People - Places - Pictures
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
28 กันยายน 2554

Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 6/1

บทที่ 6 บนผืนทราย













ลองมโนภาพหุบเขาลาดักดูสักนิด มันถูกกระหนาบด้วยเทือกเขายาวเหยียดสองเทือก ที่ต่างเอียงตัวจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือเทลงสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เหมือนเส้นขนานบนกระดานหก เส้นบนคือเทือกเขาลาดัก เส้นล่างคือเทือกเขาซันสการ์
สองในสามของหุบเขาเป็นที่ราบสูงทะเลทรายและหินขรุขระ อีกหนึ่งส่วนที่เหลือ คือแถบสีเขียวชุ่มชื่นของผืนนาและพุ่มไม้ ทอดยาวผ่านแผ่นดินแห้งแล้ง มีเลี้ยวลดบ้างตามทิศทางการไหลของแม่น้ำสินธุ กึ่งกลางหุบมีหย่อมที่ราบลุ่มและหนองน้ำกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยหญ้าน้ำเขียวฉ่ำ สาหร่ายสีน้ำตาล และฝูงปลา เหมือนสระเนรมิตบนแดนกันดาร



ได้ฉากหลังแล้ว ทีนี้ลองปั้นเรื่องราวเล่นๆ อีกสักหน่อยว่า ในสมัยดึกดำบรรพ์ ก่อนหน้ามนุษย์กับวานรจะแยกสายพันธ์กันไปวิวัฒนาการ มียักษ์ตนหนึ่ง ร่างมหึมาเทียมเมฆ สูงใหญ่ปานบรมพรหม เหิรหาวผ่านมาเหนือหุบกว้าง และด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบ จู่ๆ ก็มีแสงเลเซอร์ไร้เหตุผลลำหนึ่งพุ่งวาบ! มาตัดแขนขวาของยักษ์ตนนั้นขาดเสมอข้อศอกโดยรวดเร็ว (ย้ำ…ต้องเป็นแขนขวา) เร็วจนมันไม่ทันรู้ตัวและรู้สึกเจ็บใดๆ ทำไมโดนตัดแขนขนาดนั้นแล้วไม่รู้สึกรู้สา ก็อย่าหาเหตุผลเลย เอาเป็นว่าเพราะมันคือยักษ์ ไม่อาจนำปฏิกิริยาตามธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์โลกมาเหมารวมก็แล้วกัน














ไม่รู้แหละ….สรุปง่ายๆว่ายักษ์มันก็เหาะชิล ชิล ของมันต่อไป พร้อมกับแขนกุดๆที่ขาดเสมอศอก ออกจากเรื่องของเราไปเลยไม่ต้องกลับมาอีก ปล่อยให้มือและศอกข้างนั้นตกปุ้! ลงดิน ส่วนที่เป็นมืออูมๆร่วงลงมาวางโปะติดกับหนองน้ำนั้นพอดี ปลายนิ้วทั้งห้าชี้ไปทางทิศตะวันตก ในขณะข้อมือยาวไปจนถึงศอกหันสู่ทิศตะวันออก เมื่อขาดเลือดหล่อเลี้ยง มือและแขนข้างนั้นจึงกลายสภาพ ผนึกตัวแข็งเป็นเนินหินมหึมายาวเหยียดกลางผืนทราย ในวงล้อมของเทือกเขา


ฟากหนึ่งของเนินหิน ที่เคยเป็นนิ้วโป้งและนิ้วชี้ แนบชิดกับหนองน้ำ ในขณะอีกฝั่ง คือนิ้วนางลงไปถึงนิ้วก้อย ยาวผ่านข้อมือไปจนถึงปลายศอกด้วนๆ เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับเทือกเขาลาดัก ซึ่งเต็มไปด้วยสะเก็ดหินขรุขระและทรายจำนวนมหาศาล เหมือนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่แยกออกมา


ส่วนสำคัญสุดได้แก่นิ้วกลาง ตรงนั้นคือสันเนินอันเป็นบริเวณสูงเด่นที่สุด (ลองทำมืออูมๆคว่ำลงบนโต๊ะ แบบคนเตรียมโดนดีดมะกอก) แต่ละลำข้อของนิ้วกลางนั้นประดับด้วยอัญมณีสูงค่าในรูปของวัดเก่าแก่ พระราชวังโบราณ และปราสาทร้าง

ที่นี่คือเชย์ นครแก้วกระจก











หากมองลงมาจากเบื้องบน คุณจะเห็นไฮเวย์สายเลห์–มะนาลี ตรงรี่มายังตีนเนินแห่งนี้ ถนนจะวาดโค้งเลียบบริเวณที่ผมปั้นเรื่องเล่นๆ (และไม่เกี่ยวกับตำนานท้องถิ่นใดๆ) ว่าเป็นปลายนิ้วมือ เริ่มตั้งแต่ปลายนิ้วก้อย เลาะมาเรื่อยๆ ผ่านปลายนิ้วนาง นิ้วกลาง ถึงปลายนิ้วชี้ ซึ่งตรงนี้มีหินก้อนเบ้อเริ่มเทิ่ม เก่าโบราณเป็นที่สุด แกะสลักภาพนูนต่ำของพระธยานิพุทธทั้งห้าตั้งอยู่ตรงหัวโค้ง จากจุดนี้ ถนนจะตรงดิ่งผ่านข้างนิ้วโป้ง ไปถึงยังข้อมือ ก่อนจะเบนออกขวาอย่างนุ่มนวล และทอดตัวยาวลงสู่ทิศใต้ของมันต่อไป

มอเตอร์ไซค์ รถจี๊ป รถบัส รถบรรทุก รถทุกชนิดจะวิ่งปุเลงๆ มาตามถนนดังกล่าว สำหรับรถบัสโดยสาร หากมีใครอยากลงที่เชย์ ก็มักจอดให้ตรงบริเวณโคนหัวแม่โป้งพอดี













เราจะเห็นผู้คนในชุดพื้นเมืองหนาหนัก ค่อยๆเดินต้วมเตี้ยมลงจากรถบัส เงยหน้าขึ้นมองพระราชวังและโบราณสถานที่สันเนิน คนเฒ่าคนแก่จะหรี่ตาสู้แดด ห่อปากแตกเป็นริ้วสวดพึมพำเบาๆ มือยกพนมโดยประกบสร้อยประคำไว้ จากนั้นจึงค่อยๆโขยกเขยกเข้าหาตีนเนินพลางหมุนกงล้อมนตรา พวกท่านมักหยุดแวะศาลบูชา สักการะหินสีคล้ำซึ่งมีรอยเท้าของท่านปัทมสัมภวะประทับอยู่ ก่อนขึ้นไปไหว้พระและชื่นชมพระราชวังบนเชิงผา

สำหรับชาวลาดัก เชย์คือ ‘เมืองเก่าของเราแต่ก่อน’ ความหมายของเชย์คือ ‘กระจกเงา’ คาดว่าหมายถึงเงาสะท้อนของพระราชวังบนผิวน้ำกระจ่างใสของหนองบึงที่กล่าวถึงข้างต้น ที่นี่เป็นชุมชนเก่าแก่ เป็นราชธานีแรกเริ่มของอาณาจักร มีมาตั้งแต่ยุคของกลุ่มคนโบราณผู้ลึกลับ ชนเผ่าสาบสูญที่เรียกว่า 'ม็อน' ซึ่งเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์นัมเกียลของบรรดากษัตริย์ลาดักในอดีต รวมถึงทายาท คือชนชั้นสูงแห่งลาดักในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ เชย์ถูกทิ้งร้าง เหลือให้ชมเพียงปราสาทว่างเปล่าและป้อมหักพัง ลมหายใจแผ่วๆซึ่งยังพอเหลืออยู่ของที่นี่ ฝากไว้กับวิหารหลังน้อยอันเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังเดิม ดูเหมือนเป็นอาคารเดียวที่มีผู้อยู่อาศัยถาวร ได้แก่พระภิกษุผู้ดูแลศาสนสถาน












ผมมาถึงเชย์ตอนสายมากแล้ว เดิมทีตั้งใจจะจับรถเที่ยวเช้าตรู่ แต่วันนี้ที่เลห์มีฝนโปรยตั้งแต่ฟ้ายังไม่แจ้ง ตื่นนอนผลักหน้าต่างออกไปเห็นเมฆเทาเย็นฉ่ำเรี่ยสันเขา พรำฝอยน้ำบางๆปลิวว่อนไปกับกระแสลมผันผวน พระอาทิตย์ขึ้นหลังไอสลัว สายไฟเปื่อยและเปียกชุ่มช็อตเปรี๊ยะๆบนเสาไม้ สะเก็ดไฟร่วงจากยอดเสาลงบนถนนเขรอะขี้โคลน เด็กนักเรียนวิ่งผ่านไปโดยไม่ใส่ใจ

ข้างนอกยังคงมีละอองฝน ฟูกที่นอนเย็นชื้นกว่าทุกวัน ฟ้าปิด บรรยากาศชวนหดหู่ แต่หากมองในแง่ดี สายฝนน่าจะเพิ่มความชื้นในมวลอากาศ ช่วยให้ผู้เพิ่งมาถึงสามารถปรับร่างกายกับดินแดนที่ออกซิเจนเบาบางและมีแต่ความแห้งแล้งได้ไม่มากก็น้อย

เหมือนโชคช่วย พอแดดแรงขึ้นฟ้าก็เปิด ผมจ้ำไปบนทรายเปียกชื้นของสนามโปโล ทะลุออกสู่ถนนซึ่งตัดลงเนินไปยังสถานีรถบัส ขึ้นรถเที่ยวเก้าโมงเช้า วิ่งฉิวฝ่าละอองน้ำและสายลมเย็นเยือก น่าประหลาดที่เมื่อถึงเชย์ ซึ่งอยู่ห่างเลห์ไปเพียงสิบห้ากิโลเมตร กลับพบเนินหินแห้งผากใต้ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า ไร้วี่แววความฉ่ำเย็นเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เหมือนไอชื้นทั้งมวลพลันโดนลมแรงหอบหิ้วไปทิ้งยังทิวเขาไกลโพ้น หรือไม่ก็ถูกเปลวแดดเผาระเหยหมดแล้วตั้งแต่เบื้องบน












เหมือนเช่นเคย ที่ผมต้องเดินหงอยเพียงลำพังกลางซากโบราณใหญ่โตซับซ้อน เต็มไปด้วยมุมมืดวังเวง ที่น่าเศร้าคือมันไม่ค่อยเหลือความประณีตงดงามให้ชื่นชมมากนัก สิ่งประทับใจเท่าที่ระลึกได้คือสถูปขาวโพลนองค์โตบนลานกลางพระราชวัง ยอดสถูปหล่อขึ้นจากทองเหลือง งดงามสมบูรณ์

ขณะกำลังก้มๆ เงยๆ หรี่ตาเล็งถ่ายภาพสถูปจากขอบมุมของลานหิน หนุ่มสาวอินเดียคู่หนึ่งกรายเข้ามาเงียบๆ พวกเขาเดินเวียนวนรอบๆ รอให้ผมกดชัตเตอร์เสร็จ จากนั้นฝ่ายหญิงจึงเข้าไปยืนเคียงกับองค์สถูปเพื่อให้ชายคนรักถ่ายภาพ

เธอหรี่ตา ยกมือป้องใบหน้าจากไอแดด ขนตายาวงอนเหมือนถูกสายลมพัดกระดิกไหว ส่าหรีสีดำโปร่งบางคลี่สะบัดตาม ปลายผ้าเนื้อละเอียดสัมผัสแผ่วกับผิวปูนขาวขรุขระแข็งกระด้าง เป็นความผิดแผกที่กลมกลืนกันอย่างลี้ลับพรรณนาไม่ถูก และปรากฏให้เห็นเพียงชั่วกะพริบตาเท่านั้น กลางวงโอบล้อมของซากวังเงียบสงัด











ทุกวันนี้ พระราชวังเชย์เหลือเพียงโครงสร้างภายนอกให้เราระลึกถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต หมู่ตึกมหึมาสร้างขึ้นจากอิฐดินไม่รู้กี่ล้านก้อนเรียงซ้อนเป็นปราการแข็งแกร่ง แซมด้วยระเบียงไม้และเสาต้นป็อปลาร์ มันยืนหยัดต้านแดดฝนและฝุ่นทรายมากว่าห้าร้อยปีแล้ว

เมื่อเรายกมือแตะผนังกำแพงหนาเตอะ ก็พอจะจินตนาการออกได้ว่าในกาลกระโน้น นี่คือที่มั่นชั้นดีในยามสงคราม และเมื่อมองจากระเบียงปราสาทลงไปยังแผ่นดินกว้างไกลเบื้องล่าง จะพบว่ามันเป็นทำเลชั้นเลิศสำหรับปกครองดูแลความเป็นไปในอาณาจักร

เชย์และเลห์ เปรียบเสมือนคู่แฝดเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน ในขณะเลห์คือเมืองท่าค้าขาย เป็นจุดนัดพบที่คนจากอินเดีย แคชเมียร์ เอเชียกลางและทิเบตมาแลกเปลี่ยนสินค้ากัน เชย์ก็เป็นดังหัวใจของอาณาจักร คือบ้านเก่าของเหล่ากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ขุนทหาร ข้าราชบริพารทั้งปวง

น่าเสียดายที่ยามนี้ความสง่างามของเชย์เหลือให้เราสัมผัสเพียงเปลือกนอก ห้องหับต่างๆถูกทิ้งว่างเปล่าปราศจากข้าวของ เหลือแต่ผนังกำแพงและเสาไม้ค้ำยันพร้อมทั้งฝุ่นทรายที่กองสุม ภาพฝาผนังกะเทาะเห็นเนื้อปูนเทาซีด แต่ละห้องทำให้นึกถึงถ้ำโล่งๆของผู้คนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่ล้มหายตายจากนานเกินกว่าจะย้อนเวลาไปหา


















ท่ามกลางความเปลี่ยวร้าง เชย์ยังมีวิหารขนาดใหญ่หลังหนึ่งทางปีกตะวันออกของพระราชวัง เป็นอาคารเก่าแก่สองชั้นที่ยังไม่ตายตกตามไป เนื่องจากมีพระะสงฆ์ดูแลรักษาอยู่ ผมพบหลวงพี่สองท่าน ท่านหนึ่งกำลังเงื้อขวานผ่าฟืนอยู่บนหลังคา อีกท่านกำลังปัดกวาดห้องเล็กๆข้างองค์วิหาร อุตส่าห์ละกิจเจียดเวลามาดูแลผู้เยี่ยมเยือน หลังจากไขกุญแจเปิดประตูวิหารให้แล้ว ท่านยืนมือไพล่หลังเงียบกริบ ดูผมถอดรองเท้าเข้าไป

อีกครั้งกับความวังเวงและมืดสลัว ความมืดทึมและอากาศนิ่งๆ เย็นแห้ง หรือว่ามันคือจิตวิญญาณของลาดัก ที่หลบอยู่ใต้เปลือกนอกอันเป็นเปลวแดดสว่างจ้าและหินผาร้อนระอุ ภายในวิหารอับทึบและอวลกลิ่นไขน้ำมันเนยจากตะเกียงเบ้าเล็กๆ นับสิบร้อยที่กะพริบวับแวมล้อมองค์พระประธานไว้

อาคารสองชั้นหลังนี้ทำให้ผมอดนำไปเปรียบกับวิหารพระศรีอาริยเมตไตรยแห่งวัดทิคเซ่มิได้ แม้วิหารหลังนี้จะไม่โอ่โถงเท่า แต่พระประธานที่ประดิษฐานอยู่กึ่งกลางห้องนั้นกลับมีขนาดใหญ่โตกว่า เชื่อว่า‘หลวงพ่อโต’ของเชย์นี้คือพระพุทธปฏิมาขนาดใหญ่ที่สุดในลาดัก ท่านมิใช่รูปเคารพของพระศรีอาริย์ หากเป็นของพระพุทธเจ้าสมณโคดม อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ความสูงจากฐานดอกบัวถึงยอดเศียรร่วมสิบสองเมตร สร้างขึ้นราวคริสตศตวรรษที่ 17

















ที่วัดทิคเซ่ ผมพบเห็นความงดงามไร้ที่ติควบคู่ไปกับร่างมโหฬารน่าเกรงขามมาแล้ว แต่ใช่ว่าขนาดและความงามจะสอดผสานลงตัวเช่นนั้นเสมอไปในที่อื่น
เราไม่อาจกล่าวได้ว่าหลวงพ่อโตของเชย์งามสมบูรณ์แบบ ใบหน้าท่านแข็งทื่อ ดวงตาเรียวคมยาวใหญ่ เส้นสายและเค้าโครงต่างๆเน้นความแข็งแกร่งบึกบึนมากกว่าความอ่อนหวานชดช้อย ศีรษะด้านหลังของท่านแทบจะตัดดิ่งตรงลงมายังลำคอ คล้ายคนปราศจากกะโหลกท้ายทอย แสงเงาที่ไล่ตัวจากความสลัวไปสู่เหลี่ยมมุมมืดมิด ทำให้อดคิดถึงภาพโปสเตอร์แบบเบาเฮาส์ของเยอรมันมิได้ แม้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวเนื่องกันเลยก็ตามเหอะ

แต่ความขาดๆเกินๆ ก็มีเสน่ห์ในตัวเองเช่นกัน เส้นเฉียงคมชัดของดวงตาท่าน เหมือนจ้องลึก ทะลุลงไปในใจผู้เข้าสักการะอย่างกระจ่างแจ้ง ทว่าเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาอันไพศาล เกศาที่ขมวดมุ่นเป็นก้นหอยนั้นทาสีโคบอลต์บลูเข้มจัด เด่นฉูดฉาดเหนือใบหน้าและผิวกายสีเหลืองทอง เหมือนสีตัวแทนของผืนฟ้ากับแผ่นดิน











เรื่องราวข้างต้น เขียนขึ้นจากสมุดบันทึก ผสมปนเปกับความทรงจำครั้งไปเที่ยวลาดัก-อินเดีย เมื่อกลางปี 2549 ข้อมูลบางอย่างคงพ้นสมัยไปแล้ว อีกทั้งส่วนมากเก็บเกี่ยวจากการพบเห็นและพูดคุย มิได้กลั่นกรองเท่าไรนัก รวมถึงความคิดเห็นส่วนตัว แบบตามใจตัวเอง ไม่อาจยึดถือเป็นมาตรฐาน ท่านใดสนใจนำไปใช้หรือไปอ้างอิง ก็ควรค้นคว้าเปรียบเทียบด้วย
นอกจากนี้อาจมีหลายภาพที่ไม่ตรงกับเนื้อความ ดูเอาพอเพลินๆ นะครับ



Create Date : 28 กันยายน 2554
Last Update : 7 ตุลาคม 2554 9:54:00 น. 2 comments
Counter : 1169 Pageviews.  

 
ขอบคุณมากครับ
หมอโจไม่เคยไป..แต่แค่มาเปิดแก๊ง
สถานที่ ที่ไม่เคยไปก็กลับปรากฎอยู่ตรงหน้า
ประสบการณ์ เหมือนได้ไปเยื่อนมากับตัวเอง

ขอบคุณน้ำใจที่ทั้งอัพรูป เขียนเรื่องราวจากการกลั่นตัวของสมอง ขอบอกว่า นับถือจากหัวใจครับ

ไปแวะบ้านหมอโจมั่งครับ อย่างน้อยๆ แค่พักใจก็ยังดีครับ
จองคอร์สหมอโจ กับดนตรีบำบัดเพิ่มความเยาว์วัย


เครียด ไมเกรน นอนไม่หลับ กำจัดได้ด้วยดนตรีบำบัดขั้นสูงอ่านที่บล๊อกนี้นะครับ
ดนตรีบำบัดขั้นสูง


พวกเรามาดูแลสุขภาพหัวเข่า และป้องกันเข่าเสื่อมกันดีกว่า
ป้องกันเข่าเสื่อม


โดย: หมอโจ (preutipong ) วันที่: 28 กันยายน 2554 เวลา:22:24:59 น.  

 
ขอบคุณ คุณหมอโจ มากๆครับ ผมเขียนแบบตามใจตัวเองเข้าว่า และถือโอกาสฝึกทบทวนความทรงจำด้วย คงไม่น่าเบื่อเกินไปนะครับ

บล็อกของคุณหมอมีประโยชน์มาก ผมจะแวะไปเยี่ยมครับ


โดย: azurite วันที่: 30 กันยายน 2554 เวลา:10:04:35 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

azurite
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Azurite is a lazy painter.
[Add azurite's blog to your web]