หากมีแต่เพียงท่วงท่าภายนอก ไร้ภายในชักนำ ก็เรียกได้เพียงว่า"รำมวย" ไม่สามารถเรียกว่า "มวยไท่เก็ก"
<<
พฤศจิกายน 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
14 พฤศจิกายน 2549

หวังเพ่ยซิง สะพานเชื่อมยุคทองของยุทธจักร ตอนที่ 1

บทความนี้ผมแปลจาก
Remembering Great Master Wang Peisheng
โดย Zhang Yun




อจ. หวังเพ่ยซิง หรือ หวังเพ่ยเช็ง

ผู้แปล. ผมขออนุญาตพิมพ์
หวังเพ่ยซิงนะครับ เพราะเคยชิน


ผู้นำมวยไทจี๋สกุลอู๋สายเหนือ
จากไปเมื่อเวลา 8.40 ในวันที่3 พฤศจิกายน 2004
ด้วยอาการหัวใจวาย อันเป็นผลมาจากโรคแทรก
ซ้อนเฉียบพลัน เมื่ออายุได้85ปี

พิธีศพของอจ.หวังจัดขึ้นในเช้าวันที่ 7 พฤษภา
ที่ สุสานแห่งชาติ ปาเป้าฉาน ในปักกิ่ง
มีศิษย์ และอาจารย์มวยที่มีชื่อเสียงมาร่วมงาน
มากมาย ทั้งอจ.รุ่นเก่า อย่าง อจ.หลี่ปิงฉือ
อจ.เฟิงจื่อเฉียง รวมทั้งตัวแทนจาก
กลุ่ม สมาคมศิลปะการต่อสู้ต่างๆ ทั้งจากในและนอกปักกิ่ง

การจากไปของอจ.หวังเพ่ยซิง เป็นเหมือน
เครื่องหมายของจุดสิ้นสุดแห่งยุคสมัย
ท่านได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่า
เป็นอจ.มวยที่หนุ่มที่สุด เป็นรุ่นสุดท้าย
ของอจ.มวยจากสมัยอันรุ่งเรืองยุคสุดท้ายของยุทธจักร

ท่านเปรียบเสมือนสะพาน ที่เชื่อมระหว่างเก่าและใหม่
มีศิษย์อยู่มากมาย ทั้งในตะวันออกและตะวันตก
ทั้งแบบประเพณีดั้งเดิม และร่วมสมัย
ความรู้ของท่านลึกซึ้ง น่านับถือ
โดยเฉพาะความอ่อนหยุ่น ละเอียดประณีต

ท่านหลอมรวมความรู้ทั้งจากประสบการณ์ในการต่อสู้
ทั้งจากทฤษฎี วิทยาศาสตร์ การแพทย์
สังเคราะห์กระบวนการ และหลักวิธีการใหม่
อุทิศตน ในการถ่ายทอดความรู้แบบแผนโบราณ
สู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งเติบโตขึ้นบนโลกที่แตกต่าง
จากสมัยที่ท่านกำเนิดมา

การฝึกฝนในวัยเยาว์ - หยิน ปากัว ถานถุ่ยและ มวยไทจี๋ -

อจ.หวังเพ่ยซิง เกิดเมื่อวันที่ 24 มีนา ปี1919
ที่อำเภอ อู๋ชิง มณฑล เหอเป่ย
เพ่ยซิง เป็นชื่อเล่นของท่าน ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ
ส่วนชื่อจริงของท่านคือ หลี่ฉวน
แต่ในช่วงเวลาต่อมา คนมักรู้จักท่านในชื่อ
ทางศาสนาของท่าน คือ หยินเช็ง
แต่ปกติแล้ว ศิษย์ของท่าน หรือคนภายนอก
มักเรียนท่านว่า อจ.หวัง อันเป็นคำเรียกขานตามธรรมเนียม ของ อจ.แบบโบราณ

เมื่อ อจ.หวังอายุได้หกขวบ ครอบครัวของท่าน
ย้ายไปเขตกานหยู ทางตะวันตกของปักกิ่ง
ท่านมีใจรักในศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่แรกเริ่ม
เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่ชอบเล่นเป็น วีรบุรุษนักสู้ในตำนาน

ในตอนนั้น มีเพื่อนบ้านของท่านครอบครัวหนึ่ง
เป็นครอบครัวนักแสดงกายกรรม ลูกชาย
ของครอบครัวนั้น ได้สอนพื้นฐานกายกรรม
และ ศิลปะการต่อสู้แก่ท่าน

อจ.หวังฝึกหนัก และเรียนรู้ได้เร็วมาก
ท่านฝึกจนร่างกาย อ่อน ยืนหยุ่น จนสามารถ
ตีลังกากลับหลังบนโต๊ะเล็กๆ ได้ติดต่อกันสามสิบรอบ

-*- ...ใครแก่แล้ว อย่าลองเน้อ
ไม่คอหัก ก็หลังหัก...


เมื่อถึงอายุ 12 อจ.หวังจะได้พบกัเหตุการณ์สำคัญ
ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตท่านไปตลอดกาล

ทางเหนือ มีตึกหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า ชี่เหอหยวน
ครอบครัวอาจารย์หวัง แบ่งกันพักอาศัยอยู่ในชี่เหอหยวน
ร่วมกับครอบครัวอื่นๆ

โครงสร้างของชี่เหอหยวน คล้ายกับฟาร์มเฮาส์
แบบของทุกวันนี้

ผู้แปล...ไม่ใช่ขนมปัง...lol โฮะๆๆๆ

มีตึกสีปีก ล้อมรอบสวนตรงกลาง
สามปีก เป็นที่อยู่อาศัย
ปีกที่สี่เป็นรั้วด้านหน้าและประตูทางเข้า
ตามปกติ จะมีประตูชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง
ก่อนจะถึงประตูชั้นใน

วันหนึ่งอจ.หวังฝึกหอกพื้นฐาน อยู่ในช่องแคบๆ
ระหว่างประตูชั้นนอก กับประตูชั้นใน
ท่านจะแทงหอกไปยังประตูทางเข้า
พอสุดระยะแทงก็จะดึงหอกกลับด้วยกำลังทั้งหมด

ท่านยืนอยู่ใกล้ประตูเกินไปหน่อย ประกอบกับ
กำลังหมกมุ่นกับการฝึกอยู่ ทันใดนั้นมีชายชราร่างเล็ก
เปิดประตูเข้ามาพอดี ท่านหวังไม่ทันระวัง ยั้งไม่ทัน
เห็นได้ชัดว่า ปลายหอกกำลังจะพุ่งเข้าใสท้องของชายคนนั้น..!

แต่แล้ว..! ชายชรากลับหลบพ้นปลายหอกไปได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ชายร่างเล็กคนนั้นโกรธมาก ดุด่าเด็กน้อยหวังเป็นการใหญ่

เพื่อนบ้านของอจ.หวัง ซึ่งเป็นญาติของชายชราคนนั้นได้ยินเข้า จึงรีบออกมา ช่วยอธิบายให้ชายคนนั้นใจเย็นลง
และเล่าว่า เด็กน้อยคนนี้ ชอบศิลปะการต่อสู้มาก
เขาจะฝึกหนักแบบนี้ ทุกวัน

"ความจริงแล้ว" เพื่อนบ้านกล่าว "ท่านก็เป็นอาจารย์
มวยฝีมือเยี่ยม ทำไมท่านไม่สอนอะไรเขาบ้างล่ะ"
ชายชราคนนั้น ใจเย็นลงแล้ว จึงบอกให้ อจ.หวัง
แสดงฝีมือที่ฝึกมาให้ดู

อจ.หวังพยายามแสดงอย่างดีที่สุด
จนกระทั่งชายชราพอใจ เขาจึงตกลง รับ อจ.หวังเป็นศิษย์

หลายปีต่อมา อจ.หวัง รำลึกถึงความหลังครั้งนั้นว่า
"ตอนนั้น ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายชราคนนั้นเลย
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะสอนอะไรฉัน แต่เพื่อนบ้านที่แนะนำ
ท่าทางเขาตื่นเต้นดีใจมาก”

"เจ้าโชคดีมากนะเด็กน้อย รีบไปบอกพ่อแม่เจ้าเดี๋ยวนี้เลย
ให้เตรียมพิธีกราบอาจารย์ หม่ากุ้ยเร็วเข้า..!!"


"ฉันยังไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไรอยู่ดี
แต่พอไปบอกท่านพ่อ ท่านเคยเรียน
ศิลปะการต่อสู้มาบ้าง จึงรู้ชื่อเสียง
ของท่านหม่ากุ้ยเป็นอย่างดี"
ท่านตื่นเต้น ตกใจมาก ร้องออกมาว่า
"ไม่อยากเชื่อเลย"
แล้วรีบวิ่งไปต้อนรับอจ.หม่า อจ.หม่าพูดเพียงว่า
"เราทำพิธีกันเถอะ"
พ่อของอจ.หวังจึงรีบตั้งโต๊ะธูปเทียน
และเริ่มพิธีรับศิษย์ในทันที
ตามประเพณีในเวลานั้น เราจะจุดธูปเทียนหอม
แล้วฉันก็ยกน้ำชาให้ท่าน"

ด้วยเหตุนี้เอง เด็กน้อยหวังก็กลายมาเป็น
ผู้สืบทอดของท่านหม่ากุ้ย
การได้เริ่มต้น การฝึกฝนในระดับสูงตั้งแต่วัยเยาว์
ช่วยปูพื้นฐานที่ดีที่จะนำท่านไปสู่
อจ.มวยผู้มีชื่อเสียงในภายภาคหน้า

อจ.หม่ากุ้ย (1853-1940)
เป็นหนึ่งในอจ.มวยที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้น
ท่านมีหลายฉายา อย่างเช่น "มนุษย์ไม้หม่า"
เพราะท่านเป็นเจ้าของโรงงานทำไม้
หรือ "หม่าเตี้ย" เพราะท่านตัวเล็ก
หรือ "ปูหม่า" เพราะท่านชอบวาดรูปปู
ในภาพเขียนของท่าน รวมทั้งฉายา "หม่าแขนเหล็ก"

-*- ค่อยดูสมเป็นฉายาหน่อย

เพราะเทคนิคที่ท่านชอบใช้ในการต่อสู้คือ
"เหยียดแขนทำลายข้อต่อ"

อจ.หม่ากุ้ยเรียนมวยจากท่านหยินฝู่ตั้งแต่เด็ก

ผู้แปล. ท่านหยินฝู่ เป็นศิษย์รุ่นแรก และศิษย์เอก
ของปรมาจารย์ปากัวยุคใหม่ ท่านต่งไห่ฉวน




ผมหาภาพอจ.หม่าไม่ได้
ดูภาพท่านหยินฝู่แทนแล้วกันนะครับ


อจ.หม่ากุ้ยเป็นคนตัวเล็กมาก แต่ท่านมีพรสวรรค์
โดยธรรมชาติ ทั้งยังฝึกฝนอย่างหนักมาก ทำให้ฝีมือ
พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อจ.หยินฝู่มักจะพาอจ.หม่า
ไปพบกับอจ.มวยอื่น เพื่อทดสอบฝีมืออยู่เสมอ

ท่านต่งไห่ช่วนก็รักเอ็นดูอัจฉริยะน้อย
อย่างอาจารย์หม่ามาก ท่านหม่ากุ้ย
จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาโดยตรงจากท่านต่งไห่ชวน
หลังจากท่านต่งไห่ชวน ออกจากราชการในวัง
ก็ย้ายไปพักอยู่บ้านอจ.หม่า เพราะเหตุนี้เอง อจ.หม่าถึง
ได้รับการนับถืออย่างสูงในหมู่จอมยุทธ์ปากว้าจ่าง
ทั้งหลาย หรือแม้แต่จะเปรียบ กับยอดฝีมือ
รุ่นเดียวกับอจ.ของท่านเองก็ตาม



รูปท่านต่งไห่ชวนเสริฟ์อาหารในวัง

เป็นที่รู้กันว่า อจ.หม่าจะสวมห่วงเหล็กหนัก
สิบปอร์น ไว้ที่เอวเวลาฝึก
ท่านมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุ 20 ผ่านการประลอง
และเอาชนะอจ.มวยอื่นมากมาย
ท่านได้ทำงานให้ ขุนนาง หลัน
ซึ่งเป็นขุนนางชั้นสูงในวัง ต่อมา
อจ.หม่า จึงได้สอนมวยให้เหล่าองค์ชาย

หลังปฏิวัติ อจ.หม่าทำงานให้ทำเนียบประธานาธิบดี
และ อีกแปดปีต่อมา ท่านก็ไปเป็นโค้ชให้ทีมกังฟู
ของโรงเรียนตำรวจแห่งชาติ



คลิปตัวอย่าง ปากัว สไตล์ ท่านหยินฝู่
แต่ไม่ได้มาจากสาย อจ.หม่ากุ้ยนะครับ


ในการถ่ายทอดวิชาของอจ.หม่า
จะเป็นแบบอนุรักษ์นิยม ยึดถือแบบโบราณสุดขั้ว
แม้ท่านจะมีศิษย์มากมาย แต่ส่วนใหญ่ รวมทั้ง
ตัวลูกชายของท่านเอง จะได้รับการถ่ายทอด
เฉพาะพื้นฐาน และเทคนิคทั่วไปเท่านั้น

มาตรฐานของท่านสูงมาก สำหรับอจ.หม่า
ทักษะชั้นสูง ควรจะถ่ายทอดให้
เฉพาะผู้มีลักษณะยอดเยี่ยม ฉลาดหลักแหลม
มีพรสวรรค์ และฝึกหนักเท่านั้น

ยังมีศิษย์ท่านอื่นๆจำนวนหนึ่ง ที่มีพรสวรรค์
และได้รับการถ่ายทอดวิชาชั้นสูงจากอจ.หม่า
แต่อจ.หวังเพ่ยซิง เป็นผู้มีชื่อเสียงที่สุดในกลุ่ม

เราคงได้แต่เดาว่า ทำไมอจ.หม่าถึงเปลี่ยน
ทัศนคติของท่านที่มีต่อ อจ.หวัง
ซึ่งท่านพบในช่วงที่ท่านอายุมากแล้ว
(ปล. หมายถึงตอนแรกด่ายกใหญ่ แล้วกลับมารับเป็นศิษย์)

อาจเป็นเพราะ ท่านหม่า เป็นอจ.ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
แต่จนกระทั่งตอนนั้น ท่านก็ยังหาผู้สืบทอด
ที่จะสามารถสืบต่อพลังฝีมือของท่านอย่างแท้จริงไม่ได้
ท่านอาจจะมองเห็นความหวัง ในพรสวรรค์ของเด็กน้อยหวัง

ผู้แปล... คงจะหวังได้จริงๆ เพราะท่านแซ่หวัง

ในช่วงสามปีแรก อจ.หม่าจะมาที่บ้านของครอบครัวหวัง
แต่เช้าตรู่สอนวิชา และให้แบบฝึกไว้ให้อจ.หวังฝึก
จากนั้น ท่านจะทานอาหารเช้าที่บ้านอจ.หวัง
ก่อนที่จะออกไปสอนที่อื่น ตามหน้าที่

อจ.หม่า สอน หลอฮั่นฉวนของเส้าหลิน
ปากัว แบบ หยิน (แบบท่านหยินฝู่) และอาวุธ
อจ.หวังฝึกหนักมาก และ ท่านก็ได้รับคำตอบ
ของคำถามมากมายในใจ



เมื่ออายุ 13 หนึ่งปีหลังจากที่ได้พบกับอจ.หม่า
ขณะที่เรียน ปากัว แบบหยิน อจ.หวังก็ได้
ฝากตัวเป็นศิษย์กับอจ.มวยที่มีชื่อเสียงอีกสองท่าน
คือเรียน เจียวเหมิน ถานถุ่ย กับ อจ. จาง ยู่เหลียน
และเรียนมวยไทจี๋กับอจ.หยางอวี้ถิง
เวลานั้นอจ.ทั้งสองท่าน สอนอยู่ที่สถาบันการศึกษาประชาชนปักกิ่ง สาขา 3 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านอจ.หวัง

อจ. จางยู่เหลียน เป็นพี่ใหญ่ที่มีอวุโสสูงสุด
ในกลุ่ม 7 พี่น้องนักสู้ ที่มีชื่อเสียง
ฉายาของท่านคือ เกาถังจาง
เพราะท่านชำนาญในอาวุธสองชนิดของ
ถานถุ่ย คือ เกา และ ถัง มาก
สมัยยังหนุ่ม ท่านเป็นตำรวจ
และ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
นอกจากนั้น ท่านยังเชี่ยวชาญชิงกง( วิชาตัวเบา)
ท่านสามารถปีนป่าย ไปตามตึกต่างๆ
ด้วยความรวดเร็ว และเงียบมาก


คลิปตัวอย่าง เจียวเหมิน ถานถุ่ย

อจ.จางเป็นชาวมุสลิม ในสมัยก่อนชาวมุสลิม
มักจะเก็บซ่อนวิชาฝีมือขั้นสูงไว้เป็นความลับ
ถานถุ่ย เป็นหนึ่งในกังฟูที่แพร่หลาย
มีแบบหลักๆ อยู่สองแบบคือ
เจียวเหมิน ถานถุ่ย (แบบมุสลิม) กับ เส้าหลิน ถานถุ่ย
แต่มีคำโบราณกล่าวว่า

"จากนานกิง สู่ ปักกิ่ง ถานถุ่ย ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
มาจากแบบมุสลิม"


ถานถุ่ยแบบ มุสลิมนั้น ผู้ฝึกจะต้อง
มีพื้นฐานแน่น มีร่างกายที่ดีมาก
เพราะการฝึกนั้นโหดสุดๆ

อจ.หวังเริ่มเรียนถานถุ่ย พร้อมๆกับ เด็กหนุ่มละแวกนั้น
พวกเขาฝึกกันหนัก และ ได้สาธิตมวยไปทั่วเมือง
อจ.หวังได้เรียนแก่นแท้ของวิชามากมาย
อย่างเช่น เพลงเตะสิบชั้น หกชุดสั้น ชาฉวนสิบชั้น
และอาวุธพิเศษทั้งสี่ เกา จี่ ถัง และ ได๋



อจ. หยางลุ่ยหลิน (1887-1982)
หรือ ที่เป็นที่รู้จัก ในนาม อจ.หยางอวี้ถิง
อจ.หยางอวี้ถิง เป็นศิษย์เอก
ของอจ.หวังมู่จ๋าย อจ.ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้นำของมวยไทจี๋
ตระกูลอู๋สายเหนือ

อจ.หยางสอนมวยอยู่นานกว่าเจ็ดทศวรรษ
มีศิษย์นับพันคน อจ.หวังเพ่ยซิง เป็นหนึ่ง
ในศิษย์ในกลุ่มแรก ของอจ.หยาง
ตอนที่พบกันครั้งแรก อจ.หยางสอนยังอยู่ที่
สถาบันไทจี๋ปักกิ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในวัดไท่เมี่ยวด้วย

วัดไท่เมี่ยว เป็นอนุสรณ์สถานอันยิ่งใหญ่
ซึ่งจักรพรรดิ ราชวงศ์ หมิง และ ชิง มาบวงสรวง
บรรพบุรุษ ทุกวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็น
วัง วัฒนธรรมชนชั้นแรงงาน

อาจารย์ใหญ่ ที่ไท่เมี่ยวคือ อจ.หวังมู่จ๋าย
อจ.หวังเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ไทจี๋สกุลอู๋
ท่านอู๋ฉวนโหย่ว
ทุกเช้าจะมีคนกว่าร้อยคน มาที่ฝึกที่ไทเมี่ยว
อจ.หยาง จะพาศิษย์หวัง ไปฝึกที่นั่นด้วย
เด็กหนุ่มหวัง แสดงให้เห็นว่า เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งปี อจ.หยางก็ให้
เป็นผู้ช่วยท่าน ในชั้นเรียน

"ตอนนั้นฉันฝึกหนักมาก ทุกเช้า ฉันจะตื่นตั้งแต่ตี4
เริ่มแรก ฉันจะฝึกทบทวนทุกอย่างที่เคยเรียนมาก่อน
จากนั้นจึงไปที่วัดไท่เมี่ยวตอนประมานหกโมงเช้า
ที่นั้น ฉันจะนำนักเรียนบางคนฝึกรำก่อน
จากนั้น เราถึงจะฝึกผลักมือกัน เราจะผลักมือกับคน
สามสิบ หรือสี่สิบคน บางคนยังหนุ่มและแข็งแรง
บางคนสูงอายุ และอ่อนแอ บางคนก็มีกงฟูดีเยี่ยมอยู่แล้ว
มันเป็นการฝึกฝนที่ดีมาก สำหรับฉัน"

อจ.หวังเพ่ยซิงเล่า

"ต่างคน ต่างรูปแบบ แสดงให้เราเห็นแง่มุมปัญหาที่
แตกต่างสำหรับคนหนุ่มและแข็งแรง ฉันต้องพยายามผ่อนคลายให้มาก สำหรับคนสูงอายุ ฉันต้องคอยดูและ ระวังไม่ให้ทำให้พวกท่านบาดเจ็บ"


อจ.หวังมู่จ๋าย เป็นอจ.ของ ท่านหยวนเหลียน
ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีของปักกิ่งในเวลานั้น
จึงมักจะมีนักลงทุน ไฮโซผู้รำรวยทั้งหลาย
มาฝึกในชั้นเรียนของอจ.หวังมู่จ๋ายบ่อยๆ
เพื่อหวังจะใกล้ชิด กับ ท่านหยวนเหลียน

...ยังกับก๊วนกลอฟ์สมัยนี้...
...อจ.เหลียงไม่ลองหาศิษย์
เป็นเศรษฐีหมื่นล้าน ดูบ้างหรือครับ...อิอิอิ...


สำหรับคนพวกนี้ ซึ่งใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่
กับการกินเที่ยว และนิสัยแย่ๆต่างๆ
อจ.หวังมู่จ๋าย จะอำนวยความสะดวก
ให้เป็นพิเศษ เพื่อให้เหมาะกับสภาพร่างกาย
และฐานะของพวกเขา

อจ.หวังเพ่ยซิงเล่าว่า
"เมื่อพวกเขาตีมา ฉันจะชักนำพลังไปสู่ความว่างไม่ได้
เพราะจะทำให้พวกนั้นเสียสมดุลในทันที
นั่นไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าพิสมัย
พวกเขาไม่ชอบแบบนั้น ดังนั้น
ฉันต้องพยายามทำให้พวกเขาสบายอยู่ตลอดเวลา"

เมื่อพวกเขาผลักมา ฉันจะอ่อนตาม
แล้วชักนำพลังกลับไป ไม่เพียงเท่านั้น
ยังต้องช่วยให้พวกเขา กลับไปยืนอยู่ในสภาวะ
มั่นคงได้ตามปกติ ดังนั้นไม่เพียงแต่ฉันจะต้อง
รักษาสมดุลของร่างกายตัวเอง แต่ยังต้องรักษา
สมดุลให้พวกเขาด้วย เพราะเหตุนี้เอง
ประสบการณ์ทั้งหมด จึงช่วยให้ฉันพัฒนากงฟูพื้นฐาน
ของตัวฉันเองได้อย่างดีมากๆ
ส่วนสำหรับคนที่ฝีมือดี และชอบแข่งขัน
อย่างเอาจริงเอาจัง ฉันก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด
ทุกวันเป็นจะแบบนี้ หลายชั่วโมง เป็นประโยชน์ใน
เส้นทางอันยาวไกล ที่ช่วยให้ฉันได้พัฒนาทักษะของฉันขึ้น"



คลิปอจ. หวังเพ่ยซิง สาธิตการตี

เป็นเวลากว่าห้าปี ที่อจ.หวังเพ่ยซิง มุ่งมั่นอยู่กับ
แต่เรื่องศิลปะการต่อสู้เพียงอย่างเดียว

"ฉันรู้สึกว่ามันเพี้ยนๆอยู่หน่อยเหมือนกัน"
อจ.หวังหวนรำลึก
"ทุกวัน ทุกๆจังหวะย่างก้าว ใจฉันจะอยู่
แต่กับเรื่องกังฟู เวลาฉันเดินไปบนถนน
ฉันจะจินตนาการตัวเอง เป็นขุนพลชรา
เดินอยู่ลำพังในขุนเขาอันยิ่งใหญ่
ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินผ่านมา ฉันจะจินตนาการ
จากท่าทาง จำแนกทิศทางที่เขาอาจจะโจมตีได้
คำนึงว่าเขาจะโจมตีฉันยังไง
และฉันจะตอบโต้กลับไปยังไง"


"ในการที่จะไปถึงพลังฝีมือระดับสูงจริงๆนั้น"
อจ.หวังกล่าวต่อ "คุณต้องการอะไรแบบนี้เหมือนกัน
เพื่อให้ระดับฝีมือแกร่งกล้า"


อจ.หวังผ่านการประลองมากมาย แม้แต่ในช่วงวัยเด็ก
พอถึงอายุสิบห้า ท่านก็ชนะคนมามากพอดูแล้ว
บางคนเป็นอาจารย์มวยมีชื่อด้วยซ้ำ
มีเรื่องเล่าเก่าๆ เกี่ยวกับตัวท่านอยู่เรื่องหนึ่ง ชื่อว่า
"อย่าให้ความปากเสีย พาให้คุณซวย เพราะเด็ก..!"

เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่อจ.หวังเดินเที่ยวไปรอบๆ
จัตุรัสเทียนอันเหมิน มีคนกลุ่มใหญ่กำลังห้อมล้อม
ชมดู อจ.มวย ฝึกกังฟูอยู่
ดังนั้นอจ.หวังจึงหยุดดูด้วยความสนใจ

มีอาจารย์มวยคนหนึ่ง ร้องท้าว่า
ไม่มีใครสามารถขยับเท้าของเขาได้ แม้สักนิ้วเดียว
ไม่มีใครรับคำท้า พวกเขารู้ว่าอจ.คนนั้นมีฝีมือทำได้จริงๆ
แต่อจ.หวังไม่ยอมพลาดโอกาส ที่จะลอง

ผู้ชมจำนวนมากต่างพากกันขบขัน เพราะไม่คิดว่า
เด็กตัวแค่นั้นจะทำอะไรได้
แต่แล้ว อจ.หวังก็ทำให้ทุกคนแปลกใจ เมื่อท่าน
ทุ่มอจ.มวยคนนั้น ล้มไปถึงสามครั้ง..!

นับตั้งแต่นั้นมา คนแถวนั้นมักจะพูดกันว่า
"ระวัง อย่าปากดี อาจจะไปเจอเด็กของจริงเข้าได้"

ผู้แปล - เนื่องจาก มีอจ.หวังสองท่าน
ในบทความช่วงนี้ คือ ท่านหวังมู๋จ๋าย
และ ท่านหวังเพ่ยซิง เพื่อไม่ให้สับสน
ผมจะเรียกท่าน หวังมู๋จ๋ายว่า อจ.หวัง
ส่วนท่านหวังเพ่ยซิง เป็นนังเรียนหวังแล้วกันนะครับ




ในไม่ช้า ฝีมือการต่อสู้ของ นักเรียนหวัง
ก็เข้าตาอจ.หวังมู๋จ๋าย
วันหนึ่งมีคนมาท้าประลองที่วัดไท่เมี่ยว
หลังจากเอาชนะศิษย์จำนวนหนึ่ง ชายคนนั้นก็ตรงไป
ยังห้องทำงานของ อจ.หยางอวี้ถิง ท้าผลักมือกับท่าน
ตอนนั้น นักเรียนหวังอยู่กับท่านหยางที่นั่นด้วย

นิสัยของอจ.หยางอวี้ถิงนั้น ต่างกับอจ.หวังมาก
ท่านเป็นคนอ่อนโยน แม้แต่เวลาโกรธ ก็ไม่เคย
ขว้างปาสิ่งของ ท่านมักจะหยุดมือ และคอยระวัง
เสมอในระหว่างประมือ เพื่อจะไม่ทำทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ

เมื่อท่านผลักมือกับชายคนนั้น
หลังจากแตะมือกันชั่วพริบตา ท่านก็สามารถ
ทำให้อีกฝ่ายเสียสมดุลต้องพยายามยั้งตัวไม่ให้ล้ม
อจ.หยางเห็นเช่นนั้น จึงหยุดทุ่มกลางคัน
เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ

แต่ชายคนนั้นไม่ได้สำนึกว่าตนเองแพ้
เขาเห็นอจ.หยางถอยออกไปจากการต่อสู้
เลยคิดเข้าข้างตัวเองว่า ตนใช้ฝีมือคุกคาม
ให้ อจ.หยางต้องถอยไปสำเร็จ




นักเรียนหวัง เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และโกรธมาก
ท่านเข้าไปหาอจ.หยาง และขอประลองแทนท่าน
ยังไม่ทันที่อจ.หยางอวี้ถิงจะห้ามปราม
นักเรียนหวังก็ตรงเข้าไป ทุ่มชายคนนั้น
ลอยไปติดกับแพงเหมือนลูกบอล ถึงเจ็ดครั้ง
กว่าที่ท่านหยางอวี้ถิงจะสั่งให้หยุดได้

ไม่กี่วันต่อมา ชายคนนั้นกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้เขามาขอท้านักเรียนหวัง
เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองในคราวก่อน
และต้องการลองอีก

คราวนี้ พวกเขาสู้กันในสวนด้านนอก
นักเรียนหวัง ทุ่มผู้ท้าทายลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง
การประลองครั้งนี้ บังเอิญอยู่ในสายตา
ของ อจ.หวังมู่จ๋ายเข้าพอดี
ท่านชื่นชมในฝีมือ และเห็นว่า
บางที เด็กหนุ่มคนนี้ อาจจะมีความสามารถ
ที่จะเป็นอจ.ที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต

เมื่อท่านทานข้าวกลางวันกับ อจ.หยางอวี้ถิงในวันนั้น
ท่านจึงเรียกนักเรียนหวังเข้ามาพบ
ระหว่างมื้ออาหาร ท่านถามนักเรียนหวังหลายคำถาม
จนกระทั่งเมื่อทานอาหารเสร็จ อจ.หวังมู่จ๋ายก็กล่าว
กับนักเรียนหวังว่า
"นับแต่นี้ เจ้ามาฝึกที่บ้านฉันได้ทุกคืน"

นักเรียนหวังได้ยินดังนั้น ก็ปลาบปลื้มใจมาก
ตามธรรมเนียมแล้ว อาจารย์ปู่ มักไม่เข้าไปก้าวก่าย
กับการสอน ของศิษย์ตัวเองนัก
ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นักเรียนหวัง ก็ไปฝึก
ที่บ้าน อจ.หวังมู่จ๋ายแทบทุกคืน จนกระทั่ง
อจ.หวังมู่จ๋ายจากไป ในปี1942


รูปอจ. หวังมู่จ๋าย

อจ.หวังมู่จ๋าย (1863-1942) เรียนมวยไทจี๋
จากท่านฉวนโหย่ว หนึ่งในศิษย์โปรดของ
ท่านหยางลู่ฉาน และท่านหยางปันโหว
ซึ่งต่อมาได้ใช้แซ่อู๋ ภายหลัง ลูกชายท่าน
จึงได้ก่อตั้ง มวยไทจี๋สกุลอู๋ขึ้น

ผู้แปล - สมัยนั้นไทจี๋ยังไม่แบ่งเป็นตระกลูต่างๆเหมือนเดี๋ยวนี้

แม้อจ.หวังจะฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่ยังหนุ่ม
แต่ท่านก็ไม่บรรลุถึงพลังฝีมือของไทจี๋อย่างแท้จริง
จนกระทั่งท่านอายุ 52
ปีนั้น ท่านกลับบ้านเกิด เพื่อพักผ่อน
ระหว่างที่ท่านกำลังเดินเล่น ท่านบังเอิญเห็น
คนงานก่อสร้าง กำลังทำงานอยู่
ท่านจึงหยุดพิจารณา ท่านพบว่า
เมื่อต้องเอาค้อนทุบหินทั้งวัน ทุกวันๆ เราจะพัฒนาทักษะบางอย่างขึ้นมา อย่างการ จับยึดให้แน่น การไม่ปล่อยให้แรงมันสะท้อนกลับมา ซึ่งจำเป็น สำหรับการเคลื่อนไหว ไม่อย่างนั้นแล้ว แรงกระแทก จะทำให้มือด้านบวม และแตกอย่างรวดเร็ว

อจ.หวังมู๋จ๋าย เกิดปัญญาขึ้นฉับพลัน..!
จากนั้น เมื่อท่านกลับไปปักกิ่งอีกครั้ง ทุกคนต่าง
ตกใจในความเปลี่ยนแปลงของท่าน
ไม่มีใครเอาชนะท่านได้เลย
ท่านกลายมาเป็นอจ.มวย
ที่เป็นที่เคารพอย่างสูงในเมืองหลวง
ทุกวันนี้ อจ.มวยไทจี๋แบบดั้งเดิมส่วนใหญ่
ในปักกิ่ง และภาคเหนือ ล้วนมาจากสายของท่าน
เมื่อศิษย์น้องของท่าน ท่านอู๋เจี้ยนเฉวียน ย้ายไปเซี่ยงไฮ้
คนจึงเริ่มเรียกขานกันว่า "ใต้อู๋ เหนือหวัง"



รูปท่านอู๋เจี้ยนเฉวียน

ในเวลานั้น อจ.หวังมู่จ๋าย หารายได้จากการเป็น
เจ้าของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (พวกอิฐ กระเบื้องมุงหลังคา)
ในร้านของท่านนั้น ระหว่างเคาท์เตอร์ขายของ
กับ ต้ากัง(เตียงอิฐแบบดั้งเดิม)
อจ.หวังจะก่อแผ่นหินหนาเอาไว้บนพื้นสองก้อน

ท่านจะฝึกยืนอยู่บนหินนั้น ระหว่างที่ขายของ
และทำงานไปด้วย เวลาผ่านไป จากการถูของเท้าท่าน
ทำให้หินนั้น ลื่นดุจน้ำแข็ง และเรียบราวกระจก
ในบริเวณนี้เอง ที่อจ.หวังจะยืนผลักมือกับ หลานศิษย์หวัง

หลายปีต่อมา ท่านหวังเพ่ยซิง ย้อนทวนความหลังว่า
"แม้แต่การจะยืนให้นิ่ง และมั่นคง บนหินนั้นก็ต้องใช้ความพยายามมาก ในตอนแรก ฉันยังไม่เข้าใจทักษะของอจ.ปู่
ฉันจำได้แต่ว่า โดนทุ่มครั้งแล้วครั้งเล่าไปสองที่
ถ้าไม่เข้าไปใต้เคาท์เตอร์เก็บเงิน ก็บนต้ากัง"

ถ้าอจ.หวังมู่จ๋าย จะมีข้อด้อยอะไรบางอย่างในการเป็นครู
ก็คงจะเป็นเรื่องที่ท่าน ไม่ชำนาญ ในการอธิบายหลักการต่างๆมากนัก แต่ท่านรู้ และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงระดับความสามารถของร่างกาย

ดังนั้นเวลาท่านสอน ท่านเพียงแต่ทุ่มนักเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกเท่านั้น แล้วให้ศิษย์ รู้สึกด้วยตัวเอง วิธีการเช่นนี้ได้ผลดีมาก กับนักเรียนบางคน ขณะที่บางคนก็ใช้ไม่ได้ผล

ในเวลาต่อมาเมื่อ อจ.หวังเพ่ยซิง ตั้งกลุ่มของท่านเอง ท่านกล่าวว่า
"ฉันโชคดีมาก การฝึกนี้ ทำให้ฉันได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า
มวยไทจี๋คืออะไร.."


อจ.หวังเพ่ยซิง สาธิตพลองเกาะติด





ตลอดแปดปี ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเหล่าอาจารย์ฝีมือเยี่ยม ทำให้อจ.หวังเข้าใจว่า ฝีมือขั้นสูงควรจะเป็นอย่างไร
ท่านได้ลับไหวพริบ ของตนให้เฉียบคม
ศึกษาทุกๆรายละเอียดของการเคลื่อนไหว
และขบคิดอยู่กับมันอย่างลึกซึ้ง

ในเวลาเดียวกัน ท่านก็เริ่มศึกษาหลักการ
และทฤษฎีมวยไทจี๋ จากอจ.เกาเฟิน
ซึ่งเป็นศิษย์อีกคนหนึ่งของท่าน ฉวนโหย่ว
อจ.เกาเฟินเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสูง ในการศึกษาแบบโบราณ ดังนั้นท่านจึงสามารถอธิบาย
หลักการของลัทธิเต๋า และไทจี๋ได้อย่างดี

เช่นเดียวกับอจ.ท่านอื่นๆ อจ.เกาแปลกใจ
กับศักยภาพของ เด็กน้อยหวัง และยินดี
ที่ได้ช่วยส่งเสริมความเข้าใจ ของหวังให้กว้างไกลมากขึ้น

ด้วยการทุ่มเทอย่างหนักเช่นนี้
ฝีมือของ นักเรียนหวัง ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
พออายุ 18 อจ.หวังมู่จ๋ายก็อนุญาต ให้ท่านหวังเพ่ยซิง
เป็นอาจารย์ได้

ตอนนั้น อจ.หยางอวี้ถิง มีงานสอนตามที่ต่างๆมากมาย
ท่านจึงแบ่งนักเรียนจำนวนหนึ่ง ให้มาฝึกกับศิษย์ดาวเด่นของท่าน ด้วยเหตุนี้เอง นักเรียนหวัง กลายมาเป็นอจ.มวยไทจี๋ที่อายุน้อยที่สุดในเมืองจีน

********************
ติดตามต่อ ตอน 2 ครับ







Create Date : 14 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 3 มกราคม 2550 23:02:09 น. 11 comments
Counter : 2321 Pageviews.  

 
อุ...ไหงมีข้อความถึงผมด้วยเนี่ย ฮ่าๆ


โดย: เหลียง IP: 124.157.162.206 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2549 เวลา:9:17:24 น.  

 
ทำให้ผมเป็นโรคระแวงเด็กไม่กล้าแหย่เลย


โดย: ปลาตัวใหญ่ IP: 80.232.117.164 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2549 เวลา:10:38:35 น.  

 
- อจ.หม่ากุ้ย ก็คืออจ.หม่า เว่ย ฉี ศิษย์เอกของอจ. หยินฝู่ ซึ่งตอนหลังได้ไปเรียนกับปรมาจารย์ ต่ง ไห่ ชวน และได้มีโอกาสรับเอาปรมาจารย์ ต่ง ไห่ ชวน มาพักอยู่ที่บ้านด้วยระยะหนึ่ง อจ.หม่า เว่ย ฉี มีชื่อเสียงเรื่องการต่อสู้ โดยเฉพาะการประลองกับสำนักวิชาต่างๆ (ปากว้าจ่างสายของ อจ.หม่า เว่ย ฉี ปัจจุบันเหลือน้อยมาก)

- หยินฝู่ เป็นศิษย์คนแรกของปรมาจารย์ต่งไห่ชวน เป็นครูฝึกทหารรักษาพระองค์ในวัง(อยู่มาถึงสมัยพระนางซูสีไทเฮา) ในสมัยก่อนปากว้าจ่างสายตระกูลหยินของอจ.หยินฝู่ จะอิงไปทางมวยเส้าหลินอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นทักษะการใช้มือหรือการก้าวเดิน เนื่องจากอจ.หยินฝู่มีฝีมือทางวิชา18อรหันของเส้าหลินสูงอยู่แล้วก่อนที่จะมาศึกษาปากว้าจ่าง รูปแบบของมวยจึงไปในทางนั้น(แนวการสอนของปรมาจารย์ ต่ง ไห่ ชวน ไม่แก้มวยเดิมของลูกศิษย์ แต่จะช่วยอุดช่องว่างให้) อจ.หยินฝู่มักจะสวมกำไลเหล็ก18วง(ข้างละ9)เอาไว้ที่มือตลอดเวลา(แบบที่เราเห็นในหนังจีน ที่นักมวยฝ่ายเส้าหลินใต้ชอบไส่กัน) ดังนั่นท่านจึงมีฉายาว่า เถี่ยจูจื่อหยินฝู่ หรือกำไรเหล็กหยินฝู่ ปากว้าจ่างสายหยินในสมัยก่อนจึงนิยมไส่กำไลเหล็กนี้ในขณะฝึกด้วย



โดย: - n h b - IP: 125.24.6.84 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2549 เวลา:12:13:58 น.  

 
อ่อ... ขออภัย ปล่อยไก่ตัวใหญ่ๆ อจ.หม่ากุ้ย กับ อจ.หม่าเว้ยฉี เป็นคนล่ะครับ ผมสับสนเองเนื่องจาก2ท่านี้มีอะรไหลายๆอย่างที่คล้ายกันครับ



โดย: - n h b - IP: 125.24.13.83 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2549 เวลา:19:22:58 น.  

 
ขอบคุณ คุณปากัว ที่มาให้ข้อมูลครับ
เดี๋ยวตอน2 มีเรื่องเกี่ยวพันกับ
อจ. ปากัวท่านอื่นอีก
(อจ.หวังท่านเรียนหลายมวย
หลายตระกูลมาก)
รบกวนคุณปากัวมาให้ข้อมูล
ของอจ.เหล่านั้นหน่อยนะครับ



โดย: bbking IP: 124.157.165.209 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2549 เวลา:21:14:19 น.  

 
ไหนๆ ผมก็ปล่อยไก่ออกมาทีนึงแล้ว ก็ขอปล่อยออกมาอีกหลายๆเล้านะครับ ถือว่าอ่านเป็นเกร็ดประกอบพอสนุกๆ


โดย: - n h b - IP: 125.24.4.20 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:21:48:51 น.  

 
อจ. หยินฝู่ ปรมาจารย์มวยปากัวสายตระกูลหยิน ศิษย์เอกท่านปรมาจารย์ ต่งไห่ชวน
ท่านเป็นศิษย์คนแรกของปรมาจารย์ ต่งไห่ชวน และยังถือเป็นศิษย์ที่ใช้ชีวิตเกี่ยวพัน
กับท่านปรมาจารย์ต่งไห่ชวนเป็นเวลานานที่สุด

อจ.หยินฝู่ มักสวมกำไลเหล็ก18วงเอาไว้ที่มือทั้ง2(ข้างละ9วง)ตามอย่างนักมวย
เส้าหลินฝ่ายใต้ในสมัยโบราณ จึงมีฉายาว่า เถี่ยจูจื่อหยินฝู่(กำไลเหล็กหยินฝู่)

อจ.หยินฝู่ นามเดิม หยินตี้อันเป็นชาวเหอเป่ย เกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจน
เมื่อโตขึ้นที่บ้านเกิดๆภัยพิบัด(แห้งแล้ง-น้ำท่วม)จึงทำให้ต้องย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง
(โชคชะตามันมีจริงครับ...) เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ในปักกิ่งได้มาฝึกงานเป็นเด็กลับมีด-กรรไกร
ในร้านขายมีด-กรรไกรแห่งหนึ่ง ต่อมาก็ขยับขยายมาทำการค้าส่วนตัวเป็นพ่อค้าขายปาท่องโก๋
(แป้งคู่บิดเป็นเกลียวทอด จะอะไรซะอีกล่ะ - ...ฮกเกี้ยนบ้านผมเรียกเจียะโก้ย)
เนื่องจากเป็นคนผอมสูงออกแนวก้างๆ จึงมีฉายขณะนั้นว่า ไอ้ผอมหยิน(ไอ้ก้างหยิน อะไรทำนองนั้น)

เรื่องเล่าหรือตำนานของ อจ.หยินฝู่ ค่อนข้างสับสน บ้างว่าท่านเชี่ยวชาญการต่อสู้อยู่แล้วก่อนจะ
มาเรียนกับท่านปรมาจารย์ต่ง บ้างว่ามาเรียนมวยเอาหลังจากได้พบกับปรมาจารย์ต่งเรียบร้อยแล้ว
เรื่องนึงที่นิยมเล่ากันฟังมากที่สุดก็คือ เรื่องที่ว่าอจ.หยินฝู่ เรียนมวยเอาหลังจากที่ได้พบกับ
ปรมาจารย์ต่งแล้ว โดยอจ.หยินฝู่จะเป็นคนเอาปาท่องโก๋ไปส่งให้ปรมาจารย์ต่งทางก่อน
ฝึกมวยปากัวทุกเช้ามืด(ท่านต่งเป็นลูกค้าประจำอจ.หยิน ว่างั้น) วันนึงความซวยก็มาเยือน
อจ.หยินฝู่ ถูกโครดักปล้นและทำร้าย

อจ.หยินฝู่ ฝังใจมากกับเหตุการนั้น ด้วยความแค้นที่ปกป้องตัวเองไม่ได้หรือไม่อยากให้เกิดซ้ำรอย
อีกหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ อจ.หยินจึงเริ่มฝึกมวยด้วยตัวเองที่ป่าแถวๆบ้าน ต่อมาปรมาจารย์ต่ง
ไปพบเข้าแล้วเกิดประทับใจ จึงได้รับท่านเป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาหมัดมวยให้ โดยสิ่งที่ท่านต่ง
สอนให้แก่อจ.หยินไม่ไช่มวยปากัว แต่เป็นหล่อฮั่นฉวน(มวยอรหัน)ของเส้าหลิน
***เรื่องนี้เล่าโดยอจ. หยางคุน(รุ่นที่3 สายตระกูลหยิน) โดยอ้างว่าได้ฟังมาจากคนในตระกูลหยินเอง

อีกเรื่องนึงคล้ายๆเรื่องแรก ต่างกันตรงที่เล่ากันว่า เมื่อแรกเข้าปักกิ่ง อจ.หยินก็สันทัดวิชา
เหมยฮัวฉวน(หมัดดอกเหมย) และ เหลียงหวนถุ่ย(เตะต่อเนื่อง)อยู่แล้ว เมื่อมาปักกิ่งได้ยินชื่อเสียง
ปรมาจารย์ต่งจึงไปสมัครเรียนกับท่านต่ง ซึ่งก็ใช้เวลาตามตื๊อพอสมควรกว่าท่านต่งจะยอมรับ
เป็นศิษย์คนแรก

อีกเรื่องหนึ่งเล่ากันว่าเมื่อตอนที่อจ.หยินย้ายเข้ามาอยู่ในปักกิ่งนั้นท่าน
ก็สันทุดวิชาหมัดมวยอยู่แล้ว โดยท่านสัดทัดในวิชา เสอซินฉวน(หมัดลิ้นงู)ซึ่งเรียมมาตั้งแต่วัยเด็ก
เมื่อถึงปักกิ่ง อจ.หยินซึ่งคงจะเปรี้ยวไม่เบาได้ยินชื่อเสียงของปรมาจารย์ต่ง จึงได้ไปขอท่านต่ง
แลกเปลี่ยนวิชา(ไปลองของนั่นแหละ กิจกรรมอมตะของตนเรียนมวยทุกสมัย) ผลก็คือเพียงแค่
1ฝ่ามือ(ผิงชวนจ่าง - ฝ่ามือทะลวง)ของปรมาจารย์ต่ง ก็เล่นเอาอจ.หยินฟันหน้าหักลงไปนอน
น็อคอยู่บนพื้น ทั้งๆที่มืออีกข้างหนึ่งของปรมาจารย์ต่งยังถือกล่องยาสูบอยู่

เมื่อโดนเข้าขนาดนั้น อจ.หยินจึงขอสมัครเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ต่ง แน่นอนว่าขณะนั้น
ปรมาจารย์ต่งยังไม่เคยรับศิษย์ จึงบอกปัดไม่ยอบรับ อจ.หยินจึงกล่าววาจาอมตะในวงการ
มวยจีนคือ "หากท่านไม่ข้าเป็นศิษย์ ข้าก็จะขอคุกเข่าอยู่อย่างนี้ จะไม่ยอมลุกไปไหน"
แล้วก็ไม่ลุกจริงๆด้วย เมื่อโดนอย่างนี้ปรมาจารย์ต่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
พอดีขณะนั้นอ๋องซู่(เจ้าของวัง นานของปรมาจารย์ต่ง)ผ่านมาพบเหตุการเข้าจึงออกปาก
ขอให้ปรมาจารย์ต่งรับอจ.หยินเป็นศิษย์ สำนักวิชาปากว้าจ่างจึงเริ่มต้นนะจุดนั้น
(ฝ่ามือ8ทิศ เดิมแรกเริ่มชื่อว่าจ้วนจ่าง หรือฝ่ามือหมุน หมายถึงฝ่ามือที่เปลี่ยนแปลง)

ปรมาจารย์ต่งนั้น เดิมก็สอนบรรดาทหารองค์รักษณ์ในวงอ๋องซู่อยู่แล้ว
เมื่อรับ อจ.หยินเป็นศิษย์ จึงต้องไปสอนกันนอกกำแพงวัง โดยตอนเช้าท่านต่งจะ
สอนองค์รักษณ์ในวัง สอนรอบบ่ายจึงออกไปสอน อจ.หยิน นอกกำแพงหลังวัง
โดยเริ่มแรก สิ่งที่อจ.หยินได้เรียนจากท่านต่งยังไม่ไช่ปากว้าจ่าง แต่เป็นมวย
หล่อฮั่นฉวน(มวยอรหัน)ของเส้าหลิน

ต่อมา ปรมาจารย์ต่งถูกอ๋องซู่ส่งไปเป็นเจ้าหน้าที่เก็บภาษีที่มองโกเลียใน อจ.ก็ตาม
ไปช่วยงานด้วย โดยเป็นพนักงานเก็บและขนภาษีส่งกลับวังอ๋องซู่ ซึ่งที่นั่นเอง(ในมองโกล)
อจ.หยินได้เรียน ปากว้าจ่าง กับปรมาจารย์ต่ง ทั้งเช้า กลางวันยันมืดค่ำเลยทีเดียว
หลังจากกลับมาจากมองโกเลีย ปรมาจารย์ต่งได้ส่งอจ.หยินไปเป็นครูสอนทหารองค์รักษณ์
ในวังหลวง และต่อมาปรมาจารย์ต่งก็เริ่มรับศิษย์คนที่2 ซึ่งก็คือ หม่าเว่ยฉี นั่นเอง
(ศิษย์คนที่1หยินฝู่ 2หม่าเว่ยฉี 3สือจี้ตง 4เฉิงถิงหัว..... คนสุดท้าย เหลียงเจิ้นปู้)



โดย: - n h b - IP: 125.24.4.20 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:21:53:26 น.  

 
อจ. หม่า เว่ย ฉี(1851-1886) เปิดร้านขายถ่านหิน และเครื่องอุปกรณ์เกี่ยวกับถ่านหินในปักกิ่ง
ดังนั้นจึงมีฉายาว่า ถ่านหินหม่า เป็นศิษย์ของปรมาจารย์ ต่ง ไห่ ชวน
หลังจากที่ปรมาจารย์ต่งไห่ชวนเริ่มเปิดสำนักสอนปากว้าจ่างข้างนอกวัง(นอกกำแพงหลังวังอ๋องซู่)
หม่า เว่ย ฉี ซึ่งขณะนั้นได้มีชื่อเสียงเชิงหมัดมวย(ในทางไม่สู้ดีนัก)ในปักกิ่งคนหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมปรมาจารย์ต่งที่บ้าน
แล้วได้ขอประลองเปรียบวิชากันกับปรมาจารย์ต่ง(ไปลองของ) ผลก็คือเพียงกระบวนท่าเดียว หม่า เว่ย ฉี ก็
ถูกปรมาจารย์ต่งปราบลงโดยง่าย ตั้งแต่นั้นมา หม่า เวย ฉี จึงละความยะโสโอหัง น้อมตัวเข้าสมัครเป็นศิษย์
ของปรมาจารย์ต่งแต่นั้นมา ถึงกระนั้นหม่าเว่ยฉีก็ยังมีชื่อเสียง(เสีย)ในเรื่องความโอหัง
ชนิดที่ว่าไม่เคยเคารพใครเลยนอกจากอาจารย์ตัวเอง

หม่า เว่ย ฉี มีชื่อความชำนานและชื่อเสียงทางด้านวิชา ปากว้าจ่าง(ฝ่ามือ8ทิศ), ปากว้าเตา(ดาบ8ทิศ)
และปากว้าจ้วนเชียง(ทวนหมุน8ทิศ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝีมือในการใช้ทวนนั้น ถือว่าเป็นเลิศ
หม่า เว่ย ฉี มีชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่งก็คือความอวดดี(แบบว่ามีดีให้อวด)ท้าตีท้าต่อยกับชาวบ้าน
เขาท้าประลองกับสารพัดสำนักวิชาไปเรื่อย จนมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการประลองยุทธของหม่า เว่ย ฉีมากมาย
(ทั้งจริงและเท็จ) เรื่องที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นการเขม่นกันกับกับนักมวยสิงอี้ที่มีอาชีพเป็นเปาเปียวจนเกิด
การดวลขึ้น เพียงผ่ามือเดียว(คือท่า จิ้นปู้ถวนจ้วง ใน64ฝ่ามือ)นักมวยสิงอี้คนนั้นถึงกับกระดูกสันหลังหักทันที
(เรื่องนี้ดังจนไปอยู่เป็นฉากหนึ่งในกาตูนเรื่องเคนจิ)

หม่า เว่ย ฉี เสียชีวิตตอนอายุ28ปีเท่านั้น สาเหตุการตายยังเป็นเรื่องไม่แน่ชัด บ้างก็ว่าหม่า เว่ย ฉี เสียชีวิตจาก
การบาดเจ็บเรื้อรังที่หลังเนื่องจากอุบัติเหตุในการฝึกซ้อมมวยของเขา บ้างก็ว่าเขาถูกวางยาพิษหลังจาก
ชนะการประลอง(เนื่องจากไปทำชาวบ้านเขาไว้มาก) ......ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย(ปนสมควร)มาก
ดังนั้น ปากว้าจ่างสายของ หม่า เว่ย ฉี จึงไม่มีผู้สืบทอด เพราะอยู่หายใจได้ไม่ทันได้รับศิษย์นั่นเอง



โดย: - n h b - IP: 125.24.4.20 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:21:57:55 น.  

 
อจ.หม่ากุ้ย เป็นศิษย์เองของ อจ. หยินฝู่ เป็นชาวเหอเป่ย พื้นเพบ้านเป็นโรงไม้จึงทำอาชีพโรงไม้
จนได้ฉาว่า มู่หม่า(ไม้หม่า)

อจ.หม่ากุ้ยเมื่อยังเด็กเป็นคนผอมแห้ง ตัวเล็ก ซ้ำยังพูดน้อย ฉายามู่หม่ามาจากความสามารถในฝีมือ
เชิงช่างไม้ เพราะสามารถสร้างโต๊ะไม้หนึ่งตัวได้ด้วยความรวดเร็ว อจ.หม่ากุ้ยเริ่มเรียนปากว้าจ่าง
กับ อจ. หยินฝู่เมื่ออายุ 18 ปี ก่อนหน้านั่นท่านได้ก็มีทักษะฝีมือทางวิชามวยอยู่แล้ว
คือ เทียนกังฉวน(หมัดเทวราช)

นอกจากอจ.หม่ากุ้ยจะเป็นศิษย์ของ อจ.หยินฝู่แล้ว เขายังหาโอกาสไปเรียนวิชาปากว้าจ่างโดยตรง
กับปรมาจารย์ต่งไห่ชวนอีกด้วย(ชื่อของอจ.หม่ากุ้ยจารึกบนป้ายหินที่สุสานปรมาจารย์ต่ง ซึ่งเป็น
เครื่องยืนยันว่า ปรมาจารย์ต่งยอมรับ อจ.หม่ากุ้นเป็นรุ่นที่2)

มีเรื่องเล่าว่า อจ.หม่ากุ้ยตัวเล็กๆจนน่าประหลาด เมื่อปรมาจารย์ต่งเห็นอจ.หม่ากุ้ยครั้งแรกก็
ประหลาดใจ จึงถามอจ.หม่ากุ้ยว่า"เธอดูประหลาดจัง เธอชื่ออะไร และมาที่นี่เพื่ออะไร"
อจ.หม่าจึงแนะนำตัวเองแล้วบอกว่าเขาชอบปู ชอบระบายสีบนกระดองปู
แล้วก็ขายกระดองปูระบายสีนั้นเป็นเครื่องประดับ ปรมาจารย์ต่งจึงบอกว่าจะถ่ายทอดวิชาฝ่ามือปู
ในปากว้าจ่างให้กับอจ.หม่ากุ้ย(ฝ่ามือปู.....เป็นไงหว่า) ซึ่งฝ่ามือปูนี้เองได้กลายเป็นฝ่ามือไม้ตายประจำตัว
ของอจ.หม่ากุ้ยเลยทีเดียว



โดย: - n h b - IP: 125.24.4.20 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:22:22:41 น.  

 
โอว ขอบคุณมากครับ
เป็นบทความอีกอันได้เลย
เดี๋ยวผมอัพ อจ.หวังเพ่ยซิง
ตอนจบแล้ว เอาที่คุณ - n h b -
ไปแปะเป็นอีกบทความดีกว่า
เพราะอยู่ตรงนี้ คนคงไม่ค่อยเห็น
ผมเองก็บังเอิญคลิกมาดู
ถึงได้รู้

เอาเป็นชื่อ...

สะกิดตำนานปากัว โดย - n h b - ดีไหมครับ



โดย: bbking IP: 58.147.88.82 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2549 เวลา:3:03:58 น.  

 



โดย: โจ IP: 125.24.156.25 วันที่: 22 มีนาคม 2550 เวลา:10:39:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ramin&Indra
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




สำหรับท่าน ที่ไม่ยังไม่รู้จักมวยไท่จี๋นะครับ

มวยไทจี๋ หรือ ไทจี๋ฉวน
มาจากคำว่า ฉวน แปลว่า มวย + กับ ไทจี๋
เป็นวิชา การต่อสู้ชนิดเดียวกับ ที่เราเรียกแบบแต๊จิ๊วว่ามวยไทเก๊ก
หรือ ที่กลุ่มกายบริหารเพื่อสุขภาพ
สมัยใหม่ เอาไปดัดแปลงแล้วเรียก ว่า ไทชิ
รวมทั้งศัพท์ วัยรุ่นที่เรียกว่า "ทิชชี่"
แถมยังมีแบบผสมโยคะ เอาไปเรียกว่า "โยชิ"
หรือ "ไทคะ"อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม วิธีฝึกแบบสมัยใหม่นั้น
บางครั้ง เป็นเพียงการยืมชื่อมาใช้
เพื่อโฆษณาสรรพคุณ
โดยไม่ได้มีเนื้อหาสาระ เกี่ยวข้องกับมวยไทจี๋เลย
หรือไม่ก็ เป็นการใช้คุณประโยชน์ของมวย
แค่เพียงกระผีกริ้นของมันเท่านั้น

มวยไทจี๋มีคุณประโยชน์มากมายมหาศาล
ในหลากหลายด้าน หากคุณได้ศึกษาจากผู้รู้
และ ฝึกฝนอย่างจริงจัง เป็นวิชา ที่คุณสามารถ
ใช้เป็นวิชาประจำตัว เรียนรู้จากมันได้ไม่มีที่สิ้นสุดจนตลอดชีวิต

บล๊อกนี้ผมตั้งใจจะ รวบรวม ประวัติ และ
ท่ามวยไทจี๋ของหลากแบบ หลายสายอาจารย์
ของมวยไทจี๋ตระกูลต่างๆเอาไว้ เผื่อผู้สนใจจะได้สามารถเปรียบเทียบได้

จากประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ปัจจุบัน มวยไทจี๋แบ่งออกเป็นหลายแบบ
หลากตระกูล ที่สำคัญๆก็คือ
มวยไทจี๋ตระกูลเฉิน ตระกูลหยาง
ตระกูลอู๋ ตระกูลอู่ ตระกูลซุน
สายหมู่บ้านเจ้าเป่า สายบู๊ตึ๊ง

แต่ละสาย ยังแตกแขนงออกไปอีกมากมาย
รวมทั้ง สายแปลกๆ สาย ย่อยต่างๆอีก
ผมจะพยายามรวบรวมมาให้ดูกันครับ

ยังทำไม่เสร็จนะครับ มีหลายหัวข้อยังว่างอยู่
ค่อยๆทำไปเรื่อยแล้วกัน

ตอนนี้ หัวข้อที่มีเนื้อหาอยู่ คือ
** กำเนิดมวยไทเก๊ก
** มวยไทเก๊กตระกูลหยาง
** คำสอนปรมาจารย์
** ตำนานยอดฝีมือครับ
** ประวัติมวยไท่เก๊ก ทั้ง7สาย
** มวยไท่เก๊กตระกูลเฉิน

แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ครบถ้วน
ยังคงอัพเดทเรื่อยๆครับ


บทความส่วนใหญ่ที่ผมเป็นคนแปล
จะมีข้อผิดพลาดในเรื่องการออกเสียง
ชื่อคน ชื่อสถานที่ภาษาจีน เพราะผมไม่รู้
ภาษาจีน และต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษเสีย
ส่วนใหญ่ ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ

อัพเดท สัปดาห์ละครั้งครับ
[Add Ramin&Indra's blog to your web]