|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
ปัญหา "พระวิหาร" จะลงเอยอย่างไร? (ตอนที่ 19)
ตอนที่แล้ว ได้นำเสนอแนวทางแรกที่ศาลโลก อาจมีคำตัดสิน
ให้ยกคำร้องกัมพูชาตามที่ฝ่ายไทยได้ต่อสู้ว่าขอให้ศาลไม่รับตีความ
เพราะคำขอของกัมพูชาเกินกว่าขอบเขตแห่งคำพิพากษาเดิม
ในปี 2505 ซึ่งตัดสินเรื่องอธิปไตยหรือปราสาท
ไม่ได้ตัดสินเรื่องเขตแดนและสถานะทางกฎหมาย
ของแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชาอ้าง
อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องไม่ลืมว่ากัมพูชาเคยยื่น
ขอมาตรการชั่วคราว และศาลก็มีคำสั่งกำหนด
เขตปลอดทหารชั่วคราว (PDZ) และคำสั่งอื่น ๆ
ซึ่งเงื่อนไขที่ศาลจะออกมาตรการชั่วคราว ได้ข้อหนึ่งก็คือ
ศาลโลกมีเขตอำนาจเบื้องต้น
(prima facie jurisdiction)
นั่นคือศาลเห็นในเบื้องต้นว่ามี ข้อพิพาท (dispute)
อันเป็น ความเห็นแตกต่างกันในประเด็น ข้อกฎหมาย
หรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับบทปฏิบัติการ (operative clause)
ซึ่งศาลได้พิพากษา 3 ข้อ ดังกล่าวในปี 2505
ไทยเราขอให้ยกคำร้องขอมาตรการชั่วคราว
โดยอ้างเหตุผลข้อหนึ่งว่า ศาลไม่มีเขตอำนาจเบื้องต้น
เพราะไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาปี 2505
ทั้ง 3 ข้อครบถ้วนแล้ว และคำขอมาตรการชั่วคราวดังกล่าว
ไม่มีส่วนสัมพันธ์ใดกับสาระสำคัญที่ขอให้ตีความ
แต่ศาลมีมติเอกฉันท์โดยผู้พิพากษาทั้ง 16 คน
ให้ยกคำร้องของไทย
และศาลเห็นว่าในเบื้องต้น มีข้อพิพาทอันเกิดจาก
ความเห็นที่แตกต่างกันอย่างน้อย 3 ประเด็น
ดังนั้น หากศาลพิพากษาเนื้อหาสารัตถะของคำขอตีความ
ศาลมากลับความเห็นของตนเองว่าไม่มีข้อพิพาทในท้ายที่สุด
ก็กระไรอยู่ เพราะโดยสภาพจิตวิทยาแล้ว
การให้คนกลับความเห็นตอนแรกของตนนั้น
ถ้าไม่มีเหตุสำคัญเช่นพบข้อเท็จจริงใหม่ ก็คงจะยาก
แต่อาจมีคนเถียงว่า
ก็คดีที่เม็กซิโกฟ้องสหรัฐในคดีอวีน่า (Avena)
แล้วมีการขอตีความคำพิพากษาโดยเม็กซิโก และเม็กซิโก
ก็ขอมาตรการชั่วคราวจากศาล
ศาลก็เห็นว่าตนมีเขตอำนาจเบื้องต้น
เพราะมีข้อพิพาทระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา
ในความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาแล้ว
แต่ตอนตัดสินคดีจริง ศาลกลับพิพากษาว่าตนไม่มีอำนาจ
เพราะคำขอตีความคำพิพากษาของเม็กซิโกไม่ใช่คำขอตีความ
เรื่องที่ศาลเคยตัดสินไปในคดีเดิม เมื่อ 31 มีนาคม 2547
แต่ถ้าเราดูคะแนนเสียงที่ผู้พิพากษาศาลโลกลงมติ
ในคำขอมาตรการชั่วคราว ก็จะพบข้อแตกต่างจาก
คดีพระวิหารอย่างมาก กล่าวคือ คดีอวีน่า นั้น
ผู้พิพากษาศาลโลก 7 คน มีมติให้ยกคำคัดค้านของสหรัฐอเมริกา
ที่ว่าศาลไม่มีเขตอำนาจ
แต่อีก 5 คน มีความเห็นแย้งว่าศาลไม่มีเขตอำนาจเบื้องต้น
เพราะเม็กซิโกแสดงให้เห็นไม่ได้ว่ามีความแตกต่าง
ระหว่างความเห็นของ 2 ฝ่ายในความหมาย
และขอบเขตคำพิพากษาอย่างไร
ดังนั้น คดีนี้ในการขอมาตรการชั่วคราว
เม็กซิโกชนะเพียง 2 เสียง
จึงไม่แปลกอะไรที่ในตอนตัดสินคดี
ตีความจริงในตอนสุดท้าย ผู้พิพากษา 11 คน
ลงมติว่าศาลไม่มีอำนาจ เพราะเม็กซิโกยกเรื่องที่ไม่ใช่ประเด็น
ที่ศาลเคยตัดสินไว้ในปี 2547 ในคดีอวีน่า และอีก 1 คน
ลงมติคัดค้าน มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าในการตีความคดีอวีน่านี้
เมื่อนายเมดลิน (Mr.Medellin) ถูกประหารชีวิตไปแล้ว
ตามคำพิพากษาของศาลเทกซัส ทั้ง ๆ ที่ศาลออกคำสั่งกำหนด
มาตรการชั่วคราวเพื่อมนุษย ธรรม ศาลจึงกลับมายึดหลักกฎหมาย
เพราะช่วยนายเมดลินไม่ได้ (ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราว
ให้สหรัฐอเมริกาชะลอการประหารชีวิตนายเมดลินและคนเม็กซิกัน
จนกว่าศาลโลกจะตัดสินคดีเมื่อ 16 กรกฎาคม 2551
นายเมดลินถูกประหารชีวิตวันที่ 5 สิงหาคม 2551
และศาลโลกตัดสินว่าตนไม่มีอำนาจวันที่ 19 มกราคม 2552!)
คดีพระวิหารไทย-กัมพูชานั้น ในคำขอคุ้มครองชั่วคราว
ศาลยกคำร้องไทยเป็นเอกฉันท์ทั้ง 16 คน! ดังนั้น
การจะกลับหลังหันมาพิพากษาในท้ายที่สุดว่า
ศาลโลกไม่มีอำนาจเหมือนคดีอวีน่า คงจะมีโอกาสน้อยเต็มที่
(แต่ผู้พิพากษาใหม่ 3 ท่านซึ่งไม่เคยพิจารณาคำร้องขอมาตรการชั่วคราว
เลยอาจเห็นไม่มีเหมือนกับอีก 13 คนเดิมก็ได้)
อนึ่ง มีข้อน่าสังเกตว่าในขณะแถลง การณ์ ด้วยวาจาสิ้นสุดลงนั้น
ผู้พิพากษาอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซูฟ (Abdulgawi Ahmed Yusuf)
ขอให้ทั้งไทยและกัมพูชา เขียน บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร
บนแผนที่หรือกราฟิก แล้วนำส่งต่อศาลใน วันที่ 26 เมษายน 2556
และต่างฝ่ายต่างส่งให้กันในวันที่ 3 พฤษภาคม 2556
กรณีการตั้งคำถามของศาลและขอให้คู่กรณีทำเอกสารมาให้ศาล
เมื่อการแถลงยุติลงไม่ค่อยปรากฏในการพิจารณาของศาลโลก!
บางคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า นี่แสดงให้เห็นว่า ศาลอาจดู
ความแตกต่างในความเห็น ของทั้ง 2 ฝ่าย
ซึ่งจะนำไปสู่การรับตีความคำขอของกัมพูชานั่นเอง
คำถามจึงมีว่า ถ้าศาลรับตีความตามคำขอของกัมพูชาแล้ว
ศาลจะตัดสินอย่างไร?
วันนี้ยังไม่มีใครเดาได้ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร
แต่ถ้าจะให้คาดคะเนก็คงมีทางตัดสินได้ 3 แนวทาง คือ
1.ศาลตีความกำหนดเส้นเขตแดนบนแผนที่ภาคผนวก 1 ว่าเป็น
บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร อย่างที่กัมพูชาอ้าง
แต่ถ้าศาลตีความเช่นนี้ กัมพูชาได้ ไทยเสีย และศาลเอง
ก็จะต้องเผชิญปัญหาหลายประการ คือ
ประการแรก ไทยและกัมพูชาต่างอ้างว่ารอคำพิพากษา
เพื่อให้ได้ข้อยุติอันจะทำให้เกิด สันติภาพ แต่ไทยได้เตือนศาลไปแล้วว่า
วันนี้ปัญหาอาจมีอยู่บริเวณใกล้เคียงปราสาท แต่ถ้าศาลกำหนดว่า
เส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ภาคผนวก 1
อาจเกิดปัญหาลามไปยังที่อื่น ๆ ที่ยังไม่พิพาทกัน
ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นได้
ประการที่สอง ไทยชี้ให้เห็นปัญหาของการนำแผนที่ดังกล่าว
ไปขีดลงบนพื้นที่จริงว่าการใช้วิธีการแต่ละวิธีจะให้ผลที่แตกต่างกัน
และแผนที่ก็มีหลายฉบับ ซึ่งศาลต้องอธิบายให้ได้ทั้งทางเทคนิค
และข้อเท็จจริงว่าข้ออ้างของไทยไม่ถูกต้องอย่างไร
เพราะไทยอ้างผู้เชี่ยวชาญ
ประการที่สาม ที่สำคัญที่สุด คือ ศาลต้องอธิบายให้ได้ว่า
ในเดือนมีนาคม 2505 กัมพูชาเคยขอให้ศาลตัดสิน
ทั้งเส้นเขตแดน และสถานะทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1
แต่ศาลไม่ตัดสินให้ โดยศาลให้ถือว่าเป็นเหตุผล
ประกอบคำพิพากษาเท่านั้น เหตุใด 50 ปีผ่านไป
ศาลจึงพิพากษาให้กัมพูชา ตามที่กัมพูชาขอใหม่
และศาลต้องอธิบายให้ได้ว่านี่ไม่ใช่การทบทวน
ขอให้พิจารณาใหม่ (revision) อย่างไร?
และนี่ไม่ใช่การอุทธรณ์ (appeal) ซึ่งทำไม่ได้ทั้ง 2 กรณีอย่างไร?
ประการที่สี่ หากศาลเสี่ยงตัดสินตามกัมพูชาขอ
ต่อไปคดีตีความคำพิพากษาจะยึดถือตามบรรทัดฐานคดีนี้
และน่าเชื่อว่าจะมีผู้ยื่นขอตีความมากขึ้น
เพราะทำให้คนรื้อฟื้นเรื่องที่เคยปฏิเสธอย่างชัดแจ้งไปแล้วได้
2. ศาลตีความตามที่ไทยเสนอคือ ดูแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมาของคู่กรณี
(subsequent facts) ว่า กัมพูชารับทราบ
การกั้นรั้วรอบพระวิหารตามมติ ครม.ไทย มาตั้งแต่ปี 2505 แล้ว
และเข้าใจตรงกันว่านั่นคือ บริเวณใกล้เคียงปราสาท
ถ้าตัดสินเช่นนี้ เราก็บอกว่าเราชนะ กัมพูชาแพ้
แต่ก็มีข้อน่าคิดว่าศาลโลกเคยวางบรรทัดฐานไว้
ในคดีโรงงานที่ชอร์โซ (Chorzow Factory) ค.ศ.1927
ซึ่งศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ (PCIJ)
เคยพิพากษาว่า ......ในการตีความศาลไม่พิจารณา
ข้อเท็จจริงอื่นที่นอกเหนือจากสิ่งที่ศาลได้ใช้ประกอบการพิจารณา
ในคำพิพากษาที่ศาลตีความ ดังนั้น ศาลจึงไม่พิจารณาข้อเท็จจริง
ที่เกิดขึ้นหลังจากคำพิพากษา.... ว่าข้อเท็จจริงที่เกิด
ภายหลังคำพิพากษาไม่สามารถนำมาใช้ตีความคำพิพากษาได้
การที่ไทยอ้างข้อเท็จจริงทั้งหลายหลังศาลพิพากษา
จึงไม่สามารถใช้ประกอบการตีความได้
3. ศาลตีความแบบตุลาธิปไตย (Judicial activism)
เหมือนที่ศาลกำหนดเขตปลอดทหารชั่วคราว (PDZ)
โดยลากเส้นเชื่อมพิกัดในเส้นรุ้ง เส้นแวงตามใจชอบของศาลอีก
โดยในครั้งนี้ ศาลอาจตัดสินตามใจศาล ไม่ใช่ตามคำขอของกัมพูชา
หรือคำขอการต่อสู้ของไทยว่า บริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ใช่ของไทย
และไม่ใช่ของกัมพู ชาทั้งคู่ และให้คู่กรณีทั้ง 2
ไปใช้กลไกที่มีอยู่โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC)
ตาม MOU ปี 2543 ในการหาทางออกร่วมกัน
หากศาลตัดสินทางนี้ก็จะไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ
และ ดูจะเป็นทางออกที่น่าจะบังคับให้เกิดสันติภาพมากที่สุด
แต่ศาลเองจะถูกวิพากษ์อย่างหนัก ว่าไม่ได้ตัดสินโดยยึดหลักกฎหมาย
(legality) แต่ตัดสินตามอำเภอใจโดยดูความเหมาะสม
ทั้งยังเป็นการพิพากษาเกินคำขอ (ultra petita) ด้วย!
ทางที่สามนี้ แม้จะดูว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น
หากศาลใช้หลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด (judicial restraint)
แต่เมื่อดูแนวโน้มจากการออกมาตรการชั่วคราวในคดีนี้แล้ว
ก็ไม่แน่ว่าศาลจะ ไปให้สุดซอย ก็ได้!
ตอนหน้า ผมจะสรุปให้ข้อสังเกตเป็นตอนสุดท้ายครับ.
..................................
ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต
อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2556
Create Date : 08 สิงหาคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 8 สิงหาคม 2556 22:14:23 น. |
Counter : 555 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|