People - Places - Pictures
The Player
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย
ขอดีใจสักครั้ง
สาวซิ่งปิ๊งกล้องเก่า
การ์ตูนจากโขนสด
โขนสดจากฟิล์มขาวดำ
งิ้วจากฟิล์มขาวดำ
ลายเส้น-แรงบันดาลใจจากทิเบต
หิมาลายาบูเกต์ผ่านฟิลมขาวดำ
ภาพประกอบ
ภาพเขียน
คิดถึงคุณอา
Hand Color Photograph
อ.กฤษดาวรรณ มูลนิธิพันดารา แล้วก็ตัวผมเอง
การ์ตูนจับฉ่าย
ทังกา
สาวบราซิเลียน กับการเรียนวาดภาพทิเบตที่อินเดีย
Serindia Gallery
<<
มีนาคม 2554
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
8 มีนาคม 2554
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 4/1
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 6/3
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 6/2
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 6/1
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 5/4
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 5/3
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 5/2
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 5/1
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 4/5
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 4/4
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 4/3
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 4/2
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 4/1
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 3/3
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 3/2
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 3/1
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 2/4
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 2/3
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 2/2
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 2/1
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 1/3
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 1/2
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 1/1
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 4/1
บทที่ 4 ที่ตายของพระยม
สปิตุกก็อมปะ อยู่ใกล้เลห์แค่เอื้อม บนหลักกิโลเมตรต้นๆของไฮเวย์สายเลห์ศรีนาคาร์ ก่อนเข้าใกล้วัด ถนนจะหักเลี้ยวขวา และค่อยๆไล่ระดับขึ้นจากหุบเขาไปยังที่ราบสูงเวิ้งว้าง ถือเป็นจุดเริ่มของการเดินทางไกลสู่แดนตะวันตก
ก่อนถึงสปิตุกต้องผ่านแคมป์ทหารและสนามบิน ใครที่กลับออกจากเลห์ทางอากาศ เมื่อเครื่องทะยานขึ้นยังไม่ทันเก็บล้อดี มองลงมาใต้ท้องเครื่องจะเห็นหมู่ตึกสีแดงฐานสีขาวสถิตแนบแน่นกับโขดเขาราวกับปราสาทโบราณ และเนื่องจากเที่ยวบินขากลับบางไฟลท์ออกแต่เช้าตรู่ ผู้โดยสารจึงอาจจินตนาการเล่นๆได้ว่า ภายในอารามแดงสะดุดตานั้น พระสงฆ์ใหญ่น้อยกำลังสวดมนตร์รับอรุณ โยกตัวน้อยๆ ประสานเสียงงึมงำ
นิสัยเสียประการหนึ่งของผมคือลุกลี้ลุกลน โดยเฉพาะเมื่อเป็นชาวต่างชาติเพียงคนเดียวในรถบัสท้องถิ่น โดยสารไปสู่จุดหมายซึ่งรู้มาเพียงคร่าวๆเท่าที่หนังสือฝรั่งแนะนำ ไม่เคยเห็นภาพถ่ายหรือมีมโนทัศน์ใดๆ ต่อสถานที่นั้นมาก่อน และนิสัยเสียอีกประการคือ บางโมงยามก็เกิดภาวะปากหนัก ไม่อยากพูดอยากถามใครขึ้นมาเสียงั้น ดังนั้น จึงมีหลายครั้งที่ผมลงรถก่อนถึงจังหวะอันควร
แว่บแรกที่เห็นวัดสปิตุกผ่านหน้าต่างรถบัส ผมมั่นใจว่านั่นคือสปิตุกอย่างไม่ต้องสงสัย (ซึ่งมันก็ใช่จริงๆนั่นแหละ) อารามสีแดงสง่างามเผยตัวบนเนินหินเตี้ยๆ ห่างออกไปพอดู สิ่งเหนือคำอธิบายบางอย่างดลใจผมให้คิดว่าถนนสายที่รถกำลังวิ่งอยู่นี้จะวาดโค้งผ่านเลยออกไปไม่เข้าใกล้วัด ผมกุมกระเป๋ากล้องแน่นพร้อมกระโจนลงไปทุกขณะ ไม่ทันสำนึกว่ากำลังถูกความตื่นเต้นลนลานเข้าครอบงำ (อาการนี้ มักแถมด้วยความรู้สึกปวดฉี่ปลอมๆ) เมื่อร้อนรน ดวงจิตก็ไม่นิ่งพอจะรอให้รถแล่นไปถึงปลายโค้ง และเมื่อมีหญิงชาวบ้านกลุ่มหนึ่งตะโกนให้จอดป้ายแล้วหอบลูกจูงหลานลงจากรถ ผมจึงเผ่นพรวดตามลงไปด้วยไม่รั้งรอ
เราอยู่บนสะพานคอนกรีตเหนือคลองแห้งๆ ท่ามกลางหุบเขาเวิ้งว้าง วัดสปิตุกยังอยู่ห่างไปพอสมควร ชาวบ้านกลุ่มนั้นหยีตาสู้แดด ฉีกยิ้มทักทาย ก่อนพากันเดินต้วมเตี้ยมลงเนินไปอีกด้าน ตรงข้ามกับวัดโดยสิ้นเชิง ปล่อยให้ผมยืนเคว้งคว้างกลางลมฝุ่น มองตาปริบๆตามท้ายรถบัสที่ห่างไปสุดไขว่คว้า และค่อยๆตีโค้งมุ่งหน้าเข้าหาอารามสีแดงเหมือนถูกอำนาจลี้ลับดึงดูด ผมกัดฟัน ร่ายคาถามั่วซั่วพยายามสั่งให้มันเบนหัวออกห่างๆซะ
แน่นอนว่าไม่เป็นเช่นนั้น รถบัสจอดแนบตีนเนินเชิงวัดอย่างน่าชิงชัง คนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งมีพระจีวรแดงปะปนอยู่ด้วยค่อยๆทยอยลงมาและเดินเรียงแถวขึ้นไปยังตัววัด ยังดีที่ระหว่างเราสองฝ่ายมันไกลเกินกว่าจะมองเห็นสีหน้าสมเพชเวทนาของพวกเขาได้ชัด บริเวณรอบนี้ไม่ปรากฏสถานที่สำคัญใดๆอีกสำหรับนักท่องเที่ยว มีเพียงสปิตุกเท่านั้น ไม่เหลือหนทางให้ผมกลบเกลื่อนแกล้งตระเวนเปะปะไปที่อื่น จำต้องเดินก้มหน้างุดๆเข้าหาวัดด้วยความขัดเขิน
ทางที่ผมเดิน ห่างจากวัดประมาณสี่ร้อยเมตร เริ่มจากตีนเนินสูงขึ้นทีละน้อยๆ จนไปถึงประตูวัดที่สูงราวกึ่งหนึ่งของเนินหิน ทางวัดกำลังแซะโขดหินไหล่เนินเพื่อปรับให้ราบเป็นผิวถนน มีทรายกองโตและเศษหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายตลอดเส้นทาง บางตอนเป็นหล่มทรายละเอียดสีเทา เหยียบลงไปเบาๆยังจมท่วมรองเท้า แต่ที่แย่สุดคือระหว่างนั้นมีลมแรงจัดพัดมาจากที่ราบกว้างใหญ่เข้าปะทะเหลี่ยมเขาดังหวือๆ ทั้งยังบิดเกลียวหมุนติ้วเป็นงวงช้าง ฝุ่นทรายและเศษหินปลิวว่อนไปทั่วจนไม่อยากลืมตา แทรกซึมเข้าจมูก หู ขอบปาก เส้นผม เสื้อผ้าและรองเท้า ท่ามกลางประวัติศาสตร์ซื่อบื้อนับสิบร้อย มีครั้งนี้แหละที่ผลตามมามันสาสมจนจำขึ้นใจ
มองผ่านม่านฝุ่นไปยังสันเขาฝั่งกระโน้น ดูเหมือนคนกลุ่มที่ผมควรจะลงรถด้วย ต่างพากันหยุดชื่นชมความอนาถ พวกเขากวักมือกวักไม้อะไรไม่รู้วุ่นวาย คล้ายกำลังเชียร์กีฬา
ลมหมุนซัดผมปัดเป๋ไปมาพักใหญ่ กองเชียร์เหล่านั้นคงชมดูจนเบื่อ หรือไม่ก็เวทนาจนทนมองไม่ไหว จึงพากันหายเข้าไปในวัด เกลียวฝุ่นที่ปะทะตัวและทรายนิ่มที่ฉุดรั้งทุกฝีก้าว ทำให้ระยะทางเพียงเท่านี้กลับยืดยาวจนอึดอัดใจ
แต่ความอัศจรรย์ก็พลันบังเกิดเมื่อผมลากเท้าขึ้นไปถึงทางเข้า ผ่านใต้สถูปขาวซึ่งเจาะฐานเป็นช่องกว้างสำหรับเดินลอดเข้าสู่บริเวณวัด จู่ๆลมกรรโชกนั้นก็พลันหมดแรงไปโดยกะทันหัน ละอองทรายเศษหินอันตรธานไปโดยสิ้นเชิง ราวกับมีใครเอาตู้กระจกยักษ์มาครอบกันลมฝุ่นและความตรลบอบอวลทั้งหลายภายนอกไว้ มวลอากาศในกำแพงวัดสงบนิ่ง กิ่งใบบางเบาของต้นวิลโลว์แทบไม่ไหวติง ต้นป็อปลาร์สูงชะลูดโอนเอนเบาๆ เพียงปลายยอดอย่างน่าพิศวง นกกระจอกอ้วนพีร้องจิ๊บๆ บินปร๋อกลับไปกลับมาน่าหมั่นไส้
ทางที่ผมเข้ามาคือประตูเล็กทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัด ประตูใหญ่อยู่ตรงกลางเดินไปไม่นานก็ถึง พบว่าถนนเฉียดผ่านข้างล่างพอดี และมีทางลูกรังต่อเนื่องขึ้นมาถึงหน้าประตู ถ้าผมอดใจรออีกหน่อยคงได้มาลงรถแถวๆนี้ และเดินขึ้นวัดอย่างสบายใจเฉิบ
หน้าประตูใหญ่มีรถจี๊ปจอดอยู่สองคัน คันแรกเป็นรถทหารสีเขียวแก่ เห็นแล้วคิดถึงจี๊ปคันที่นั่งจากสนามบินมายังตัวเมืองเลห์ด้วยความกรุณาจากคุณพ่อของเด็กชายวิโนช ต่างกันตรงที่คันของผมมีบานประตูมิดชิด ส่วนคันนี้ข้างเปลือยตามแบบฉบับรถทหารลาดตระเวนทั่วไป จี๊ปอีกคันเป็นแท็กซี่สีขาวที่เขาเรียกกันว่ารถซูโม่ คนขับยังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้รถ เป็นชาวลาดักอายุไม่มากนัก เขาโบกมือทักทายผมอย่างอารมณ์ดี บอกว่าพาโปรเฟสเซอร์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งมาถ่ายวิดีโอการทำมันดาล่าทราย (sand mandala) ของที่นี่
ผมได้ยินแล้วหูผึ่ง รู้สึกดีใจเพราะเป็นพิธีกรรมและงานศิลปะที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แท็กซี่บอกว่าพระท่านกำลังสร้างมันดาล่าอยู่ในตุกคัง อุโบสถกลางซึ่งอยู่อีกฟากของเนินเขา ความจริงด้านหน้าของวัดสปิตุกอยู่ทางทิศตะวันตก เข้าหาแม่น้ำสินธุและเทือกเขาซันสการ์ หันหลังให้เลห์กับเทือกเขาลาดัก ทางที่ผมผ่านเข้ามากลับเป็นประตูหลังวัด
ผมถามเขาว่าไม่เข้าไปชมด้วยหรือ คนขับแท็กซี่ยักไหล่ บอกว่าไม่ดีกว่า เห็นบ่อยแล้ว อีกทั้งวันนี้ท้องไส้ผิดปกติ ไม่อยากทานอะไรมาก ป้วนเปี้ยนใกล้ๆ เดี๋ยวพระท่านเอื้อเฟื้อ ส่งชา ส่งขนมมาให้แล้วต้องเอ่ยปากปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก อยู่แถวนี้สักพัก ประเดี๋ยวก็มีแท็กซี่คันอื่นๆพานักท่องเที่ยวมา ถึงตอนนั้นก็มีเพื่อนคุยฆ่าเวลา ผมขอตัวเข้าวัด หวังลึกๆว่าเมื่อกลับออกมาจะยังมีแท็กซี่รอคนอยู่บ้าง สักคันสองคันก็ยังดี เผื่อขอติดรถเขากลับเลห์
เมื่อทราบว่าพระท่านอาจมีน้ำชา หรือขนมให้ทาน ผมจึงวางแผนว่าจะเดินอ้อยอิ่งชมวัดไปเรื่อยๆก่อน ครั้นใกล้เที่ยง ท้องเริ่มร้องหามื้อกลางวันนั่นแหละ ค่อยเตร่เข้าไปชมเขาประดิษฐ์มันดาล่า เรียกว่าตักตวงทั้งความรู้ ทั้งความอิ่มอร่อย นานๆ มาที ต้องเอาให้ครบสูตร
เนื่องจากสปิตุกตั้งอยู่บนเนินอันประกอบด้วยโขดหินกระโดกกระเดก โบสถ์ วิหาร อารามต่างๆจึงดูสูงต่ำสลับกันไปตามตำแหน่งและระดับของหินที่เป็นฐานให้ ภายในวัดมีทางเดินซับซ้อนและบันไดขึ้นลงวนเวียนไปมา ส่วนใหญ่ปูพื้นด้วยแผ่นหินสีเทา เดินซอกแซกได้สนุกทีเดียว บางครั้งทางพาลอดผ่านอุโมงค์แคบติ้ว หักเลี้ยวไปแทบชนกับเณรหนุ่มซึ่งหิ้วกาทองเหลืองเดินสวนมา บางคราวทางก็ไปสิ้นสุดลงดื้อๆ ตรงหน้าแท่นบูชาในหลืบมืด เห็นเพียงเปลวไฟริบหรี่จากตะเกียงน้ำมันและควันกำยานลอยเป็นสาย
สปิตุกก็อมปะ ก่อตั้งในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นี่คืออารามนิกายเกลุกปะแห่งแรกของลาดัก ชื่อสปิตุก มีความหมายทำนองว่า สำหรับเป็นแม่แบบ หรือไม่ก็ ตัวอย่างอันดีงาม รู้สึกเหมาะดีในฐานะวัดลำดับแรกของนิกายใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเข้ามาในแว่นแคว้น
เป็นที่ทราบกันว่าประมุขแห่งนิกายเกลุกปะคือองค์ดาไลลามะ ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทั้งศาสนจักรและอาณาจักรของทิเบต แต่เมื่อแรกที่สถาปนาวัดสปิตุกนั้น ยังเป็นเพียงช่วงตั้งต้นของนิกายเกลุกปะ จึงเป็นการเข้ามาเผยแพร่คำสอนของนิกายใหม่โดยบริสุทธิ์แท้จริง ปราศจากเรื่องอิทธิพลการเมืองมาข้องเกี่ยว กว่าที่นิกายเกลุกปะและองค์ดาไลลามะจะมีกำลังปกครองแผ่นดินก็เกือบร้อยปีถัดมา เมื่อท่านผูกสัมพันธ์กับทางราชวงศ์มองโกลทายาทเจงกิสข่าน และดำรงอิทธิพลสูงสุดเมื่อถึงรัชสมัยของดาไลลามะองค์ที่ห้า ราวปี ค.ศ 1642
อย่างไรก็ตาม ก่อนมีการสถาปนาวัดสปิตุกนั้น เชื่อว่าเนินหินแห่งนี้ต้องมีผู้เข้ามาใช้ประโยชน์ก่อนแล้ว บริเวณยอดเนินปรากฏซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเคยเป็นป้อมปราการหรือศาสนสถาน ทั้งยังไม่ทราบอายุแท้จริง อาจสร้างราวห้าร้อยปีก่อน หรือเผลอๆ จะโบราณยิ่งกว่านั้นอีก
ผมเดินดุ่ยๆเข้าไปในอารามใหญ่หลังหนึ่งทางตอนหลังของวัด ไต่บันไดสูงขึ้นไปจนโผล่ออกยังดาดฟ้า พื้นดาดฟ้าเป็นดินเหนียวผสมฟางป่นเกลี่ยผิวราบเรียบ มีสันขอบสูงประมาณต้นขากันคนเผลอตกลงไป อากาศบนนี้โล่งสบาย ลมเย็นโชยมาทำให้ลืมแดดจ้าที่เผาผิวไปเสียสนิท เห็นตู้กระจกใสบรรจุตะเกียงน้ำมันเนยเล็กๆหลายสิบอัน
ตามขอบมุมดาดฟ้ามีปูนหล่อรูปไหศักดิ์สิทธิ์ และรูปฉัตรที่หุบลงเป็นทรงกระบอกอันเป็นสัญลักษณ์มงคลในคติวัชรยาน ปูนหล่อเหล่านี้ยังใหม่เอี่ยม ทาสีเหลืองอ๋อยสะท้อนแดดมันแผล็บยังกับสีรถแท็กซี่บ้านเรา ดูแล้วขัดกับสภาพแวดล้อมอย่างอธิบายไม่ถูก เมื่อบวกกับกลิ่นหืนของน้ำมันตะเกียงแล้วชวนมึนหัวพิลึก
วิวจากดาดฟ้านั้นงดงามสุดพรรณนา ทอดสายตาไปเห็นเมืองเลห์อยู่ไกลลิบๆ กระจุกบ้านเรือนสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลขนาดจิ๋วใต้วงโอบขุนเขายาวเหยียด ระหว่างเลห์กับจุดที่ผมยืนอยู่นี้ มีสนามบินพาณิชย์ สนามบินทหาร และฐานที่มั่นกองกำลังต่างๆ เรียงรายต่อเนื่องกันเป็นบริเวณกว้าง ทั้งหมดตั้งอยู่บนที่ราบแห้งแล้งขนาดมหึมา พาดผ่านจากลุ่มน้ำสินธุทางใต้และค่อยๆยกตัวขึ้นบรรจบเทือกเขาลาดักทางทิศเหนือ ภูเขาตกแต่งตัวมันเองอย่างพิสดารด้วยสะเก็ดหินแหลมคมและทางน้ำไหลที่เหือดแห้งไปแล้ว ทิ้งลายแตกแขนงไว้บนผิวทรายเหมือนรากไม้กลับหัว
ระหว่างขุนเขาเห็นไฮเวย์สายตะวันตกที่มุ่งสู่แคว้นแคชเมียร์ บนถนนที่กำลังยกตัวจากหุบขึ้นสู่ที่ราบสูงนั้น มีรถบรรทุกทหารคลุมผ้าใบสีเขียวแก่หลายสิบคัน วิ่งเลาะแนวโค้งเลียบขอบเขาไปช้าๆ เรียงแถวตามกันเป็นขบวนยาว ยังกับคาราวานกองทัพมดที่ไม่เคยเห็นตัวสุดท้ายสักที เพราะมันยืดยาวขี้เกียจติดตามชม
ความอัศจรรย์ใจของทิวทัศน์บังคับผมให้กดชัตเตอร์มือระวิง มาทราบภายหลังว่าหากเป็นเมื่อหลายปีก่อน การถ่ายรูปจากหลังคาวัดสปิตุกในทิศทางที่มองไปยังเลห์นั้นถือเป็นการสืบความลับทางทหารและอาจโดนจับขังคุกแขกได้ เพราะกองทัพเขาจะตีขลุมว่าตากล้องเป็นสายลับ แอบสอดแนมทำเลของสนามบินและฐานที่มั่นต่างๆให้ปากีสถาน หรือไม่ก็จีน
ผมกลับลงจากตึก ผ่านดงดอกไม้ขึ้นไปยังยอดเนิน ขณะเดินขึ้นเริ่มมีอาการหอบเบาๆ และแสบจมูก พบเลือดฝอยปะปนมากับฝุ่นทรายและน้ำมูก แต่มิได้พะวงกับมัน เพราะพุ่มดอกไม้สีชมพูริมผาหินฝั่งซ้ายมือ และทิวเขาตระการตาฝั่งขวามือ ที่เห็นไปจรดขอบฟ้านั้นล้วนงามล้ำ หันเหจิตใจจากเรื่องอื่นไปเสียสนิท
** เรื่องราวที่ผ่านมานี้ เขียนขึ้นจากสมุดบันทึก ผสมปนเปกับความทรงจำครั้งไปเที่ยวลาดัก-อินเดีย เมื่อกลางปี 2549 ข้อมูลบางประการคงไม่ร่วมสมัยแล้ว อีกทั้งส่วนมากเก็บเกี่ยวจากการพบเห็นและพูดคุย มิได้กลั่นกรองเท่าไรนัก รวมถึงความคิดเห็นส่วนตัว แบบตามใจตัวเอง ไม่อาจยึดถือเป็นมาตรฐาน ท่านใดสนใจนำไปใช้หรือไปอ้างอิง โปรดค้นคว้าเปรียบเทียบด้วย
นอกจากนี้อาจมีหลายภาพที่ไม่ตรงกับเนื้อความ ดูเอาพอเพลินๆ นะครับ
Create Date : 08 มีนาคม 2554
Last Update : 9 มีนาคม 2554 11:37:40 น.
3 comments
Counter : 784 Pageviews.
Share
Tweet
อยากไป Ladakh มานานแล้ว ไม่เคยมีโอกาสซักที
มาขอเที่ยวด้วยคนนะคะ ^^
โดย:
Panino
วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:13:05:08 น.
ขอบคุณครับ
Ladakh เที่ยวง่าย ชาวบ้านทั่วไปก็นิสัยดี ถ้าโอกาสพร้อม ไปได้เลยครับ
โดย:
azurite
วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:21:48:30 น.
รูปสวยยยยยยย ใช้เลนส์มุมกว้างเป็นส่วนใหญ่หรือเปล่าจ๊ะ เอก
ขำกับความลนลาน เพราะนึกถึงตัวเจ๊ยามไปเที่ยวเหมือนกัน คริคริคริ
มีหนังสืออะไรแนะนำสำหรับทริปเดือนสิงหา ของเจ๊ไหมจ๊ะ เพราะจะตามรอยน้องเอกไปซันสการ์ด้วย
และเจ๊อยากไปหมุ่บ้านดาห์ -ฮานูด้วย
โดย:
นางกอแบกเป้
วันที่: 9 มิถุนายน 2554 เวลา:22:13:31 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
azurite
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [
?
]
Azurite is a lazy painter.
Webmaster - BlogGang
[Add azurite's blog to your web]
my photostream on Flickr
Facebook Page for My Arts
Bloggang.com
มาขอเที่ยวด้วยคนนะคะ ^^