ในสุขมีทุกข์

ในสุขมีทุกข์

       สัปดาห์ที่ผ่านมา(12-18 ก.ค.58) ฝนฟ้าที่ห่างหายค่อยคืนกลับมาบ้างแม้จะยังไม่มากมายเหมือนฤดูฝนปีก่อนๆ ทำให้ชาวนาในละแวกบ้านริมทุ่งของผมมีใจชื้นขึ้นมาหน่อย บ้านผมมีทุ่งนาผืนกว้างใหญ่ไพศาลล้อมอยู่ทางด้านข้างและด้านหลัง ชาวบ้านได้เตรียมพื้นที่นามานานเป็นเดือนแล้ว เริ่มตั้งแต่เผาหญ้า วัชพืช ไถคราดแล้วปล่อยทิ้งไว้รอฝน แต่ฝนเจ้ากรรมไม่อยากจะตก พอตกก็ไม่มากมายพอที่จะปักดำได้ บางรายลงทุนสูบน้ำจากคูคลองที่เริ่มจะมีน้ำไหลเข้ามาบ้าง เสียงเครื่องสูบน้ำดังต่อเนื่องกันยาวนานเป็นหลายวัน หลังบ้านผมมีสระน้ำอยู่หนึ่งสระ มีน้ำผุดเกือบตลอดทั้งปี ผมกักเก็บน้ำไว้สูบรดต้นไม้ดอกไม้ประดับรอบเรือนที่พักอาศัย ตั้งแต่ปีก่อนชาวนาที่มีผืนนาติดบ้านของผมขอสูบน้ำจากสระเข้านาของเขา ด้วยไม่เห็นผมเปิดเครื่องสูบน้ำที่ติดตั้งไว้ข้างสระมานาน เดิมทีผมลงทุนวางระบบส่งน้ำจากสระไปทั่วบริเวณสวนจนถึงหน้าบ้าน แต่เกือบสองปีแล้วที่ผมรื้อมันทิ้ง เจ้าของร้านค้าอุปกรณ์สวนเคยคุยกับผมว่า ถ้าคิดจะเอาทุน(ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบน้ำ)คืนด้วยการขายผลิตผลในสวน อาจไม่เป็นดังหวังก็ได้ให้ผมทำใจไว้ก่อน ผมตอบเขาว่าวัตถุประสงค์ของผมในการทำสวนนั้นเพื่อให้มีงานทำจะได้ไม่เฉาตายก่อนวัยอันควร ผมหวังได้รับความสุขจากการเห็นความเจริญเติบโตของต้นไม้(ไม่นับใบหญ้านะครับ) เห็นมันผลิดอกออกผลมากกว่ารายได้จากการขายผลิตผลของมัน เพราะรู้ดีว่าไม่ใช่มืออาชีพทางการเกษตรและไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ผมเป็นได้แค่มือสมัครเล่นที่อยากเห็นธรรมชาติที่สร้างด้วยมือตัวเอง ก็เท่านั้น




ปลูกไม้ประดับรั้วด้านหน้าบ้านทั้งซ้าย ขวา มีทั้งชาเขียว ฮกเกี้ยน หมากเขียว ชบาใบด่าง ใบนาค พลับพลังกทม. ดอกดิน


หน้าเรือน ที่พักมีแก้ว โมก กล้วยพัด(เอาไว้บังแดดบังลม) พุดขาว จันผา ลีลาวดีฯลฯ


หลังเรือน มีโมก แก้ว วาสนา


ข้างเรือนติดทุ่งนา ปลูกราชาวดีไว้ดมกลิ่นหอม เล็บมือนางไว้บังตา ใบเงิน ใบนาก เตยเอาไว้ตัดใบมาทำขนมขาย

       ผมสนุกอยู่กับไม้ผล(ไม่กี่ชนิด) ไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ริมรั้ว ไม้เถาเลื้อยอยู่นานหลายปี ต่อมาด้วยสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติที่ไม่อำนวยและขาดการบำรุงตามควร มันก็ตายไปเองบ้างเช่นลำไย มะม่วง กล้วย ถูกตัดทิ้งบ้างเช่นฝรั่งเพราะเป็นโรคราจุดสนิมและเพลี้ยแป้ง ไม้ประดับรั้วผมก็ขุดทิ้งไปหลายชุดทั้งพุทธรักษา ลิ้นมังกร และชบาดอก ด้วยมันรกและเริ่มรุกเข้าไปในที่สาธารณะ ไม้เถาเลื้อยเช่นมะลิวัลย์ซึ่งมีกลิ่นหอมไกลผมจำใจต้องรื้อทิ้งเพราะมันเลื้อยพันกันกับต้นตูดหมูตูดหมารกไปหมด นานปีเข้าผมถูกบ่นจากคนข้างกายว่า “ไหนว่าปล่อยวางไง นี่ยิ่งทำยิ่งติดยิ่งยึด บวชเรียนมาเสียแรงเปล่าไม่ได้เรื่อง” ผมเลยต้องหันมาพิจารณาตัวเองว่ายังจะเข็นสังขารอย่างนี้ต่อไปได้อีกนานเท่าไร ทำมันแต่พองามจะดีกว่ามั้ย คือทำเท่าที่จะทำได้ ปล่อยให้เทวดาท่านช่วยดูแล(สวน)บ้าง ผมเลยตัดสินใจเอาไม้ดอกไม้ประดับซึ่งพอจะหากินได้เองลงดินแทนการอยู่ในกระถาง(เว้นบางต้นที่จำเป็นเท่านั้น) เพื่อลดการสูบน้ำและตามแก้ปัญหาระบบน้ำสวน เช่นหัวฉีดน้ำอุดตันอท่อส่งน้ำ(ท่อพีอี)แตก รั่วหรือขาด(ตามสภาพการใช้งานหรือถูกใบมีดตัดหญ้า) หรือข้อต่อระหว่างท่อหลุด ปัจจุบันผมเลิกใช้ระบบน้ำสวนแล้ว สำหรับไม้ผล ไม้ยืนต้นให้ธรรมชาติดูแลแทน ส่วนไม้ดอกไม้ประดับต่างๆที่ยังปลูกอยู่ในกระถางผมใช้น้ำปล่อยจากที่สูงรดสองสามวันต่อครั้ง(ถ้าฝนไม่ตก) ซึ่งรวมทั้งมะนาวปลูกในวงท่อซีเมนต์จำนวนโหลต้นด้วย




หลังบ้านเป็นสวนไม้แดก(ไม้ผล) เคยมีกล้วย มะม่วง ลำใยหลายสิบต้นปีนี้เหลืออยู่ไม่กี่ต้น ที่เหลือเป็นไม้ผลป่า เช่นมะกอกไว้กินใบ หล้า มะกูดหลายต้นอยู่ยงคงกะพันดีนัก มะขามหวาน๑ มะขามเปรี้ยว๑




หน้าบ้านปลูกมะนาววงท่อ ๑๒ ต้น มะยม๒ เรือนไม้เลื้อยมีพวงแสดหน้าบ้าน พวงคราม เล็บมือนาง


ถนนเข้าบ้านต้นไม้สองข้างทางมีชาฮกเกี้ยนที่เคยสูงเกือบเมตร ตอนนี้ตัดลงมาให้เตี้ยเพื่อการดูแลที่ง่ายขึ้น ปาล์ม หมากเขียว จั๋ง ชาทองถูกตัดให้เตี้ยเพราะแล้งนี้โทรมมากๆ ใบช้อนทอง สิบสองปันนา

      ปีนี้สภาพอากาศร้อนตับแตกและแล้งน้ำอย่างที่ทราบกันทั่วไป ต้นไม้ที่แกร่งกับสภาพอากาศร้อนจัด มีฝน น้อยยังคงยืนต้นอยู่ได้แต่ว่ามันไม่งามไม่สวยไม่มีดอกไม่มีผล แห้งๆเหี่ยวๆไปบ้างเท่านั้น ผมบอกคนนอนข้างๆว่าจะไม่ปลูกอะไรอีกแล้ว ไม่ไหวแล้ว แต่เมื่อวันวานยังย่องไปซื้อต้นแก้วมาอีกหลายต้นจะเอาไปปลูก ริมรั้วนอกบ้านแทนต้นชบาดอก(เป็นโรคเพลี้ยแป้ง) และฟิโลเดนดรอน ซึ่งแห้งกรอบเพราะขาดน้ำ ผมชั่งใจระหว่างแก้ว กับโมก ซึ่งชอบทั้งสองชนิดเพราะให้กลิ่นหอมไปคนละอย่าง แต่แก้วดูจะทนแล้งและทน แดดได้ดีมากๆ ส่วนโมกนั้นอาจจะทนแล้งได้น้อยกว่าหน่อยและค่อนข้างจะโตช้ากว่าด้วยแต่ดีตรงที่ทนน้ำ ท่วมขังได้ดีซึ่งไม่ใช่คุณสมบัติของแก้ว แต่ผมไม่กลัวน้ำท่วมขังเพราะหน้าบ้านเป็นทางลาด น้ำไม่ท่วมขังอยู่แล้ว

      เรื่องทั้งหมดนี้มันไม่น่าจะสัมพันธ์กับชื่อเรื่องเลยใช่มั้ยครับ สำหรับผมแล้วการได้อยู่กับธรรมชาติรอบบ้านรอบกายนั้นทำให้
    •     ได้เห็นพันธ์ไม้เจริญงอกงาม
    •     ได้สูดดมกลิ่นหอมของมวลดอกไม้
    •     ได้ยินเสียงเพรียกจากสรรพสิ่งทั้งหลาย
    •     ได้สัมผัสต้องกาย จากไอดินอุ่นหรือความเย็นสบายของฟ้าหลังฝน
    •     มีใจคิดคำนึงไปในอารมณ์ที่ดีงาม ที่รัก ที่ชอบ (ปกติใจเรามักคิดไปทั้งทางฝ่ายกุศล และอกุศล)


ริมรั้วนอกบ้านขุดชบาแดง และฟิโลเตนดรอนทิ้ง เตรียมขุดหลุมลงแก้วให้มันหอมไปทั้งบาง






ลงแก้วไปสี่ต้น ต้องเอาแผงไม้บังตาเก่าๆที่ผุไม่ใช้แล้วมากำบังกันวัวของนายโคบาลที่่มากันเป็นฝูงย่ำและกินใบอ่อน เอาผ้าตาข่ายกรองแสงแดดมาปิดกันไก่ของเพื่อนบ้านที่เลี้ยงแบบปล่อยให้หากินเอง มาคุ้ยเขี่ยดินโคนต้น มิฉะนั้นรากจะลอยพาลตายเอาง่ายๆ ถ้ารากงอกติดดินดีและแข็งแรงแล้วไม่มีปัญหา

      ซึ่งเป็นความสุขอย่างโลกๆ แต่ผมก็ยังติดอยู่ในกิเลศนั้นอยากจะให้พันธ์ไม้ที่ปลูกไว้ในสวนยั่งยืนไม่แปรเปลี่ยน อยากให้มันเป็นนิจจัง ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ มันตั้งอยู่เช่นนั้นไม่ได้ มันคงทนอยู่ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ มันเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้น มันเป็นกฎตายตัวอย่างนั้น เพราะมันคือธรรมชาติมันคือธรรมะ

      นี่ละครับคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกว่าในสุขมีทุกข์ ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์” มาบ้างนะครับ คนมีความรักไม่ว่าจะเป็นความรักของคนต่างเพศ ความรักที่มีต่อพ่อแม่ หรือความรักในการงานฯลฯ ล้วนทำให้มีความสุขทั้งนั้น ดังนั้นเราอาจพูดใหม่ว่า “ที่ไหนมีสุขที่นั่นมีทุกข์” หรือ “ในสุขมีทุกข์” ได้เหมือนกันใช่มั้ยครับ บางท่านอาจจะตั้งคำถามในใจว่า แล้วในทุกข์ละมีสุขหรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิจารณากันเองนะครับ




Create Date : 25 กรกฎาคม 2558
Last Update : 25 กรกฎาคม 2558 18:26:04 น.
Counter : 2343 Pageviews.

1 comments
  
สวนกว้างขวาง เป็นระเบียบเรียบร้อยดีจังค่ะ
โดย: mcayenne94 วันที่: 27 กรกฎาคม 2558 เวลา:18:30:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อุษา
Location :
แพร่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]



กรกฏาคม 2558

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
25 กรกฏาคม 2558
All Blog