|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
16 มีนาคม 2554
|
|
|
|
Ladakh แบบเรื่อยเปื่อย บทที่ 4/4
ตุกคัง หรือพระอุโบสถใหญ่ของสปิตุก อยู่ทางทิศตะวันตกของวัด ก่อนไปถึงต้องผ่านลานกลางแจ้งปูอิฐแดง บนลานมีเสาธงสูงลิ่ว ธงสีแดงผืนโตม้วนพันมัดแน่นกับเสา เหนือยอดเสาเห็นฉัตรเหลืองอร่ามเด่นไสวตัดกับสีท้องฟ้า ประตูหน้าของตุกคังหันออกสู่ทิวเขาซันสการ์และแม่น้ำสินธุ อุโบสถดังกล่าวบัดนี้ทำหน้าที่เป็นโรงช่างศิลป์ที่พระท่านสร้างมณฑลทราย
พระอุโบสถอยู่บนชั้นที่สามของอาคารห้าชั้น จากลานอิฐแดงต้องขึ้นบันไดไปอีกนิดหน่อย บนบันไดปูนนั้น ลุงฝรั่งท่านหนึ่งเดินพุงโย้สวนลงมา แต่งกายทะมัดทะแมงเต็มที่ เสื้อซาฟารีสีครีมตึงเปรี๊ยะยัดลงในกางเกงขาสองส่วนสีน้ำตาล ถุงเท้ายาวเฟื้อยและบู๊ตหนังเดินป่า ยังดีแกสะพายกระเป๋ากล้องแฮนดีแคม ไม่ใช่ปืนไรเฟิล ไม่งั้นผมต้องคิดว่าแกคือชีการี พรานผิวขาวยุคอาณานิคมกำลังไปขึ้นช้างยิงเสือ
เห็นผมเดินสวนขึ้น แกก็ถอดหมวกกะโล่อวดผมขาวหร็อมแหร็ม เอียงศีรษะทักเสียงดัง จูเล! เธอเข้าไปดูมาหรือยัง ข้างในนั้น อะฮ่า ! โซ อเมซิ่ง
คุณปู่ชี้ชวนอย่างเบิกบาน ตาสีฟ้าเป็นประกายระริกไม่ผิดกับเด็กซน มีแววโอ่เล็กๆ คล้ายจะบอกว่า ฉันไปเห็นมาแล้วนะเฟ้ย ผมชอบคนที่มีบุคคลิกแจ่มใสเช่นนี้นัก แอบเดาว่าแกคงเป็น ศจ. อเมริกันที่มากับหนุ่มแท็กซี่หน้าวัดคนนั้น
แซนด์ มันดาล่า พระลามะกำลังทำมณฑลทรายอยู่ข้างในใช่ไหมครับ แน่ละสิ เธอรู้มาจากไหนล่ะ มีใครที่เลห์บอกมารึเปล่า คุณปู่แกล้งโน้มตัวมาใกล้ ๆ หรี่ตาข้างหนึ่ง ทำปากจู๋ส่งเสียงกระซิบ ยังกับกลัวว่าพิธีกรรมนี้จะเป็นข่าวโจษจันในหมู่นักท่องเที่ยว ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ไม่หรอกครับ ผมเพิ่งทราบตอนมาถึงวัด ก่อนนี้เพียงแค่ตั้งใจมาชมสถานที่เฉยๆ โอ้ว์
. แกเบิ่งตากว้าง หัวเราะเหอะๆ เหมือนกัน! ฉันมาที่นี่เมื่อวาน ก็เจอพวกลามะเขากำลังมะรุมมะตุ้มกันบนภาพมณฑลทราย ช่างบังเอิญจริงๆ วันนี้เลยอดไม่ได้ต้องกลับมาดูอีก นับว่าพวกเราเป็นคนดวงดีเน๊อะ ใช่ครับ มีโชคจริงๆ
ศาสตราจารย์โบกมือลา บอกว่าวันนี้บันทึกภาพไว้มากพอสมควร อีกสองสามวัน กลับจากเที่ยวทะเลสาบแปงกองแล้วจะแวะมาติดตามความคืบหน้า
ห้องโถงอุโบสถกว้างและมืดครึ้ม ภายในเย็นสบายไม่อึดอัด ลมนิ่งเพราะมีช่องทางให้อากาศเข้าออกเพียงแห่งเดียวคือประตูใหญ่ มุมลึกสุดของห้องมีแสงไฟสลัว พระห้ารูปนั่งรวมกลุ่มก้มๆ เงยๆ อยู่รอบแผ่นไม้กลมแบนใต้แสงนวล นอกจากนี้ยังมีเณรเด็กๆสองสามรูปและชาวพื้นเมืองชราอีกคนนั่งพิงเสาชมดูอยู่ห่างๆ
พระเณรคุยกันเฮฮา ในบทสนทนาลาดักกี้นั้น บางทีก็ปนศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่ด้วย เช่น โอ้ว์
เรียลลี่ไน่ซ์
อเมซิ่ง
วั๊นเด้อร์ฟู่ลล์ ผสานกับเสียงหัวร่อกิ๊กกั๊ก ไม่รู้กำลังก๊อสซิปกันเรื่องท่านศาสตราจารย์หรือเปล่า ปะหน้าแค่เดี๋ยวเดียว ผมก็พอนึกภาพออกว่าคนแจ่มใสเบิกบานอย่างคุณปู่ คงออกอาการตื่นเต้นปลาบปลื้ม อยากรู้อยากเห็นและช่างซักช่างถามแบบไม่หยุดหายใจ จัดเป็นผู้มาเยือนอีกพวก ที่เจ้าบ้านนิยมตั้งวงอภิปรายเมื่อคล้อยหลัง
วงสนทนาตัดบทลงห้วนๆเมื่อเห็นผมเตร่เข้ามาใกล้ แต่ดูท่าอารมณ์รื่นเริงของพระท่านยังคงค้างอยู่ หลวงพี่ท่านหนึ่งลักษณะคล้ายผู้คุมงานกวักมือเรียกผมพร้อมรอยยิ้มลิงโลดแทบเป็นหัวเราะ มาเลยโย้ม
..เข้ามาดูใกล้ๆ
บริเวณที่พระท่านประดิษฐ์มณฑลทรายอยู่ตอนในสุดทางฝั่งซ้ายของพระอุโบสถ ห่างจากประตูใหญ่สิบกว่าเมตรเพื่อเลี่ยงลม เดิมทีมืดสลัวเพราะแดดส่องมาไม่ค่อยถึง ต้องเดินสายไฟทำโป๊ะเหลืองนวลดวงใหญ่ แขวนบนยอดเสาสูง ให้ส่องสว่างเหนือแท่นทำงานพอดี
ชมดูเพียงผ่าน ยังไม่ทันโอภาปราศรัยกัน พระท่านคงเห็นว่าผมเดินมาเหนื่อยๆ จึงผายมือให้ไปนั่งพักข้างๆชายชราชาวลาดัก เณรน้อยท่านหนึ่งเดินเอียงกะเท่เร่หิ้วกาทองแดงใบโตมาบรรจงรินชามอบให้ คราวนี้เป็นชาเนยแบบทิเบตเค็มมันอร่อยดี รสชาติออกไปทางน้ำซุปมากกว่าน้ำชา และตามด้วยสิ่งที่ผมรอคอย คือถาดเหล็กกลมโตสองใบ ถาดแรกมีขนมแป้งทอดกรอบรูปร่างคล้ายๆดอกไพ่ข้าวหลามตัดวางแผ่เต็มไปหมด อีกถาดก็เพียบไปด้วยขนมเช่นกัน มี ไต แป้งแผ่นกลมหนาหนักสามแผ่นโตๆ และ สโมซ่า กะหรี่ปั๊บแขก อีกสองชิ้นอวบๆ เล่นเอาตาลายด้วยรวมมิตรเมนูแป้ง
จริงๆแล้วขนมเหล่านี้คงจัดไว้สำหรับพระท่านทานเล่นเวลาพักมือ แต่เกรงว่าจะไปย่อยสลายในพุงบรรดาเณรน้อยและแขกผู้มาเยือนมากกว่า ผมหยิบแป้งทอดใส่ปากกร้วมๆ บิไตเป็นเสี้ยวเล็กๆ ทานแกล้มน้ำชาเพราะมันทั้งเหนียวทั้งแข็ง ทุกครั้งที่เห็นชาพร่องถ้วย เณรน้อยก็ปรี่มารินเติมให้ไม่ขาดตอน ชายชราที่นั่งอยู่ด้วยเห็นผมมัวแต่เลียบๆเล็มๆ ไม่แตะสโมซ่าเสียที ก็ชี้มือชี้ไม้บอกให้หยิบเข้าปากซะ
อันที่จริงผมอยากลองอยู่เหมือนกัน แต่ยังเกรงใจเพราะมันเหลือแค่สองชิ้นเอง จะทานคนเดียวก็ยังไงอยู่ เลยทำท่าถามชายชราว่าทานด้วยกันไหม แกยกมือไม้คล้ายตอบว่า เอาสิ แต่เมื่อหยิบส่งให้จริงๆ ลุงแกกลับส่ายมือส่ายหน้าเป็นการใหญ่ พยายามยื่นให้ก็ผลักมือกลับ พลางร้องปฏิเสธอ้อๆแอ้ๆ นั่งเคียงกันอยู่ตั้งนานเพิ่งทราบว่าที่แท้แกเป็นใบ้ ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไม่ทราบจะเซ้าซี้คุณลุงต่ออย่างไร จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเณรน้อย เธอก็ส่ายศีรษะและบอกว่า You will finish it .
ท้ายที่สุด ผมไม่เหลือทางออกอื่นนอกจากจัดการมันไปเสียให้หมด เพราะขนมยัดไส้เหลืองอร่ามเช่นนี้ จะเหลือทิ้งให้คนอื่นไม่เต็มชิ้นก็น่าเกลียด สรุปแล้วมื้อนี้อิ่มเอมสมใจ ด้วยขนมที่ไม่กล้าเผยจำนวน บวกกับชาทิเบตที่นับเล่นๆ ได้ห้าถ้วย เมื่อสำราญท้องดีแล้ว ก็ได้เวลาหารถกลับเกสต์เฮ้าส์ ไปนอนแผ่พุง
.
อ๊ะ! ไม่สิ ทำยังงี้เดี๋ยวบรรดาพระเณรท่านจะหาว่าเราเห็นแก่กิน ยังไงก็แล้วแต่ ต้องสร้างภาพพจน์นักเดินทางผู้ใฝ่รู้ไว้สักนิด ผมจึงค่อยๆเตร่เข้าไปใกล้บรรดาสมณะช่างศิลป์
อันที่จริงมันดาล่า
มัณฑะเลย์
.หรือมณฑลนี้ เป็นของสูงซับซ้อนเกินกว่าผมจะทำความเข้าใจและถ่ายทอดได้กระจ่าง แต่เมื่อเรื่องราวนำพามาถึงตรงนี้ก็สุดจะเลี่ยงข้ามไป จึงขอคุยเพียงคร่าวๆ เท่าที่พบเห็นและอ่านมาอย่างผิวเผิน
ชาวทิเบตเรียกมันดาล่าว่า จิงคอร์ มันดาล่าคือทำเลแห่งปราสาทราชวังในแดนพุทธเกษตรที่สถิตย์ของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ , ของพระโพธิสัตว์ ตลอดจนถึงบรรดาเทวะ เทวี ธรรมบาลทั้งหลาย ซึ่งโดยมากมันดาล่าที่เขาทำกัน มักเป็นอาณาจักรของพระพุทธ พระโพธิสัตว์ที่จัดอยู่ในจำพวก ยิตัม หรือครูเทพผู้ก่อกำเนิดพระธรรมสูตรและวิถีปฏิบัติของนิกายต่างๆ บางมันดาล่าเป็นของยิตัมองค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ บางมันดาล่าก็ปรากฏยิตัมหลายองค์มาชุมนุมกัน โดยมีบริวารของท่าน คือเทพจำพวกโลกบาล กับธรรมบาล คอยอารักขาเป็นชั้นๆ
ผู้ปฏิบัติธรรมจะเพ่งสมาธิเข้าหาภาพมันดาล่า และกำหนดจิตของตนเข้าไปอยู่ในมันดาล่านั้นๆ ฝากเนื้อฝากตัวกับยิตัมของศาสตร์ที่เขาฝึกปรือ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองจากอาการหวั่นไหวฟุ้งซ่านทั้งมวล ค่อยๆ หลอมรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับยิตัม ละลายตนลงสู่อาณาจักรของท่าน ดิ่งลึกอย่างดื่มด่ำในโลกเหนือโลก
ถ้าคิดตามนี้ มันดาล่า ก็คงเปรียบได้ง่ายๆ กับโรงเรียน หรือสถานปฏิบัติธรรมบนสรวงสวรรค์ คืออาณาบริเวณในจินตนาการ มีพรมแดนกว้างไกลเกินขอบเขตการหยั่งรู้ของปุถุชน บางท่านให้นิยามมันดาล่าว่าคือคอสมอส เป็นมิติจำเพาะหรือจักรวาลของคุรุเทพนั้นๆ คล้ายเนบิวลาทรงกลม ห้อมล้อมด้วยบริวารผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ คอยปกปักรักษา หรือไม่ก็เป็นเวิ้งฟ้าโปร่งโล่ง ประดับด้วยดาวริบหรี่ แวววาวประดุจเพชร
มันดาล่าของ วัชระไภรวะ (ยมานตกะ) //www.bodetam.org/Vietnamese/HinhAnhPhatGiao/MatTong/VajraBhaivara%20(Yamantaka)/Yamantaka%20Mandala%204.JPG
หากมองในแง่รูปภาพ เช่นที่ช่างศิลป์ทิเบตเขาวาดลงผืนผ้าใบ หรือที่พระท่านสร้างสรรค์ด้วยผงฝุ่น มันดาล่าคือภาพแปลน top view ของปราสาทราชวังบนวิมาน ประกอบด้วยวิหารใหญ่ตรงจุดศูนย์กลางอันเป็นที่สถิตของคุรุแทพผู้เป็นองค์ประธาน ถัดออกมาข้างนอกเรื่อยๆจะเห็นตำหนักชั้นรองๆ ลงมา คั่นด้วยกำแพงหลายชั้น มีทางเข้าออกทะลุถึงกัน ห้อมล้อมด้วยสวนสวรรค์ รอบนอกที่สุดก่อนจะตกขอบรูปคือจักรวาลและเทห์ฟากฟ้าทั้งปวง
แบบแปลนมันดาล่ามีวงกลม สี่เหลี่ยมจตุรัส และสามเหลี่ยมด้านเท่าเป็นรูปทรงพื้นฐาน มีเพียงสองมิติคือกว้างคูณยาว ซึ่งฝั่งไหนเป็นด้านกว้าง ไหนเป็นด้านยาวก็คงบอกยากเพราะเขายึดหลักความสมมาตรเท่ากันหมด แต่ทิศทั้งสี่ คือเหนือ ใต้ ออกตก นั้นมีการแบ่งสรรไว้แน่ชัด
นักประวัติศาสตร์ศิลป์บางท่านบอกว่ามันดาล่าที่มีสามมิติ คือ กว้าง x ยาว x สูง ก็มีอยู่ แต่มิได้อยู่ในภาพวาด หากเป็นสิ่งก่อสร้างจริงๆเช่น วัดซัมเย่ใกล้ๆกรุงลาซาในทิเบต และมหาศาสนสถานบุโรพุทโธที่อินโดนีเซีย
มันดาล่าสามมิติ ที่จำลองขึ้นจากภาพแปลน //lmaclean.ca/LisaMacLean/nfblog//__HOMEDIR__/www/LisaMacLean/nfblog/wp-content/uploads/2007/02/3D%20Mandala.jpg
Create Date : 16 มีนาคม 2554 |
Last Update : 16 มีนาคม 2554 11:47:39 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1503 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: azurite วันที่: 16 มีนาคม 2554 เวลา:13:16:03 น. |
|
|
|
| |
|
|
azurite |
|
|
|
|