หากมีแต่เพียงท่วงท่าภายนอก ไร้ภายในชักนำ ก็เรียกได้เพียงว่า"รำมวย" ไม่สามารถเรียกว่า "มวยไท่เก็ก"
<<
พฤศจิกายน 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
25 พฤศจิกายน 2549

หวังเพ่ยซิง สะพานเชื่อมยุคทองของยุทธจักร ตอนที่ 3 (จบ)

บทความนี้ผมแปลจาก
Remembering Great Master Wang Peisheng
โดย Zhang Yun


- ปัญหาทางการเมือง และ การเนรเทศ -



อย่างที่ทุกคนทราบ ชีวิตความเป็นอยู่ของ
ประชาชน ในยุคนั้น ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด
โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลจากส่วนกลาง
และด้วยการปกครองแบบนี้ คุณภาพชีวิต หรือความเป็นอิสระของคุณ
จะขึ้นอยู่กับ ความพอใจของเจ้าหน้าที่จากพรรค
ถ้าพวกเขาชอบคุณ ไม่ว่าจะทำอะไรก็สะดวกราบรื่น
แต่ถ้าเขาไม่ชอบ ทุกอย่างที่คุณทำจะยากไปหมด

มีบางคน ที่มีความสามารถในการใช้ลิ้นคารมหวานหู
เลียเก่งเป็นเยี่ยม เมื่อเทียบความสามารถในด้านกังฟู
แต่กลับกลายอจ.ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ
เพราะคนพวกนี้ สนิทชิดเชื้อกับผู้มีอำนาจในพรรค
เรื่องนี้ ทำให้อจ.อื่นๆ ที่มีฝีมือสูง อย่างอจ.หวังเพ่ยซิง
รู้สึกผิดหวังกับค่านิยมแบบนี้มาก

ความจริงแล้ว อจ.หวัง มีโอกาสที่จะเป็นเพื่อน
กับ คนสำคัญของรัฐบาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
การก่อตั้งสมาคม ศิลปะการต่อสู้ในยุคแรกๆมากมาย
แต่เพราะความที่ท่านชอบในทางแบบแผนประเพณีโบราณ
มากกว่า ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนไม่พอใจท่านนัก

มีเจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งฝึกมวยสิงอี้ มาพบ
อจ.หวัง แต่เช้าตรู่ในช่วงปี 50 ที่โรงเรียนในหุ่ยตง
หมอนี่คิดว่าตัวเองฝีมือสูงส่งมาก และบอกว่า
เขาต้องการศึกษาเทคนิคการสู้จริง กับอจ.หวัง

อจ.หวังเห็นแก่ตำแหน่งของเขา จึงฝืนใจประมือด้วย
แต่ท่านก็ออมมือ เพียงตั้งรับ โดยไม่ได้ตอบโต้
นั่นทำให้เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นไม่พอใจ
และดึงดันให้อจ.หวังแสดงฝีมือที่แท้จริง

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ท่านจึงต้องลงมือ
ท่านจับเจ้าหน้าที่คนนั้น โยนออกไปสามรอบ
ครั้งหนึ่งถึงกับกระเด็นออกไปนอกห้องฝึก
จากนั้น ทั้งสองจึงไปยังบ้านอจ.เกา
อจ.หวังตีหมอนั่นคว่ำไปอีกหลายรอบ
ทำให้เจ้าหน้าที่คนนั้นเสียหน้า และอับอายมาก



ผลจากเรื่องครั้งนี้ ทำให้อีกสามสิบปีต่อมา
อจ.หวังไม่เคยเผยแพร่อะไรออกสู่สาธารณะได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ภาพถ่าย บทความ หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร
เจ้าหน้าที่คนนี้ จะคอยกีดกันทุกทาง
แม้กระทั่งถึงเวลา ที่เจ้าหน้าที่คนนี้เกษียณ ยังสั่ง
คนที่มารับตำแหน่งต่อจากเขาไว้ว่า
"หวังเพ่ยซิง เป็นคนเลวมาก คุณต้องจับตามันให้ดี"
แต่เรื่องนี้ ก็ยังไม่อาจเปรียบได้กับ ปัญหาร้ายแรง
ที่ท่านหวัง ต้องเผชิญในเวลาต่อมา

รัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
ในช่วงเริ่มแรก ทุกอย่างไปได้ดีอยู่พักหนึ่ง
แต่แล้ว พอถึงช่วงปี 60 สัญญาณของหายนะก็เริ่มปรากฏ
เศรษฐกิจดิ่งลงเหว ประชาชนเริ่มล้มตายด้วยความหิวโหย



ผู้แปล - ปัญหาหนึ่งที่สำคัญเกิดจาก นโยบาย
ให้ชาวบ้านสร้าเตาหลอมเหล็กของตัวเอง ตามหมู่บ้าน
เรียกว่า โครงการ หนึ่งเตา หนึ่งหมู่บ้าน ของเหมา
เหมากะว่า จะให้ทุกครัวเรือนทำเตาหลอม
แล้วจีนจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมเหล็ก
ผลกลับกลายเป็นว่า เหล็กที่ถลุงมาใช้อะไรไม่ได้เพราะไม่มีคุณภาพ
แถมชาวบ้านถูกเจ้าหน้าที่เกณฑ์มาให้มุ่งกับการถลุงเหล็ก
เพื่อตนเองจะได้ได้ผลงาน ทำให้ไม่ได้เพาะปลูก
ผลก็คือ พอถึงฤดูหนาว ก็เกิดความอดหยากครั้งใหญ่
จนมีคนอดอาหารตายไปนับล้านๆคน
ขณะเดียวกัน อำนาจในพรรคของเหมาเริ่มตกต่ำ
ทำให้เหมา ต้องสร้างกลุ่มเรดการ์ดขึ้นมาจัดการกับคู่แข่ง
ด้วยนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรม อย่างบ้าคลั่ง

สนใจเรื่องปฏิวัติวัฒนธรรมอ่านเพิ่มเติมได้ที่บล๊อกนี้ครับ//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=zhivago&group=7&month=12-2006&date=10&blog=1

อจ. มวยจำนวนมาก อย่างเช่น อจ.เฉินเจ้ากุ้ย แห่งไทจี๋ตระกูลเฉิน
ถูกจับไปแห่ประจาน ท่านอับอายจนกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย ยังดีที่รอดชีวิตมาได้
หลายท่าน โดนจับส่งไปตายในค่ายกักกัน


ประชาชนเริ่มตั้งคำถาม และจับผิดการทำงานของรัฐบาล
บางคนคิดกระทั่งว่า พรรคน่าจะเปลี่ยนตัวผู้นำ
มีศิษย์คนหนึ่งของอจ.หวัง เล่าความลับ
เรื่องความคิดในการเปลี่ยนแปลง และล้มล้างอำนาจเดิม
ของเขาให้เพื่อนฟัง เพื่อนของเขากลัวมาก
เลยไปบอกตำรวจ ตำรวจมาค้นที่บ้านของ
ศิษย์อจ.หวัง และพบสมุดบันทึก
ซึ่งเขียนความเพ้อฝันของเขา ในรัฐบาลคอมมิวนิสต์
แบบใหม่เอาไว้ ปัญหาก็คือ เจ้าศิษย์คนนั้น
กตัญญูมาก เลยเขียนเอาชื่ออาจารย์หวัง
เอาไว้ในรายชื่อของคน ที่เขาคิดจะให้เป็น
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล ในจินตนาการด้วย
โดยที่อจ.หวังไม่เคยรับรู้เรื่องนี้เลย



ภาพยุคเรดการ์ดคลั่ง

อย่างไรก็ตามผลของมันก็คือ
อจ.หวัง อจ.จาง อจ.เกา และคนอื่นๆ
ซึ่งมีชื่ออยู่ในสมุดบันทึกเล่มนั้น ได้ถูกจับกุม
และกล่าวหาว่า เป็นพวกต่อต้านการปฏิวัติ
ซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดในเมืองจีนเวลานั้น

อจ.หวังถูกตัดสินให้จำคุก ห้าปี แต่ในความเป็นจริง
กว่าที่ท่านจะได้ออกจากค่ายกักกัน ก็อีกสิบเจ็ดปีต่อมา..!!

อจ.หวังและคนอื่นๆ ถูกส่งไปยังเรือนจำ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ของจีน ซึ่งอากาศหนาวจัด และสภาพความเป็นอยู่เลวร้ายแสนสาหัส
พวกเขาต้องทำงานหนัก ขณะที่อาหารย่ำแย่
หลังจากผ่านไปไม่กี่ปี ทั้งอจ.จาง และอจ.เกาก็ตายจากไป
ในช่วงเวลาที่ความจริงแล้ว ควรจะเป็นช่วงรุ่งโรจน์ในชีวิตของพวกท่าน
สำหรับอจ.หวัง แม้ว่าร่างกายของท่านจะย่ำแย่ลง
แต่ท่านก็ยังพยายามที่จะเอาชีวิตรอดต่อไป

สาเหตุหลักที่อจ.หวังรอดมาได้ อย่างหนึ่ง
เป็นเพราะท่านแอบฝึกชี่กงอย่างลับๆ
แม้ว่าท่านจะไม่สามารถฝึกมวยได้ในเรือนจำ
แต่การฝึกชี่กงของท่าน เป็นการเดินพลังภายใน
ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางภายนอกให้เห็น ท่านจึงแอบฝึกโดยไม่ให้ใครรู้ได้

เรือนจำแห่งนั้น ตั้งอยู่ในสถานที่เปลี่ยวร้าง
มีสถานพยาบาลเล็กอยู่แห่งหนึ่ง แต่ก็อยู่ห่างไกลมาก
แถมหยูกยาเครื่องมือแพทย์ก็ไม่ค่อยมี
ดังนั้นถ้าคุณเจ็บป่วยขึ้นมา ก็จะเป็นเรื่องเลวร้ายมาก
เพราะไม่มีทางรักษา

โชคดีที่อจ.หวังมีความรู้ด้านแพทย์แผนจีน
ท่านใช้ความรู้ของท่าน ช่วยรักษา นักโทษคนอื่นๆ
รวมทั้งพวกผู้คุม เจ้าหน้าที่ของเรือนจำ และครอบครัว
ทำให้ท่านมีชื่อเสียง คนที่นั่นยอมรับท่านในฐานะหมอ
ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของเรือนจำ จึงปฏิบัติต่อท่านเป็นกรณีพิเศษ


ภาพอจ.หวัง และอจ.จางหยุน ผู้เขียน ในปี 1979
ช่วงหลังอจ.หวังออกจากเรือนจำ ดูสภาพ -*-


อจ.หวังเพ่ยซิง รำลึกความหลังว่า
"วิชาแพทย์จีน ช่วยชีวิตฉันไว้จริงๆ
ในตอนนั้น งานที่หนักที่สุดคือการตัดไม้ ในภูเขา
ที่อยู่ห่างออกไป เราต้องเดินฝ่าหิมะไปไกลมากกว่าจะถึง
แถมไม่มีเครื่องจักรเลย เราต้องใช้แต่ขวานกับเลื่อยมือ
ในการโค่นต้นไม้ใหญ่ สภาพตอนนั้นแย่มาก
โดยเฉพาะในฤดูหนาว หลายคนเจ็บป่วยล้มตาย
แต่เพราะเจ้าหน้าที่เรือนจำ ต้องการฉัน
เวลาที่พวกเขาและคนในครอบครัวป่วยไข้ เขาจึงไม่ต้องการ
ให้ฉันไปทำงานไกลๆ เลยให้ฉันทำงานง่ายๆแทน
ตอนแรก ฉันทำงานในโรงต้มน้ำ ต่อมาฉันได้ทำงาน
ในโรงงานงานน้ำตาลในเมือง
ดังนั้นฉัน จึงโชคดีกว่าคนส่วนใหญ่ที่นั่น"

กำแพงคุกแบ่งโลกออกเป็นสองส่วน
ภายในเวลาเดินไปอย่างเชื่องช้า แต่ภายนอก
เวลาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ในปี1979 เจ้าหน้าที่
ก็ปล่อยตัวอจ.หวัง ท่านกลับปักกิ่ง และสร้างครอบครัว
ขึ้นมาใหม่ ท่านสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปในช่วงเวลานั้น
แต่ท่านยังคงมีชีวิตอยู่ และกังฟู ยังคงอยู่ในตัวท่าน
ท่านพบว่าหลายสิ่งเปลี่ยนไป เพื่อนหลายคนตาย
ไม่ก็จากไป คนหนุ่มๆก็ไม่รู้จักว่าท่านเป็นใคร
และชื่อของท่าน ก็ถูกบันทึกอยู่ในบัญชีดำของผู้ต่อต้านการปฏิวัติไปตลอดกาล

ปัญหาของท่านยังไม่จบสิ้น แต่จิตใจของท่านยังกร้าวแกร่ง
ท่านเข้าใจสัจธรรมของชีวิต และสิ่งต่างๆดีขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้น ท่านจึงยืนหยัดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฟื้นฝูพลังฝีมือ และกอบกู้สถานนะของตนเองอีกครั้ง
ท่านอายุ 60 ปีแล้วในเวลานั้น...


- กอบกู้ชื่อเสียง -


หลังหมดยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิม
ค่อยๆรื้อฟื้นขึ้นใหม่ หลายคนเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้กันอีกครั้ง
โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว
แต่เมื่ออจ.หวังแนะนำตัวเองกับคนรุ่นใหม่
หลายคน ไม่มั่นใจในฝีมือของท่าน
พวกเขาไม่เชื่อว่าชายชราคนนี้ จะมีฝีมือการต่อสู้ที่แท้จริงได้
แต่แล้วในไม่ช้า พวกเขาก็พบว่า
อจ.หวัง สามารถเอาชนะ คนหนุ่มทุกคนได้อย่างง่ายดาย
ความรู้ของท่าน ดุจดั่งมหาสมุทร ทั้งกว้าง
และลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งคำนวน

ในตอนเริ่มต้น อจ.หวังเพียงแต่สอนบรรดา
ศิษย์เก่าๆของท่านเท่านั้น ท่านต้องการกอบกู้
กลุ่มดั้งเดิมของท่านกลับคืนมาก่อนเป็นอันดับแรก
ในภายหลัง ท่านถึงได้จัดสัมนาสาธารณะ
และสาธิตกับคนทั่วไป

ในปี 1981 ท่านได้รับเหรียญทองในการแข่งขัน
ดาบไทจี๋

ผู้แปล อุอุอุ ตอนอายุ 62 เนี่ยนะครับ

ดังนั้นท่านจึงได้รับเชิญให้สอนมวยเผยแพร่ทาง
โทรทัศน์แห่งชาติ เป็นการสอนหลักไทจี๋
และ ทักษะการสู้จริง สิ่งต่างๆเหล่านี้
ดึงดูดความสนใจของสาธารณะชนอย่างมาก
ทำให้ท่านได้รับเชิญไปสอนมวยในสถานที่ต่างๆมากมาย

และแล้ว ในที่สุด รัฐบาลก็เชิญท่านเข้าร่วม
สมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งชาติอีกครั้ง ในฐานะ
หัวหน้าผู้ตัดสิน ในการแข่งขันศิลปะการต่อสู้
ระดับชาติ ในปี 1982 ที่ฉานหยาง
มีเหตุการณ์หนึ่ง ที่เกิดขึ้นในการแข่งขันครั้งนั้น
ทำให้ท่านหวังเพ่ยซิง กอบกู้ชื่อเสียงคืนมาได้อีกครั้ง



ภาพอจ.หวังเพ่ยซิง และเหล่าอจ.ไทจี๋ชื่อดัง
ในการประชุม ที่เซียงไฮ้ ปี1982
แถวแรก คนที่สองจากซ้าย อจ. หยางเจิ้งเต้า
คนที่สาม จากซ้าย อจ.หวังเพ่ยซิง
คนที่สี่ จากซ้าย อจ.หม่ายู่เหลียง
คนที่ห้าจากซ้าย อจ.ซุนเจี้ยนหยุน
แถวสองคนที่สอง อจ.เฉินเสี่ยวหวัง ถัดมาเป็น
อจ.กู่หลิวซิน และถัดมา อจ.เฟิงจื่อเฉียง
แถวหลังสุด คนที่ห้า อจ.ฟู่จงเหวิน คนที่เจ็ด อจ.หงจุนเฉิง


ในสมัยโบราณ วัฒนธรรมจีน มีผลต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างมาก
รวมทั้งในด้านศิลปะการต่อสู้
หนึ่งในสำนักที่ใกล้ชิดกับมวยจีนมากเป็นพิเศษคือ
นิปปอน โชรินจิ เคนโป หรือ สมาคมศิลปะการต่อสู้
เส้าหลินแห่งญี่ปุ่น

ในญี่ปุ่นนั้น แม้จะมีจำนวนผู้ฝึก เคนโด ยูโด คาเราเต้
จำนวนมาก แต่พวกเขาแบ่งเป็นหลายสำนัก
หลายสาย หลายสไตล์ ดังนั้น โชรินจิเคนโปจึง
เป็นสมาคมของวิชาเดี่ยวๆ ที่ใหญ่ที่สุด

ผู้แปล - หมายถึง วิชาสำนักเดียว แบบเดียว
สไตล์เดียวกัน ที่ใหญ่ที่สุด ส่วนวิชาอื่นนั้น
แม้จะมีคนฝึกมากกว่า แต่แบ่งย่อยตามสายของตัวเอง


ในเมืองจีนเวลานั้น ไม่เพียงแต่มวยเส้าหลิน
แต่มวยอื่นๆก็เพิ่งผ่านพ้นช่วงตกต่ำที่สุดมาเช่นเดียวกัน
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อเปรียบกับจำนวนผู้ฝึก
มากมายของ โชรินเคนโปแล้ว กล่าวได้ว่า
มาตรฐานของเขา ดูจะดีกว่ากังฟูจีนอันเป็นต้นตำหรับเสียอีก


ภาพ ปรมาจารย์ ไคไซ โดชิน ผู้ก่อตั้งสำนักโชรินจิ

พวกเขาเดินทางมาเมืองจีนเป็นครั้งที่ 8 ในระหว่าง
การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ ระดับชาติ ในปี1982
หลังจากที่พวกเขาสาธิตเทคนิคของตนเสร็จ
พวกเขาก็ทำเช่นเดียวกับครั้งก่อน
คือ ประกาศท้าสู้จริงกับชาวจีน

ในครั้งก่อนที่พวกเขาท้าทายเช่นนั้น ไม่มีใครรับคำท้า
พวกโชรินจึงกล่าวว่า
"ทุกวันนี้ วัดเส้าหลินอาจจะยังตั้งอยู่ในเมืองจีน
แต่วิชาการต่อสู้ของเส้าหลินที่แท้จริง อยู่ในญี่ปุ่น..!"



คลิป สาธิต โชรินจิเคนโป

เรื่องนี้ทำให้รัฐบาลจีนโกรธ และอับอายมาก
รัฐบาลพยายามหาอจ.มวยจีนไปสู้กับญี่ปุ่นอย่างสิ้นหวัง
เพราะในกรณีนี้ จะไปสู้แล้วแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
คุณต้องสู้ให้ชนะ หรือถ้าไม่มั่นใจว่าจะชนะ
ก็ต้องไม่ตอบรับคำท้า ไม่มีทางเลือกอื่นอีก

ต้องขอบคุณนโยบายทางการเมือง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
ที่ส่งผลให้ผู้ฝึกมวยจีนรุ่นใหม่ ยังไม่แกร่งพอที่จะรับมือ
ขณะที่อจ.รุ่นเก่าส่วนใหญ่ก็อายุมากเกินไป
หรือไม่ก็แข็งข้อ โกรธ กับสิ่งที่รัฐบาลทำ ไม่ยอมประลองให้




ภาพอจ. หวังและเหล่าอจ.ปากัว ถ่ายในปี 1981
ขณะก่อสร้างสุสานปรมาจารย์ตงไห่ชวนขึ้นใหม่
แถวแรกจากทางขวา อจ.หวังเหวินก๊วย
ถัดมา อจ.หลิวซิงฮั่น ถัดมา อจ.เกาจื่ออิง
ถัดมา อจ.หวังเพ่ยซิง
แถวที่สองคนแรก อจ.ฮั่นอู่ คนที่ห้า อจ.หลี่จื่อหมิง
แถวสุดท้ายยืนคนเดียว อจ.หวังหลงถัง


ตัวแทนจากญี่ปุ่นนั้น ฝีมือเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย
ในการสาธิต การต่อสู้ของพวกเขา แตกต่างจาก
การร่ายรำของการแข่งขันวูซูสมัยใหม่อย่างเห็นได้ชัด
มันดูกร้าวแกร่ง ดูจริง..! และน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
แต่ทว่า การมาท้าทายในครั้งนี้ของโชริน
พวกเขาไม่ต้องกลับไปมือเปล่า...??

เหมา บิหัว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสมาคมศิลปะการต่อสู้
เขารู้ว่าอจ.หวัง มีความสามารถ เขาจึงไปพบอจ.หวัง
และถามว่า ท่านจะยอมรับคำท้าได้ไหม..?
อจ.หวัง ตอบด้วยเสียงราบเรียบเพียงว่า
"ฉันทำได้..!"

การประลองจัดขึ้นในห้องประชุมธรรมดา
มีอจ.จากญี่ปุ่นมากกว่า10คนเข้าร่วม
อจ.หวังเดินทางมากับ อจ.หม่าจินหลง
ศิษย์ของท่าน ซึ่งเป็นผู้นำของมวยไทจี๋ ตระกูลหลี่



ภาพอจ. หม่าจินหลง

เริ่มแรก ล่ามได้แปล และแนะนำ
อจ.มวยทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน และกล่าวว่า
อจ.หวังเป็นอจ.มวยไทจี๋

พวกคนญี่ปุ่นท่าทางผิดหวังมาก เพราะพวกเขา
ต้องการพบกับ คนที่สามารถต่อสู้ได้จริงๆ
ในใจของพวกเขาคิดว่า ไทจี๋นั้นมีไว้สำหรับคนแก่ และอ่อนแอ

"เราเคยได้ยินเกี่ยวกับมวยไทจี๋มาก่อน" ผู้นำของกลุ่มอจ.ญี่ปุ่นกล่าว
"มีคนมากมายฝึกกันในญี่ปุ่น แต่นั่นมันแค่เพื่อสุขภาพ"
เขากล่าวเพียงเท่านั้น แล้วก็ปล่อยให้ความเงียบชวนอึดอัดเข้าปกคลุม
ดูเหมือนว่า พวกเขาไม่ต้องการจะพูดอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว

คำพูดของเขาทำให้อจ.หวังไม่พอใจ แต่ท่านยังคงรักษากิริยาสงบนิ่งเอาไว้
ท่านกล่าวว่า "จากที่สุภาพบุรุษเมื่อสักครู่พูด ทำให้เราทราบว่า
เขาไม่เข้าใจมวยไทจี๋ และถ้าใครบางคน ไม่เข้าใจมวยไทจี๋
คนคนนั้น ก็คงไม่เข้าใจศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงด้วยเหมือนกัน..!
ถูกของท่าน ที่ว่ามวยไทจี๋ดีต่อสุขภาพ แต่มันก็ดีสำหรับต่อสู้ด้วย
มากไปกว่านั้น แท้จริงแล้ว มวยไทจี๋ยังแสดงให้เห็นถึง
ระดับสูงสุด ของหลักวิชาการต่อสู้..!"

จากนั้น อจ.หวังอธิบายหลักการของไทจี๋บางประการ
แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

ท่านกล่าวต่ออย่างนุ่มนวล
"เมื่อฉันพูดได้ หมายความว่าฉันทำได้ ฉันรู้ว่าท่านไม่เชื่อ
ว่าฉันสามารถต่อสู้ได้ ดังนั้น ได้โปรดเลือกนักสู้
ที่เก่งที่สุดในกลุ่มของท่าน และใช้วิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ของเขา มาสู้กับฉัน เราจะเริ่มทดสอบกันตอนนี้เลย..!"

ทางฝั่งญี่ปุ่น อจ.ยามาซากิ ผู้ช่วยหัวหน้าผู้ฝึกสอนของสำนักงานใหญ่
ลุกขึ้นยืน และการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น..



ในตอนแรก ยามาซากิรัดเอวอจ.หวังด้วยมือข้างหนึ่ง
พยายามจะบิดมัน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งสับไปยัง
แขนขวา บริเวณเหนือข้อศอกของอจ.หวัง
การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก หลายคนในห้อง
ยังไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว

แต่ทว่าอจ.หวัง ยังคงยืนอย่างสงบ รักษาดุลยภาพเอาไว้ได้
ท่านเชื่อมโยงพลังด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อยทำให้ยามาซากิเสียสมดุล
จากนั้นท่านจึงติดตามด้วยท่วงท่าอันอ่อนหยุ่นและต่อเนื่อง
กลับเป็นฝ่ายบิดและสับแขนยามาซากิแทนที่

ทั้งหัวเข่าและศรีษะของยามาซากิกระแทกพื้น
อจ.หวังยังไม่ยอมผละออกไป ท่านตามติดและควบคุม
ยามาซากิต่อไป และกดเขาลงกับพื้น
ถึงตอนนี้ ทุกคนค่อยเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

อจ.หวังยิ้ม และกล่าวอย่างปกติ ก่อนจะช่วยยามาซากิลุกขึ้นมา
ยามาซากิลองอีกครั้ง และโดนเหมือนเดิมอีกรอบ
ต่อจากนั้น อจ.หวังทุ่มยามาซากิลอยไปมากกว่า 6 ครั้ง
ครั้งหนึ่งยามาซากิปลิวกระเด็นไม่สามารถควบคุม
ร่ายกายตนเองได้ เห็นชัดว่ากำลังจะพุ่งไปกระแทกกับมุมโต๊ะ
อจ.หม่าจินหลง ต้องช่วยผลักออกไปให้พ้นอันตราย
ส่วนอีกครั้ง เขาถึงกับถูกทุ่มลอยออกไปนอกห้อง

นั่นเป็นวิชามวยไท่จี๋ระดับสูง การเคลื่อนไหวของอจ.หวัง
สมดุลอย่างที่สุด บางครั้งดูเหมือนท่านขยับมือเป็นคลื่น
หรือเพียงแต่ขยับนิ้วเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น

ชาวญี่ปุ่นตื่นตกใจมาก พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง

แต่...ทัศนคติของเขา เปลี่ยนไปในทันที เขากล่าวว่า
"ในการการเดินทางมาเมืองจีนเป็นครั้งที่ 8 ของพวกเรา
ครั้งนี้เราได้เรียนรู้ไปมากที่สุด"

หลังจากพวกเขากลับถึงญี่ปุ่น พวกเขาเขียนบทความ
เกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนั้น รวมทั้งประวัติชีวิตของอจ.หวัง
ลงตีพิมพ์ในนิตยสารศิลปะการต่อสู้ในญี่ปุ่น
บทความนั้นเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า
"เพียงนิ้วเดียว บันดาลให้เกิดความหวาดหวั่น..!"
ตั้งแต่นั้นมา ชื่อขอ.อจ.หวังเพ่ยซิง จึงติดอยู่ในอันดับ
หนึ่งในสิบ ของอาจารย์มวย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน


- สืบสาน เผยแพร่ -

ผลจากเหตุการณ์นั้น ทำให้อจ.หวังโด่งดังมาก
ท่านได้รับเชิญไปสอนมวย ทั้งในอเมริกา และญี่ปุ่น
ท่านกลายเป็นอจ.มวยที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ
หลังจากผ่าน เรื่องเลวร้าย และความยากลำบากมากมาย
ในที่สุด ชื่อเสียงของท่าน ก็เริ่มจะอยู่ในระดับเดียวกับพลังฝีมือ
ทุกๆวันจะมีคนมาเยี่ยมท่าน ที่บ้านหลังเล็กๆของท่านเสมอ


คลิป อจ.หวัง สาธิตในญี่ปุ่น

ในปี 1983 อจ.หวังตีพิมพ์หนังสือ "ไทจี๋ตระกูลอู๋" และได้รับ
การแปลเป็นภาษาอังกฤษ ในปี 1984 ท่านได้ตีพิมพ์หนังสือ
"มวยไทจี๋ตระกูลอู๋แบบสั้น" ซึ่งท่านเขียนเอาไว้เมื่อสามสิบปีก่อน
ในเดือนมกราคม 1984 สมาคมมวยไทจี๋สกุลอู๋ แห่งปักกิ่งก็ก่อตั้งขึ้น
อจ. หวังเพ่ยซิงเป็ญรองประธานอยู่ในระยะสั้นๆ แล้วจึงรับตำแหน่ง
ประธานในเวลาต่อมา ก่อนที่อจ.หยางอวี้ถิงจะจากไป ท่านได้มอบ
หมายให้ อจ.หวังเพ่ยซิง เป็นทายาท รับช่วงฐานะผู้นำกลุ่ม
มวยไทจี๋ตระกูลอู๋สายเหนือ ต่อจากท่าน


ผู้แปล - ตำแหน่งต่างๆของท่านเยอะมากยาวเหยียด
ผมคงไม่แปลนะครับ


อจ.หวังเพ่ยซิงสอนมวยอยู่เกือบ7ทศวรรษ ส่วนใหญ่
ท่านจะสอนมวยไทจี๋ เพราะเหตุนี้ ทำให้คนส่วนมาก
มักจะคิดว่าท่านเป็นอจ.มวยไทจี๋อย่างเดียว
ความจริงแล้ว นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ในวิชาความรู้ของท่านเท่านั้น

ท่านสอนทั้งสิงอี้ ปากัว และชี่กง ให้กับศิษย์จำนวนไม่มากนัก
นานๆที ท่านถึงจะทำให้ผู้คนแปลกใจในพลังฝีมือด้านอื่นๆ
ของท่านสักครั้ง

ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่ง ในปี 1983 ท่านได้รับเชิญไปสาธิต
ที่นานกิง จังหวัดกวางสี่ ในเมืองนั้น มีชมรมคนฝึกปาจี๋ที่ใหญ่มาก
พวกเขาชอบประลองกัน และฝึกกันแบบ ฮาร์ดคอร์ ตามแบบ
ฉบับนิยมของปาจี๋

ผู้แปล - อุอุอุ ไม่รู้ติดนิสัยโหดมาจากใคร

เมื่อพวกเขารู้ว่าอจ.หวังมาที่นั้น
พวกเขาจึงไปท้าประมือกับอจ.หวัง
อจ.หวังตอบรับ และกล่าวว่า
"พวกคุณฝึกปาจี๋ ดังนั้นถ้าฉันใช้วิชาอื่น มันก็คงไม่น่าสนใจ
เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้ฉันจะใช้แต่ปาจี๋เท่านั้น"

ในวันนั้น ท่านเอาขนะนักปาจี๋ทุกคน ด้วยปาจี๋ นั่นทำให้สมาชิกชมรม
ทั้งหลายประทับใจมาก ทั้งกลุ่มจึงตัดสินใจ ขอเรียน
ปาจี๋ และ ไทจี๋จากท่านหวัง



ในระหว่างที่ท่านสอนมวย และเขียนตำรามวยไทจี๋ตระกูลอู๋
แบบมาตราฐานอยู่นั้น ท่านยังได้ตีพิมพ์ หนังสือ
เฉียนกวน อู๋จี้กง ในปี1986 วิชานี้เป็นการผสมผสาน
เทคนิคการต่อสู้แต่ละวิชา ที่ท่านเรียนรู้มา ไปสู่
การฝึกชี่กง ต่อมาในปี 1990 ท่านยังตีพิมพ์หนังสือ
มวยชุดสั้นอีกเล่ม เป็นมวยชุด 16 ท่า เพื่อให้ผู้สนใจ
มีโอกาสเรียนรู้มวยไทจี๋ระดับสูงได้ง่ายขึ้น
นอกจากนั้น ท่านยังได้ตีพิมพ์หนังสือ การใช้อาวุธ
และ ชี่กง และในปี 1994 ท่านได้เผยแพร่วีดีโอ
ชุดไทจี่และชี่กงออกมา

อจ.หวังสอนท่ายืน 7 ดาว ท่าพื้นฐานสำคัญ
ของไทจี๋ตระกูลอู๋ ในวีดีโอ ปี 94


อจ.หวังมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น ท่านแต่งงานกับ
มิส หลี่ฉู่เจิ้น ตอนอายุสิบแปด เป็นการแต่ง
ตามแบบจีน คือคลุมถุงชน ทุกอย่างผู้ใหญ่เป็นผู้จัดการให้
ทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย กระทั่งวันแต่งงาน

มิสหลี่เป็นภรรยาที่ยอดเยี่ยม นางดูแลอจ.หวังทุกอย่าง
ทำให้อจ.หวัง สามารถมุ่งมั่นกับเรื่องมวยได้อย่างเต็มที่
ในแต่ละวัน เวลามีคนมาเยี่ยมอจ.หวังที่บ้าน
มิสหลี่จะดูแลงานบ้านทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
นางจะชกน้ำชามาต้อนรับ เตรียมอาหารกลางวัน
หรือ อาหารเย็นไว้พร้อม

เมื่อมิสหลี่ตายจากไปในปี 1997
จึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับชีวิตอจ.หวัง
ทันใดนั้น อยู่ๆจังหวะชีวิตของท่านก็พังทลายลง
ท่านสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่

เมื่อปราศจากเธอ ท่านดูเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
หลังจากนั้น อจ.หวังเริ่มมีอาการของโรคหัวใจ
เป็นครั้งแรก ท่านเงียบขรึมลง สุขภาพทรุดโทรม
อย่างรวดเร็ว

อจ.หวังเป็นอาจารย์มวยของจริง ที่ความรู้อัน
แน่นปึ๊กซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิต ได้มากจาก
ประสพการณ์การต่อสู้จริง
มีบางครั้งเหมือนกัน ที่การต่อสู้ของท่าน
ไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนฉันท์มิตร หรือทดสอบฝีมือ
แต่เป็นการเกี่ยวพัน กับความเป็นตาย..!

อย่างเช่นครั้งหนึ่ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
อจ.หวัง กับกลุ่มของท่าน ฝึกมวยอยู่ในสวนสาธารณะ
มีกลุ่มทหารญี่ปุ่นสี่คนผ่านมา หลังจากหยุดดูพวก
ท่านฝึกอยู่ครู่หนึ่ง พวกนั้นก็แสดงเจตนาแน่ชัดว่าอยากจะหาเรื่อง
ทหารญี่ปุ่น ชักดาบปลายปืนออกจากฝัก และท้าว่า

"มีใครกล้าใช้มือเปล่า เอาชนะพวกเราหรือเปล่า"


เหตุการณ์แบบนี้ เป็นสถานการณ์อันตรายสุดๆ
เพราะปักกิ่งในตอนนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพล
ของต่างชาติ ทหารญี่ปุ่นอาจจะทำร้าย
หรือ ฆ่าคนจีนได้ง่ายๆโดยไม่ต้องรับผิด
ขณะที่ชาวจีน ไม่สามารถทำร้ายคนญี่ปุ่นได้

อจ.หวัง แสดงความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นของท่าน
ท่านก้าวออกมาอย่างผ่าเผย และกล่าวเรียบๆว่า

"ให้ฉันลองดูแล้วกัน"

จากนั้นการต่อสู้จึงเริ่มขึ้น
อจ.หวังเคลื่อนไหวเป็นชุดต่อเนื่องรวดเร็วดุจสายฟ้า
(อุอุอุ ท่าคอมโบ)
ท่านปลดอาวุธ พวกญี่ปุ่นทุกคนได้อย่างเหลือเชื่อ
ทหารญี่ปุ่นทั้งสี่ ทั้งตื่นตระหนก และอับอาย จึงรีบเผ่นหนีไป

ตลอดชีวิตของท่าน อจ.หวังไม่เคยปฏิเสธการท้าประลองแม้แต่ครั้งเดียว
กระทั่งเมื่อท่านอายุเกือบแปดสิบปีแล้วก็ตาม

ผู้แปล -*- ดูเหมือนพวกลองของ มันไม่เคยมีความเกรงใจเลย
มันคงเก่งมากเลย ท้าปู่อายุ 80 ต่อยเนี่ย


อจ.หวังท่านจริงจังกับความสมบูรณ์แบบของกังฟูอย่างยิ่ง
ท่านฝึกหนัก และไม่เคยให้อภัยกับความผิดพลาด หรือ อะไรที่
เบี่ยงเบน ไปจากหลักทฤษฎีของวิชาการต่อสู้
ดังนั้นบางคนถึงเข้าใจผิด คิดว่าท่านโหดเกินไป หรือแม้กระทั่ง
กร้าวร้าวเกินไป แต่ในความเป็นจริง หากคุณรู้จักท่าน
คุณจะรู้ว่าท่านเป็นคนจิตใจเมตตามาก
ท่านจะดูแล ศิษย์อายุน้อยๆ เหมือนเป็นลูกของท่านเอง
ท่านชอบช่วยเหลือผู้อื่น ท่านมีความยุติธรรม
ถ่อมตน และซื่อสัตย์ ท่านไม่สูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า
ในใจของท่านนั้น ศิลปะการต่อสู้ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ท่านรักเกียรติของท่าน ยิ่งกว่าชีวิต



ในความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิต อจ. หวังกล่าวไว้ว่า
"ฉันเป็นคนโชคดีมาก เพราะในชีวิตของฉัน ได้เรียนรู้
กับอจ.ผู้ยิ่งใหญ่มากมาย แต่หลายปีที่ผ่านมา
เมื่อเรื่องอยุติธรรมนั่นเกิดขึ้นกับฉัน มันดูเหมือนจะสิ้นหวัง
ฉันเคยคิดจริงๆว่า จะเก็บวิชาอันทรงคุณค่าเหล่านี้
ลงหลุมไปกับฉัน..!

แต่มาวันนี้ ฉันคิดได้ว่า วิชาอันสูงส่งเหล่านั้น
เป็นสิ่งตกทอด มาจากอจ.รุ่นก่อน
จำนวนมากมายเหลือคณานับ
พวกท่าน ค่อยๆกลั่นกรอง สั่งสมวิชาความรู้
ที่ละเล็กทีละน้อย ด้วยความยากลำบาก
จากเลือดเนื้อและประสบการณ์ รุ่นแล้วรุ่นเล่า
หากฉันไม่ถ่ายทอดต่อไปอย่างระมัดระวัง
ก็เท่ากับว่า เป็นการผิดต่ออจ.รุ่นเก่าทั้งหลาย

ดังนั้น ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด และหวังว่า
เหล่าคนหนุ่มสาว จะตั้งใจ ฝึกหนัก
และรับช่วงต่อ วิชาอันทรงคุณค่านี้ ไปจากฉัน"


นั่นคือสิ่งที่อจ.หวังเพ่ยซิงพูด ว่าท่านต้องการจะทำ
และท่าน ก็ได้ทำเช่นนั้นตลอดมาอย่างแท้จริง...
************




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2549
5 comments
Last Update : 3 มกราคม 2550 23:11:51 น.
Counter : 2136 Pageviews.

 

ตะก่อนนี่ญี่ปุ่นเหมือนเป็นตัวทดสอบมาตรฐานอาจารย์มวยนะครับ ใครเก่งจริงต้องมีประวัติเคยชนะคนญี่ปุ่น

 

โดย: แมวสามขา IP: 58.8.6.223 25 พฤศจิกายน 2549 8:21:08 น.  

 

5 5 5 5

เป็นเทรนมั้งครับ
แต่คนญี่ปุ่นยุคนั้นตัวเตี๊ยจริงๆ
เตี้ยกว่าคนจีนอีก แค่ไม่กี่รุ่น
เดี๋ยวนี้ สูงโย่ง

พอมาสมัยนี้บนเวทีซานต้า
ต้องสั่งมวยไทยไปยำแทน
ญี่ปุ่นค่าตัวแพง

 

โดย: bbking IP: 222.123.30.59 25 พฤศจิกายน 2549 9:09:07 น.  

 

สนุกปนเศร้าเลยครับ สงสารท่านจัง

 

โดย: คนหลงทาง IP: 80.232.117.164 30 พฤศจิกายน 2549 20:54:21 น.  

 

อยากเรียนไทเก็กคร้าบบ (อยากเรียนมานานแล้วอ่า)

 

โดย: beer87 (beer87 ) 3 ธันวาคม 2549 1:12:19 น.  

 

ลองไปดูในนี้ครับ
หรือสอบถามเอาในบอร์ดที่นั่นก็ได้ครับ

//www.thaitaiji.com/board/index.php?action=vthread&forum=1&topic=267

 

โดย: bbking IP: 222.123.65.219 3 ธันวาคม 2549 14:14:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Ramin&Indra
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




สำหรับท่าน ที่ไม่ยังไม่รู้จักมวยไท่จี๋นะครับ

มวยไทจี๋ หรือ ไทจี๋ฉวน
มาจากคำว่า ฉวน แปลว่า มวย + กับ ไทจี๋
เป็นวิชา การต่อสู้ชนิดเดียวกับ ที่เราเรียกแบบแต๊จิ๊วว่ามวยไทเก๊ก
หรือ ที่กลุ่มกายบริหารเพื่อสุขภาพ
สมัยใหม่ เอาไปดัดแปลงแล้วเรียก ว่า ไทชิ
รวมทั้งศัพท์ วัยรุ่นที่เรียกว่า "ทิชชี่"
แถมยังมีแบบผสมโยคะ เอาไปเรียกว่า "โยชิ"
หรือ "ไทคะ"อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม วิธีฝึกแบบสมัยใหม่นั้น
บางครั้ง เป็นเพียงการยืมชื่อมาใช้
เพื่อโฆษณาสรรพคุณ
โดยไม่ได้มีเนื้อหาสาระ เกี่ยวข้องกับมวยไทจี๋เลย
หรือไม่ก็ เป็นการใช้คุณประโยชน์ของมวย
แค่เพียงกระผีกริ้นของมันเท่านั้น

มวยไทจี๋มีคุณประโยชน์มากมายมหาศาล
ในหลากหลายด้าน หากคุณได้ศึกษาจากผู้รู้
และ ฝึกฝนอย่างจริงจัง เป็นวิชา ที่คุณสามารถ
ใช้เป็นวิชาประจำตัว เรียนรู้จากมันได้ไม่มีที่สิ้นสุดจนตลอดชีวิต

บล๊อกนี้ผมตั้งใจจะ รวบรวม ประวัติ และ
ท่ามวยไทจี๋ของหลากแบบ หลายสายอาจารย์
ของมวยไทจี๋ตระกูลต่างๆเอาไว้ เผื่อผู้สนใจจะได้สามารถเปรียบเทียบได้

จากประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ปัจจุบัน มวยไทจี๋แบ่งออกเป็นหลายแบบ
หลากตระกูล ที่สำคัญๆก็คือ
มวยไทจี๋ตระกูลเฉิน ตระกูลหยาง
ตระกูลอู๋ ตระกูลอู่ ตระกูลซุน
สายหมู่บ้านเจ้าเป่า สายบู๊ตึ๊ง

แต่ละสาย ยังแตกแขนงออกไปอีกมากมาย
รวมทั้ง สายแปลกๆ สาย ย่อยต่างๆอีก
ผมจะพยายามรวบรวมมาให้ดูกันครับ

ยังทำไม่เสร็จนะครับ มีหลายหัวข้อยังว่างอยู่
ค่อยๆทำไปเรื่อยแล้วกัน

ตอนนี้ หัวข้อที่มีเนื้อหาอยู่ คือ
** กำเนิดมวยไทเก๊ก
** มวยไทเก๊กตระกูลหยาง
** คำสอนปรมาจารย์
** ตำนานยอดฝีมือครับ
** ประวัติมวยไท่เก๊ก ทั้ง7สาย
** มวยไท่เก๊กตระกูลเฉิน

แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ครบถ้วน
ยังคงอัพเดทเรื่อยๆครับ


บทความส่วนใหญ่ที่ผมเป็นคนแปล
จะมีข้อผิดพลาดในเรื่องการออกเสียง
ชื่อคน ชื่อสถานที่ภาษาจีน เพราะผมไม่รู้
ภาษาจีน และต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษเสีย
ส่วนใหญ่ ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ

อัพเดท สัปดาห์ละครั้งครับ
[Add Ramin&Indra's blog to your web]