหนึ่ง ตั้งใจจะนั่งรอให้ถึงเวลานั้น

แต่วินธัยกลับยุดมือหล่อนไว้ หญิงสาวจึงเพิ่งรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้เองว่า แม้เมื่อมาถึงบริเวณที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือหล่อนอยู่ดี

“นั่งตรงนี้ดีกว่า โขดหินข้างหลังนี่ช่วยกำบังลมให้คุณได้ แล้วผมก็จะได้ไม่ต้องคอยระวังว่าคุณจะพลัดตกไปข้างไหนอีก”

จบประโยคนั้น มัทรีก็รู้สึกว่าหล่อนตัวลอยขึ้นจากพื้น โดยอาการที่วินธัยเพียงแค่โอบมือทั้งสองรอบเอวหล่อนไว้แล้วยกขึ้นทั้งตัว ส่งให้หล่อนขึ้นไปนั่งแอบอยู่ในซอกหิน สูงจากพื้นที่ยืนอยู่เมื่อครู่เกือบสองเมตร พื้นหินตรงนั้นราบเรียบ นั่งได้สะดวกสบายกว่าพื้นขรุขระข้างล่าง มิหน้าซ้ำรอบด้านยังขนาบด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ ทำให้ลมที่พัดแรงไม่อาจผ่านเข้ามาถึง

ตรงนี้จึงเสมือนเป็นที่นั่งชั้นดีสำหรับการชมมหรสพธรรมชาติที่กำลังจะเปิดการแสดงขึ้นในไม่ช้านี้

แต่มัทรีที่ได้รับโอกาสจับจองที่นั่งชั้นหนึ่งนี้ก่อนใคร กลับนั่งใจเต้นโครมครามด้วยความประหม่าผสมปนเปกับความประหวั่นพรั่นใจ

จะว่าเป็นเพราะการขึ้นมาอยู่บนที่สูงและหมิ่นเหม่จนแทบจะชิดติดปากเหวทำให้หล่อนรู้สึกหวาดกลัวก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตอนนี้ความมืดยังคงโอบคลุมทัศนียภาพรอบด้านไว้ หล่อนมองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาตะคุ่มของร่างสูงใหญ่ที่ยืนกอดอกพิงโขดหินเดียวกับที่หล่อนนั่งอยู่

แล้วอย่างนั้นมันจะเป็นเพราะอะไร? เพราะสัมผัสที่หล่อนได้รับโดยไม่ทันตั้งตัวถึงสองครั้งสองคราเมื่อครู่นี้ใช่ไหม? หญิงสาวชาวไทยได้แต่ถามตัวเอง...



“คุณชมพระอาทิตย์ขึ้นบ่อยไหม?”

จู่ๆ เสียงห้าวของวินธัยก็ดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของมัทรี หญิงสาวนึกขอบคุณเขาเหมือนกันที่ช่างถามขึ้นมาได้ถูกเวลา ช่วยให้หล่อนไม่ต้องหาคำตอบให้ตัวเองในตอนนี้

“ก็...ไม่บ่อยนักหรอก เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสฉันก็ไม่อยากจะพลาด”

“ทำไมล่ะ? ที่ประเทศของคุณพระอาทิตย์ไม่ขึ้นหรืออย่างไร?”

“บ้า ใช่ที่ไหนล่ะ เพียงแต่ฉันอยู่ในเมืองหลวง ตึกสูงๆ เต็มไปหมด เพราะอย่างนั้น ฉันก็เลยมองเห็นท้องฟ้าไม่ถนัด” มัทรีอธิบาย เก็บความจริงไว้อย่างหนึ่งด้วยว่า เมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯ หล่อนมักจะทำงานจนดึกดื่น และกว่าจะตื่นก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไปอยู่เกือบตรงศีรษะแล้ว

“อืม ก็คงจะเป็นจริงอย่างที่คุณว่า น่าเสียดายนะ พระอาทิตย์ขึ้นในเขตร้อนคงสวยไปอีกแบบ” วินธัยพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง

“ว่าแต่คุณเถอะ รู้ได้ยังไงว่าตรงนี้มีที่ที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้สวย”

“ผมเคยมาพักแรมตรงนี้หลายครั้งแล้ว” เขาตอบสั้นๆ ง่ายๆ

อ้อ...ใช่ซีนะ เขาคงคุ้นเคยกับทุกๆ ที่ ทุกๆ ตารางนิ้วในดินแดนแห่งนี้ ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องให้การช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารห่างไกล การเดินทางในอัคคาเหนือคงจะอาศัยเส้นทางเพียงไม่กี่สาย เพราะสภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยให้การคมนาคมเป็นไปโดยสะดวกนัก ดังนั้น ไม่ว่ากองเกวียนใดหรือใครก็ตามที่ผ่านมาทางนี้ ก็คงจะต้องอาศัยที่ราบเล็กๆ แห่งนี้แหล่ะ เป็นที่พักแรม

“แต่ผมก็ไม่ค่อยได้มานั่งชมธรรมชาติอย่างตั้งอกตั้งใจบ่อยนักหรอกนะ เพราะทุกๆ วันที่พระอาทิตย์ขึ้นหรือตก ผมก็เห็นได้ชัดเจนเต็มสองตาอยู่แล้ว”

“นั่นเพราะดินแดนของคุณมีภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยน่ะสิ ไม่มีตึกสูงมาบดบังท้องฟ้า มีแต่เทือกเขาเหยียดยาวที่พอพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาขึ้นมา ก็คงจะสวยน่าดู”

วินธัยหัวเราะหึหึ “ไม่แค่พระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาเท่านั้นหรอกนะ ที่น่าดู”

มัทรีได้ยินคำพูดนั้นก็กำลังขยับปากจะถามด้วยความสงสัย ว่านอกเหนือจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ยังมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าอีกหรือ แต่ร่างสูงนั้นขยับตัว พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ตรงออกไปเบื้องหน้าเสียก่อน

“นั่นไง ดูสิ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว”

ขอบฟ้าไกลๆ ตรงหน้าปรากฏริ้วแสงสีทองเรื่อเรือง เมฆหมอกสีขาวมัวซัวยังคงห่มคลุมท้องฟ้า แต่ตะวันที่กำลังจะโผล่พ้นขึ้นมาก็ส่องแสงสะท้อนกับกลุ่มเมฆเหล่านั้นให้กลายเป็นสีทองมะลังมะเลือง จากเข้มไปอ่อนเมื่อไล่สายตาจากเส้นขอบฟ้าขึ้นไปหาเมฆหนาเบื้องบน

มัทรีเบิกตามองทัศนภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ ธรรมชาติอันงดงามพิสุทธิ์เช่นนี้หาดูไม่ได้ง่ายๆ เลย หล่อนอาจเคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตกมานับไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่มีที่ใดในโลกที่จะสงบงามเช่นที่นี่

เทือกเขาที่ทอดตัวเป็นเงาทะมึนยามที่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า บัดนี้ค่อยปรากฏตัวให้เห็นจากแสงอ่อนจางยามเช้า จากที่หล่อนเคยเห็นเป็นสีน้ำเงินเข้มเมื่อมองจากระยะไกลๆ แต่เมื่อมองในระยะใกล้เช่นนี้ เทือกเขาเหล่านั้นมีสีน้ำตาลเพราะล้วนแล้วแต่เป็นหิน ปราศจากต้นไม้หรือพืชพรรณใดๆ

หญิงสาวชาวไทยเหม่อมองออกไปสุดสายตา และแล้วหล่อนก็ได้เห็น ไกลออกไปทางทิศใต้...ยอดเขายอดหนึ่ง แทงยอดสูงเทียมฟ้า โผล่พ้นหมู่เมฆและทะเลหมอกหนาอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ขึ้นมา สูงกว่าเทือกเขาที่เหยียดยาวอยู่รอบข้าง โดดเด่นกว่ายอดเขาทุกๆ ยอดที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า สีขาวของหิมะที่ปลายยอดนั้นย้อมแสงสีทองอมส้มของวันใหม่ คลับคล้ายปลายยอดปราสาทราชมณเทียรที่ฉาบทาด้วยทองคำ แลล้วนเปล่งประกายระยิบระยับ

ภาพที่ได้เห็นนั้นทำให้มัทรีเผลอจ้องมองด้วยอาการตะลึงลาน

วินธัยยืนกอดอกอยู่ในลักษณะเดิม เค้าโครงหน้าของเขาปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อแสงตะวันเริ่มสว่างขึ้นโดยลำดับ โดยอาการที่มัทรีเอนหลังพิงกับโขดหินแล้วถอนใจยาวคล้ายอิ่มเต็มกับสิ่งที่ได้เห็น ทำให้เขาเหลียวมามองดูหน้าหล่อน

“สวยจัง ยอดเขานั่น...” มัทรีครางออกมาอย่างลืมตัว

“ยอดมันดราลัย เทวสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวอัคคาเรา”

เสียงวินธัยเอ่ยออกมาเบาๆ เมื่อมองตามสายตาของหญิงสาว

“ยอดมันดราลัย?” มัทรีทวนคำ

ชายหนุ่มพยักหน้า ชี้มือออกไปในความเวิ้งว้างเบื้องหน้า ลากนิ้วช้าๆ จากทิศเหนือไปยังทิศใต้

“ทั้งหมดนี่... ‘เทือกเขามันดราลัย’ โอบล้อมดินแดนอัคคาเหนือเอาไว้เกือบทุกทิศ จากตะวันออกไปตะวันตก จากทิศเหนือจรดทิศใต้ เป็นปราการป้องกันศัตรูโดยธรรมชาติ ภูมิประเทศทุรกันดารและอากาศอันเหน็บหนาวเช่นนี้ ใครที่กล้าป่ายปีนข้ามมาก็คงจะโง่เต็มที...และนั่น ยอดมันดราลัย” เขาหยุดนิดหนึ่ง ลดมือลงเมื่อเอ่ยถึงยอดเขาแห่งนั้น

“...ยอดเขาที่สูงที่สุด เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเราเชื่อว่าเทพเจ้าจะสถิตย์อยู่ที่นั่นเพื่อปกปักษ์รักษาดินแดนของเรา”

แล้วในแสงตะวันอันอบอุ่นอ่อนโยน ร่างสูงใหญ่ของวินธัยก็ทรุดลงคุกเข่า ก้มลงจรดหน้าผากกับพื้นในลักษณาการคารวะ และนิ่งอยู่ในท่านั้นเนิ่นนานคล้ายต้องการถวายความเคารพอย่างสูงสุด

มัทรีจับตามองทุกอากัปกิริยาของนายพันตรีด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ชนิดหนึ่งอันอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แม้หล่อนจะเป็นนักข่าวและคอลัมนิสต์ที่ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพอยู่เป็นนิจก็ตาม

ร่างสูงใหญ่แข็งแกร่งเหมือนหินผาน้อมค้อมต่ำลงเพื่อแสดงความเคารพต่อธรรมชาติซึ่งสำแดงตัวอยู่ตรงหน้า แสงสีทองอ่อนโยนยามเช้าส่องจับร่างอันสงบนิ่ง ดูไม่ต่างอะไรกับโขดหินหรือขุนเขาเหยียดยาวที่มองเห็นอยู่ในระยะใกล้และไกล หน้าผาก ฝ่ามือ ลำแขน หัวเข่า เกือบทุกส่วนของร่างกายจรดแนบไปกับพื้นหินขรุขระโดยไม่ใส่ใจต่อความแหลมคมที่ทิ่มแทง ร่างนั้นแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันก็เยือกเย็นราวกับจะกลืนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติทั้งมวล

เงียบ นิ่ง และสงบงาม...

และแล้วภายใต้ผืนฟ้ากว้างกว่ากว้าง ท่ามกลางขุนเขามหึมาทอดยาวสุดสายตา มัทรีก็รู้สึกขึ้นในทันทีนั้นเองว่า ทั้งเขาและหล่อนต่างก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กกระจิด ที่ไม่อาจเทียบเทียมได้เลยกับความยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์ของโลกอันพิสุทธิ์นี้

อำนาจ เงินตรา ความยิ่งใหญ่จอมปลอมใดๆ ที่มนุษย์แก่งแย่งแข็งขันกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องโง่เง่าและเปล่าดายสิ้นดี


ในที่สุด วินธัยก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนตรง เขาทอดตามองดูยอดมันดราลัยที่เปล่งประกายล้อแสงอาทิตย์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมา

“ไปเถอะ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว อีกเดี๋ยวกองเกวียนก็คงจะออกเดินทาง”

มัทรีขยับตัวอยู่บนโขดหินที่ซึ่งเขาพาหล่อนขึ้นไปนั่งอยู่โดยไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองลงไปจากตรงนี้ได้อย่างไร ไม่ทันจะคิดหาวิธีการ วินธัยก็เคลื่อนเข้ามาประชิด ก่อนโอบร่างหล่อนด้วยฝ่ามือแข็งแรงของเขา นำหล่อนลงมาสู่พื้นได้อย่างง่ายดาย

“เอ้อ ขอบคุณ” มัทรีพึมพำโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย กลับเบนสายตาไปจับยังโขดหินที่ชะโงกเงื้อมเหนือขึ้นไป เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องสบตาเขาเท่านั้น
และเมื่อเงยหน้าขึ้นไปจากใต้โขดหินขนาดใหญ่ที่หล่อนและเขามายืนอยู่นี้ หญิงสาวชาวไทยก็มองเห็นวงเสี้ยวของพระจันทร์ที่ยังไม่ทันละไปจากท้องฟ้า แม้ว่าแสงอาทิตย์จะส่องประกายกล้าขึ้นแล้วก็ตาม

ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวนั้นซีดจาง แทบจะกลืนเป็นสีเดียวกับท้องฟ้าและหมอกไอยามเช้าที่ยังไม่เลือนหาย และแม้ว่าแสงจากดวงอาทิตย์ที่เริ่มลอยสูงขึ้นจะแรงกล้ากว่าเพียงใดก็ตาม ความเยือกเย็นแห่งดวงจันทร์ก็ราวกับจะสะกดให้หญิงสาวชาวไทยได้แต่ตะลึงแลอยู่ในอาการแหงนเงยเช่นนั้น

“...ดวงจันทร์แห่งมันดราลัย” เสียงกระซิบมาจากร่างสูงใหญ่ ทำเอามัทรีเกือบสะดุ้งและลืมภาพที่เห็นเมื่อครู่ไปในทันที

หล่อนเบือนสายตากลับมาหาเขา แล้วก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ใกล้เขาในระยะประชิด วินธัยยังไม่ยอมปล่อยมือจากอาการโอบเอวหล่อนไว้หลวมๆ คงเพราะไม่ต้องการให้หล่อนเคลื่อนไหวอย่างใดจนกว่าจะยืนได้เต็มฝ่าเท้า เมื่อมองเห็นจากแสงตะวันยามเช้า ตรงที่เขาพาหล่อนมาชมพระอาทิตย์ขึ้นนี้ ก็นับว่าหมิ่นเหม่และอันตรายมากทีเดียว ห่างออกไปเพียง 2-3 ก้าวก็ล้วนแต่เป็นพื้นที่ลาดชัน ถัดลงไปนั้นเป็นหุบเหวลึกกว่าลึก ซึ่งหากก้าวพลาดไปเพียงนิดก็คงสายเกินกว่าจะรั้งตัวไว้ได้ทัน

ดังนั้น ทางที่จะเดินกลับไปยังที่ตั้งกระโจมเมื่อคืนนี้ ก็เป็นแต่เพียงทางเดินเท้าแคบๆ มีพื้นที่ไม่เกินเมตรครึ่ง ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงยิ่ง และก็คงเป็นเพราะทางแคบๆ นี้แหล่ะ ที่ทำให้มัทรีเกือบจะพลัดตกลงไปแล้วเมื่อครู่ใหญ่ๆ นี้


“กลับเถอะ” เขาบอกขณะมองตาหล่อน และโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก วินธัยก็จูงมือมัทรีพากลับไปยังบริเวณลานพักแรมของกองเกวียนในอีกไม่กี่นาทีถัดมา


กระโจมทั้งสองหลังถูกจัดเก็บแล้วเรียบร้อย กองไฟทุกกองมอดสนิท คนงานของบาลาดิห์ยาส่วนหนึ่งกำลังช่วยกันนำเกวียนทุกเล่มขึ้นเทียมหลังจามรีตามเดิม อีกส่วนหนึ่งก็กำลังช่วยกันปลดม้าแคระพันธุ์พื้นเมืองที่ผูกไว้แล้วจูงเข้ามารวมกลุ่ม

เมื่อหันมาเห็นวินธัยและมัทรีเดินพ้นโขดหินออกมา พ่อค้าผ้าแห่งชาคาก็เดินลิ่วเข้ามาหา โดยมีตูฟาตามติดมาด้วยไม่ยอมห่าง

ทันทีที่มองเห็นตูฟาเดินตามบาลาดิห์ยาเข้ามาทางหล่อน มัทรีก็ดึงผ้าคลุมลงมาปิดบังใบหน้าของตัวเอาไว้ และขยับไปซ่อนอยู่เบื้องหลังวินธัยโดยไม่ต้องรอให้เขาออกคำสั่ง หล่อนลอบสังเกตกิริยาอาการของหัวหน้าคนงานคนนี้หลายครั้ง แล้วก็เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจ บ่อยครั้งที่หล่อนเห็นเขาจ้องดูหล่อนมาจากระยะไกลๆ แต่คงเพราะไม่กล้าเข้ามาพินิจดูให้ใกล้มากนัก อีกทั้งหล่อนก็นั่งอยู่แต่ในเกวียนเกือบทั้งวัน ตูฟาจึงยังมองเห็นหล่อนไม่ถนัด แม้ว่าจะได้ร่วมทางกันมาตลอดวานนี้ก็ตาม

“ข้าคิดว่าพวกเจ้าหายไปไหนแต่เช้าเสียอีก นี่คงไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันมาสินะ” คำถามมาจากบาลาดิห์ยา

“ใช่แล้วพี่ข้า ท่านก็รู้ว่าภรรยาข้าไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกลๆ นางอยากชมพระอาทิตย์ขึ้น ข้าก็เลยต้องตามใจ” วินธัยตอบ ดวงหน้าคมคร้ามระบายรอยยิ้ม

“ท่านนี่ช่างเป็นสามีที่ประเสริฐแท้” เสียงชื่นชมดังมาจากตูฟาที่ยืนเยื้องเบื้องหลังบาลาดิห์ยาไปเล็กน้อย “สตรีทั้งหลายคงริษยาภรรยาท่านยิ่งนัก เพราะนอกจากจะได้สามีรูปงาม ซ้ำยังเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ แทนที่จะปล่อยให้เรื่องเหล่านั้นเป็นหน้าที่ของภรรยา”

คำพูดอย่างตำหนิชนิดนั้นของตูฟาคงทำให้สตรีชาวอัคคาที่แต่งงานแล้วทั้งหลายหน้าตึงไปเหมือนกัน แต่สำหรับมัทรีที่ฟังภาษาอัคคาเหนือไม่เข้าใจ อีกทั้งวินธัยยังช่วยแก้ไขให้แล้วว่าหล่อนหูหนวกและเป็นใบ้ ก็ไม่จำเป็นต้องหาคำพูดใดมาแก้ไขให้สมบทบาทการเป็นภรรยาของไอมาน

“ข้าใจกว้างพอที่จะไม่คอยรับการปรนนิบัติจากภรรยาแต่ฝ่ายเดียว โลกภายนอกทุกวันนี้ ชายหญิงก็เท่าเทียมกัน”

นายพันตรีหนุ่มตอบอย่างใจเย็น เขารู้ดีว่าตูฟาสงสัยสถานะของเขามาแต่แรก และก็ดูเหมือนจะกล้าประกาศตัวมากขึ้น แม้จะเป็นแต่เพียงการพูดโน่นพูดนี่เพื่อแฝงนัยซ่อนเร้นเอาไว้ก็ตาม บางที มันเองก็อาจต้องการดูท่าทีเขาก่อนก็เป็นได้

“เอาเถอะ อย่ามัวแต่พูดกันเลย เราพร้อมจะออกเดินทางแล้ว ไอมาน พาภรรยาของเจ้าไปขึ้นเกวียนทางโน้นเถอะ” บาลาดิห์ยาตัดบท เขาสบตาวินธัยนิดหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินนำตูฟาไปทางหัวขบวนซึ่งคนงานหลายคนตระเตรียมม้าเอาไว้พร้อมแล้ว

“พวกคุณพูดอะไรกันน่ะ?” หญิงสาวที่ยืนแอบแผ่นหลังเขาอยู่นานแล้วเอ่ยปากถาม

วินธัยจูงมือหล่อนไปยังเกวียนเล่มสุดท้าย ตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ไม่มีอะไรหรอก นายบาลาดิห์ยาเพียงแต่บอกว่ากำลังจะออกเดินทาง แต่ยังไงก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็ต้องระวังอย่าให้ใครเห็นหน้าถนัดนัก รู้ไหม?”

“ทราบแล้วค่ะ แล้วนี่อีกนานไหมคะ? กว่าจะถึงบันดุค”

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราก็จะถึงจุดหมายก่อนเย็นนี้แน่”

พูดจบ วินธัยก็บอกให้หล่อนปีนกลับเข้าไปในเกวียนซึ่งมีภรรยาและลูกสาวทั้งสองคนของบาลาดิห์ยายิ้มร่าคอยท่าหล่อนอยู่ก่อนแล้ว เด็กทั้งสองรุมกันพูดกับหล่อนจ้อโดยที่มัทรีก็ได้แต่พยักหน้าพูดจาไปด้วยโดยภาษาของตัว เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้

วินธัยเอ่ยปากฝากฝังนักข่าวสาวไว้กับภรรยาของบาลาดิห์ยา ก่อนจะก้มศีรษะให้นางแล้วเดินเลยไปทางหัวขบวน ซึ่งม้าตัวที่เขาอาศัยขี่มาเมื่อวานนี้มีคนงานคนหนึ่งจูงมายืนรออยู่ก่อนแล้ว

บาลาดิห์ยาส่งห่อเสบียงให้เขาเมื่อชายหนุ่มชักม้าขึ้นไปขนาบข้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องเปลืองเวลามากนัก ทุกคนจึงต้องรับประทานอาหารเช้าในขณะเดินทาง นายพ่อค้าผ้าแห่งชาคากล่าวกับเขาด้วยเสียงกระซิบเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน

“เราจะพักยามเที่ยงวันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นก็จะเดินทางต่อไปโดยไม่หยุด คิดว่าคงถึงบันดุคก่อนตะวันตกดิน”

“ข้าขอแยกจากกองเกวียนของท่านก่อนถึงบันดุคสักเล็กน้อย” วินธัยกระซิบตอบ

“อ้าว ท่านไม่ได้จะไปบันดุคหรอกหรือ? แล้วจะไปที่ไหนกัน?”

“จุดหมายปลายทางของข้า ขอให้เป็นความลับเถอะ ไม่ใช่ข้าไม่ไว้ใจท่านหรอกนะ แต่ข้าไม่อยากประมาท บันดุคอาจเล็กกว่าชาคา แต่ก็ยังพลุกพล่านเกินไป”

บาลาดิห์ยาพยักหน้านิดหนึ่ง “เข้าใจล่ะ ตกลง หากท่านจะแยกไปเมื่อไหร่ ก็ขอให้บอกแก่ข้าก็แล้วกัน”

พูดกันเพียงเท่านั้น นายพ่อค้าผ้าก็ให้สัญญาณออกเดินทาง วินธัยชักม้าเดินปะปนไปกับคนงานอื่นๆ ของบาลาดิห์ยา นานๆ เขาก็บังคับให้ม้าผ่อนฝีเท้าช้าลงเพื่อให้เกวียนเล่มสุดท้ายขึ้นมาทัน เพื่อจะได้สังเกตดูความเป็นไปตลอดทั้งขบวนได้ชัดเจน บ่อยครั้งที่เขาเห็นโดยไม่ต้องใช้ความพยายามสังเกตนักว่า ตูฟา หัวหน้าคนงานของบาลาดิห์ยานั้นคอยแต่จะจับตามองเขาเกือบตลอดเวลา


ครั้งหนึ่ง เมื่อวินธัยขี่ม้าอยู่ตรงกลางขบวน ตูฟาก็ชักม้าของตนเข้ามาเคียงข้างแล้วเอ่ยปากถามอย่างชวนคุย

“นี่แน่ะ ท่านไอมาน ภายในวันนี้ก็จะถึงบันดุคแล้วนะ ท่านจะแยกจากกองเกวียนของเราไปทันทีหรือไม่”

ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่ได้ตอบคำ

“พอจะบอกข้าได้หรือไม่ล่ะว่า บิดาของภรรยาท่านทำกิจการอันใด อยู่ตรงส่วนไหนของบันดุค”

“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม?” เขาขมวดคิ้วถาม ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด

“ก็เห็นท่านว่าพ่อตาของท่านร่ำรวยไม่ใช่หรือ เผื่อวันหนึ่งข้างหน้า ข้าออกจากกองเกวียนแห่งนี้ไป จะได้ไปอาศัยของานทำบ้างได้ไหมเล่า?”

“พี่ข้าคงไม่ยอมให้คนเก่าแก่อย่างท่านจากไปไหนง่ายๆ กระมัง”

“เก่าแก่ที่ไหนกันล่ะท่าน ข้าทำงานกับนายท่านมาไม่กี่ปีเท่านั้นเอง ก็เพราะหัวหน้าคนเก่าเขาชราจนเดินทางไปไหนไม่ได้แล้วนั่นแหล่ะ นายท่านจึงรับข้าเข้ามาทำงาน ข้าเคยติดตามไปกับกองเกวียนต่างๆ มามากแล้ว และถึงนายท่านจะให้ค่าจ้างมากกว่าที่ข้าเคยได้จากที่อื่นๆ แต่มันก็น่าเบื่อไม่ใช่หรือที่จะต้องคอยรอนแรมไปที่ต่างๆ อยู่บ่อยๆ” ตอนท้ายตูฟาแกล้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“ว่าไงล่ะท่าน? พ่อตาของท่านค้าขายอะไร พอจะช่วยฝากฝังงานให้ข้าได้บ้างหรือไม่เล่า”

วินธัยตอบเลี่ยงไปว่า “เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นจริงๆ เจ้าค่อยมาคุยกับข้าดีกว่า ข้าไม่อยากรับปากอะไรเจ้าตอนนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าพี่ข้ารู้เข้าทีหลังจะว่าเอาได้ว่าข้ามาแย่งชิงคนของเขาไป เออ นั่นแน่ะ ตูฟา พี่ข้ากวักมือเรียกเจ้าโน่นแล้ว รีบไปเถอะเขาคงมีอะไรจะใช้เจ้ากระมัง”

เมื่อตูฟารีบชักม้าขึ้นไปทางหัวขบวน วินธัยก็ได้แต่ลอบถอนใจ นึกขอบคุณนายบาลาดิห์ยาที่ช่างกวักมือเรียกหัวหน้าคนงานของเขาได้ถูกเวลาพอดี เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าตูฟาจะซักถามอะไรให้เขาต้องเลี่ยงไปข้างไหนอีกหรือไม่



บาลาดิห์สั่งหยุดพักกองเกวียนเมื่อตะวันขึ้นตรงศีรษะตามที่เขาบอกแก่วินธัย อาหารกลางวันมื้อนั้นเรียบง่ายเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ มัทรีนั่งรวมอยู่กับครอบครัวของบาลาดิห์ยา และได้รับห่อเสบียงซึ่งภายในบรรจุอาหารหน้าตาคุ้นเคย คือ ขนมปังกับเนื้อตากแห้งรมควัน ซึ่งตอนนี้หล่อนรู้แน่แล้วว่ามันคือเนื้อจามรี

หญิงสาวกะพริบตามองอาหารตรงหน้านิดหนึ่ง แล้วก็คว้าขึ้นมากัดกินอย่างช่วยไม่ได้ พยายามตัดความรู้สึกที่ว่ามันเป็นของใหม่ทิ้งไปเสีย เพราะถึงอย่างไร หล่อนก็เคยกินไปแล้วถึงสองครั้งสองครา แล้วก็ใช่ว่ามันจะทำให้หล่อนตายเสียเมื่อไร

กินให้มันชินเข้าไว้...เพราะตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หล่อนคงต้องอาศัยเนื้อชนิดนี้ประทังชีวิตต่อไปอีกนาน

(จบตอนที่ 12)





Create Date : 05 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 23:02:52 น. 3 comments
Counter : 307 Pageviews.

 
ตื่นเต้นค่ะ รออ่านตอนต่อไปด้วยใจระทึก


โดย: nathanon วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:22:51 น.  

 
อิ จ ฉ า มั ท รี


โดย: Paulo วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:41:22 น.  

 
สนุกมากค่ะ บรรยายเหมือนได้ยืนชมพระอาทิตย์ขึ้นกับวินธัยเลยค่ะ อิอิ


โดย: pp IP: 210.213.0.58 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:16:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.