เรียนไปเที่ยวไป: เส้นทางภาคเหนือ - Part II : วัดศรีสวายและวัดพระพายหลวง จ.สุโขทัย
ความเดิมตอนที่แล้ว
ในตอนนี้เรายังอยู่ในอาณาบริเวณของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย วัดที่ 2 ที่อาจารย์เดินนำมาคือ วัดศรีสวาย เรามาดูวัฒนธรรมเขมรในเมืองสุโขทัย ในช่วงเวลาที่อาณาจักรสุโขทัยก่อร่างสร้างเมือและพัฒนาความเจริญทางศิลปะนั้น ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ มีเมืองพระนคร อาณาจักรเขมรที่เข้มแข็งมากในช่วงเวลานั้น ซึ่งกษัตริย์เขมรก็แผ่พระราชอำนาจมาถึงเมืองสุโขทัยด้วยเช่นกัน
โบราณสถานที่อยู่ตรงหน้าเรานั้น คือ ประจักษ์พยานที่เป็นรูปธรรม รูปแบบการก่อสร้างปรางค์ปราสาท 3 หลังติดกันนี้ เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ช่างเมืองสุโขทัย น่าจะได้รับอิทธพลมากจากปราสาทเขมร ซึ่งนิยามสร้างอาคารทรงปรางค์ไว้ประดิษฐานรูปเคารพ แต่ปรางค์อิฐ 3 องค์บนฐานนี้ มีส่วนยอดเป็นเรือนซ้อนชั้น 7 ชั้น ต่างจากศิลปะเขมรที่สร้างเพียง 5 ชั้น และประดับด้วยบรรพแถลง นาคปัก และกลีบขนุนเพิ่มขึ้นมา
งานประติมากรรมที่ประดับตกแต่งนั้น มีลักษณะผสมผสาน ระหว่างศิลปะเขมรและศิลปะลังกา เราจะเห็นทั้งครุฑยุดนาก เทวดา นางอัปสรา และยังมีลวดลายดอกไม้เป็นแบบดอกโบตั๋นอย่างศิลปะจีน ที่ช่างสุโขทัยอาจจะเห็นลวดลายจากเครืองถ้วยจีนที่มีเข้าซื้อขายแลกเปลี่ยนในช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อพิจารณาจากรูปแบบศิลปะนี้แล้ว นักประวัติศาสตร์ศิลปะจึงกำหนดอายุปราสาท 3 หลังนี้ไว้ที่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นยุคแรกเริ่มของศิลปะสุโขทัย และน่ามีการบูรณะเพื่อใช้งานในยุคหลังต่อมา ในราวพุทธศาสตร์ที่ 20 ช่วงสมัยอยุธยาตอนต้นด้วย
นอกจากนี้ ยังพบแท่นวางรูปเคารพที่อาจระบุได้ว่า ก่อนจะเป็นศาสนสนานของศาสนาพุทธ ที่นี่ก็อาจเคยเป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์ฮินดูมาก่อนได้
จากนั้น เดินทางออกจากมุ่งหน้าไปต่อไปยัง วัดพระพายหลวง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือ นอกกำแพงเมืองสุโขทัยโบราณทาง ระหว่างทางเราได้เห็นคูน้ำ คันดิน และกำแพงเมืองที่สร้างจากศิลาแลง
วัดพระพายหลวงแห่งนี้ ถือว่าเป็นหลักฐานทางศิลปกรรมในวัฒนธรรมเขมรที่ปรากฎก่อนสถาปนากรุงสุโทัยที่ยังหลงเหลือให้ศึกษาอยู่จนถึงปัจจุบัน มีระบบผังแบบวัฒนธรรมเขมร คือ มีปราสาทประธานอยู่ตรงกลาง มีคูน้ำล้อมรอบชั้นในและชั้นนอก และมีสระน้ำล้อมรอบนอกอีกชั้น และยังมีบารายขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออก แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของศาสนสถานแห่งนี้เป็นอย่างมาก แน่นอนว่า เราไม่ได้เห็นด้วยตาทั้งหมดหรอก เพราะเรานั่งรถเข้ามาจนถึงชั้นใน
ปัจจุบัน เหลือปราสาทให้ดูลวดลายได้แค่หลังเดียว อีก 2 หลังนั้นพังทลายไปแล้ว แค่หลังเดียว พวกเรามองตามจุดที่อาจารย์ชี้แทบไม่ทัน ...จะยังไม่ทันเห็นชัด ๆ อาจารย์ก็เปลี่ยนจุดอธิบายไปแล้ว
การก่อปราสาทหินสามหลังนี้ เป็นเทคนิคแบบเขมรศิลปะบายน ได้แก่ การใช้ศิลาแลงขนาดใหญ่ แต่อาจารย์ศักดิ์ชัยบอกว่า เทคนิคการก่อสร้างไม่ดี รูปแบบปราสาทมีฐานเตี้ย เรือนธาตใช้ระบบเพิ่มมุม มีมุมประธาน มีเรือนซ้อนชั้นขึ้น แต่ละชี้นมีส่วนของเสาตั้งคานทับ มีช่องวิมาน ซุ้มวิมานและบรรพแถลง ที่มุมแต่ละชี้นประดับนาคปัก กรอบซุ้มวิมานเป็นลายกลีบบัวและลายกระหนกแบบเขมร ซึ่งน่าจะผ่านการซ่อมโดยช่างท้องถิ่นสุโขทัย จึงไม่สมมาตรแบบฝีมือช่างเขมร
ปราสาทสามหลังนี้ เป็นศาสนสถานเนื่องในศาสนาพุทธมหายาน เพื่อประดิษฐานรูปเคารพ 3 องค์ คือ พระพุทธรุปนาคปรก อยู่กลาง เบื้องขวาของพระพุทธรูปคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวน และเบื้องซ้ายคือ นางปรัชญาปารมิตตา หน้าบันปราสาทประธานทิศเหนือที่เหลือนี้ ประดับปูนปั้นเล่าเรื่องพุทธประวัติตอนออกบวช - ตรัสรู้ - มารผจญ
เดินวนไปดูเจดีย์และอาคารหลังอื่นกันบ้าง เราจะพบว่ามีรูปแบบศิลปะหลากหลาย ตอกย้ำความสำคัญของวัดนี้ที่มีการใช้งานต่อเนื่องยาวนาน จึงมีการสร้างอาคารเพิ่มบ้าง ซ่อมแซมอาคารเดิมบ้าง
เจดีย์สี่เหลื่ยม องค์นี้ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทในผังสี่เหลี่ยม ที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะหริภุญชัย ซึ่งเราจะได้ดูเปรียบเทียบกับเจดีย์กู่กุด วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน ในวันรุ่งขึ้น อาจารย์อธิบายว่า มีการบรูณะเจดีย์โดยการก่อครอบให้เป็นเจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม เราสังเกตุดี ๆ จะเห็นพระพุทธรูปและเทวาปูนปั้น ศิลปะสุโขทัยอยู่ด้วย
ลัดเลาะซากเจดีย์ตามอาจารย์มายังวิหารพระพุทธไสยาสน์และมณฑปพระพุทธรูปลีลา ซึ่งเป็นอาคารหลังเดียวกัน ด้านหน้าคือวิหารพระนอน ซึ่งเหลือแต่กำแพงอิฐ พอจะมองเห็นร่องรอยเดิมบ้าง
อีกด้านเป็นมณฑปพระลีลา มีแกนก่ออิฐถือปูนเพื่อประดับพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ เป็นพระพุทธรูปลีลา ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับภาพประดับอื่น ๆ ก็อาจสรุปได้ว่านี่คือ ปางเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยด้านซ้ายและขวามีร่องรอยว่าเป็นงานปูนปั้นพระพุทธรูปนั่งและยืน จึงกล่าวกันว่าน่าจะเป็นต้นแบบการสร้างพระพุทธรูปสี่อริยบท คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ในสมัยหลังต่อมาก็เป็นได่
อาจารย์เสริมว่า ถ้ามีภาพให้เห็นเพียงพระพุทธรูป เราจะเรียกกันว่า อริยาบท หากมีองค์ประกอบอื่นในภาพ เช่นมีต้นโพธิ มีเทวดา มีพุทธสาวก เราอาจบอกว่าเป็น ปางหรือตอนใดในพุทธประวัติ เช่น ประสูติ ตรัสรู ปฐมเทศนา ปรินิพพาน เป็นต้น ...ต้องเรียนรู้และหัดสังเกตุ อีกทั้งจดจำเรื่องพุทธประวัติไว้ด้วย ...นี่จะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไว้เล่าเสริมให้น่าสนใจขี้นได้
เร่งทำเวลากันอีก จุดหมายสุดท้ายของวันแรก ถ้าโอ้เอ้ประตูปิด ก็จะได้ฟังบรรยายกันด้านนอก เพื่อนมัคคุเทศก์เวรประจำวันจึงต้องเร่งต้อนเพื่อน ๆ ที่มัวแต่ถ่ายรูปเก็บรายละเอียดและถ่ายรูปที่ระลึกให้ขึ้นรถบัส แจกน้ำ แจกผ้าเย็นกันให้สดชื่น เพื่อมุ่งหน้าจุดต่อไป
ติดตามตอนต่อไป >> คลิก คลิปจากช่องภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยลัยศิลปากร เผยแพร่เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2563 ---------------------------- เพื่อสอบทานข้อมูลที่เราเรียบเรียงจากความทรงจำที่นำมาเขียนเล่าได้ข้างต้น
Create Date : 04 กันยายน 2566 |
|
0 comments |
Last Update : 7 กันยายน 2566 16:47:48 น. |
Counter : 716 Pageviews. |
|
|
|