|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
9 ตุลาคม 2554
|
|
|
|
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 6/2
กลับออกมานอกวิหาร เผชิญแดดจ้าที่ส่องลงมาเหน่งๆทำเอาลืมไปเลยว่าเมื่อเช้ายังฟ้าครึ้มฝนพรำ หรี่ตามองสันเนินเหนือขึ้นไป เห็นป้อมเก่าอีกแห่งตั้งอยู่หลังพะเนินหิน หลวงพี่ที่กำลังผ่าฟืนบนหลังคายกปลายขวานชี้ไปทางนั้น บุ้ยใบ้ให้ลองเดินขึ้นไปชมดู
ทางขึ้นป้อมค่อนข้างชันและบีบตัวแคบ ขนาบข้างด้วยผนังตามธรรมชาติ คือโขดหินผิวเกลี้ยงๆ เกยทับกันระเกะระกะ โขดหินเหล่านี้ช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อต้องยึดเหนี่ยวยันตัวขึ้นไปตามทางลาดเอียงและลื่น แต่มันก็ฝากรอยระลึกก่ำๆไว้บนข้อศอกและอุ้งมือ เพราะแต่ละก้อนล้วนอาบแดดร้อนจี๋
ตะกายเนินหินขึ้นมาเจอความเวิ้งว้างเหมือนเช่นทุกคราว ซากป้อมนั้น
.เช่นเคย เหลือแต่กองอิฐหักพัง ส่วนหลังคา,ฝ้าเพดาน หรือทุกสิ่งที่ใช้บังแดดนั้นสูญหายไม่เหลือหลอ มีแต่ผนังกำแพงแน่นหนาสูงท่วมหัว หลังแนวกำแพงไม่เหลืออะไรให้ชื่นชม
มองสูงขึ้นไปอีกนิด ถัดออกไปอีกทางทิศตะวันออกของเนินเขา ก็ยังมีซากป้อมปราการรอให้ตะกายหาอีกแห่ง ( ไปทำไมไม่รู้ รู้แต่เท้ามันบอกให้ไป ) เขียนถึงวังบ้าง วัดบ้าง ป้อมร้างบ้าง สลับสับกันอย่างนี้ คุณๆจะงงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ขอให้นึกย้อนไปถึงมือของยักษ์ที่เปรียบไว้ก่อนหน้านี้ละกัน ลองทำมืออูมๆ วางคว่ำ โปะลงบนโต๊ะดูอีกหน ให้นิ้วกลางทำหน้าที่เป็นสันเขาดังเดิม
ลำข้อแรกสุดของนิ้ว ที่ติดโคนเล็บนั่นแหละ คือพระราชวังเชย์ รวมถึงวิหารซึ่งมีหลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ ลำข้อที่สองกึ่งกลางนิ้ว คือป้อมร้างกำแพงแน่นหนาที่ผมตะกายโขดหินขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า สวนลำข้อสุดท้าย บริเวณโคนนิ้วก่อนถึงหลังมือ กระดูกปูดโปนขึ้นเป็นสันเด่นกว่าใครนั้น ก็คือป้อมปราการหลังสุดท้ายของเชย์ ผงาดโดดเดี่ยวบนจุดสูงสุดของเนิน
ทางเดินไปสู่ป้อมหลังสุดท้ายไม่สูงชัน แต่มีอันตรายอยู่บ้าง ต้องวางเท้าไปบนแผ่นหินกว้าง ผิวเกลี้ยงและลื่น เอียงตัวลงไปหาตีนเนินซึ่งต่ำลงไปร่วมร้อยเมตร หนำซ้ำยังไม่ค่อยมีแท่งหินหรือสันผาให้ยึดกุม จะถอดรองเท้าเดินให้สะดวกหน่อย ก็ไม่ไหว เพราะหินมันตากแดดร้อนยังกับเตารีด หากไม่ตั้งหลัก หาที่เกาะเกี่ยวดีๆ โอกาสกลิ้งหลุนๆ ลงไปไส้ทะลักที่ตีนเนินข้างล่างก็คงเกิดได้เหมือนกัน
ด้วยความอ่อนหัดกับพื้นหินและที่สูง ผมค่อยๆถัดตัวผ่านร่องแนวโขดเขาไปยังป้อมหลังสุดท้ายนั้น กระเป๋ากล้องใบน้อยพลันเกะกะรุงรังอย่างไม่เคยเป็น กระติกเหล็กใบเก่ามีรอยบุบเพิ่มขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้ หากมีลามะเพ่งตาทิพย์มาจากที่ไกลๆ เห็นเข้าคงตาลีตาเหลือกสวดภาวนาให้ด้วยความหวาดเสียวแกมสมเพช
ป้อมสุดท้ายนี้เป็นซากหักพังยิ่งกว่าป้อมหลังที่แล้ว แต่เป็นความสูญสลายอันงดงามได้จังหวะจะโคนกว่าเยอะ เรียกว่าตายแล้วยังดูดี ในขณะฐานของผนังแต่ละด้านยังคงเกาะติดกับหินยอดเนินอย่างแน่นหนา แต่ส่วนบนของมันกลับกัดกร่อนและพังทลายเป็นช่องโหว่ เว้าแหว่งราวกับโดนกระสุนปืนใหญ่ ผนังส่วนไหนที่ยังไม่หักโค่นลงมา ก็ตั้งขึ้นชี้โด่เด่สู่ฟากฟ้า
ภายในป้อมไม่มีสิ่งใดนอกจากกองหินและเศษอิฐ กับซากตัวอะไรบางอย่างขนาดพอๆกับสุนัข แบนแต๋และแห้งกรังใต้เปลวแดด แผ่ราบอยู่กึ่งกลางป้อมพอดี ผมเดาว่ามันคงเป็นแพะเพราะมีเขาสั้นๆติดอยู่บนสันกะโหลก เหนือรูเล็กๆ ที่เคยมีลูกตาบรรจุอยู่ ทำไมซากแพะมาอยู่บนนี้ได้ยังเป็นปริศนา จะเป็นเครื่องบวงสรวงบัดพลีอะไรหรือ ก็ไม่เห็นองค์ประกอบอื่นๆเช่นอักขระยึกยือ ผ้ายันต์ หรือตะเกียงน้ำมันอยู่ใกล้ๆ ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ขณะชื่นชมเศษขนยาวๆที่เหลือของมันไหวลู่ตามแรงลม ลมบนยอดเนินพัดกรรโชก ซอกซอนผ่านรอยแตกของผนังอิฐ และรูโหว่ระหว่างโขดหินดังหวืดหวือ สารภาพตรงๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองทะลึ่งตะกายขึ้นมาหาพระแสงอะไร พระแสงเดียวที่พบเจอคือแดดเปรี้ยงๆของสุริยเทพ พระองค์ส่องแสงเจิดจรัสเหนือหัว แผดรังสีตะเพิดเมฆฝนเมื่อเช้าให้หลบไปซุกอยู่หลังเทือกเขาริมขอบฟ้าจนเกือบหมด กลางเวิ้งฟ้า มีเพียงเมฆหลงฝูงก้อนน้อยๆ ลอยอย่างเหนียมๆ เท่านั้น
กลับออกจากความว่างเปล่า มานั่งหลบแดดใต้ร่มเงาของสถูปยอดด้วนองค์โต มีคนนำกิ่งไม้แห้งเรียวเล็กมาปักไว้แทนยอดที่หักหลุดไป และผูกธงมนตราห้าสี เชื่อมต่อกันตั้งแต่ป้อมร้าง โยงมามัดไว้กับสถูปนี้ พันไปมาจนแน่นหนาแล้วจึงลากสายยาวเหยียดลงไปยังวิหารหลวงพ่อโตข้างล่าง ธงผืนน้อยหลายสิบสะบัดปลิวล้อลมแรง ผสานสีสันเติมชีวิตให้แดนอดีตอันร้อนระอุ
เมื่ออยู่ใต้ร่มลมโกรก ความร้อนจึงผ่อนคลายลง ผมแกะห่อขนม นำบิสกิตออกทาน แกล้มด้วยกับชาทิเบตในกระติก ซึ่งคุณน้าเจ้าของเกสต์เฮ้าส์กรุณาเจือจานมาให้อย่างเป็นสุขใจ ลมภูเขาเหนี่ยวสายธงมนตราเป็นแนวโค้งอยู่เหนือศีรษะ ราวกับจะกระชากมันให้หลุดลอยจากขั้วโบยบินไปในฟ้าคราม เศษบิสกิตปลิวว่อนในอากาศ ลมแรงพัดผ่านลูกหินที่สลักคาถาทิเบต ทำให้มันขยับกุกกัก ซากเขาแย็คที่สอดไว้หลวมๆระหว่างช่องว่างของลูกหิน ก็พลอยโยกคลอนด้วยเบาๆ
ป้อมปราการหลังสุดท้ายนี้ คงเป็นส่วนยอดของหมู่ตึกใหญ่โตในอดีต มีแนวกำแพงเก่าแตกแขนงออกมาจากฐานป้อม ก่อเป็นแถวยาวลงไปเกือบถึงตีนเนิน แต่อาคารทั้งหลายที่เคยเรียงรายอยู่ต่างก็สาบสูญและแตกสลายไปหมดแล้ว ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ฐานราก เหมือนที่ดินร้างซึ่งตัวบ้านถูกระเบิดจนเกลี้ยง เหลือแต่กำแพงแหว่งเว้ากับป้อมยาม
ในขณะพระราชวังเชย์ซึ่งอยู่ต่ำลงไป เป็นของราชวงศ์นัมเกียล กษัตริย์ลาดักที่สืบเชื้อสายมาจากทิเบต แต่ป้อมร้างหลังนี้เล่าเป็นของชนกลุ่มใด มีความเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษชาวทิเบตเช่นเดียวกันหรือไม่ หรือมันจะเป็นนครดึกดำบรรพ์พันปีมาแล้วของชาวม็อน ชนเผ่าโบราณก่อนหน้าที่สาบสูญไปโดยแทบไม่เหลือร่องรอยไว้ ในกองอิฐและหลืบหินของป้อมร้าง คงมีความลับความหลังฝังอยู่มากมาย บางทีหากใครมาที่นี่เพียงลำพังยามดึกสงัด นั่งนับเม็ดประคำ ภาวนาใต้ทางช้างเผือก อาจมีสิทธิ์สดับเรื่องราวประหลาดเร้นลับ ประวัติความเป็นมาอันยืดยาวของดินแดนลาดัก ซึ่งไม่เคยปรากฏในหนังสือเล่มใด แต่ยามนี้ ดูเหมือนแสงอาทิตย์แรงกล้าจะขับไล่ทุกสิ่งทุกอย่างให้หลบเร้นใต้ผาหินจนสิ้น
ดังที่กล่าวก่อนหน้าแล้วว่าเชย์อยู่บนเนินหิน คั่นระหว่างหนองน้ำและทะเลทราย หนองน้ำแห่งนี้เดิมเป็นทะเลสาบเทียมซึ่งคนโบราณขุดไว้เพื่อกักน้ำทำการเกษตร ป้ายที่แปะหน้าทางเข้าเข้าหนองน้ำเขียนว่าที่นี่คือ บึงศักดิ์สิทธิ์ มีปลาวิเศษมหัศจรรย์อาศัยอยู่ ห้ามจับ ห้ามตก ห้ามช็อตกินโดยเด็ดขาด
ผมยืนเกาะรั้วตาข่ายเหล็ก มองผ่านซี่ลวดแลเห็นปลาสีคล้ำรูปร่างหน้าตาคล้ายปลานิล แหวกว่ายพร้อมกันเป็นฝูงเล็กๆลัดเลาะไปตามกอหญ้าและสาหร่ายไม้น้ำ ดูไปก็เป็นปลาธรรมดาน่าลิ้มรส มองไม่ออกว่ามันศักดิ์สิทธิ์ที่ตรงไหน แต่มาคิดดูว่าเมื่อถึงฤดูหนาว อุณหภูมิในลาดักติดลบได้ถึงยี่สิบองศา น้ำในทะเลสาบถ้าไม่จับตัวแข็งก็คงเย็นเยือกสุดประมาณ การที่ปลาเหล่านี้อยู่รอดได้ก็ต้องยอมรับนับถือ เพราะความหนาวขนาดนั้น ถ้าลองจับจามรีถ่วงน้ำดู ผมว่าไม่ถึงชั่วโมงคงได้เนื้อแช่แข็งมาหั่นแบ่งกันทาน ปลาเหล่านี้คงมีชั้นไขมันพิเศษใต้เกล็ดหนา ถ้าเป็นอย่างนั้น เนื้อคงมันนุ่ม แล้วก็ชุ่มลิ้น ละลายในปาก
.น่าน้ำลายไหล
ลงจากเนินหินเกลี้ยงๆมาพบบึงใสชุ่มชื่น ลมเย็นโชยเบาๆพัดยอดหญ้าเรียวลู่ไปกับริ้วน้ำ ปกติควรจะรู้สึกฉ่ำใจหาใดปาน แต่ไม่ทราบว่าชั่วโมงนี้เกิดอะไรขึ้น เหมือนว่าความแห้งแล้งและแดดเปรี้ยง เป็นกาแฟขมฝาดที่ยังลิ้มรสไม่จุใจ ผมนั่งแช่ริมฝั่งน้ำอยู่ครู่หนึ่ง พอเย็นสบายขึ้นจึงผละมา แวะหมู่บ้านข้างทาง เติมน้ำใส่กระติกจนเต็ม เพราะสักประเดี๋ยว จะไปเดินเล่นในที่ๆมีแต่ทราย
Create Date : 09 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 9 ตุลาคม 2554 18:28:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 692 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
azurite |
|
|
|
|