หากมีแต่เพียงท่วงท่าภายนอก ไร้ภายในชักนำ ก็เรียกได้เพียงว่า"รำมวย" ไม่สามารถเรียกว่า "มวยไท่เก็ก"
<<
มกราคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
5 มกราคม 2550

เฟิงจื่อเฉียง มังกรตัวสุดท้าย (ตอนที่1)





อจ.เฟิงจื้อเฉียง เกิดในปี 1928
(ไม่ใช่ 1926 อย่างที่หลายท่านเข้าใจผิด)
ครอบครัวของท่านมาจาก ฉู่ลู่ จังหวัดเหอเป่ย
ปู่ทวดของท่านเฟิงเล่าเม่ยเป็นอจ.มวยชื่อดัง
ซึ่งผ่านการสอบทางทหารได้ตำแหน่ง อู๋จู ในช่วงราชวงศ์ชิง
ท่านเชี่ยวชาญเพลงดาบ และการขี่ม้ายิงธนู
ทั้งยังมีพลังแขนแข็งแรงกว่าคนทั่วไป

แม้ว่าบิดาของอจ.เฟิง จะไม่ได้ฝึกมวย
แต่ญาติคนหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่านฟง
คือ อจ. หวังเหยียนข่าย ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ในด้านมวยเส้าหลินท่านหนึ่ง

อจ.เฟิงรักศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เล็ก
ท่านชอบแอบดูท่านปู่ทวดฝึกมวย
แล้วลองเลียนท่าตามอย่าง บางครั้งก็นั่งฟัง
ท่านลุงเล่าเรื่องราวในยุทธจักร

เมื่ออจ.เฟิงอายุได้แปดขวบ ปู่ทวดท่านก็เสียไป
ท่านขอร้องให้ท่านลุงสอนมวยให้ แม้ว่าทางครอบครัว
จะไม่เห็นด้วยนักแต่ก็จำยอม
อจ.หวังก็เริ่มสอน ตงจื้อกง(เป็นวิชาบริหารยืดเหยียดร่างกาย)
ท่ายืน ท่าพื้นฐาน รวมทั้ง ตักม้ออี้จินจิง
หรือวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นให้อจ.เฟิง

อจ.เฟิงเกิดมาเผื่อฝึกมวยโดยแท้
ไม่เพียงแต่จะเรียนรู้ได้เร็ว แต่ยังได้รับมรดก
ความแข็งแกร่งมาจากท่านปู่ทวด
ท่านฝึกฝนอยู่เพียงสี่ปีร่างกายของท่าน
พร้อมสมบุรณ์สำหรับการฝึกมวยในอนาคต

อจ.เฟิงสมัยยังเด็กนั้นซนมาก
ท่านชอบการแข่งขัน และไม่เคยกลัวอะไรเลย
เวลาที่มีพวกคนร้ายเข้ามาในท้องที่
และมีคนไปรุมจับ จะมีเด็กชายเฟิงอยู่ด้วยเสมอ
เมื่อท่านอายุสิบสอง ก็สามารถลากหินหนักสองร้อย
กิโล ไปตามลานบ้านได้แล้ว
(คงเป็นคล้ายๆโม่กลมๆ ที่เหมือนลูกล้อแล้วลากไปไม่ใช่ยก)

เพราะเหตุที่อจ.เฟิงมีตาโตดั่งเสือ ท่านจึงได้รับฉายาว่า
"พยัคฆ์ตาโต" ไม่ว่าใครแถวนั้นก็ต้องรู้จัก
กลุ่มเด็กแถวบ้านเรียกท่าน เป็นราชา
พวกเด็กเกเรเวลาเจอท่านต้องหนีห่าง
เรียกได้ว่า เป็นเจ้าพ่อแก๊งค์เด็กแนวแถวนั้น

วีรกรรมต่างๆของท่าน ทำให้พ่อแม่ได้รับการต่อว่า
ต่อขานมากมาย ทางบ้านส่งท่านไปอยู่กับญาติ
ที่เป่ยผิง(ชื่อเก่าของเป่ยจิง)
นัยว่าเพื่อเรียนการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า
ความจริงแล้ว เพราะต้องการให้ท่านเฟิง
หมดโอกาสก่อเรื่องวุ่นวายนั่นเอง





มีอจ.มวยคนหนึ่งที่ที่เป่ยผิง ซึ่งมาจาก คังเจ้า ในเหอเป่ย
พักอยู่บ้านติดกับอจ.เฟิง เป็นผู้รอบรู้ด้านมวยถงเป่ย
นอกจากนั้นยังเชี่ยวชาญการสกัดจุด
และชิงกง หรือวิชาตัวเบา ท่านคือ อจ.หานเสี่ยวเฟิง

ท่านเฟิงศึกษาภายใต้คำแนะนำของอจ.หานเป็นเวลาสี่ปี
ไม่เพียงแต่เรียนถงเป่ยฉวนเท่านั้น
ท่านยังฝึกฝ่ามือทรายแดง ฝึกเตะเสาไม้
และตีถุงทรายอีกด้วย ตอนนั้นท่านสามารถ
ฟาดอิฐห้าก้อนให้แตกได้ภายในครั้งเดียว

ในช่วงปลายของทศวรรษที่ 40 มีอจ.มวยสองท่าน
ที่มีชื่อเสียงมากในเป่ยจิงคือ อจ.หู เหยาเจิ้น
อจ.มวยสิงอี้ จากจังหวัดซานสี่
ท่านมีฉายาว่า "นิ้วเดียวสะท้านฟ้าดิน"
ท่านไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญมวย
ยังรอบรู้ในวิชาแพทย์จีน รวมทั้งการเข้าญาณแบบเต๋า



ท่านหูเหยาเจิ้น (1879-1973) อีกชื่อคือ ท่านหูอวี้สี่
จบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ ซานสี่ ฉวนจื้อ
และศึกษาการต่อสู้จากอจ.มวยหลายท่าน ทั้งสิงอี้
ปากัว ไทจี๋ ด้วยพื้นฐานจากวิชาต่างๆ รวมทั้งวิชาลับ
ในการเข้าญาณแบบพุทธและเต๋า ทำให้ท่านหู
ได้คิดค้นท่าฝึกชี่กง แบบนิ่ง และแบบเคลื่อนไหว
ของตนเองขึ้น
ต่อมาในปี 1942 ท่านได้ก่อตั้งสมาคมศิลปะการต่อสู้
แห่งซานสี่ขึ้นที่ ขึ้นที่ไท่หยวน โดยมีตัวท่านเป็นประธาน

หมายเหตุ
ตามที่อจ.เฟิงเล่า อจ.หู เรียนสิงอี้จากท่านหวัง ฟู่หยวน
(สายท่าน หลิว ชี่หลัน) และอจ. เผิง ถิงจวน
ซึ่งบ่งบอกว่า วิชาของท่านหูนั้นเป็น สิงอี้แบบเหอเป่ย


มีเรื่องน่าสนใจว่า ผู้ฝึกสิงอี้ สายอจ.หวังฟู่หยวน
ในอวี้สี่ และซานสี่ เรียกมวยของเขาว่า
"ซินอี้" (เจตจำนง และ จิต) แม้ว่าที่อื่น
จะเรียกกัน "สิงอี้" (รูปแบบ และ จิต)
และไม่ควรนำไปสับสนกับ ซินอี้สายดั้งเดิม
ของตระกูล ไต้ หรือ สายมุสลิมเหอหนาน


อีกท่านหนึ่งนั้นคือ อจ.รุ่นที่17 แห่งมวยไทจี๋ตระกูลเฉิน
ท่านเฉินฟาเคอ สำหรับท่านนี้คงไม่ต้องบรรยาย
สรรพคุณมาก มีเวลาผมจะเขียนเรื่องท่านต่อครับ

ท่านทั้งสองล้วนเป็นนักสู้ในตำนาน
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพวกท่านมากมาย
เป็นความฝันของคนหนุ่มในปักกิ่ง
ที่จะได้เป็นศิษย์ของท่านทั้งสอง

ตอนนั้นท่านเฟิงกำลังหนุ่มฉกรรจ์อายุเพิ่ง 20ปี
แน่นอนว่า หนุ่มเฟิงเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น
และต้องการไปกราบพวกท่านเป็นอจ.
เพียงแต่ด้วยประเพณีในเวลานั้นทำให้
ท่านไม่สามารถจะเดินดุ่มๆไป
หาพวกท่านได้ หากไม่มีผู้แนะนำ

จนกระทั่งวันหนึ่ง โชคของท่านก็มาถึง
หนุ่มเฟิงได้ยินว่าศิษย์พี่น้องของท่านคนหนึ่ง
เป็นคนบ้านเดียวกับอจ.หู จึงขอร้องให้เขาพาท่าน
ไปพบ อจ.หูเหยาเจิน

ในตอนแรกที่หนุ่มเฟิงได้พบอจ.หู
เขารู้สึกผิดหวัง เพราะอจ.หู ไม่เหมือน
ภาพจอมยุทธุ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างที่วาดฝันไว้เลยสักนิด

ท่านดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแกร่งใหญ่โต
ความจริงแล้ว ดูหนักไปทางผู้หญิงอยู่หน่อยๆด้วยซ้ำ..!
มือก็บอบบางและนุ่ม ใบหน้าก็ไม่ดุดัน
แต่กลับดูเมตตา และมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
นั่นทำให้อจ.เฟิงสงสัยในฝีมือของอจ.หู

หลังจากที่อจ.หู ถามถึงวิธีการฝึก
และประสพการณ์ในเรื่องหมัดมวยจากหนุ่มเฟิงแล้ว
ท่านก็กล่าวว่า
"เจ้ามีโอกาสจะเป็นนักสู้ที่ดี เพียงแต่วิธีฝึกของเจ้านั้น
ไม่มีทางนำพาเจ้าไปสู่จุดนั้นได้"

หนุ่มเฟิงไม่เข้าใจ แถมยังโวยใส่อจ.หูว่า
"ผมฝึกมวยเส้าหลินมาตั้งแต่เด็ก ฝึกถงเป่ยอย่างหนัก
ผมสามารถยกก้อนหิน ทุบอิฐและฟาดหินให้หักได้
ท่านจะพูดว่านี่ใช้ไม่ได้ได้ยังไงกัน..!"

อจ.หูสีหน้าเคร่งเครียดลงกล่าวว่า
"มวยจีนนั้น ประกอบไปด้วยองค์ความรู้ต่างๆ
อันกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ใช้กำลังเยี่ยงสัตว์ป่า
วิธีที่เจ้าฝึกฝนนั้น เป็นการทำลายตัวเอง
เป็นการทำลายร่างกายที่บิดามารดาของเจ้าให้มา"





ทำลาย..? หนุ่มเฟิงไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อนเลย
เขาเคยได้ยินแต่ว่า กังฟูที่แท้จริงเป็นผลจากการฝึกฝนอย่างหนัก

อจ.หู ทราบว่าในตอนนั้น อธิบายไป หนุ่มเฟิงคงไม่เข้าใจ
จึกบอกให้หนุ่มเฟิงลอง โจมตีท่าน
หนุ่มเฟิงปฏิเสธ กล่าวว่า ตนเป็นเพียงศิษย์ผู้น้อย
ไม่กล้าล่วงเกิน อจ.หู จึงกล่าวอีกว่า
"ฉันให้เจ้าโจมตีฉันอย่างไรก็ได้ ตามที่เจ้าต้องการ"

แต่หนุ่มเฟิงยังเกรงใจ จึงใช้แรงเพียงหนึ่งในสามส่วน
โจมตีไปสองครั้ง อจ.หูต้องบอกให้เขา ลงมือให้หนักขึ้นอีก

...ดีล่ะ จะเอาอย่างนั้นก็ได้..หนุ่มเฟิงนึก
"งั้นอย่าหาว่าผมไม่เกรงใจผู้อวุโสก็แล้วกัน"

หมัดที่สามนี้ หนุ่มเฟิงใช้แรงทั้งหมดที่มี
เขาใช้ท่าที่เรียกว่า "ยิงปืนใหญ่สู่ท้องฟ้า"โจมตีอจ.หู

หมัดของเขานั้น ทั้งรวดเร็วและเปี่ยมไปด้วยพลัง
แต่แล้ว เมื่อสัมผัสกับร่างอจ.หู
หนุ่มเฟิงกลับรู้สึกราวกับชกปุยนุ่น หนุ่มเฟิงผงะ
เหมือนว่าพลังอันกร้าวแกร่งทั้งหมดสะท้อนกลับมา
ทำเอาเขากระเด็นไปสามเมตร กระแทกกับกำแพง
ก่อนร่วงลงมาเห็นดาวระยับ
เหงื่อเย็นเฉียบผุดออกมาโดยไม่รู้ตัว

หนุ่มเฟิงลุกขึ้น แล้วก็พบว่าตนเองไม่ได้บาดเจ็บ
เมื่อมองออกไปก็เห็นอจ.หู ยังยืนสงบนิ่งอยู่ดังเดิม
ราวกับว่าท่านไม่เคยขยับเขยื้อนเลยแม้สักนิ้วเดียว

จิตใต้สำนึกของหนุ่มเฟิง บอกกับเขาว่า
เขาคงชกเข้ากับ กำแพงชี่ เขาไม่เห็นอจ.หู
เคลื่อนไหวเลยสักนิด หนุ่มเฟิงสับสนอย่างที่สุด

ระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่นั่นเอง
อจ.หูก็เอ่ยขึ้น
"คราวนี้ถึงรอบของฉันแล้ว..!"




หนุ่มเฟิงฮึดขึ้นอีกครั้ง เขานึกใจว่า
คราวก่อน เขาตั้งใจแต่โจมตี เลยโดนอะไรเข้าไปไม่รู้ตัว
คราวนี้เขาจะไม่พลาดอีก ต้องเตรียมพร้อมรับมือ

ดังนั้นหนุ่มเฟิงรวบรวมพลังทั้งหมด
อันเป็นผลจากการฝึกมวยมาตลอด
สิบสองปีเพื่อใช้ในคราวนี้คราวเดียว
เขาคิดว่าตนเองยืนได้อย่างมั่นคง ราวหินผา

ตอนนั้นเอง ที่อจ.หูเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
พร้อมกับเหยียดนิ้วของท่านออกมา
หนุ่มเฟิงจ้องอย่างระมัดระวัง เขาไม่ได้
หวาดหวั่นพรั่นพรึงใดๆ เขารวมพลัง
ทั้งหมด พร้อมจะโต้กลับ ทันใดนั้น..!
ความรู้สึกอันแปลกประหลาดก็เข้าครอบงำ
หนุ่มเฟิงไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
วินาทีนั้นเอง พลังอันแข็งแกร่งก็ผ่าน
มาจากปลายนิ้วของอจ.หู...

เขาสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับถูกไฟช๊อต
ร่างกายทั้งหมดกระเด้งกลับ แล้วปลิว
ไปด้านหลัง กระแทกกับกำแพงเดิม

"นี่มันวิชาอะไรกัน..!" หนุ่มเฟิงอุทานอย่างตื่นตระหนก
อจ.หู ยิ้ม และกล่าวว่า
"นีเรียกว่าชี่กง ภายใน เป็นการรวบรวมชี่
ให้เป็นเหมือนกระสุนนัดหนึ่ง และปล่อย
ออกมาเป็นจุดเดียว"

อจ.เฟิงค่อยนึกออก ถึงคำเล่าลือที่ท่านเคยได้ยินมาก่อน
"นิ้วเดียวพิชิตฟ้าดิน" มันเป็นเรื่องจริง..!

หนุ่มเฟิงรู้สึกว่าตนเองได้ค้นพบวิชาการต่อสู้ที่แท้จริง
ที่เขาค้นหามาตลอดชีวิตแล้ว อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง
หนุ่มเฟิงจึงคุกเข่าลงต่อหน้าอจ.หู
กราบขอให้ท่านรับเป็นศิษย์
นับแต่นั้นมาเส้นทาง ศึกษามวยภายในของท่านก็เริ่มต้นขึ้น



อจ.เฟิงฝึกฝนภายใต้การดูแลของอจ.หู
ในช่วงสองปีแรก ท่านเรียนการ รวบรวมชี่
การบำรุงชี่ ฝึกจิต และชี่ ท่ายืนซานถิ วิธีการใช้ตันเถียน
หมัดห้าธาตุ สิบสองลักษณ์และ 24 ฝ่ามือ

ท่านเฟิงฝึกฝนอย่างขันแข็ง ภายใต้คำสอนขอ.อจ.หู
เมื่อเวลาผ่านไป พลังภายในของท่านก็อยู่ในระดับสูงขึ้น
ไม่เพียงแต่วงจรสวรรค์ใหญ่ และ ตันเถียนทั้งสาม
จะเปิดออก แต่ยังรวมไปถึงบอลชี่เล็กๆ
ที่ท่านสามารถสั่งให้หมุนเวียนไปทั่วร่างกาย
Five bows (ผมไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดี ท่านใดทราบ
บอกด้วยครับ) ก็พัฒนาขึ้น และร่างกายของท่าน
เปี่ยมไปด้วยความยืดหยุ่น


ขอเสริมเรื่อง five bows นิดนึงครับ ตามที่คุณ bbking ขอมา
five bows ถ้าแปลเป็นไทยน่าจะเรียกว่า 5 คันธนู ศัพท์ภาษาจีนเรียกว่า อู่กงเหออี แปลว่า 5 คันธนูรวมเป็นหนึ่ง คันธนูที่ว่านี้คือความโค้งของร่างกาย 5 ส่วนที่ต้องให้โค้งรับกัน 5 ส่วนที่ว่าคือ
1. คันธนูของกาย คือแนวกระดูกสันหลังทั้งเส้น
2. คันธนูของแขนทั้งสองข้าง
3. คันธนูของขาทั้งสองข้าง
รวมกันเป็น 5 คันธนู ซึ่งต้องฝึกให้ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวเรียกว่า อู่กงเหออี

โดย: เซียวหลิบงั้ง IP: 124.121.6.66 วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:15:38:46



ในที่สุด อจ.หูก็รับท่านเป็นผู้สืบทอด
ไม่เพียงแต่เพราะ พรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้
ของอจ.เฟิงที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเท่านั้น
แต่เพราะท่านเล็งเห็นว่า อจ.เฟิง มีความสามารถ
ที่จะสังเคราะห์กระบวนการ ของวิชาต่างๆ
ที่รำเรียนมา พัฒนาเป็นแบบของตนเองได้ในอนาคต


ติดตามต่อตอนสองครับ





Create Date : 05 มกราคม 2550
Last Update : 24 มกราคม 2550 0:01:11 น. 21 comments
Counter : 1799 Pageviews.  

 
จะมีคนตามมาไม่เชื่ออีกมั้ยเนี้ย 555555555

ฝ่ามือทรายแดง << ไม่ไช่น้ำตาลทรายแดงอ่ะครับ เป็นวิชาฝึกพลังของมืออย่างหนึ่ง โดยฝึกเรียกเลือดในตัวมารวมไว้ที่มืออ่ะครับ ทางภาคเหนือเรียกว่า "จูซาจ่าง" จูซาที่แปลว่าผงชาดอ่ะครับ ภาคใต้เรียกว่า "เสวี่ยะจ่าง" หรือฝ่ามือโลหิต เวลาสำแดงวิชามือเลือดจะรวมกันที่ผ่ามืออ่ะครับเลยได้ชื่อมาอย่างนั้น วิชาพวกนี้ฝึกให้มือหนักอ่ะครับ เวลาตีคนหนักมากๆ (ผมเคยประสบของจริงกับตัวมาแล้วครับ.....)


เล่าสู่กันฟังครับ สนุกๆ


โดย: ( - __ - ) IP: 125.24.27.51 วันที่: 5 มกราคม 2550 เวลา:21:40:54 น.  

 
เล่าบ่อยก็ดีครับ ผมชอบครับ
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหลากหลายนัก

เอานิ้วตี ผมว่าคงคล้ายๆ
คลิป อจ.หวังเพ่ยซินน่ะครับ
ที่ท่านสาธิต ก็ใช้สองนิ้ว

ส่วนเชื่อไม่เชื่อ ผมยืนยันไม่ได้อยู่แล้ว
แค่แปลๆมา แต่ดีอยู่อย่าง อจ.เฟิงยังไม่เสีย
อายุ 78 แล้ว ยังสอนมวยอยู่ทุกวัน
อจ.มวยจากไต้หวัน ยังไปขอผลักมือ
กะถ่ายคลิปมาโปรโมตตัวเอง
แต่ในคลิปไม่เห็นทำอะไรได้เลย
ดันๆ ท่านก็อ่อนตาม แถมยังแนะนำ
ความรู้ให้อีก

ใครอยากรู้ว่าจริงไม่จริง รีบไปถามท่านซะ
ก่อนจะไม่มีโอกาส


โดย: bbking IP: 124.157.205.179 วันที่: 5 มกราคม 2550 เวลา:23:42:52 น.  

 
ถามคุณ( - __ - ) หน่อยครับ
ผมมือแดงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
ผมไม่ใช่คนขาว แต่ฝ่ามือจะแดง
เป็นปกติตลอด
เมื่อก่อนไปดูหมอที่ไร หมอดูตกใจทุกที

แบบนี้มือจะหนักหรือเปล่าครับ
5 5 5 5

ถามไว้ดูเนื้อคู่ อุอุอุ


โดย: bbking IP: 124.157.205.179 วันที่: 5 มกราคม 2550 เวลา:23:47:43 น.  

 
เอ่อ ขออนุญาต พี่ bbking รบกวนแก้ ด้วยครับ สิงอี้ตระกูลไต้ครับ แล้วก็ชื่อของอาจารย์เฉิน เฉินเจ้าขุยครับ ไม่ใช่กุ้ย แล้วก็คลิปวีดีโอที่ว่า เป็นของท่าเฉินเจ้าขุยนั้น ผมว่าไม่น่าจะใช่นะครับ ผมลองหาๆ ดูแล้ว มีคนชื่อคล้ายๆกันอยู่2คนครับ เฉินเจ้าขุย 陈照奎 รุ่นที่18 กับเฉินเจาขุย 陈兆奎 ไม่รู้รุ่นไหน

//www.yangshengzhu.com/health/220/2087-1.htm นี่ครับ รูปของท่านเฉินเจ้าขุย จะมีอีกท่านนึง เฉินเจ้าพี 陈照丕 (ไม่แน่ใจว่าเป็นพี่น้องกันรึเปล่าครับ)
//www.chinataijiquan.com/images/tjlp/chen_master2.jpg รูปท่านเฉินเจ้าพีครับ


โดย: ตี๋ IP: 58.9.13.30 วันที่: 5 มกราคม 2550 เวลา:23:47:45 น.  

 
ขอบคุณครับ

ครับ อจ.เฉินต้องทยอยแก้ครับ
เพราะมีหลายที่เลย

เมื่อก่อนผมก็พิมพ์เจ้าขุยเหมือนกันครับ
ตอนหลังๆชักมึน เปลี่ยนเป็น
เจ้ากุ้ย ไม่แน่ใจว่าออกเสียงยังไง
บางทีเป็น ขวย เป็น ไขว๋

เอา ขุยเป็นมาตรฐานน่าจะดีกว่านะครับ


โดย: bbking IP: 124.157.205.179 วันที่: 5 มกราคม 2550 เวลา:23:52:47 น.  

 
รูปที่เป็นท่านเฉินเจ้าพีนั่น
บางแหล่งว่า เป็นท่านเฉินเจ้าเป่ยนะครับ

ผมเช็คดูแล้ว กับรูปจริงๆของท่าน
คล้ายกัน แต่ท่านเจ้าเป่ยไม่มีเครา

ท่านเฉินเจ้าขุย เสียตอน 53 คงไม่มีรูป
ท่าน ตอนมีเคราแน่ครับ
เดี๋ยวผมลองเช็คอีกทีครับ


โดย: bbking (Ramin&Indra ) วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:0:21:48 น.  

 
ฮื่อๆ พิมพ์มาตั้งนานหายหมดเลยอ่ะ ไอ้คอมบ้า จำไม่ได้ว่าพิมพ์ไรไปบ้างอ่ะ เยอะเกิน

ก็แบบว่า ท่านเฉินเจ้าขุยอ่ะครับ ผมลองไปค้นๆดูในกูเกิ้ลแล้ว(อดนอนเลยคืนนี้) จากความรู้อันน้อยนิดที่ขี้เกียจไปเรียนภาษาจีนของผม

คือ ท่านเฉินจ้าขุย เหมือนจะเขียนด้วยตัวอักษรจีนได้ 2 แบบครับ คือ 陈兆奎 陈照奎

โดยชื่อ 陈兆奎 โดยส่วนใหญ่แล้วจะลงประวัติว่า เป็น ทายาทมวยไทเก็กตระกูลเฉินรุ่นที่ 10 ครับ นับจากท่านเฉินหวังถิงเป็นรุ่นที่ 1

และชื่อ 陈照奎 จะลงประวัติว่า เป็นทายาทรุ่นที่ 18 นับตั้งแต่ท่านเฉินปู่เป็นรุ่นที่ 1 เฉินหวังถิงเป็นรุ่นที่ 9 เฉินฉางซิ่งเป็นรุ่นที่ 14

ส่วนในคลิปมวยไทเก็ก ที่ว่าเป็นท่านเฉินเจ้าขุย ก็คงจะเป็นท่านตัวจริงแล้วละครับ ไม่น่าจะผิดเพี้ยนแล้ว หน้าตาก็คล้าย กับในรูป ก็คงจะจริงอ่ะครับ

ตอนแรกสับสนระหว่างรุ่นที่ 10 11 แล้วก็ 18 สรุปคือ การนับไม่เหมือนกัน

อย่างบางบทความในเว็บก็ใช้ชื่อท่าน เฉินเจ้าขุย 陈兆奎 陈照奎 2ชื่อนี้ในบทความเดียวกัน เพิ่มความงงให้กับคนไม่เก่งภาษาอย่างผมมากเลยอ่ะ

รบกวน เรื่องเฉินเจ้าเป่ยหน่อยครับ เหมือนจะเคยได้ยินชื่อแต่ไม่ทราบรายละเอียดเลยครับ จำไม่ได้ว่าเคยอ่านบทความที่ไหนมาก่อน คุ้นๆอยู่ แล้วก็ท่าน เฉิงจินไฉ ด้วย ไม่ทราบว่าสองท่านนี้ พี่มีชื่อเป็นภาษาจีนมั๊ยครับ เผื่อจะได้หา ๆในเน็ทได้บ้าง

คือในหนังสือที่ผมมี ลงว่าศิษย์รุ่นที่18 มีใช้ชื่อ เจ้า แค่7คนเองครับ
เฉินเจ้าขุย 陈照奎
เฉินเจ้าพี 陈照丕
เฉินเจ้าซวี่ 陈照旭
เฉินเจ้าไฮ่ 陈照海
เฉินเจ้าผู 陈照普
เฉินเจ้าถัง 陈照塘
เฉินเจ้าฉือ 陈照池
ไม่มีเฉินเจ้าเป่ยครับ ผมเลยสงสัย


โดย: ตี๋ IP: 58.9.13.30 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:4:18:23 น.  

 
Chen Zhaopi (ZhaoPei)
เป็นท่านเดียวกันครับ
ถ้าดูจากผัง อันนี้ ก็คงเห็น

//www.blackburnacademy.com/taichi/images/chenfamily.gif

อันนี้บทความที่เขียนโดยลูกชายท่าน

//www.taiji-bg.com/articles/taijiquan/t48.htm


โดย: bbking IP: 124.157.163.106 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:11:24:28 น.  

 
เฉิงจินไฉ

อยู่ตรงไหนครับ รบกวนบอกหน่อย
ผมหาไม่เจอ

5 5 5 5


โดย: bbking IP: 124.157.163.106 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:11:36:34 น.  

 
ภาษาจีนสำหรับผมเป็นของแสลงครับ
ว่าจะหาเรียนเหมือนกัน
แต่ไม่ค่อยมีเวลา

โดยมาก ถึงเจอบทความที่มีชื่อภาษาจีน
แต่ผมก็มักจะไม่ได้เก็บไว้

เพราะอ่านไม่ออก
ยังไงลองเอาไปโพสถาม
คุณรังไหม หรือคนที่รู้ภาษาจีนใน
บอร์ดดีกว่า


โดย: bbking IP: 124.157.163.106 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:11:43:11 น.  

 
สุดยอดครับ แล้วจะรอตอนต่อไปครับ


โดย: AAA IP: 124.120.243.195 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:12:05:49 น.  

 
มีเกร็ดสนุกๆเรื่องนึง
ที่ท่านเฉินเจิ้งเหลยเล่าเอาไว้

ท่านบอกว่า ท่านเฉินเจ้าเป่ยนั้นสอน
มวยให้พวกทาง เจียงไคเช็กมาก่อน
พอมีการปฏิวัติวัฒนธรรม ท่านก็ถูกห้ามสอน
แต่ก็ยังแอบสอน นั่นแหละ

ตอนหลังพอเริ่มคลี่คลาย เริ่มสอนมวยได้
เวลาแสดงให้คนของพรรคชม
ท่านก็จะเปลี่ยนชื่อท่า จาก
"Buddha’s Attendant Pounding The Mortar"
เป็น "Mao Pounds The Mortar."
เพื่อเอาใจเหมา ทำให้ท่านสามารถ
เผยแพร่ตระกูลเฉินต่อมาได้

อุอุอุ

ถ้าไม่มีท่าน เฉินเจ้าเป่ย ท่านเฉินฟาเคอ
ก็คงไม่ได้มาปักกิ่ง ถ้าท่านเจ้าเป่ย
ไม่กลับไปสอนมวยพวก อจ.รุ่น19
พาพวกศิษย์ตระเวนร่อนเร่สาธิตมวย
มวยไทจี๋เฉิน คงไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้

เดี๋ยวนี้ไปดู อจ.รุ่น 19 ดังๆแต่ละท่าน
หาเงินจากฝรั่งได้มากมาย
เฉินเจียโกว จากบ้านโทรมๆ
แทบจะกลายเป็นวังไปเลย


โดย: bbking IP: 124.157.163.106 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:13:06:56 น.  

 
เท่าเฉินเจิ้งเหลยเล่าอีกว่า

ช่วงนั้น ท่านเฉินเจ้าเป่ย ถูกพวก
เรดการ์ด จับไปทุบตี และทรมาน
จากนั้นท่านพยายาม โดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย

.*. เหมือน ท่านเฉินเจ้าขุยเลยแฮะ

แต่คนช่วยไว้ได้ ขาของท่านบาดเจ็บสาหัสมาก
จากการถูกทำร้าย ท่านต้องรักษาตัวอยู่สองปี
ถึงจะเริ่มสอนมวยใหม่ได้อีกครั้ง

ที่ต้องเปลี่ยนชื่อท่ามวยหลายท่านั้น
เพื่ออ้าง ให้พรรคเห็นว่า
พวกเขาฝึกมวย เพื่อรำลึกถึงท่านเหมา
ใว้ในใจเสมอ จะได้อนุญาติให้ฝึกได้

อุอุอุ


โดย: bbking IP: 124.157.163.106 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:13:52:25 น.  

 
เท่าเฉินเจิ้งเหลยเล่าอีกว่า

ช่วงนั้น ท่านเฉินเจ้าเป่ย ถูกพวก
เรดการ์ด จับไปทุบตี และทรมาน
จากนั้นท่านพยายาม โดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย

.*. เหมือน ท่านเฉินเจ้าขุยเลยแฮะ

แต่คนช่วยไว้ได้ ขาของท่านบาดเจ็บสาหัสมาก
จากการถูกทำร้าย ท่านต้องรักษาตัวอยู่สองปี
ถึงจะเริ่มสอนมวยใหม่ได้อีกครั้ง

ที่ต้องเปลี่ยนชื่อท่ามวยหลายท่านั้น
เพื่ออ้าง ให้พรรคเห็นว่า
พวกเขาฝึกมวย เพื่อรำลึกถึงท่านเหมา
ใว้ในใจเสมอ จะได้อนุญาติให้ฝึกได้

อุอุอุ


โดย: bbking IP: 124.157.163.106 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:13:52:39 น.  

 
ขอบคุณครับ

อยู่ย่อหน้าที่ 6 บรรทัดที่ 2 ครับ ที่ว่าท่านเป็นศิษย์ของท่านเฉินเจ้าขุย น่ะครับ เหมือนเคยได้ยินชื่อท่าน แต่ไม่รู้ว่า อ่านออกเสียงให้ถูกต้องนั้นต้องอ่านอย่างไรเพราะจำ ตัวอักษรจีนไม่ได้ครับ


โดย: ตี๋ IP: 58.9.16.44 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:17:21:10 น.  

 
คำว่ามือแดง หรือฝ่ามือแดงของ จูซาจ่าง จะแดงเข้มๆออกไปทางสีเลือดหมูอ่ะครับ ภาคเหนือเลยเรียกว่าจูซาจ่าง หรือฝ่ามือผงชาด โดยแดงตลอดทั้งหน้ามือหลังมือ คนเก่งมากๆจะแดงไปถึงท่อนแขนน่ะครับ และจะแดงเฉพาะเดินลมปราณรีดพลังอ่ะครับ เวลาปรกติมือก็จะเหมือนกับคนธรรมดาอ่ะครับ เห็นว่าบางคนเวลาฝึกถ้าเส้นเลือดฝอยที่มือเกิดแตกเพราะรับปริมาณเลือดไม่ไหวก็จะเกิดแดงเป็นจ้ำๆตามมือหรือแขนอย่างคนเป็นไข้เลือดออกอ่ะครับ

วิชานี้จัดเป็นวิชาชี่กงอ่ะครับ ไม่ได้เป็นประเภทเอาหมัดไปทุบๆของแข็งแล้วแช่ยาอย่าง เถี่ยซาจ่าง หรือ ฝ่ามือทรายเหล็ก ครูมวยเก่งๆสมัยก่อนนิยมฝึกคู่กันอ่ะครับ(แล้วทำไก๋ไม่รู้ไม่ชี้ว่าบอกว่าตัวเองไม่เคยฝึก 55555)

ความจริงผมพบเจอวิชาอันนี้โดยบังเอิญอ่ะครับ พูดๆกันก็ยังนึกว่าท่านปล่อยมุขอำเราเล่น ...หนอยฝ่ามือโลหิตซะด้วย ชอว์บราเดอร์มาเอง ....พอเจอกับตัวก็ใบ้กินไปเลย 555555 เวรกรรมความงี่เง่าของตัวเองจริงๆ



โดย: ( - __ - ) ... NHB IP: 125.24.19.71 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:20:09:59 น.  

 
เจอแล้วครับ ท่านแซ่ เฉิง น่ะครับ ไม่ใช่เฉิน
ท่าน เป็นหนึ่งในสองคน ที่กล่าวเรื่อง
ซินเจียะ ไม่ใช่มวยใหม่
ผมกะว่า จะเอาเรื่องของท่าน
กับที่อจ.หลายๆท่านเล่า มายำ
เป็น เรื่องท่านเฉินเจ้าขุย เฉินเจ้าเป่ยอีกที

//www.chenstyletaichi.com/english/pages/cheng.html


//www.chenstyletaichi.com/english/pages/grandmasterchen.html

เวรและ ผมอ่านอีกที เรื่องโดดบ่อ
ที่อจ.เฉิงจินไช่เล่า มันเรื่องของท่านเจ้าเป่ยนี่นา
เวรกรรมจริงๆ ต้องรีบไปแก้ซะแล้ว
มิน่าล่ะ ผมอ่านรวบไปหน่อย
ท่านเล่าถึงอจ.หลายท่าน แซ่เฉินเหมือนกัน
เลยเบลอ


ปล่อยไก่ไปหมดเล้าเลย
มีเกร็ดน่าสนใจหลายเรื่องครับ
เช่น อจ.เฉินเสี่ยวหวังยืมรูปท่านเฉินฟาเคอไป
แล้วไม่คืน




โดย: bbking IP: 58.147.90.105 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:20:54:30 น.  

 
ช่วงหลังนี้ท่านอาจารย์เฝิงจื้อเฉียงมีหนังสือ
ออกมาสองเล่ม เล่มนึงท่านเขียนเอง
เฉินสื้อไท่จี๋ฉวนยู่เหมิน
อีกเล่มโดยศิษย์ท่านเรียบเรียงให้
เล่มหลังนี้พูดเรื่องฉานซือจิ้งค่อนข้างละเอียด
แต่เป็นภาษาจีนนะครับ
เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนเห็นเล่มหลังอยู่ที่ร้านคิโนะฯพารากอน
เล่มนึง(รู้สึกว่าคิโนะฯสาขาอื่นจะไม่มีภาษาจีนมีแต่
ญี่ปุ่นกับอังกฤษ มีที่พารากอนที่เดียว)


เรื่องชื่อที่ออกสำเนียงเสียง
ไม่น่าจะเป็นปัญหาในการอ่านน่ะครับ
หมายถึงสำหรับผู้อ่าน
ถึงจะไม่ตรงไปบ้างคงไม่เป็นไร
สำหรับท่านที่อ่านจีนได้ก็คงแก้ไขเองในใจ
ไม่ได้รู้สึกเสียหายอะไร
เพราะผู้อ่านรู้อยู่แล้วว่าแปลจากภาษาอังกฤษครับ




โดย: รังไหม IP: 58.9.189.112 วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:22:24:17 น.  

 
ขอเสริมเรื่อง five bows นิดนึงครับ ตามที่คุณ bbking ขอมา
five bows ถ้าแปลเป็นไทยน่าจะเรียกว่า 5 คันธนู ศัพท์ภาษาจีนเรียกว่า อู่กงเหออี แปลว่า 5 คันธนูรวมเป็นหนึ่ง คันธนูที่ว่านี้คือความโค้งของร่างกาย 5 ส่วนที่ต้องให้โค้งรับกัน 5 ส่วนที่ว่าคือ
1. คันธนูของกาย คือแนวกระดูกสันหลังทั้งเส้น
2. คันธนูของแขนทั้งสองข้าง
3. คันธนูของขาทั้งสองข้าง
รวมกันเป็น 5 คันธนู ซึ่งต้องฝึกให้ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวเรียกว่า อู่กงเหออี


โดย: เซียวหลิบงั้ง IP: 124.121.6.66 วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:15:38:46 น.  

 
ขอบพระคุณ อจ.เซียวมากครับ
เดี๋ยวผมจะเอาไปอธิบายเพิ่ม
ไว้ในบทความ



โดย: bbking IP: 222.123.24.187 วันที่: 18 มกราคม 2550 เวลา:2:34:55 น.  

 
ไม่ทราบมีใครรับสอนกังฟุเส้าหลินบ้าง รบกวน mail มาบอกที่ c_marusachot@hotmail.com ด้วยนะ


โดย: แอนนา IP: 61.19.205.253 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:42:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ramin&Indra
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




สำหรับท่าน ที่ไม่ยังไม่รู้จักมวยไท่จี๋นะครับ

มวยไทจี๋ หรือ ไทจี๋ฉวน
มาจากคำว่า ฉวน แปลว่า มวย + กับ ไทจี๋
เป็นวิชา การต่อสู้ชนิดเดียวกับ ที่เราเรียกแบบแต๊จิ๊วว่ามวยไทเก๊ก
หรือ ที่กลุ่มกายบริหารเพื่อสุขภาพ
สมัยใหม่ เอาไปดัดแปลงแล้วเรียก ว่า ไทชิ
รวมทั้งศัพท์ วัยรุ่นที่เรียกว่า "ทิชชี่"
แถมยังมีแบบผสมโยคะ เอาไปเรียกว่า "โยชิ"
หรือ "ไทคะ"อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม วิธีฝึกแบบสมัยใหม่นั้น
บางครั้ง เป็นเพียงการยืมชื่อมาใช้
เพื่อโฆษณาสรรพคุณ
โดยไม่ได้มีเนื้อหาสาระ เกี่ยวข้องกับมวยไทจี๋เลย
หรือไม่ก็ เป็นการใช้คุณประโยชน์ของมวย
แค่เพียงกระผีกริ้นของมันเท่านั้น

มวยไทจี๋มีคุณประโยชน์มากมายมหาศาล
ในหลากหลายด้าน หากคุณได้ศึกษาจากผู้รู้
และ ฝึกฝนอย่างจริงจัง เป็นวิชา ที่คุณสามารถ
ใช้เป็นวิชาประจำตัว เรียนรู้จากมันได้ไม่มีที่สิ้นสุดจนตลอดชีวิต

บล๊อกนี้ผมตั้งใจจะ รวบรวม ประวัติ และ
ท่ามวยไทจี๋ของหลากแบบ หลายสายอาจารย์
ของมวยไทจี๋ตระกูลต่างๆเอาไว้ เผื่อผู้สนใจจะได้สามารถเปรียบเทียบได้

จากประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ปัจจุบัน มวยไทจี๋แบ่งออกเป็นหลายแบบ
หลากตระกูล ที่สำคัญๆก็คือ
มวยไทจี๋ตระกูลเฉิน ตระกูลหยาง
ตระกูลอู๋ ตระกูลอู่ ตระกูลซุน
สายหมู่บ้านเจ้าเป่า สายบู๊ตึ๊ง

แต่ละสาย ยังแตกแขนงออกไปอีกมากมาย
รวมทั้ง สายแปลกๆ สาย ย่อยต่างๆอีก
ผมจะพยายามรวบรวมมาให้ดูกันครับ

ยังทำไม่เสร็จนะครับ มีหลายหัวข้อยังว่างอยู่
ค่อยๆทำไปเรื่อยแล้วกัน

ตอนนี้ หัวข้อที่มีเนื้อหาอยู่ คือ
** กำเนิดมวยไทเก๊ก
** มวยไทเก๊กตระกูลหยาง
** คำสอนปรมาจารย์
** ตำนานยอดฝีมือครับ
** ประวัติมวยไท่เก๊ก ทั้ง7สาย
** มวยไท่เก๊กตระกูลเฉิน

แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ครบถ้วน
ยังคงอัพเดทเรื่อยๆครับ


บทความส่วนใหญ่ที่ผมเป็นคนแปล
จะมีข้อผิดพลาดในเรื่องการออกเสียง
ชื่อคน ชื่อสถานที่ภาษาจีน เพราะผมไม่รู้
ภาษาจีน และต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษเสีย
ส่วนใหญ่ ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ

อัพเดท สัปดาห์ละครั้งครับ
[Add Ramin&Indra's blog to your web]