Group Blog
 
 
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
10 ธันวาคม 2554 ปรากฏการณ์จันทรคราสแดงเต็มดวง

จันทรุปราคาเต็มดวง : 10 ธันวาคม 2554


(วรเชษฐ์ บุญปลอด 1 ธันวาคม 2554)

พ.ศ. 2554 มีจันทรุปราคาเต็มดวงเกิดขึ้น 2 ครั้ง
ประเทศไทยมีโอกาสเห็นได้ทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 15
มิถุนายน (เข้าสู่เช้ามืดวันที่ 16 มิถุนายน)
ซึ่งมีรายงานว่าหลายพื้นที่ในประเทศไทยไม่สามารถมองเห็นได้
เนื่องจากเมฆปกคลุมท้องฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ครั้งที่ 2
ที่จะเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2554 มีโอกาสเห็นได้ดีกว่า
เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว
แม้ว่าช่วงเวลามืดเต็มดวงจะสั้นกว่าครั้งที่แล้วมาก


จันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้เป็นอุปราคาครั้งสุดท้ายของปี 2554
เกิดขึ้นในคืนวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2554 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันเสาร์
และสำหรับวงการโทรทัศน์แล้วถือเป็นช่วงเวลาที่มีผู้สนใจมากที่สุด (prime
time) เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังไม่นอน
ต่างกับครั้งที่แล้วที่เกิดในเวลากลางดึก


พื้นที่บนโลกที่เห็นจันทรุปราคาครั้งนี้พร้อมประเทศไทย คือ
ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา ยุโรป เอเชีย ฮาวาย มหาสมุทรแปซิฟิก
และเกือบทั้งหมดของทวีปอเมริกาเหนือ
โดยแถบยุโรปและแอฟริกาเกิดปรากฏการณ์ขณะดวงจันทร์ขึ้นในค่ำวันที่ 10
ธันวาคม
ส่วนแถบอเมริกาเกิดปรากฏการณ์ขณะดวงจันทร์ตกในเช้ามืดของวันเดียวกัน
ตามเวลาท้องถิ่น

จันทรุปราคาเต็มดวง
ภาพ - Akira Fujii

จันทรุปราคา


จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ โลก
และดวงจันทร์ มาเรียงอยู่ในแนวเดียวกัน
จนทำให้ดวงจันทร์ผ่านเงาของโลกซึ่งทอดยาวออกไปในอวกาศ เงานี้แบ่งเป็น 2
ส่วน คือ เงามืดและเงามัว เงามัวเป็นส่วนที่จางมาก
เรามักสังเกตไม่เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงกับดวงจันทร์ขณะที่ดวงจันทร์อยู่ใน
เงามัว ยกเว้นกรณีที่ดวงจันทร์อยู่ในเงาลึกมากพอ
(โดยทั่วไปคือเวลาที่เงามัวกินพื้นที่มากกว่า 2 ใน 3
ของผิวด้านสว่างของดวงจันทร์)


หากดวงจันทร์ทั้งดวงเคลื่อนผ่านเข้าไปในเงามืด
เรียกว่าจันทรุปราคาเต็มดวง เฉลี่ยเกิดขึ้นประมาณ 70 ครั้งต่อศตวรรษ
จันทรุปราคาหลายครั้งที่มีเพียงบางส่วนของดวงจันทร์เท่านั้นที่ผ่านเข้าไปใน
เงามืด เรียกว่าจันทรุปราคาบางส่วน เฉลี่ยเกิดขึ้นประมาณ 84 ครั้งต่อศตวรรษ
(สถิติในช่วง 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง ค.ศ. 3000)


สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนพื้นโลกไม่สามารถสังเกตจันทรุปราคาได้ทุกครั้ง
ขึ้นอยู่กับว่าขณะเกิดปรากฏการณ์เป็นเวลากลางคืนในท้องถิ่นนั้น ๆ หรือไม่
เพราะเมื่อเกิดจันทรุปราคาแล้ว
เฉพาะซีกโลกด้านกลางคืนเท่านั้นที่สังเกตปรากฏการณ์นี้ได้
แต่นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีโอกาสเห็นจันทรุปราคาได้บ่อยกว่า
สุริยุปราคา ซึ่งสำหรับสุริยุปราคา
เขตที่มีโอกาสเห็นสุริยุปราคากินพื้นที่เพียงบางส่วนของผิวโลกเท่านั้น
ไม่ใช่ซีกโลกด้านกลางวันทั้งหมด


ลำดับเหตุการณ์


จันทรุปราคาครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อดวงจันทร์สัมผัสเงามัวของโลกในเวลา
18:34 น. แต่จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นกับดวงจันทร์
จนกระทั่งดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกมากพอ ราว 1 ทุ่มครึ่ง
หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน
อาจเริ่มสังเกตว่าพื้นผิวดวงจันทร์โดยรวมดูหมองคล้ำลงเล็กน้อย
โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันออกของดวงจันทร์ ซึ่งก็คือด้านล่าง
หรือด้านที่หันเข้าหาขอบฟ้า


จันทรุปราคาบางส่วนเริ่มขึ้นเวลา 19:46 น.
เป็นจังหวะที่ดวงจันทร์เริ่มสัมผัสเงามืดของโลก
ขอบด้านตะวันออกของดวงจันทร์จะเริ่มแหว่ง
ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้าทิศตะวันออก
เยื้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีมุมเงยสูงจากขอบฟ้าเกือบ 30°
ดาวพฤหัสบดีอยู่สูงขึ้นไปเกือบถึงจุดเหนือศีรษะ
ส่วนดาวศุกร์ใกล้จะตกลับขอบฟ้าหรือตกลับขอบฟ้าไปแล้วสำหรับบางพื้นที่


ดวงจันทร์จะเข้าไปในเงามืดลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถูกบังครึ่งดวงเมื่อใกล้เวลา 2 ทุ่มครึ่ง จากนั้นเริ่มบังหมดทั้งดวงในเวลา
21:06 น. นับเป็นเวลาที่เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง


ดวงจันทร์ถูกเงาโลกบดบังทั้งดวง แต่เรายังสามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้
โดยพื้นผิวดวงจันทร์อาจมีสีน้ำตาล สีส้ม หรือสีแดงอิฐ
และอาจมีสีเหลืองหรือฟ้าปะปนอยู่ได้เล็กน้อย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะในบรรยากาศโลกตรงบริเวณรอยต่อระหว่างด้านกลางวันกับ
กลางคืนของโลก แสงอาทิตย์ที่หักเหและกระเจิงขณะเดินทางผ่านบรรยากาศโลก
เป็นสาเหตุที่ทำให้ดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงไม่มืดสนิท


เวลา 21:32 น. ดวงจันทร์เข้าใกล้ศูนย์กลางเงาโลกมากที่สุด
คาดหมายได้ว่าเป็นเวลาที่ดวงจันทร์มืดคล้ำที่สุด
(หากท้องฟ้าเปิดตลอดปรากฏการณ์) โดยขอบด้านทิศเหนือ (ซ้ายมือ)
น่าจะคล้ำกว่าด้านทิศใต้ เนื่องจากอยู่ใกล้ศูนย์กลางเงามากกว่า นอกจากนี้
พื้นที่ที่เรียกว่ามาเร (ทะเล) ซึ่งเป็นส่วนคล้ำบนดวงจันทร์
ก็อยู่ในบริเวณด้านทิศเหนือมากกว่าด้านทิศใต้


จันทรุปราคาเต็มดวงสิ้นสุดลงในเวลา 21:57 น.
รวมเวลาที่ดวงจันทร์ทั้งดวงอยู่ในเงามืดของโลกนาน 51 นาที หลังจากนั้น
ดวงจันทร์จะเคลื่อนออกจากเงามืด ใช้เวลาอีกเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่ง
ดวงจันทร์จึงจะกลับมาเต็มดวงในเวลา 23:18 น.
ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่สูงเกือบถึงจุดเหนือศีรษะ
มองต่ำลงมาทางทิศตะวันตกจะเห็นดาวพฤหัสบดีอยู่ที่มุมเงยประมาณ 50°-60°


หลังสิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วนในเวลา 5 ทุ่มเศษ
แม้ว่าดวงจันทร์จะเต็มดวง ไม่มีส่วนแหว่งเว้าแล้ว
แต่ดวงจันทร์จะยังไม่สว่างเต็มที่
พื้นผิวของดวงจันทร์จะหมองคล้ำอยู่เล็กน้อยต่อไปอีกราวครึ่งชั่วโมง
เพราะยังอยู่ในเงามัวของโลก หลังจากนั้นเราจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
เกิดขึ้นกับดวงจันทร์อีก
จันทรุปราคาครั้งนี้จะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ทั้งดวงออกจากเงา
มัวในเวลา 00:30 น.

จันทรุปราคาเต็มดวง 10 ธันวาคม 2554
เส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์และแผนที่แสดงการเห็นจันทรุปราคาในส่วนต่าง ๆ ของโลก

















































ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 10 ธันวาคม 2554
เหตุการณ์ เวลา มุมเงย
ของดวงจันทร์

(ที่กรุงเทพฯ)
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก (ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง) 18:34 น. 11°
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์เริ่มแหว่ง) 19:46 น. 27°
3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง) 21:06 น. 45°
4. กึ่งกลางของปรากฏการณ์ (ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด) 21:32 น. 51°
5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด) 21:57 น. 56°
6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์ทั้งดวงออกจากเงามืด) 23:18 น. 74°
7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก 00:30 น. 81°

ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง


ช่วงที่เกิดจันทรุปราคาในคืนวันที่ 10 ธันวาคม 2554
ดวงจันทร์อยู่ในกลุ่มดาววัว บริเวณรอบ ๆ มีดาวฤกษ์สว่างอยู่เป็นจำนวนมาก
นอกจากสามเหลี่ยมฤดูหนาว (Winter triangle)
ซึ่งประกอบด้วยดาวซิริอัสในกลุ่มดาวหมาใหญ่ ดาวโพรซิออนในกลุ่มดาวหมาเล็ก
และดาวเบเทลจุสในกลุ่มดาวนายพราน ยังมีดาว 6 ดวง
เรียงกันเป็นหกเหลี่ยมที่เรียกว่าหกเหลี่ยมฤดูหนาว (Winter Hexagon) ได้แก่
ดาวซิริอัสในกลุ่มดาวหมาใหญ่ ดาวโพรซิออนในกลุ่มดาวหมาเล็ก
ดาวพอลลักซ์ในกลุ่มดาวคนคู่ ดาวคาเพลลาในกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์
ดาวอัลเดบารันในกลุ่มดาววัว และดาวไรเจลในกลุ่มดาวนายพราน
(วนตามเข็มนาฬิกา) ดวงจันทร์อยู่ในหกเหลี่ยมนี้ โดยค่อนไปทางดาวอัลเดบารัน
สูงขึ้นไปจะเห็นกระจุกดาวลูกไก่อยู่ห่างดวงจันทร์เกือบ 20°

ท้องฟ้าขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 10 ธันวาคม 2554

สีและความสว่างของดวงจันทร์


สีและความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงในแต่ละครั้งมีความ
แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
ระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับศูนย์กลางเงา
ปริมาณเมฆและฝุ่นละอองในบรรยากาศโลกตรงบริเวณรอยต่อระหว่างด้านกลางวันกับ
ด้านกลางคืนของโลก


เราสามารถบอกความสว่างและสีของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงได้
ด้วยมาตราดังชง (Danjon scale) โดยทำการสังเกตดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า
มาตรานี้ตั้งชื่อตาม อองเดร ดังชง (André-Louis Danjon)
นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่เป็นผู้ริเริ่ม เรียกย่อ ๆ ว่าค่าแอล (L)
มีค่าจาก 0 ถึง 4 ดังตาราง โดยสามารถประมาณค่าเป็นทศนิยมได้





























  L   ความสว่างและสีของดวงจันทร์
0 ดวงจันทร์มืดมาก เกือบมองไม่เห็น
1 ดวงจันทร์มืด มีสีเทาหรือน้ำตาล มองเห็นรายละเอียดบนพื้นผิวได้ยาก
2 ดวงจันทร์มีสีแดงเข้ม หรือสีสนิมเหล็ก บริเวณใกล้ใจกลางมืดมาก แต่ขอบดวงจันทร์สว่าง
3 ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐ ขอบเงามืดมีสีเหลืองหรือสว่าง
4 ดวงจันทร์มีสีทองแดงหรือสีส้ม ดวงจันทร์สว่างมาก ขอบเงามืดมีสีฟ้าและสว่างมาก

ถ้าจะให้ได้ข้อมูลละเอียดที่สุด อาจทำการประมาณค่าแอลทุก ๆ 10-20 นาที
นับตั้งแต่ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง
ทั้งนี้การประมาณค่าแอลมีโอกาสผิดพลาดได้
หากขณะนั้นมีเมฆหรือหมอกควันบดบังดวงจันทร์
ซึ่งจะทำให้ดวงจันทร์ดูมืดสลัวกว่าความเป็นจริง











จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 10 ธันวาคม 2554
อาจมีลักษณะคล้ายจันทรุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 (ในภาพ)
เนื่องจากมีเส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์เทียบกับเงาอยู่ในรูปแบบใกล้
เคียงกัน (ภาพ – ประพีร์ วิราพร/กฤษดา โชคสินอนันต์/ปณัฐพงศ์
จันทรวัฒนาวณิช/พรชัย อมรศรีจิรทร)

จันทรุปราคาครั้งถัดไป


จันทรุปราคาครั้งถัดไปสำหรับประเทศไทยเป็นจันทรุปราคาบางส่วน 2 ครั้ง
(ไม่นับจันทรุปราคาเงามัวซึ่งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวง
จันทร์ได้ยาก) ได้แก่ คืนวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2555
และเช้ามืดวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2556


เราไม่ควรพลาดจันทรุปราคาเต็มดวงที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคมนี้
เพราะทั่วโลกจะไม่มีโอกาสเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงอีกเลยจนกระทั่ง พ.ศ. 2557
ปีนั้นและปีถัดไปจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงรวม 4 ครั้งติดต่อกัน
เห็นได้ในประเทศไทย 2 ครั้ง ได้แก่ วันพุธที่ 8 ตุลาคม 2557
(ตรงกับวันออกพรรษา)
แต่ช่วงบังหมดดวงอาจสังเกตได้ยากเนื่องจากดวงจันทร์ยังอยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้า
และท้องฟ้ายังไม่มืด อีกครั้งในค่ำวันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2558


 ที่มา   //thaiastro.nectec.or.th/pressreleases/201112tle.html






Free TextEditor





Create Date : 09 ธันวาคม 2554
Last Update : 9 ธันวาคม 2554 22:22:11 น. 0 comments
Counter : 1020 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

bbmit
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




I'm just an ordinary guy,

but full of truth and sincerity.


เป็นเพียงคนเดินดิน ที่มีเพียงความจริงใจ

แม้ไม่เลิศเลอเหมือนใคร แต่ว่าใจมั่นคง

Friends' blogs
[Add bbmit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.