"แต่งงาน" เวลาเหมาะสมของความรัก หรือจุดสูงสุดของความรัก ?
ต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่า เรื่องเล่าของความรักในครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะขอเล่าเรื่องเบาๆ และเบากว่า 2 เรื่องที่เคยเล่ามา แต่ถึงอย่างไร เรื่องนี้มันก็ได้กลายเป็นคำถาม ที่มีคำตอบอยู่ในตัว และทำให้ข้าพเจ้าขบคิดอยู่ไม่น้อยและบางทีอาจจะหนักใจกว่าการหาคำตอบให้ ยิ่งกว่า 2 เรื่องเล่าแรก ๆ นั้นเสียอีก ก่อนอื่นข้าพเจ้ าขอตั้งคำถาม ให้เพื่อนๆ ได้ช่วยหาคำตอบกันก่อนว่า การแต่งงาน ถือเป็นเวลาที่เหมาะสมของความรัก หรือเป็นจุดสูงสุดของความรัก
คำถามนี้ สืบเนื่องมาจากในช่วงกลางเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานของลูกพี่ลูกน้องที่จังหวัดนครพนม (บ้านเกิด) บรรยากาศในการกลับสู่มาตุภูมิในครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจ เหมือนประหนึ่งได้ปลดแอกแห่งความเครียด ทั้งจากการงาน และการใช้ชีวิตแบบปัจจุบันทันด่วนที่เมืองใหญ่ คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า อย่างกรุงเทพฯ นี้
มันเป็นเหมือนวันรวมญาติ เพราะมันเป็นวันมงคลที่ญาติพี่น้อง ที่เหินห่าง ร้างลา จากกันไปไกล ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่การงาน หรือย้ายสำมะโนครัวตามสามี-หรือภรรยาไปอยู่ที่อื่น แต่สำหรับวันมงคลวันนี้ ถึงจะอยู่ไกลแสนไกลกันแค่ไหน ญาติทุกคนก็จะจัดสรรเวลา และปลีกตัวมาจนได้ เรียกว่า ครบหน้าตามากที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว ทุกคนแข่งกันแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด สดใส ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างปีติ พูดคุยแต่เรื่องที่บ่งบอกว่ามีความสุข และเป็นสิริมงคล ทั้งที่ในใจบางคนอาจจะระทมทุกข์อยู่ แต่เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นวันมงคล ทุกคนก็เลยต้องเก็บความเจ็บช้ำเอาไว้ในใจ
ในระหว่างที่กำลังอยู่ในพิธีแต่งงานนั้น ข้าพเจ้าได้ลอบมองสีหน้าของน้าชายและน้าสะใภ้ ด้วยความอยากจะรู้ว่า พวกเขาจะมีสีหน้า และสายตาบ่งบอกความรู้สึกอย่างไร ในวันที่ได้เห็นลูกสาวสุดที่รักกำลังจะแต่งงาน กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา กับชายหนุ่มคนหนึ่ง คนที่เมื่อในอดีต เขาเป็นใครคนหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่จากวันนี้และวันต่อๆ ไป ผู้ชายคนนี้แหละ ที่จะกลายมาเป็นคนที่เขาได้มอบชีวิตลูกสาวของตนให้ไปดูแล
สายตาที่น้าชายและน้าสะใภ้ มองดูลูกสาวจะมีคำนำหน้าว่า นาง ในไม่กี่นาทีข้างหน้านั้น มันทำให้ข้าพเจ้าอดรู้สึกซาบซึ้ง และน้ำตาซึมไหลออกมาเล็กน้อยไม่ได้ เปล่าหรอกค่ะ ไม่ได้ร้องไห้เพราะนึกอิจฉาอยากแต่งกับเขาบ้างหรอก แต่มันมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ความรู้สึกนั้น คือ การได้มองเห็นความอาทรและความรักจากแววตาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ว่าความรักของบุพการีนั้นยิ่งใหญ่ และงดงามมากแค่ไหน ข้าพเจ้าเชื่อว่า มันยิ่งใหญ่อย่างทรนงกว่าทุกความรักที่หนุ่มสาวคนไหนมอบให้กันแน่นอน แม้แต่ความรักของเจ้าบ่าวที่มอบให้เจ้าสาวเองก็เถอะ
เจ้าสาวเป็นเพียงหลานสาวของข้าพเจ้า เป็นลูกพี่ลูกน้องที่วิ่งเล่น ไล่จับ โดดน้ำ ปีนต้นไม้ ก่อกองทราย และหนีเที่ยวด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็กลายเป็นพี่น้องลักษณะเพื่อนกันที่พูดคุยปรึกษาหารือกันได้ทุกเรื่อง เมื่อข้าพเจ้าเห็นเธอกำลังจะไปสู่อ้อมอกการดูแลของคนบ้านอื่น กำลังจะมีคนอื่นดูแลแทนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกแล้วคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ล่ะจะรู้สึกถึงความใจหาย ระคนห่วงนั้นซักขนาดไหนกัน
ญาติผู้ใหญ่หลายท่านค่ะ ที่พูดคุยกันในวันนั้น ถึงความหมดห่วง โล่งใจ เวลาที่ได้เห็นลูกหลานได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา พวกเขาให้ความเห็นเมื่อข้าพเจ้าถามว่า ทำไม? พวกเขาตอบว่าจะไม่ต้องมาคอยพะวงว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หรือเมื่อวันใดที่มัจจุราชได้คร่าชีวิตพวกเขาไป อาจจะแบบปัจจุบันทันด่วน เสมือนมีมือมาปลิดลมหายใจทิ้ง จะได้มีคนอยู่ดูแลและคอยเป็นเพื่อนลูก
ข้าพเจ้าถามต่อว่า แล้วถ้าการแต่งงาน คือ ช่วงเวลาเลวร้าย ที่ลูกหลานต้องเจอล่ะ มันไม่น่าห่วงกว่ากันหรือ ในสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าลูกหลาน ต้องเผชิญอะไรบ้าง พวกเขาก็ให้ความเห็นว่า เพราะการแต่งงานที่เกิดขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว สำหรับคนรักกันและ ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบได้ว่า เวลาที่เหมาะสมนั้น ผู้ใหญ่วัดกันที่ตรงไหน วัดกันที่อายุของคู่บ่าว-สาว วัดกันที่ระยะ เวลาของการบ่มเพะา ความรัก มายาวนานหลายปี ศึกษานิสัยใจคอกันดีพอสมควรแก่เวลาแล้ว และผู้ใหญ่ก็ได้ดูคู่ที่จะแต่งงาน กันลูกหลานแล้วว่าเข้าท่าดีอยู่ข้าพเจ้าอดตั้งข้อสงสัยขึ้นมากมายไม่ได้ว่า แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะวัดได้จริงๆ หรือว่า คือ เวลาที่เหมาะสมและเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดของคนหนุ่มสาวที่แต่งงานกัน
มุมต่างที่ข้าพเจ้าสงสัย ก็คือ มันเป็นเวลาที่เหมาะสมของความรักจริงๆ กระนั้นหรือ แล้วมันเป็นจุดสูงสุดของความรักจริงๆ หรือไม่ มันเป็นที่สุดแล้วแห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่แน่ หรือมันเป็นเพียงบทเรียนทดสอบเริ่มต้นของคนสองคนเท่านั้น และข้าพเจ้าคิดว่า ไม่มีใครคาดเดาได้เลย (แม้กระทั่งตัวเจ้าบ่าว-เจ้าสาวเองก็เถอะ)ว่าบทสุดท้ายของความรักครั้งนี้ มันจะลงเอยในรูปแบบใด
เพราะความรักไม่มีรูปแบบ ข้าพเจ้ามีความเห็นเช่นนั้น เคยเห็นคู่รักหลายคู่ แต่งงานกันเพราะผู้ใหญ่จัดการให้ เมื่อเห็นว่า มันเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะให้ลูกหลานได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันจัดงานแต่งงานแบบใหญ่โต เชิญแขกเหรื่อมามากมาย แต่อีกไม่กี่ปีถัดจากนั้น ความรักของคนคู่นั้นกลับล่มสลาย เลิกร้างแบบไร้เยื่อใย ประหนึ่งเหมือนคนไม่เคยรู้จัก หรือผูกพันกันมาก่อน
และก็อีกเช่นกันค่ะ มีคู่รักอีกหลายคู่ ที่ผู้ใหญ่หลายคนลงความเห็นว่า ยังอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แต่ที่พวกเขาต้องแต่งงานกัน อาจจะเป็นเพราะเหตุผลทางสังคมบางอย่าง เพราะพวกเธอแอบชิงสุกก่อนห่าม ไม่ทันคิดเรื่องป้องกันตัวเองจากการตั้งครรภ์ เรื่องมันแดงขึ้นมา รู้กันทั่วหมู่บ้าน เลยต้องจับแต่งงานให้แล้ว ๆ ไป ไม่ได้หวังว่า พวกเขาจะใช้ชีวิตด้วยกันตลอดรอดฝั่ง เพราะต่างไม่บรรลุนิติภาวะทั้งคู่ ระยะเวลาแห่งการบ่มเพาะความรักนั้นหรือก็น้อยนิด แต่กลายเป็นว่า ผ่านมาแล้วหลายสิบปี มีลูกมีหลานออกมาวิ่งเล่น พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ถึงจะกระทบกระทั่งกันบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาและสีสันของชีวิตคู่ เพราะต่างคนก็ต่างแม่พ่อ นิสัยใจคอต่างด้าน เมื่อเห็นดังนี้ ก็เลยไม่แน่ใจว่า เวลาที่เหมาะสมของความรักที่จบลงด้วยการแต่งงานนั้น แบบไหนที่ใช้เป็นบรรทัดฐาน
อะไร คือ ตัวบ่งวัดถึงความเหมาะสมเหล่านั้น ผู้ใหญ่เห็นสมควรหรือคนสองคนพร้อมและอยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมแชร์ปัญหา และอยากคอยเป็นกำลังใจให้กัน?
ข้าพเจ้าไม่อาจชี้นำได้ว่า ความเหมาะสมเหล่านั้น แท้จริงต้องมาจากอะไร ต้องมีทฤษฎีมาชี้วัดหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร ความรักก็ยังไร้รูปแบบในความรู้สึกของข้าพเจ้า และมีความรู้สึกเป็นคำตอบที่ซุกซ่อนอยู่ในใจลึก ๆ ว่า เวลาที่เหมาะสมของความรักนั้น คือ ความเหมาะสมที่เวลาจัดการตัวของมันเอง
สิ่งเหล่านี้มันเป็นความคิดและความรู้สึกของข้าพเจ้าคนเดียว และหาได้โต้แย้งหรือบอกว่าความคิดของผู้อื่นนั้นผิด การแต่งงานไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสม หรือเหมาะสมนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก และเป็นห่วงอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ ลองคิดเล่นๆ กันดูซิคะว่า เมื่อลูกแต่งงานแล้ว ลูกต้องไปใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่น จะทุกข์จะสุขอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ทุกอย่าง เวลามีเรื่องทุกข์โศกลูกจะยอมเล่าให้เราฟังมั้ย
...ไม่เล่าเพราะไม่อยากให้พ่อแม่ต้องทุกข์ใจไปด้วย หรือจะเหตุผลใดก็ตามแต่ หรือ คู่ชีวิตของลูก วันๆ อาจจะด่าทอทุบตีกันอยู่เสมอๆ ก็ได้ใครจะไปรู้ อาจจะกล่าวคำใดให้ลูกเราช้ำใจก็ได้ เราก็ไม่รู้ไม่เห็นอีกเช่นกัน ภาระเรื่องเงินทองจะเป็นอย่างไร และยังมีเรื่องราวอีกมากมายหลายเรื่องที่เป็นภาระของคนมีครอบครัวต้องแบก
จริงอยู่เรื่องเหล่านี้ เป็นวิถีธรรมชาติที่มนุษย์ (เกือบ) ทุกคนต้องได้พบ แต่ข้าพเจ้าก็ยังแย้งในใจอยู่ดี ในสิ่งที่ญาติผู้ใหญ่หลายท่านได้พูดไว้ในวันนั้นและที่ข้าพเจ้าได้เล่าไปแล้วในข้างต้นเพราะสำหรับข้าพเจ้าแล้วเวลาของความรักที่เหมาะสม ไม่ได้จบลงที่การแต่งงานและไม่ใช่จุดสูงสุดของความรัก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าได้เหมาว่า ข้าพเจ้าชี้นำไม่ให้ใครต้องแต่งงาน ขอเพียงแค่รักกันก็ไปใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันได้ ก็คงเพียงพอแล้ว เพราะอีกมุมหนึ่ง การแต่งงงาน คือ การจัดการให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณี ถึงแม้จะการันตีไม่ได้ ว่า ....เส้นทางของความรักนั้นจะเดินไปในทิศทางใด จะเป็นจุดสูงสุดของความรัก หรือต่ำสุดของความรัก ก็ไม่มีใครบอกได้
ขอฝากปรัชญาความรักของ พอล แมคคาร์ทนีย์ เป็นการทิ้งท้ายเรื่องเล่าในวันนี้
?ในโมงยามแห่งความสิ้นสุด ...ความรัก... ที่เธอเป็นผู้ครอบครองอยู่นั้น มากเท่ากับความรัก ...ที่เธอสร้างทำ...?
ขอให้ทุกคนโชคดีในความรัก และได้พบกับคนที่รัก ในเวลาที่เหมาะสมนะคะ
//www.thaingo.org/writer/view.php?id=51
Create Date : 29 เมษายน 2555 |
|
44 comments |
Last Update : 29 เมษายน 2555 7:16:57 น. |
Counter : 1153 Pageviews. |
|
|
|
....
ไม่มีใครรู้อนาคต..ความรักของคนสองคนไม่ได้จบลงด้วยการแต่งงานฌสมอไป